ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 36 เขาหมั้น
บทที่ 36 เขาหมั้น?
เมื่อเธอยกมือขึ้นเตรียมที่จะทำโทษเด็กดื้อ ฝูซิงก็ไม่ได้หลบแต่อย่างใด นอกจากนั้นเขายังยื่นหน้าจะรับฝ่ามือนั้นด้วย ในตอนนั้นเอง ประตูของรถคันหนึ่งที่วิ่งมาจอดเทียบข้างก็เปิดออกอย่างรวดเร็วพร้อมกับหานซือฉีที่พุ่งเข้ามาคว้ามือที่กำลังจะฟาดลงไปที่เด็กน้อยไว้อย่างทันท่วงที “คิดจะทำอะไรของเธอน่ะ!”
เมื่อเห็นว่าผู้ที่เข้ามานั้นเป็นหานซือฉีที่สวมชุดสูทตัวใหม่เอี่ยมดูหล่อล้ำ ฝูเจิ้งเจิ้งก็รู้สึกโกรธกว่าเดิมอีกหลายเท่า “ฉันจะลงโทษลูกของฉัน คนนอกไม่มีสิทธิ์ค่ะ!”
“แล้วฉันเป็นคนนอกซะที่ไหน ฉันเองก็เป็นป๊ะป๋าของเขานะ!”
“คุณหานจะมาเป็นป๊ะป๋าของฝูซิงได้ยังไงกันคะ!?” ฝูเจิ้งเจิ้งพูดโดยที่ไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ทันใดนั้น ฝูซิงก็เข้าไปปัดมือของหานซือฉีออกจากมือของฝูเจิ้งเจิ้งพร้อมกับร้องไห้ออกมาอีกครั้ง “ฝูซิงไม่มีป๊ะป๋า! ฝูซิงเป็นเด็กไม่มีพ่อ!”
เป็นอีกครั้งที่ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกเจ็บลงไปถึงขั้วหัวใจ แต่เธอยังไม่อยากเข้าไปปลอบเขาตอนนี้ บางทีการที่ให้เขายอมรับความจริงด้วยตนเอง อาจจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า
สีหน้าของหานซือฉีดูประหลาดใจนิดหน่อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนกลับมาเป็นอ่อนโยนและจริงใจมาก “ซิงซิง ป๊ะป๋าขอโทษจริง ๆ จู่ ๆ วันนี้ก็มีงานด่วนเข้ามา ป๊ะป๋าก็เลยไม่สามารถไปกับซิงซิงได้ ซิงซิงจะให้อภัยป๊ะป๋าได้ไหม?” ชายหนุ่มนั่งลงพูดกับเด็กน้อยพร้อมลูบหัวเขาเบา ๆ
“แต่เพื่อนคนอื่นก็มองว่าฝูซิงเป็นเด็กโกหกไปกันหมดแล้ว!” ฝูซิงยังคงโกรธเขาอยู่ เด็กชายพยายามข่มน้ำตาไม่ให้ไหลตอนนี้ หน้าตาของเขายู่ยี่เพราะพยายามอดกลั้นไม่ให้ร้องไห้ออกมา
หานซือฉีขยับเข้าไปใกล้เขาให้มากกว่าเดิมและจับไหล่เล็ก ๆ ทั้งสองข้างของเด็กน้อยเอาไว้ “ป๊ะป๋าต้องขอโทษจริง ๆ นะซิงซิง ซิงซิงน่ะไม่ใช่เด็กโกหกหรอก ป๊ะป๋าต่างหากที่เป็นเด็กโกหก เพราะป๊ะป๋าผิดสัญญา ดังนั้นป๊ะป๋าจะอยู่ข้างซิงซิงเอง พรุ่งนี้ป๊ะป๋าจะพาฝูซิงไปส่งถึงห้องเรียนด้วยตัวเองเลย เพื่อให้เพื่อนของซิงซิงทุกคนรู้ว่าซิงซิงไม่ได้โกหก โอเคไหม?”
