ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 33 ชุดมันก็ไม่ได้โจ่งแจ้งอะไรขนาดนั้น
บทที่ 33 ชุดมันก็ไม่ได้โจ่งแจ้งอะไรขนาดนั้น
เมื่อฝูเจิ้งเจิ้งก้มมองลงไป ใบหน้าสวยนั้นก็เกิดเขินอายจนแดงเป็นลูกเชอร์รี่ เธอรีบสวมเสื้อคลุมตัวนั้นและดึงมันยืดลงไปให้ปิดท่อนล่างด้วย
เพราะเมื่อเช้าเธอเอาแต่หาฝูซิงที่หายตัวไป มันเลยทำให้เธอไม่มีเวลาหาเสื้อคลุมตัวใหญ่ ๆ มาสวมทับชุดนอนไว้ ถึงแม้ว่าผ้าของชุดนอนมันจะไม่ได้บางมาก แต่ถ้ามองดี ๆ มันก็ยังบางพอที่จะเห็นข้างในได้อยู่ดี เพราะความที่เป็นแม่คนแล้ว อะไร ๆ จึงดูมีมากกว่าคนปกติทั่วไป ตามกฎฟิสิกส์มันก็จะเคลื่อนไหวตามแรงโน้มถ่วงไปมาบ้าง และสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ไขมันที่สะสมในหน้าท้อง เช่นนั้นมันจึงไม่แปลกหากใครจะหันมามองเมื่อเห็นเธอเดินเข้ามาถามนู่นถามนี่
พระเจ้า! ล-ล-แล้วยามเมื่อเช้าที่ทำท่าเขินก็เพราะฉัน….!?
ได้ยินสิ่งที่หานซือฉีพูด ฝูซิงก็หันกลับมามองพร้อมปิดหน้าปิดตาเหมือนคนไม่อยากรับรู้ “หม่ามี๊น่าอาย! น่าอายมาก ๆ เลย!”
จริง ๆ แล้วเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่า คำว่า ‘คลุม’ ของหานซือฉีหมายถึงคลุมอะไร
ฝูเจิ้งเจิ้งที่โดนตอกย้ำเช่นนั้นก็อายมากขึ้นไปกว่าเดิม ชนิดที่ว่าไม่สามารถพูดอะไรต่อได้ เธอปฏิเสธเสื้อคลุมนี่หลายต่อหลายครั้งเพราะไม่อยากจะให้เขาได้ใจหากเธอยอม กลับกลายเป็นว่าตนเองกำลังเซอร์วิสอีกฝ่ายเต็มสองตาเลยเสียอย่างนั้น
เมื่อทั้งหมดพากันกลับถึงบ้านแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าและหาอะไรกินรองท้องนิดหน่อยก่อนจะไปส่งฝูซิงที่โรงเรียนตามปกติ
ในระหว่างทางที่เดินไปยังบริษัทนั้น เธอเอาแต่คิดถึงเรื่องน่าอับอายเมื่อเช้าอยู่ตลอดจนไม่สามารถทำสีหน้าปกติได้ ฝูเจิ้งเจิ้งพยายามก้มหน้าแล้วรีบเดินเร็วขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อคิดถึงสายตาที่จับจ้องเธอในตอนนั้น
อับอายขายขี้หน้ามากเลยฝูเจิ้งเจิ้ง
รถคันหรูขับมาจอดด้านข้างเธอ และเมื่อหันไปมองก็พบว่าคนขับคือหานซือฉี หญิงสาวหยุดเดินก่อนจะยกยิ้มแบบฝืน ๆ ให้อีกฝ่าย พร้อมกับทำตัวให้ดูปกติที่สุด
หานซือฉีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ถึงจะพยายามทำตัวปกติแค่ไหนเขาก็มองออกอยู่ดี น้อยครั้งนักที่จะได้เห็นเธอคนนี้เขินอาย
“นี่ จริง ๆ ชุดเธอมันก็ไม่ได้โจ่งแจ้งอะไรขนาดนั้น ฉันยังไม่เห็นอะไรเลยนะ” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น
หญิงสาวรู้สึกเบาใจขึ้นมา แต่ก่อนที่รอยยิ้มบนใบหน้าจะกลายเป็นรอยยิ้มที่สดใส เขาก็ชิงพูดเสริมขึ้นมาก่อน “ถึงเธอจะไม่ติดกระดุมออกมาจากบ้านฉันก็ไม่เห็นอะไรหรอก ก็เล็กซะขนาดนั้นนี่นะ”
“คุณหานซือฉี!!” สิ้นประโยคนั้น เธอแทบอยากจะเข้าไปตะกุยหน้าของเขา
ชายหนุ่มหัวเราะร่าแล้วขับรถออกไปทันที
เธอรีบคว้าหินก้อนเล็ก ๆ แถวนั้นแล้วเตรียมจะเขวี้ยงใส่รถเขา แต่กว่าจะหาได้ รถคันงามก็วิ่งหนีเธอไปไกลเสียแล้ว
ไอ้คนเจ้าชู้! ปากคอเราะร้าย! น่าไม่อายที่สุด! คำก่นด่าสาปแช่งพรั่งพรูออกมาในใจ
สองเท้าก้าวเร็วขึ้นแบบสุด ๆ ด้วยความโกรธ ทว่าใครบางคนก็เรียกเธอก่อนจะได้ไปไกลกว่านี้
“เจิ้งเจิ้ง เจิ้งเจิ้ง”
หยางเต๋า?
