ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 37 รสนิยมไม่พัฒนาเลยนะ
บทที่ 37 รสนิยมไม่พัฒนาเลยนะ
“มีอะไร ?” ฝูเจิ้งเจิ้งหันกลับไปด้วยความสงสัย
“กำลังคิดอะไรอยู่?”
“ก็ไม่นี่” หญิงสาวตอบกลับด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นก่อนจะหันกลับไปดังเดิมและเดินจากไป
จีหมู่เซี่ยนมองจนกระทั่งฝูเจิ้งเจิ้งลับสายตาแล้วเขาจึงเดินจากไปบ้าง
หลังจากที่ได้เสื้อของเธอคืน ฝูเจิ้งเจิ้งก็ตรงไปยังโรงเรียนอนุบาลเพื่อรับฝูซิงตามที่หานซือฉีบอกไว้
“หม่ามี๊ ข้าวเย็นวันนี้คืออะไรเหรอ?” เห็นได้ชัดเลยว่าฝูซิงอารมณ์ดีสุด ๆ สังเกตได้จากการที่เด็กคนนี้พูดไม่หยุดตลอดทาง
ฝูเจิ้งเจิ้งรู้ดีว่าที่เป็นแบบนี้ก็เพราะหานซือฉีพาฝูซิงไปส่งถึงห้องเรียนเมื่อเช้านี้แน่ ๆ ถึงเธอจะไม่ได้ไปด้วยแต่ก็เดาได้เลยว่าฝูซิงจะยืดอกอวดพ่อขนาดไหนหลังจากที่เสียหน้ายับเยินไปเมื่อวาน
“หม่ามี๊ไม่ต้องทำกับข้าวเยอะนะ ป๊ะป๋าบอกว่าคืนนี้จะไม่ได้กลับมากินข้าวที่บ้าน”
“ลูกรู้ได้ยังไงน่ะ?” ฝูเจิ้งเจิ้งที่กำลังเตรียมจะทำกับข้าวหยุดชะงักด้วยความสงสัย
“ป๊ะป๋าบอกฝูซิงไว้เมื่อเช้าว่าวันนี้ป๊ะป๋าจะไปกินข้าวนอกบ้าน แล้วก็บอกให้คอยดูหม่ามี๊ทำความสะอาดบ้านไว้ให้ดี ๆ แล้วป๊ะป๋าจะกลับมาเช็คหลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว”
นี่วางแผนไว้ตั้งแต่เช้าแล้วงั้นเหรอ?
หญิงสาวรู้สึกเสียใจเล็กน้อย แต่เมื่อตระหนักได้ว่าตนเองกำลังอารมณ์ไม่ดี เธอก็รีบเดินหายเข้าไปในห้องครัวและฝังตัวเองลงไปจดจ่อในการทำอาหารเย็นโดยที่พยายามไม่คิดถึงเรื่องอื่น
เสียงกริ่งประตูดังขึ้น ฝูซิงรีบเดินไปเปิดประตูด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ป๊ะป๋าต้องกลับมาแล้วแน่เลย”
ฝูเจิ้งเจิ้งที่ขังตัวเองอยู่กับการทำอาหารก็รีบล้างมือและเดินออกมาเพื่อจะดูว่าใคร แต่แล้วคนที่กลับมาดันเป็นเฉินเฉี่ยวหลานที่มาพร้อมกระเป๋าเดินทางเต็ม 2 มือ
ถึงแม้จะยังสงสัย แต่เธอก็เข้าไปช่วยถือกระเป๋าเหล่านั้นและถามถึงความเป็นมาไปพลาง ๆ “เกิดอะไรขึ้นคะเนี่ยป้าเฉิน? ไม่ใช่ว่าลางานไปดูแลลูกสะใภ้ที่เพิ่งคลอดลูกเหรอคะ? ทำไมถึงกลับมาเร็วจังล่ะ?”