“ป๊ะป๋าจะทำจริงเหรอ?” ฝูซิงค่อยๆแหงนหน้ามองด้วยความหวังครั้งใหม่
ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ต่อให้ฟ้าจะถล่ม ป๊ะป๋าก็จะไปส่งซิงซิงที่โรงเรียนแล้วอธิบายเรื่องนี้ให้ทุกคนได้เข้าใจอย่างแน่นอน”
“ป๊ะป๋าสัญญาแล้วนะ!” ใบหน้าของเด็กน้อยผลิยิ้มออกมาแล้ว
“สัญญา!”
“ไม่ได้ค่ะ” ฝูเจิ้งเจิ้งที่ยืนฟังอยู่นานนั้นรีบกลั้นน้ำตาของเธอก่อนจะเข้ามาปัดมือของหานซือฉีออกจากตัวฝูซิง
“อะไรที่มันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปสิคะ เรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องอธิบายอีกแล้ว”
วันนี้เธอได้เห็นฝูซิงที่ต้องเศร้าเพราะคำผิดสัญญาของเขาไปแล้ว เพราะงั้นหากเป็นแบบนี้ต่อไปอีกฝูซิงจะต้องสนิทกับหานซือฉีมากเกินไปแน่ ๆ แล้วถ้าเกิดทั้งสองสนิทใจกันเกินไป ยามเมื่อต้องย้ายออกจากเมือง B มันคงจะเป็นเรื่องยากขึ้นอีกอย่างแน่นอน
ฝูซิงจะต้องงอแงเรื่องป๊ะป๋าของเขาแน่ เรื่องนี้ควรจบตั้งแต่ที่ฝูซิงรู้ตัวเองดีว่าไม่มีพ่อ การที่ต้องไปร้องขอให้หานซือฉีหรือคนอื่นมาเป็นพ่อให้เขามันไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย
“แต่หม่ามี๊…” ฝูซิงหน้ามุ่ยลงเล็กน้อยและหันมองหานซือฉีด้วยแววตาเศร้าสร้อย
“ไม่เป็นไร ป๊ะป๋าไปแน่นอน” ชายหนุ่มยืนยันกับเด็กชายอีกครั้ง
ขณะที่ฝูเจิ้งเจิ้งเตรียมจะพูดอะไรต่อ โทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น มันมาจากเบอร์ปริศนา
หลังจากที่รับโทรศัพท์ไปแล้ว เธอก็ได้ยินเสียงปลายสายพูดด้วยความร้อนใจ “ทำไมเธอยังไม่มาอีก?”
นี่มันเสียงของชายที่เธอต้องเอาเสื้อไปคืนนี่!
เมื่อมองไปยังนาฬิกาบนผนังแถวนั้น ฝูเจิ้งเจิ้งก็นึกขึ้นได้ว่าเธอเลยเวลานัดคืนเสื้อมาเป็นชั่วโมงแล้ว ดังนั้นเธอจึงรีบขอโทษอีกฝ่ายไปก่อน “ฉันต้องขอโทษจริง ๆ มีงานด่วนเข้ามา ขอนัดเป็นวันอื่นแทนได้ไหม?”
“6 โมงเย็นวันพรุ่งนี้ ที่เดิม รีบ ๆ เอาเสื้อมาคืนฉันสักที จะถึงวันเกิดแม่ของฉันแล้ว” หลังจากที่พูดจบ จีหมู่เซี่ยนก็วางสายไปในทันที
ออกคำสั่งกับฉันอีกแล้ว! น่าหงุดหงิดที่สุด!