ฝูเจิ้งเจิ้งรีบหันไปมองรอบ ๆ แล้วก็พบว่าหยางเต๋านั้นกำลังโบกมือเรียกเธออยู่หลังต้นไม้
แววตาสวยเหลือบมองซ้ายขวาให้ดีก่อนจะแสร้งเดินเข้าไปอย่างปกติ ณ จุดนั้น เมื่อเธอถึงใต้ต้นไม้ต้นนั้น เธอก็ทิ้งระยะห่างจากหยางเต๋าไว้ในระดับหนึ่ง ชายหนุ่มตรงหน้าเองก็ไม่ได้ปล่อยเวลาให้ไหลไป เขารีบส่งกระเป๋าใบหนึ่งให้เจ้าหล่อนก่อนจะก้าวเดินออกมาช้า ๆ จากจุดที่ยืนอยู่แต่เดิม
ด้วยท่าทีของหยางเต๋าที่เป็นธรรมชาติ มันเลยทำให้ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาไม่ได้สนใจการกระทำของทั้งสองเสียเท่าไหร่
“ทำไมถึงมาที่นี่อีกล่ะคะ?” ฝูเจิ้งเจิ้งถาม
“หานซือฉีแกล้งเธออีกแล้วเหรอ?”
ถึงแม้ว่าหยางเต๋าจะพูดแบบกระซิบกระซาบ แต่หญิงสาวก็สามารถสัมผัสได้ถึงความห่วงใย
ดูท่าหยางเต๋าคงจะเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่สินะ ฝูเจิ้งเจิ้งรีบส่ายหน้าและพูดเชิงปลอบให้เขาใจเย็น “อย่าคิดว่าฉันเป็นสาวอ่อนต่อโลกแบบนั้นสิคะ คิดว่าการเอาเปรียบฉันมันทำได้ง่าย ๆ หรือไงกัน?”