เฉินเฉี่ยวหลานยิ้มแย้ม “ฉันมีลูกสะใภ้ซะที่ไหนล่ะคะ มีแค่ลูกสาวอย่างเดียว แถมหลานฉันก็ยังอายุตั้ง 3 ขวบแล้วด้วยนะ ฮ่า ๆๆๆ”
แผนซ้อนแผน! ตาบ้านั่นวางแผนให้ฉันมาเป็นคนรับใช้ส่วนตัวโดยหลอกว่าป้าเฉินจะกลับไปดูแลหลาน 1 เดือน ปีศาจ! ปีศาจในคราบเทพบุตรชัด ๆ!
เมื่อเห็นว่าฝูเจิ้งเจิ้งดูจะสับสน เฉินเฉี่ยวหลานก็รีบอธิบาย “ฉันแค่ไปทำความสะอาดบ้านหลังอื่นให้ท่านซือฉีเฉย ๆ เองค่ะ แล้วเมื่อบ่ายวันนี้ ท่านซือฉีก็โทรมาบอกให้ฉันกลับมาช่วยดูแลคุณฝู ฉันก็เลยต้องกลับมา”
“บ้านของคุณหานเหรอคะ? แล้วนี่ไม่ใช่บ้านของเขาเหรอ?” เธองงไปครู่หนึ่งกับข้อความที่ถามซ้ำ แต่เมื่อปะติดปะต่อเรื่องราวได้ สิ่งแรกที่โผล่เข้ามาในหัวก็คือ หานซือฉีบอกให้เฉินเฉี่ยวหลานไปทำความสะอาดบ้านหลังอื่นให้ ตั้งใจจะให้เฉียวเค่อเหรินอยู่ที่นั่นงั้นเหรอ?
เรือนหอหรือไงน่ะ?
“หม่ามี๊ ฝูซิงหิวแล้ว” เป็นอีกครั้งที่ฝูซิงเดินเข้ามาเรียกสติฝูเจิ้งเจิ้งด้วยการดึงเสื้อ
ยามที่เฉินเฉี่ยวหลานได้ยินดังนั้น เธอก็รีบวางกระเป๋าของตนแล้วปรี่เข้าห้องครัวไปในทันที “ซิงซิง เดี๋ยวคุณย่าจะรีบทำอาหารให้หนูเลยนะลูก รอแปปนึงนะ”
ฝูเจิ้งเจิ้งไม่ได้ห้ามปรามอะไรเฉินเฉี่ยวหลานไว้ เธอพาฝูซิงไปนั่งรอที่ห้องนั่งเล่นและบอกให้เขาทำการบ้านไปพลาง ๆ
“หม่ามี๊ ยังไม่รู้สึกดีขึ้นอีกเหรอ?” ฝูซิงที่เพิ่งจะหยิบเอาหนังสือออกมาจากกระเป๋าค่อย ๆ วางอุปกรณ์สำหรับทำการบ้านลงไปบนโต๊ะก่อนจะเดินไปถามผู้เป็นแม่ที่ดูจะเหม่อลอยอยู่เรื่อย ๆ “หม่ามี๊ ฝูซิงไปขอโทษเพื่อนคนนั้นแล้วก็คุณครูแล้วนะวันนี้ ไม่โกรธฟูซิงแล้วใช่ไหม? ฝูซิงจะไม่ใช้กำลังกับคนอื่นอีกแล้ว”
น้ำเสียงที่ฟังดูขอความเห็นใจของเจ้าตัวเล็กนั้นทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งต้องหลุดยิ้มออกมา เธอส่ายหน้าเบา ๆ แล้วสัมผัสไปตามแก้มนุ่ม ๆ ของอีกคนก่อนจะพูดอย่างอ่อนโยน “ถ้าฝูซิงยอมรับผิดแล้ว หม่ามี๊ก็ไม่จำเป็นต้องโกรธฝูซิงแล้ว เพราะงั้นไปทำการบ้านเถอะจ้ะ”
ได้ยินดังนั้นฝูซิงก็พยักหน้าเข้าใจแล้วรีบไปทำการบ้านของเขาเองทันที
“คุณฝูคะ เหมือนว่าโทรศัพท์ของคุณฝูที่ลืมไว้ในครัวจะดังน่ะค่ะ” เฉินเฉี่ยวหลานตะโกนเรียกเธอจากในห้องครัว