ทั้ง 3 ตัดสินใจที่จะหาซื้ออาหารจากข้างนอกเข้าไปกินที่บ้านแทน ทุกคนล้วนอยู่ในอารมณ์บูดบึ้งกันไปหมด บรรยากาศบนโต๊ะอาหารจึงเต็มไปด้วยความเงียบสงัด
เกือบจะ 3 ทุ่มแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็ไปช่วยฝูซิงอาบน้ำก่อนจะส่งเขาเข้านอนได้อย่างง่ายดายเพราะเจ้าตัวเล็กของเธอนั้นเหนื่อยกับการร้องไห้มาทั้งวัน
เสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้น ฝูเจิ้งเจิ้งลุกไปเปิดประตูและพบว่าคนเคาะนั้นก็คือหานซือฉีที่ยืนรออยู่ด้านนอก
“ซิงซิงหลับไปแล้วหรือยัง?”
“ค่ะ” ฝูเจิ้งเจิ้งพยักหน้า แต่เธอก็ไม่ได้เปิดประตูกว้างพอให้เขาเข้ามาด้านใน “นี่มันดึกมากแล้ว ฉันจะนอนแล้วค่ะ”
“เธอก็ไม่มีความสุขกับเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ใช่ไหม?” หานซือฉีมองไปยังท่าทีของอีกฝ่ายและถามเธอระหว่างที่ใช้มือกันไว้ไม่ให้ประตูปิดลงได้
หญิงสาวกัดริมฝีปากเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงค่อย “ฉันไม่ได้ไม่มีความสุขกับอะไรทั้งนั้น”
“งั้นก็ดี” เขาไม่ได้พูดอะไรต่อและเตรียมจะเดินกลับไปยังห้องของตน
ตอนนั้นเอง ฝูเจิ้งเจิ้งก็หยุดเขาไว้ก่อน “อาจารย์หลี่ได้โทรหาคุณหรือเปล่า?”
เพราะทั้งหมินจงจู่และเธอต่างก็ติดต่อเขากันไม่ได้ หลี่เสี่ยวเมิ่งจะติดต่อเขาได้ไหมนะ?
หานซือฉีหันกลับมาตอบคำถามเพื่อคลายความสงสัย “ฉันโทรหาเธอคนนั้น จริง ๆ โทรหาเธอด้วยแต่เธอไม่รับ”
การลืมโทรศัพท์น่ะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขาอยู่แล้ว เพราะเบอร์โทรของทุก ๆ คนเขาเองก็จำได้หมดไม่เว้นแม้แต่ของหลี่เสี่ยวเมิ่ง แต่ด้วยความอิจฉาของฝูเจิ้งเจิ้ง มันเลยทำให้ตัวเธอมองข้ามความจริงที่เขาโทรหาเธอไปหมด
“คือว่า…” เธอพยายามรวบรวมความกล้าเพื่อจะพูดสิ่งที่ค้างอยู่ในหัว มันใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าจะกล้าพูดมันออกมา “พรุ่งนี้คุณช่วยไม่ไปได้ไหมคะ?”
“ทำไมล่ะ?”
“ฉันกลัวว่ามันจะทำให้ชื่อเสียงของคุณหานเสียหายน่ะค่ะ”
“แน่ใจนะว่าพูดความจริง” ชายหนุ่มถามย้ำ
ฝูเจิ้งเจิ้งหยุดนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ฉันไม่อยากให้ฝูซิงไว้ใจคุณหานมากเกินไป เพราะยังไงเขาก็เป็นลูกของฉัน”
“นี่เธอคิดจะออกไปจากที่นี่อีกแล้วเหรอ?” หานซือฉีจับทางเธอได้
“อย่างน้อย ๆ ก็หลังจบหน้าที่คนรับใช้นี่ ฉันก็คิดจะไปค่ะ” หญิงสาวพูดพร้อมกับมองสบตาเขา
“เธอจะพาฝูซิงไปไหนไม่ได้ถ้าฉันไม่อนุญาต” เขายืนยันเสียงแข็ง
อย่ามาพูดเหมือนตัวเองเป็นใหญ่นะ! แย่ที่สุด!