“เจิ้งเจิ้ง เธอยินยอมที่จะเป็นคนรับใช้ให้หานซือฉี 1 เดือนจริง ๆ เหรอ? ไอ้วิธีที่จะชดใช้เงินเดือนนั่นน่ะ แค่ลาออกก็จบแล้วไม่ใช่หรือไง? จากนั้นก็เอาเงินไปคืนเพื่อนของเธอทีหลัง” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเครียด เขารู้สึกไม่ชอบใจเลยที่ฝูเจิ้งเจิ้งต้องมาตกเป็นเบี้ยล่างของหานซือฉีแบบนี้
“ไม่ค่ะ สวี่เหยียนไม่รับเงินนั่นหรอก เพราะงั้นเราจะทำให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องมาโดนลูกหลงด้วยไม่ได้”
“แต่ฉันเป็นห่วงกลัวว่าเธอจะเจอเรื่องไม่ดีระหว่างหนึ่งเดือนนี้นะ”
“คิดซะว่าฉันยังทำภารกิจสืบหาข้อมูลต่อไปแบบเดิมนั่นแหละค่ะ ไม่ใช่ว่าฉันเพิ่งจะมาทำงานนี้สักหน่อย แค่ทำเพิ่มอีกสักเดือนจะเป็นอะไรไป? บางทีเราอาจจะได้ข้อมูลอะไรเพิ่มจาก 1 เดือนนี้ก็ได้นะคะ”
“แต่…”
ฝูเจิ้งเจิ้งรีบตัดบท “ฉันรู้ว่ารุ่นพี่เป็นห่วงฉันนะคะ เพราะงั้นฉันจะระมัดระวังตัวเองดี ๆ ถ้าหากมีอะไรผิดพลาด ฉันจะรีบติดต่อรุ่นพี่ทันทีเลย ไว้ใจได้ค่ะ”
ระหว่างที่พูดนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็ไม่ได้หยุดเดิน หลังจากที่พูดทิ้งท้ายแล้วเธอก็เดินเลี้ยวเข้ามุม ๆ หนึ่งไป ตรงหน้านั้นเป็นจัตุรัสที่คุ้นเคย และเมื่อเดินไปอีกนิดหน่อยก็เป็นอันถึงบริษัทเว่ยหานเป็นที่เรียบร้อย ฝูเจิ้งเจิ้งก้าวเข้าบริษัทไปโดยไม่ได้หันกลับมามองเพราะเธอรู้ดีว่าหยางเต๋าน่ะไม่ได้ตามมาถึงตรงนี้อยู่แล้ว
จริง ๆ แล้วไม่ว่าเธอหรือหยางเต๋าจะเจอเบาะแสอะไรที่หลุดมาจากหานซือฉีหรือไม่ ฝูเจิ้งเจิ้งก็กลัวว่าหยางเต๋าจะบอกผู้กำกับให้ย้ายเธอกลับไปอยู่ดี ดังนั้นเธอจึงบอกเหตุผลจริง ๆ แก่เขาไป เพื่อที่ 1 เดือนนี้จะได้ไม่ต้องมาพะวงอะไร และหวังว่าเรื่องนี้จะช่วยซ่อนตัวตนจริง ๆ ของเธอได้
นอกจากนั้นแล้ว หญิงสาวกลับเป็นฝ่ายที่ต้องการจะเป็นคนใช้ของหานซือฉีเป็นเวลา 1 เดือนด้วยความสมัครใจอีก แม้ปากจะบอกว่าเกลียดเขานักเกลียดเขาหนา แต่ภายในก้นบึ้งของหัวใจกลับไม่มีสิ่งนั้นอยู่เลย รวมถึงไม่มีเหตุผลให้สงสัยด้วย
ทุก ๆ ครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ ฝูเจิ้งเจิ้งจะคอยปลอบตัวเองตลอดว่าทำเพื่องาน อย่างน้อย ๆ ก็ขอให้รู้ทีเถอะว่าความสัมพันธ์ของหานซือฉีกับหลี่เสี่ยวเมิ่งไม่ได้มีอะไรที่น่าหวาดระแวง
เพราะสัญชาตญาณของเธอมันบอกไว้ว่า ทั้งสองคนนี้ไม่น่าจะรู้จักกันแค่ผิวเผินแน่ ๆ
“เจิ้งเจิ้ง เอกสารพวกนี้ช่วยส่งแฟ็กซ์ให้ฉันทีนะ” สวี่เหยียนวางถุงกระดาษใบหนึ่งลงมาตรงหน้าฝูเจิ้งเจิ้ง และมันทำให้เธอได้สติกลับคืนมา
หลังจากที่เห็นฝูเจิ้งเจิ้งรับถุงใบนั้นไปแล้ว เธอก็เข้ามากระซิบ “เจิ้งเจิ้ง ฉันหาบ้านให้เธอได้แล้วนะ ถ้ายังไงหลังเลิกงานแล้วจะไปดูกับฉันไหม?”