เธอรีบลุกออกจากที่นั่งไปยังห้องครัวเพื่อรับโทรศัพท์แล้วก็พบว่าปลายสายเป็นสวี่เหยียน เลยอดประหลาดใจไม่ได้และกดรับไป
“เจิ้งเจิ้ง เธอพอจะมาเป็นเพื่อนฉันเย็นนี้ได้ไหม? ฉันกังวลใจมากเลย ได้โปรดนะ น้าาา เจิ้งเจิ้งคนสวย น้าาาา”
ในตอนแรกที่รับโทรศัพท์นั้น ฝูเจิ้งเจิ้งยังงงว่าสวี่เหยียนกำลังพูดเรื่องอะไรจนกระทั่งนึกได้ถึงเรื่องที่อีกฝ่ายพูดไว้เมื่อกลางวัน ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจจะปฏิเสธแท้ ๆ แต่หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ท้ายสุดเธอก็ตอบตกลงไป “ก็ได้ ฉันจะรีบไปนะ”
“จริงเหรอ? เยี่ยมไปเลย! งั้นฉันจะรอเธอที่หน้าประตูนะ เจอกันจ้า”
หลังจากวางโทรศัพท์แล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็ขอให้เฉินเฉี่ยวหลานช่วยดูแลฝูซิงและพาเขาไปนอนหากเขาง่วง จากนั้นเธอก็รีบแต่งตัวและออกไปยังภัตตาคารเหม่ยลี่ทันที
ประมาณ 20 นาทีให้หลัง ฝูเจิ้งเจิ้งก็มาถึงหน้าประตูภัตตาคารเหม่ยลี่เรียบร้อย
“เจิ้งเจิ้ง! ทางนี้” สวี่เหยียนที่เฝ้ารอการมาของเธออยู่รีบตะโกนเรียกพร้อมกับวิ่งเข้าไปหาเธอ หญิงสาวกอดแขนฝูเจิ้งเจิ้งไว้แน่นก่อนจะพากันเดินไปพร้อมกัน
“ช้าหน่อยสิ ขอพักหายใจหน่อย โอเคนะ? เธอจะกระโตกกระตากต่อหน้าเทพบุตรของเธอไม่ได้นะ” ฝูเจิ้งเจิ้งยิ้มขณะที่มองไปยังลานจอดรถราวกับหาอะไรอยู่
“เขาเข้าไปข้างในก่อนแล้วนะ! ฉันบอกให้เขาสั่งอาหารไปก่อนเลย” สวี่เหยียนค่อย ๆ เดินช้าลงพร้อมทั้งพูดออกมาด้วยความเขินอาย
“เดี๋ยว! ดูนั่นสิเจิ้งเจิ้ง!” ทันใดนั้น สวี่เหยียนรีบกระชากฝูเจิ้งเจิ้งเข้าไปหลบหลังรถคันหนึ่งก่อนจะชี้ไปยังบางสิ่งที่ทำให้เธอตกใจ
สิ่งที่ฝูเจิ้งเจิ้งกำลังมองหานั้นคือรถของหานซือฉี ตอนแรกเธอกำลังโล่งใจว่าคงจะไม่เจอกันหรอก แต่สุดท้ายสวี่เหยียนก็ชี้ให้เธอเห็นว่ารถคันที่เธอแอบมองหานั้นกำลังเลี้ยวเข้ามาในลานจอดรถนี้อย่างช้า ๆ
รถคันนั้นหยุดลงตรงที่จอด ประตูรถทางด้านขวาเปิดออกมาก่อน และผู้ที่ออกมาจากประตูบานนั้นก็เป็นหญิงสาวผมยาวคนหนึ่ง
ผิวของเธอดูละเอียดอ่อนซึ่งมันดูจะเข้ากันดีกับทรวดทรงที่ดูล้ำค่านั้น นอกจากนี้รอยยิ้มดอกไม้แรกแย้มเองก็หวานเสียจนฝูเจิ้งเจิ้งเองยังอดหลงใหลไม่ได้
สวยอะไรขนาดนี้!