หญิงสาวไม่อยากจะทะเลาะอะไรกับอีกฝ่ายในเวลานี้ เธอจึงปล่อยเขากลับห้องไปโดยไม่พูดอะไรอีก
ในใจลึก ๆ ก็อยากจะถามหานซือฉีว่าเขาไปไหนมา แต่อีกใจแย้งว่าเธอไม่ควรถามเช่นนั้น สิ่งเดียวที่ควรคิดตอนนี้คือการสืบข้อมูลให้ได้มากที่สุดต่างหาก
เมื่อคิดได้ดังนั้นหญิงสาวก็รีบลุกขึ้นมาและคว้าเอาโทรศัพท์เครื่องเล็กเพื่อดูว่ามีความคืบหน้าอะไรมาจากหยางเต๋าหรือเปล่า ทันทีที่เปิดเครื่องได้ ข้อความของเขาก็ปรากฏขึ้น “เฉียวเค่อเหรินกำลังกลับไปที่เมือง B เช้านี้ และหานซือฉีก็ไปรับเธอที่สนามบินด้วยตัวเอง”
อ๋อ ที่หายหน้าหายตาไปก็คือไปรับสาวสวยนี่เอง มิน่าล่ะถึงซื้อสูทใหม่มาใส่จนหล่อเนี้ยบแบบนั้น!
ความจริงนี้ทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งเศร้าใจอย่างมาก เธอลบข้อความนั้นไปและเก็บโทรศัพท์ลงดังเดิม
ทั้ง ๆ ที่มีหลี่เสี่ยวเมิ่งที่แสนจะบริสุทธิ์อยู่แล้ว นี่ยังมีสาวสวยอย่างเฉียวเค่อเหรินมาอีก โชคดีจังเลยนะ ผู้ชายอย่างนายเนี่ย ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็มีสาว ๆ ห้อมล้อมเต็มไปหมด
ขนาดหลี่เสี่ยวเมิ่งที่ดูจะไม่มีอะไรเกินเลยกันยังจำเบอร์โทรศัพท์ได้ แล้วกับเธอคนที่ชื่อเฉียวเค่อเหรินที่ยอมลงทุนไปรับด้วยตัวเองจะขนาดไหนนะ?
เข้าหาผู้หญิงทุกคนที่ต้องการ แล้วก็ยังไม่เคยปฏิเสธสาวงามคนไหนที่เข้าหาตนเองอีก…
ยิ่งคิดมันก็ยิ่งทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น แล้วแบบนี้ตัวเธอเองเป็นอะไรในสายตาของเขากัน? แต่ยังไงอีกแค่ 1 เดือน เธอก็จะจากเมืองนี้ไปแล้ว เพราะงั้นต่อจากนี้ก็จะไม่ต้องมีอะไรยุ่งเกี่ยวกันอีก
—————————–
วันถัดมา
ร้านอาหารภายในบริษัทเว่ยหาน
ฝูเจิ้งเจิ้งและสวี่เหยียนกำลังกินอาหารด้วยกันอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่าง
“เจิ้งเจิ้ง เย็นนี้เธอว่างไหม?”