ได้ยินเช่นนั้น ฝูเจิ้งเจิ้งก็นึกขึ้นได้ว่าเธอเพิ่งจะ ‘ขาย’ เวลาหลังเลิกงานของตนไปเป็นเวลา 1 เดือนเมื่อวานนี้เอง เพราะงั้นเธอจึงรีบเขย่ามือของสวี่เหยียนไว้และพูดด้วยสีหน้าเกรงใจ “สวี่เหยียน ฉันต้องขอโทษด้วยจริง ๆ ที่ไม่รีบบอกเธอ คือว่าฉันกับเจ้าของบ้านเพิ่งจะตกลงกันลงตัวเมื่อวานนี้น่ะ เขาสัญญาแล้วว่าจะช่วยลดค่าเช่าให้ฉัน เพราะงั้นฉันเลยตัดสินใจจะอยู่ที่เดิมไปก่อนตอนนี้”
“โห แบบนั้นก็ดีเลยนี่นา โอเค ถ้าเป็นแบบนั้นเดี๋ยวฉันจะไปปฏิเสธคนที่ฉันติดต่อไว้ก่อนนะ” สวี่เหยียนยิ้มหวานแล้วรีบกลับไปทำงานของตนทันที
ในตอนที่ฝูเจิ้งเจิ้งดันประตูเพื่อเข้าไปนั่งทำงานของเธอบ้าง เธอก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ของหานซือฉีดังขึ้น ซึ่งเมื่อเขาเห็นว่าเธอเดินเข้ามา ชายหนุ่มก็หยิบโทรศัพท์แล้วปลีกตัวเข้าห้องส่วนตัวไปเพื่อรับสายนั้นทันที
น่าสงสัย…น่าสงสัยที่สุด!
มันต้องมีอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลแน่ ๆ!
ฝูเจิ้งเจิ้งรีบเดินไปยังโต๊ะของหานซือฉี หยิบแก้วของเขาแล้วปรี่ไปยังหน้าประตูห้องส่วนตัวนั้นอย่างรวดเร็ว
ตรงมุมด้านข้างห้องส่วนตัวมีตู้สำหรับชงชาอยู่ ซึ่งตามปกติเธอก็ต้องไปจัดเตรียมน้ำชาในทุก ๆ เช้าจากบริเวณนั้นอยู่แล้วด้วย
ทว่าไม่คิดไม่ฝันเลยว่าประตูนี่เมื่อมันปิดสนิท เสียงจะไม่มีเล็ดลอดเช่นนี้ สุดท้ายฝูเจิ้งเจิ้งก็ได้แต่เดินหงอยกลับไปชงชาตามปกติ
ขณะที่หญิงสาวกำลังจะลุกหลังจากที่ชงชาเสร็จ หานซือฉีก็เดินออกมาจากห้องส่วนตัวด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก
ถึงแม้ว่าหานซือฉีจะทำหน้าตาจริงจังอยู่ตลอด แต่เขาไม่ใช่คนที่จะโกรธอะไรง่ายๆ ดังนั้นเธอจึงค่อนข้างประหลาดใจมาก ๆ ว่าใครที่สามารถทำให้เขาโกรธได้ขนาดนี้
หานซือเซียนเหรอ?
หรือว่า…ผู้หญิง?
ทันใดนั้นเอง ฝูเจิ้งเจิ้งก็นึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่หานซือฉีไม่ได้กลับมาเมื่อคืนนี้ บางทีมันอาจจะเกี่ยวข้องก็ได้
“ยืนบื้ออะไรอยู่น่ะ? บริษัทจ่ายเงินให้เธอมายืนงงอยู่ในห้องของฉันหรือไง?” ด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่นทำให้เขาอยากแกล้งคนตรงหน้าเพื่อหาที่ระบาย
เป็นบ้าอะไรอีกยะ!
ฝูเจิ้งเจิ้งเลิกที่จะใส่ใจท่าทีน่าหงุดหงิดนั้นแล้วรีบไปวางแก้วชาให้เขาทันที
หลังจากที่กลับมายังที่นั่งของเธอเองแล้ว หญิงสาวก็แอบมองหานซือฉีอยู่เรื่อย ๆ ขณะทำงาน ดูเหมือนว่าวันนี้จะเป็นวันที่เขาไม่เป็นตัวของตัวเองจริง ๆ เพราะเขาไม่ได้สนใจที่จะดื่มชาที่ตัวเองชอบเลยสักนิด
พักใหญ่ต่อจากนั้น เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นมาอีกหลายครั้ง และทุกครั้งเขาก็ตัดสายมันทิ้งอย่างไม่สนใจไยดี
เสียงโทรศัพท์ยังดังมาเรื่อย ๆ แม้จะวางสายไปแล้ว หากเป็นบ้านเธอล่ะก็ บางทีอาจจะหมายถึงมีคนเจ็บหรือตายเลยก็ได้นะ
หลายต่อหลายสายผ่านไป แต่มันก็ไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายจะหยุดโทรมาเลย ในท้ายที่สุดหานซือฉีก็หมดความอดทน เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ก็บอกแล้วไงว่าพรุ่งนี้ฉันไม่ว่าง” จากนั้นก็วางสายไปอีกครั้ง
น-นี่มันอะไรกันน่ะ?