ระหว่างที่เธอกำลังหลงใหลกับรอยยิ้มของสาวสวยอยู่นั้น หานซือฉีก็ลงมาจากประตูรถอีกฝั่งหนึ่ง
สตรีผู้งดงามอันเป็นที่หมายปองของเหล่าชายหนุ่ม เดินเข้าไปคล้องแขนหานซือฉีไว้อย่างเป็นธรรมชาติ กิริยาท่าทีที่ดูอ่อนโยนน่ารักนั้นไม่ว่าจะให้มองอีกนานแค่ไหนก็เบื่อไม่ลง ใบหน้าจิ้มลิ้มมองไปที่ชายหนุ่มที่เป็นเจ้าของท่อนแขนก่อนจะกระซิบกระซาบอะไรกันบางอย่าง หานซือฉีที่ได้ยินก็เพียงพยักหน้ารับเบา ๆ แต่เพียงแค่นั้นก็ทำเอาสาวสวยคนนี้ยิ้มแก้มปริแล้ว ไม่นานนักหลังจากที่ลงจากรถ ทั้งสองก็เดินเข้าภัตตาคารหรูแห่งนี้ไปด้วยกัน
สวี่เหยียนชี้ไปยังสาวที่ฝูเจิ้งเจิ้งมองตาค้างอยู่นาน “เธอคนนั้นแหละ เฉียวเค่อเหริน”
“โห…” เธอสวยสุดๆไปเลย ฝูเจิ้งเจิ้งได้แต่นิ่งคิดในใจ
“ฉันเคยเจอมาประมาณ 2 ครั้งก่อนหน้านี้ในบริษัทเว่ยหาน แต่ดูเหมือนตอนนี้เธอจะสวยกว่าเดิมอีกนะ ความรักนี่เป็นมันเวทมนต์ชั้นยอดจริง ๆ” สวี่เหยียนถอนหายใจ เธอไม่ได้รู้สึกเลยว่าตอนนี้ฝูเจิ้งเจิ้งกำลังอารมณ์อ่อนไหวสุด ๆ
พวกเขาเหมาะสมกันขนาดนี้เลยเหรอ?
ความอิจฉาก่อตัวขึ้นลึก ๆ ในใจ บางทีฝูเจิ้งเจิ้งอาจจะยืนนิ่งอยู่ตรงนี้ไปทั้งคืนเลยก็ได้ถ้าสวี่เหยียนไม่ลากเธอให้เข้าไปยังห้องทานอาหารแบบส่วนตัวภายในภัตตาคารตรงหน้านี้
“เสี่ยวอี้เฉิง เธอคนนี้เป็นเพื่อนสนิทฉันค่ะ ฝูเจิ้งเจิ้ง” สวี่เหยียนโบกมือทักทายอย่างเขินอายให้กับชายหนุ่มที่นั่งรอเธออยู่ในห้องส่วนตัวนี้อยู่แล้ว
“สวัสดีครับ ผมชื่อเสี่ยวอี้เฉิง ยินดีที่ได้รู้จัก” ชายในชุดสูทตัวงามรีบลุกขึ้นทักทายฝูเจิ้งเจิ้งในทันที
“สวัสดีค่ะ” ฝูเจิ้งเจิ้งกล่าวทักทายกลับและแอบชำเลืองมองชายผู้นี้ตั้งแต่หัวจรดเท้า
เขาเป็นคนสูง มีน้ำมีนวลเล็กน้อยแต่ก็แอบดูแข็งแกร่งไม่น้อยเลยเหมือนกัน คิ้วหนา ๆ กับดวงตากลมโตนั้นทำให้เขาดูเป็นคนร่าเริงอย่างชัดเจน
ฝูเจิ้งเจิ้งแอบหยิกมือของสวี่เหยียนเบา ๆ แทนคำพูดว่า ‘นายคนนี้ไม่เลวนี่’
ซึ่งสวี่เหยียนที่รับรู้ได้ดังนั้นก็เหลือบมองฝูเจิ้งเจิ้งด้วยรอยยิ้มแบบเขิน ๆ
เสี่ยวอี้เฉิงส่งเมนูและใบสั่งอาหารให้ทั้งสองสาว ก่อนจะพูดด้วยท่าทีเรียบง่าย “ผมสั่งอาหารไปบ้างแล้ว พวกคุณทั้งสองคนมีอะไรอยากจะสั่งเพิ่มกันไหมครับ?”