“ฉันต้องดูแลฝูซิงน่ะ” ฝูเจิ้งเจิ้งตอบขณะที่สายตาของเธอเหม่อลอยมองไปยังที่นั่งว่างเปล่าข้าง ๆ
“อยากจะพาฝูซิงมาที่ภัตตาคารเหม่ยลี่แล้วกินข้าวเย็นกับฉันไหม? พอดีฉันมีเดตกับชายคนหนึ่งที่รู้จักกันมาสักพักนึงน่ะ คนคนตนั้นอยากจะชวนฉันไปกินมื้อเย็นที่ภัตตาคารเหม่ยลี่คืนนี้…เจิ้งเจิ้ง? ฮัลโหล เธอฟังฉันอยู่หรือเปล่าน่ะ? เจิ้งเจิ้ง!” สวี่เหยียนโบกมือไปมา
เสียงที่ดังเข้ามานั้นเรียกสติฝูเจิ้งเจิ้งกลับมาได้ในที่สุด เธอกะพริบตารัว ๆ ก่อนจะหันไปมองสวี่เหยียนพร้อมพูดด้วยรอยยิ้ม “พวกฉันจะเข้าไปเป็นก้างขวางคอของเธอซะมากกว่านะ”
“ฉันต้องการคำแนะนำจากเธอนะ น้า~ เจิ้งเจิ้งคนสวย ช่วยมาเป็นเพื่อนสวี่เหยียนคนนี้หน่อยน้า~” สวี่เหยียนออดอ้อนด้วยแววตาเว้าวอน
“วันนี้ฉันรู้สึกไม่ค่อยดีซะด้วยสิ ไม่มั่นใจเลยว่าจะไปกับเธอได้”
“ฉันนึกว่าเธอจะบอกว่ากำลังอยู่ในช่วงวันนั้นของเดือนซะอีก” สวี่เหยียนหัวเราะ และทันใดนั้น เหมือนว่าเธอจะนึกอะไรออก แววตาที่มองไปยังฝูเจิ้งเจิ้งนั้นเปลี่ยนไปในทันที “เจิ้งเจิ้ง ที่เธอบอกรู้สึกไม่ค่อยดีนี่เป็นเพราะข่าวเรื่องคุณหานจะหมั้นหรือเปล่า?”
ผู้ถูกถามรีบยกมือปฏิเสธก่อนจะเอะใจอะไรบางอย่างแล้วหันไปถามสวี่เหยียนอีกที “หมั้น? เขาจะหมั้นกับใครน่ะ?”
“พระเจ้า! อย่าบอกนะว่าเธอไม่รู้ข่าวใหญ่ประจำบริษัทเราแบบนี้น่ะ? นี่เค้าคุยกันให้กระฉ่อนเลยนะเธอ” ด้วยความตกใจ สวี่เหยียนจึงเผลอพูดเสียงดังไปหน่อย และเมื่อรู้ตัวเธอก็ยกมือขึ้นปิดปากและพูดต่อด้วยเสียงที่เบาลง “เค้าว่ากันว่าคุณหานจะหมั้นกันคุณเฉียวเค่อเหรินล่ะ”
ใบหน้าของฝูเจิ้งเจิ้งซีดเผือดไปในทันที
เธอคนนั้นเป็นคู่หมั้นของหานซือฉีเองเหรอเนี่ย! ฉันรู้แค่ว่าไปรับกันถึงสนามบิน แต่ไม่ได้รู้เลยว่าที่ยอมถ่อไปรับเพราะเป็นคู่หมั้น!
สวี่เหยียนรีบขยับมานั่งข้าง ๆ ฝูเจิ้งเจิ้งพร้อมกับกุมมือของหญิงสาวไว้อย่างนุ่มนวลพลางพูดด้วยน้ำเสียงกังวล “เจิ้งเจิ้ง ฉันเดาถูกใช่หรือเปล่า? เธอตกหลุมรักคุณหานเข้าจริง ๆ แล้ว? จำได้ไหมว่าฉันบอกอะไรเธอไว้ก่อนหน้านี้?”
ฝูเจิ้งเจิ้งรีบส่ายหน้าและแสร้งยิ้มออกมา “จะเป็นอย่างนั้นไปได้ยังไงเล่า? ฉันก็แค่รู้สึกไม่ค่อยสบายเฉย ๆ เอง”
“งั้นก็ดี ฉันจะได้โล่งใจหน่อย” สวี่เหยียนถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นก็มองมายังฝูเจิ้งเจิ้งอีกครั้ง “เธอรู้อะไรไหม จริง ๆ แล้วการเกิดในครอบครัวที่มั่งมีน่ะก็ไม่ได้ถือเป็นโชคดีสำหรับทุกคนหรอกนะ เพราะพวกเขาหลายเลือกคนที่จะแต่งงานด้วยตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ ต้องกลายมาเป็นเครื่องมือให้ครอบครัวใช้ในการสานต่อความรุ่งเรืองแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้”
“เธอหมายถึงคลุมถุงชนน่ะเหรอ?”