ฝูเจิ้งเจิ้งเริ่มจะอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาแล้ว ชัดเจนเลยว่าสายที่โทรมาติด ๆ กันนั้นเป็นคนเดียวกันแน่ ๆ แต่ใครล่ะ? ใครกัน? อยากรู้ง่ะ!
“มานี่สิ” ชายหนุ่มเรียกเธอ
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่มีท่าทีตอบรับทำให้เขาต้องพูดย้ำอีกครั้ง “มานี่!”
“ค-ค่ะ!”
บ้าเอ๊ย นี่เรียกฉันเหรอ!? นึกว่าคุยโทรศัพท์อยู่ซะอีก!
หญิงสาวรีบหันไปหาเจ้าของเสียงตะโกนนั้นด้วยสีหน้าเลิ่กลั่ก เธอคิดว่าเขายังติดสายโทรศัพท์อยู่ ไม่คิดเลยว่าจู่ ๆ จะโดนเรียกเช่นนี้ “ม-มีอะไรให้ฉันช่วยไหมคะ คุณหาน?”
ด้วยความที่วันนี้หานซือฉีดูจะอารมณ์ไม่สู้ดีเท่าไหร่ เพราะแบบนั้นฝูเจิ้งเจิ้งเลยไม่อยากจะเป็นน้ำมันที่พร้อมจะโดนไฟเผาได้ทุกเมื่อหรอกนะ
หานซือฉีขมวดคิ้ว “ไม่เรียก ‘คุณหาน’ มันจะตายไหม?”
คำถามนั้นทำเอาเธอช็อกไปครู่หนึ่งก่อนจะถามกลับอย่างสับสน “ก-ก็เรียกคุณหานฟังดูให้เกียรติดีแล้วไม่ใช่เหรอคะ?”
“อายุเธอกับฉันจะห่างกันสักเท่าไหร่กันเชียว เรียกคุณหาน ๆ อยู่ได้ ทำไม? ในสายตาเธอฉันมันแก่มากหรือไง?”
“ไม่นะคะ คุณหานน่ะทั้งหล่อแล้วก็อายุน้อยมาก ๆ ด้วย แถมยังหัวคิดก้าวหน้าอีก” แล้วก็บ้ากาม หวานเลี่ยน ขี้แกล้ง ลิงเหล็กไหล บลา ๆๆ ฉันสามารถสาธยายถึงด้านชั่วร้ายของคุณได้เป็นวัน ๆ เลยถ้าอยากจะสำนึกผิดน่ะ
เธอพูดออกไปเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น ส่วนที่เหลือต้องพูดในใจ
“ฮึ่ม” เขาไม่ได้ว่าอะไรต่อนอกจากถอนหายใจ
ฝูเจิ้งเจิ้งยังคงยืนอยู่ที่เดิมพร้อมก้มหน้าลง เธอไม่รู้ว่าตกลงเขาเรียกเธอมาทำไม ดังนั้นจึงยืนรออยู่เช่นนั้นเผื่อว่าเขามีอะไรจะสั่ง
“กลับไปทำงาน แล้วก็อย่าลืมซื้อของไปทำกับข้าวหลังเลิกงานด้วย” พูดจบหานซือฉีก็วางแบงค์ให้ปึกหนึ่ง
แววตาสงสัยนั้นพยายามเหลือบมองสีหน้าของชายหนุ่มผู้นี้อยู่เป็นระยะแม้จะรู้ตัวว่ากำลังเผชิญหน้ากับไฟ สีหน้านั้นเปลี่ยนจากโกรธเคืองกลายเป็นเฉยชาไร้ความรู้สึกดังเดิมแล้ว แต่เธอก็ยังเดาไม่ออกอยู่ดีว่าเขามีความสุขหรือเปล่าตอนนี้
ตั้งแต่เช้าจนถึงบ่าย หานซือฉีนั่งเงียบอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอด ยกเว้นเวลาพักเที่ยง
หลังจากที่เขานั่งเงียบอยู่ครึ่งค่อนวัน ในที่สุดหานซือฉีก็ละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์บ้างแล้ว เขาค่อย ๆ เอนหลังลงไปพิงกับเก้าอี้ หลับตาลงช้า ๆ และนวดขมับตัวเองอยู่พักใหญ่ สร้างความรู้สึกอึดอัดใจให้แก่เหล่าคนที่พบเห็นเป็นอย่างมาก
และฝูเจิ้งเจิ้งก็คือคนคนนั้น เธอรู้สึกแย่สุด ๆ ทุกครั้งที่หานซือฉีเป็นแบบนี้ทีไร เขาก็จะปรี่ไปหาหลี่เสี่ยวเมิ่งแทบจะตลอด บางทีการนวดของหลี่เสี่ยวเมิ่งอาจจะเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขาหายเครียดได้หรือเปล่านะ?