สวี่เหยียนรีบรับสิ่งที่อีกฝ่ายส่งมาเอาไว้ แต่ฝูเจิ้งเจิ้งกลับลุกขึ้นและบอกกับทุกคน “สวี่เหยียน เธอสั่งอาหารไปก่อนเลยนะ เดี๋ยวฉันจะไปโทรศัพท์ข้างนอกหน่อย”
จากนั้นเธอก็ลุกออกจากห้องส่วนตัวนั้นเลย
เธอค่อย ๆ เดินไปบนทางเดินลาดยาวโดยแสร้งว่าโทรศัพท์อยู่ ระหว่างนั้นก็เหลือบมองห้องซ้ายทีขวาทีเพื่อจะหาใครบางคนไปด้วย
หากจำไม่ผิด เหมือนว่าหานซือฉีกับฟู่เหวินไห่จะเคยใช้ห้องส่วนตัวเลขที่ 308 เมื่อครั้งที่แล้ว…ครั้งนี้จะใช้ห้องเดิมไหมนะ?
ด้วยความคิดนี้ในหัว มันทำให้เธอเดินไปยังชั้น 3 โดยไม่รู้ตัว
จริง ๆ ตัวฝูเจิ้งเจิ้งเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตนเองถึงเป็นเช่นนี้ แต่ยิ่งเข้าใกล้ห้องที่คาดว่าหานซือฉีจะอยู่ หัวใจเธอก็เต้นแรงด้วยความตื่นเต้นมากขึ้นจนแทบไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลย
302….
304….
306….
ข้างหน้าเธอเป็นห้อง 308 แล้ว ตอนนี้หัวใจของฝูเจิ้งเจิ้งอาจจะเต้นทะลุ 150 ครั้งต่อนาทีแล้วก็ได้ ทั้ง ๆ ที่พยายามบอกตัวเองแล้วว่าให้กลับไป สวี่เหยียนกำลังต้องการเธอ แต่ในท้ายที่สุดก็เหมือนจะช้าไปหน่อย
สมองมันไม่รับคำสั่งให้ถอยกลับซะแล้วสิ…
ขณะที่ขาของเธอกำลังเดินเข้าใกล้ห้อง 308 แล้ว ประตูห้องดังกล่าวก็เปิดออกมาโดยไม่คาดคิด พร้อมกับหานซือฉีที่โผล่พรวดออกมาโดยที่ในมือของเขาก็กำลังถือโทรศัพท์แนบหูเช่นกัน ทั้งสองเผชิญหน้ากันอยู่หน้าห้องนี้ และฝูเจิ้งเจิ้งก็เป็นฝ่ายยืนตัวแข็งทื่อซะอย่างงั้น
เมื่อวางโทรศัพท์ ชายหนุ่มก็เดินตรงมาหาเธอทันที “ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้? สะกดรอยตามฉันมางั้นเหรอ?”
ได้ยินเช่นนั้นฝูเจิ้งเจิ้งที่กำลังใจเต้นแรงก็รีบชิงพูดต่อด้วยน้ำเสียงเหยียดหยามทันที “คุณหานคิดว่าตัวเองเป็นใครกันคะ? ทำไมฉันต้องสะกดรอยตามคุณด้วย? ฉัน-ฉันก็แค่ลืมว่าห้องของฉันอยู่ไหนก็เท่านั้นเอง!”
“งั้นเธอมากับใคร?” สายตาของหานซือฉีที่มองมายังเธอนั้นดูเยือกเย็นและกำลังกรุ่นโกรธในระดับหนึ่ง
ฝูเจิ้งเจิ้งรีบยืดหลังตรงและตอบกลับ “ฉันจะมากับใครมันก็ไม่เกี่ยวกับคุณหานนี่คะ ภัตตาคารแห่งนี้ไม่ใช่ของคุณสักหน่อย ทำไมฉันจะมาไม่ได้ล่ะ?”