“ประมาณนั้นแหละ เธอรู้ใช่ไหมว่าเฉียวเค่อเหรินหลงรักคุณหานมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว และเพราะว่าเธอคนนี้เป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของเทศมนตรีเฉียว เขาจึงทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้ลูกสาวของเขาได้ในสิ่งที่ต้องการ แต่ฉันไม่คิดเลยนะว่าคนอย่างคุณหานจะตกลงที่จะแต่งงานแบบนั้น ยัยสิ่งมีชีวิตไอคิวต่ำนั่นเหมาะกับคุณหานตรงไหนกัน?” สวี่เหยียนแอบเหน็บแนมอีกฝ่ายอย่างสะใจ
“นี่ไปได้ยินเรื่องพวกนี้มาจากไหนเนี่ย” ฝูเจิ้งเจิ้งถามเพื่อยืนยันที่มาของข่าวลือนี้
“ก็ตั้งแต่ที่ฉันเข้ามาที่บริษัทแห่งนี้แหละ เค้าลือกันให้แซ่ดเลย อ๋า แต่คนที่อยู่กับคุณหานในห้องทั้งวี่ทั้งวัน ไม่รู้ก็คงจะไม่แปลกหรอกมั้ง”
ได้ฟังเรื่องเหล่านี้แล้วก็ทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งไม่อยากกินข้าวต่อ เธอจึงแสร้งทำเป็นปวดท้องและขอกลับออฟฟิศไปก่อน
ตลอดทางที่เดินกลับไปนั้น เธอรู้สึกได้ชัดเจนเลยว่าทุกก้าวเดินมันหนักหน่วง และภายในหัวก็ปั่นป่วนไปหมด ถึงแม้ว่าหญิงสาวจะพยายามเตือนตัวเองตลอดว่าให้อยู่กับสิ่งที่ต้องทำเท่านั้น แต่พอมารู้แบบนี้ มันก็ยังหักห้ามใจไม่ให้คิดถึงไม่ได้ ซึ่งมันเป็นอะไรที่ทำให้เธอโกรธตัวเองเอามาก ๆ
ในขณะที่กำลังจะเปิดประตูเข้าไป เสียงที่ฟังดูทุกข์ใจของหานซือฉีก็ดังออกมาเสียก่อน “ภัตตาคารเหม่ยลี่เหรอ?”
เมื่อตอนที่ฝูเจิ้งเจิ้งออกไปหาอะไรกินเป็นมื้อกลางวัน เธอไม่คาดคิดเลยว่าหานซือฉีจะยังคงนั่งอยู่ภายในห้องนี้ตลอดจนถึงตอนนี้
เพราะงั้นแทนที่จะเข้าไป เธอจึงยืนรอหน้าประตูไปก่อน
ทางด้านหานซือฉีที่รับรู้ได้ว่าฝูเจิ้งเจิ้งอยู่หน้าประตู เขาก็รีบตอบปลายสายไป “ก็ได้” ก่อนจะวางสายและลุกขึ้นยืน
ฝูเจิ้งเจิ้งค่อย ๆ เดินเข้าออฟฟิศไปโดยไม่มองเขาและตรงไปนั่งที่โต๊ะทำงานของตนอย่างเงียบ ๆ
หานซือฉีที่ลุกเดินผ่านโต๊ะของเธอ เห็นใบหน้าสวยดูอาการไม่ดีจึงเอ่ยทัก “ป่วยหรือเปล่า?”
“ไม่ค่ะ”
“แล้วทำไมหน้าซีด?”