แต่จริง ๆ แล้วใครเป็นคนนวดกันแน่นะ? ระหว่างตานี่นวด หรือ หลี่เสี่ยวเมิ่งนวด? ไม่อยากจะไว้ใจแล้วคิดดี ๆ เลยว่าคนบ้ากามแบบนี้จะแพ้การนวดเหมือนคนปกติ
เมื่อเวลาเลิกงานมาถึง ฝูเจิ้งเจิ้งก็ลังเลใจว่าจะไปรับฝูซิงก่อน หรือจะไปซื้อของเพื่อไว้ทำกับข้าวก่อน
ทว่าในตอนนั้นเอง ร่างที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเธอ คนคนนั้นกำลังเดินข้ามถนนและปลีกตัวหายไปในซอยหนึ่ง
นั่นมันชายคนที่หยิบเสื้อผิดไปนี่!
ฝูเจิ้งเจิ้งไม่รอช้าที่จะตามไปในทันที เมื่อเธอข้ามถนนและเตรียมจะวิ่งเข้าซอย รถอีกคันหนึ่งก็พุ่งตามมาอย่างรวดเร็วจากด้านหลัง รถคันนั้นวิ่งผ่านตัวหญิงสาวไปจนเกิดสายลมที่พัดตามมาอย่างรุนแรง
น่าแปลก แต่ไม่มีเวลามาคิดแล้ว เพราะตอนนี้เธอต้องตามคนคนนั้นให้เจอเสียก่อน
เธอพยายามจะตะโกนเรียกเขา แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้ยินเนื่องจากคุยโทรศัพท์อยู่
ในท้ายที่สุด ฝูเจิ้งเจิ้งก็ตามเขาทัน มือเรียวตบไหล่ของอีกคนเบา ๆ ก่อนจะพูดขึ้น “เฮ้” ให้ชายหนุ่มรู้ว่าเธอตามมาเสียที แต่ทันใดนั้น ปฏิกิริยาตอบสนองที่รวดเร็วของเขาก็ทำให้เขาหันกลับมาพร้อมกับหมัดที่พุ่งตรงใส่หญิงสาวอย่างแม่นยำ
โชคยังดีที่ฝูเจิ้งเจิ้งนั้นรวดเร็วพอ เธอสามารถเอี้ยวตัวหลบได้โดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย
ชายผู้นั้นตกตะลึงขึ้นมาเมื่อพบว่าคนที่เขาเพิ่งออกหมัดใส่เมื่อครู่คือหญิงสาวเมื่อคราวนั้น หลังจากที่เขาชักมือกลับไปแล้ว เสียงที่ฟังดูหยาบกระด้างก็เอ่ยถามขึ้น “เธอตั้งใจจะทำอะไร?”
ฝูเจิ้งเจิ้งกรอกตาไปมา “ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งสามารถทำอะไรผู้ชายตัวใหญ่อย่างนายได้บ้างล่ะ? นายคิดว่าฉันอยากจะเจอนายมากหรือไงถ้าไม่ใช่เพราะนายกับฉันหยิบชุดสลับกัน? คิดว่าหล่อมากนักเหรอ?”