ทั้ง ๆ ที่อยากจะทำตัวแข็งกร้าวใส่ แต่ยามที่สบตากับเขา เธอก็อดไม่ได้ที่หลบตา
“มากับผู้ชายงั้นเหรอ?”
“ใช่ค่ะ! กับผู้ชาย!” นายก็มากับผู้หญิงเหมือนกันแหละน่า!
“กลับบ้านไปซะ!” หานซือฉีจับแขนของฝูเจิ้งเจิ้งไว้พร้อมดึงเธอหมายจะให้กลับบ้านไปพร้อมกับเขา
“ปล่อยฉันนะคะ!”
“ปล่อยเธอซะ!”
สองเสียงสองโทนดังขึ้นพร้อมกัน ฝูเจิ้งเจิ้งหันมองไปยังต้นทางที่อีกเสียงดังขึ้นมาแล้วก็พบว่าเขาคือเสี่ยวอี้เฉิง
“นั่นผู้ชายที่เธอมากินข้าวด้วยงั้นเหรอ?” ซือฉีเหลือบมองไปยังเสี่ยวอี้เฉิงและแสยะยิ้ม “รสนิยมไม่พัฒนาเลยนะ”
“แล้วยังไงคะ? ฉันชอบเขา แค่นี้ก็พอแล้ว!” หญิงสาวใช้โอกาสนี้สลัดตัวออกจากหานซือฉี
“เป็นอะไรไหมครับ คุณเจิ้ง”
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ เราไปกันเถอะ” ฝูเจิ้งเจิ้งแกล้งยิ้มหวานให้เขา
หานซือฉีที่เห็นภาพนั้นก็รีบหยุดฝูเจิ้งเจิ้งไว้ด้วยการออกคำสั่งที่เย็นชา “ฝูเจิ้งเจิ้ง อย่าลืมว่าเดือนนี้เธอน่ะเป็นอะไร รีบ ๆ กลับไปแล้วดูแลลูกชายของฉันให้ดี ๆ จะดีกว่า ไม่งั้นล่ะก็…”
ฝูเจิ้งเจิ้งควงแขนเสี่ยวอี้เฉิงออกมาและส่ายหน้าเบา ๆ ทางด้านเสี่ยวอี้เฉิงก็เพียงแค่เหลือบมองหานซือฉีโดยไม่ได้พูดอะไร เขายอมตามฝูเจิ้งเจิ้งไปยังทางเข้าหน้าบันไดอย่างเงียบเชียบ
สีหน้าของหานซือฉีดูจะมืดมนลงมาก ๆ ในตอนนั้นเอง เฉียวเค่อเหรินก็เดินมาจากห้อง 308 ด้วย เธอมองมายังเขาด้วยความสงสัยก่อนจะถาม “ซือฉีคะ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า? ฉันได้ยินเสียงเอะอะหน้าห้องนี่”
“ไม่มีอะไร” หานซือฉีมองทิ้งท้ายไปยังทางเข้าบริเวณบันไดก่อนจะหันกลับเข้าห้องของตนไป
เฉียวเค่อเหรินเองก็มองไปยังทิศทางเดียวกัน แต่เธอไม่เห็นอะไร จึงได้แต่กลับเข้าห้องไปโดยที่ยังคงไว้ซึ่งความสงสัย
เมื่อฝูเจิ้งเจิ้งและเสี่ยวอี้เฉิงเดินมาถึงชั้น 2 เธอก็เป็นฝ่ายปล่อยแขนของเสี่ยวอี้เฉิงออกในทันทีและพูดเชิงขอโทษ “ต้องขอโทษจริง ๆ นะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ แต่คนคนนั้น…”