“น่าจะเพราะนอนไม่พอเมื่อคืนล่ะมั้งคะ” เธอแกล้งบอกไปแบบนั้นเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต
“แล้วทำไมนอนไม่พอ?”
การโดนถามย้ำเช่นนี้ทำให้หญิงสาวเริ่มรำคาญขึ้นมาเล็กน้อย “ฉันขอไม่ตอบเรื่องที่ฉันทำนอกเหนือเวลางาน 8 ชั่วโมงได้ไหมคะ?”
เขาประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย บางทีอาจจะเป็นเพราะเขาไม่ได้คิดเลยว่าเพียงแค่ทักเธอมันจะกลายเป็นการทำให้เธอรำคาญได้ขนาดนี้ เพราะงั้นเห็นทีคงต้องปล่อยไปก่อน
แต่ในขณะที่เจ้าตัวกำลังจะเดินออกจากห้องไป หานซือฉีก็หันกลับมาหาเธออีกรอบ “เย็นนี้ฉันได้รับเชิญให้ไปกินมื้อเย็นข้างนอก เพราะงั้นเธอไปรับฝูซิงแล้วก็ทำอาหารอร่อย ๆ ให้เขากินไปเลยนะ ไม่ต้องรอ”
ฝูเจิ้งเจิ้งพยักหน้าโดยที่ไม่แม้แต่จะหันมองอีกฝ่ายเนื่องจากเธอกำลังกัดริมฝีปากตนเองอยู่
ฝูซิงน่ะลูกของฉัน!
เห็นหญิงสาวไม่ตอบอะไร หานซือฉีจึงเดินออกจากออฟฟิศไปโดยไม่พูดอะไรอีก
คุยโทรศัพท์สุภาพขนาดนั้น ปลายสายต้องเป็นเฉียวเค่อเหรินแน่ ๆ!
จะออกไปกินมื้อเย็นกับเฉียวเค่อเหรินล่ะสิ!
เฉียวเค่อเหริน…เฉียวเค่อเหริน…
ชื่อนี้วนเวียนอยู่ในหัวของฝูเจิ้งเจิ้งมาตั้งแต่ช่วงบ่าย มือหนึ่งเท้าคางไว้ส่วนอีกมือก็เลื่อนนิ้วไปเรื่อยเปื่อยด้วย เธอไม่รู้เลยว่าถึงเวลาเลิกงานแล้วจนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น นั่นหมายถึงตลอดช่วงบ่ายมานั้นเธอไม่มีสติอยู่เลยแม้แต่น้อย!
เสียงโทรศัพท์ของฝูเจิ้งเจิ้งยังดังอย่างต่อเนื่อง เมื่อเห็นว่าเป็นสายโทรเข้าจากจีหมู่เซี่ยน หญิงสาวก็นึกขึ้นได้ว่ามีนัดกับเขาอยู่
“จะรีบร้อนไปไหนนะ?” หลังจากที่วางโทรศัพท์ไป ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบหยิบกระเป๋าแล้วไปยังจุดนัดพบทันที
จ้องมองไปยังอีกฟากหนึ่ง เธอก็เห็นจีหมู่เซี่ยนกำลังยืนอยู่ใต้ต้นไม้พร้อมกับถุงเสื้อผ้าของเธอ
ฝูเจิ้งเจิ้งไม่ได้พูดอะไรเมื่อเข้าไปหาเขาแล้ว เธอยื่นถุงกระดาษที่มีของอยู่ให้ พร้อมกับรับถุงของเธอคืนมาจากนั้นก็หันหน้าออกเตรียมที่จะกลับออกไป
“รอเดี๋ยว” ทันใดนั้น จีหมู่เซี่ยนก็ทักขึ้นมา
—————————————————————————————————————–
คุยกับผู้แปล
ความหึง Lv.Max
-ทีมงานผู้แปล Enjoybook-