โชคดีครั้งที่สอง ชายคนนี้ดูเหมือนจะคิดเรื่องเสื้อผ้าอยู่พอดี ดังนั้นเขาจึงเอ่ยออกมาต่อด้วยเสียงที่อ่อนลง “เสื้อของฉันอยู่ไหน?”
“ฉันควรจะถามเรื่องเสื้อของฉันก่อนไหม?” ฝูเจิ้งเจิ้งตอบกวน
“ที่บ้านของฉัน”
“เลือกวันเวลาที่จะส่งเสื้อของฉันมาซะ จากนั้นฉันจะส่งเสื้อของนายคืนให้อีกที”
เขายืนเงียบคิดตามฝูเจิ้งเจิ้งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “ก็ได้ งั้นเจอกันอีกครั้งพรุ่งนี้ ที่นี่ เวลาเดิม”
“โอเค”
เมื่อนัดแนะกันได้แล้ว ชายหนุ่มก็เตรียมจะเดินกลับออกไป ทว่าฝูเจิ้งเจิ้งก็รั้งเขาไว้ก่อน “เฮ้ เดี๋ยวก่อน แล้วถ้านายไม่ยอมมาพรุ่งนี้ล่ะ?”
ฉันไม่อยากจะใส่เสื้อคนแก่นั่นหรอกนะ แถมจะให้เอาไปให้คนอื่นก็คงจะไม่ได้ด้วย นาน ๆ ทีฉันจะทำควาวมดีกับคนที่เกลียดขี้หน้าทีนึง ช่วยให้เป็นไปได้ดีตลอดรอดฝั่งด้วยเถอะ!
“มาแน่”
“ไม่ บอกเบอร์ของนายมา”
ถ้าไม่มาจริง ๆ ล่ะก็ ฉันจะโทรไปหานายกลางดึก แล้วจะป่วนให้ยับเลย สัญญาเลยว่าจะวางแผนดิบดีจนทำให้เมียนายน่ะ ไล่นายไปนั่งคุกเข่าอยู่ในตู้เสื้อผ้าทั้งคืนแน่นอน
ชายร่างใหญ่ขมวดคิ้ว ก่อนจะบอกชื่อไปก่อนตามด้วยหมายเลขโทรศัพท์
“จีหมู่เซี่ยนสินะ” ฝูเจิ้งเจิ้งทวนซ้ำขณะกดเบอร์โทรศัพท์ตามที่อีกฝ่ายว่าแล้วจึงกดโทรออก เมื่อได้ยินแล้วว่าเสียงโทรศัพท์ของอีกฝ่ายดังก็โล่งอกแล้ววางสายไป
จีหมู่เซี่ยนผู้ที่มักจะทำหน้าตายตลอดถึงกับยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยและส่ายหน้าเบา ๆ เขาหันหน้าออกแล้วกลับออกไปโดยที่ไม่ได้พูดอะไรต่อ
นี่เป็นครั้งแรก ที่ทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกว่าชายคนนี้แอบเหมือนหานซือฉีเล็กน้อยเมื่อเขายิ้ม แต่เพียงครู่เดียวเธอก็รีบตีหน้าผากตนเอง เพื่อย้ำเตือนว่าอย่าเอาเรื่องของหานซือฉีมาคิดบ่อยนัก
หลังจากที่ตระหนักได้ว่านี่เริ่มจะมืดแล้ว เธอเองก็รีบหันหน้าออกเพื่อจะเดินกลับออกไปด้วย บางทีถ้ารีบไปตอนนี้อาจจะยังทัน แต่รองเท้าส้นสูงก็ดันกระแทกส้นเข้าไปที่รูฝาท่อระบายน้ำใกล้ ๆ อีก
ด้วยแรงที่ปะทะลงไปผนวกกับแรงกระชากที่ไม่ได้ระวังตัว มันจึงทำให้รองเท้าของเธอติดอยู่กับฝาท่อนั้น ส่วนตัวเธอก็เซไถลออกไปข้าง ๆ จากการเสียการทรงตัว เมื่อพยายามดึงออกแล้วแต่ก็ไม่สามารถทำได้ ท้ายที่สุดหญิงสาวก็เลือกที่จะถอดรองเท้าอีกข้างหนึ่งด้วยและไปตั้งหลักดึงดี ๆ