“เจิ้งเจิ้ง เธอไปไหนมาน่ะ? เธอจะออกไปโทรศัพท์โดยที่ไม่เอาโทรศัพท์ไปไม่ได้นะ! พวกเราหาตัวเธอแทบแย่เลย” สวี่เหยียนหายใจหอบหลังจากวิ่งตามหาเธอไปทั่ว
ก่อนหน้านี้เธอและเสี่ยวอี้เฉิงต่างก็นั่งรอให้ฝูเจิ้งเจิ้งกลับมาเพื่อจะได้กินอาหารเย็นด้วยกัน แต่เพราะฝูเจิ้งเจิ้งไม่ยอมกลับมาเสียที ทั้งหมดเลยกระจายกันออกตามหา และเมื่อหาฝูเจิ้งเจิ้งทั่วทั้งชั้นไม่เจอ สวี่เหยียนจึงตั้งใจจะโทรหา แต่กลับกลายเป็นว่าโทรศัพท์ของฝูเจิ้งเจิ้งนั้นอยู่ในกระเป๋าซะได้
ผู้คนส่วนใหญ่ที่มายังภัตตาคารแห่งนี้นั้นต่างเป็นผู้มั่งคั่งและทรงอิทธิพล แล้วไหนฝูเจิ้งเจิ้งจะเป็นคนสวยอีก สวี่เหยียนเลยกลัวว่าเธออาจจะตกอยู่ในอันตรายได้ ด้วยเหตุนี้เธอจึงพยายามหาตัวฝูเจิ้งเจิ้งให้เจอพร้อมกับเสี่ยวอี้เฉิง
ตอนนี้ฝูเจิ้งเจิ้งรู้แล้วว่าตนนั้นหยิบโทรศัพท์มาผิดเครื่อง ซึ่งเครื่องที่อยู่กับเธอตอนนี้คือโทรศัพท์เครื่องเล็กที่หยางเต๋าซื้อมาให้
“คนเรามันก็ลืมกันได้ คุณเจิ้งบอกว่าจะไปชั้น 1 เพื่อคุยโทรศัพท์ แต่สงสัยคงจะลืมห้องระหว่างขึ้นมา เลยไปโผล่ตั้งชั้น 3 นู่นแหน่ะ ฮ่า ๆๆ” เสี่ยวอี้เฉิงช่วยฝูเจิ้งเจิ้งอธิบาย
“จริงเหรอ เจิ้งเจิ้ง?”
เมื่อสวี่เหยียนหันมาถามเธอ ฝูเจิ้งเจิ้งก็เหลือบมองเสี่ยวอี้เฉิงซึ่งกำลังพยักหน้าให้เธอตามน้ำอยู่ เห็นได้ชัดเลยว่าเขาพยายามช่วยเธอปิดบังเรื่องที่พบเจอด้านบนไว้ ดังนั้นเธอจึงยิ้มให้เขาและพากันกลับไปยังห้องส่วนตัวพร้อม ๆ กันทั้งหมด
ตลอดเวลาที่นั่งรับประทานอาหารอยู่ในห้องนั้น ฝูเจิ้งเจิ้งไม่ค่อยพูดค่อยจาเสียเท่าไหร่ ในเมื่อเธอเห็นว่าสวี่เหยียนดูจะประทับใจเสี่ยวอี้เฉิงมาก ๆ เพราะงั้นเธอก็จะคอยเชียร์เป็นระยะ ๆ ซึ่งมันทำให้สวี่เหยียนมีความสุขสุด ๆ และพลอยทำให้การรับประทานอาหารร่วมกันครั้งนี้ เป็นที่น่าพอใจอย่างมากอีกด้วย
หลังจากที่ทานข้าวกันเสร็จแล้ว เสี่ยวอี้เฉิงชวนสองสาวไปต่อกันที่คาราโอเกะ แต่ฝูเจิ้งเจิ้งเลือกที่จะปลีกตัวออกมาก่อนด้วยเหตุผลที่ว่าเธอต้องไปดูแลลูกชายของตนแม้ว่าอีกฝ่ายจะพยายามชักชวนเธอแล้วก็ตาม
ขณะที่อยู่บนแท็กซี่ ภายในหัวของฝูเจิ้งเจิ้งนั้นถูกครอบงำไปด้วยภาพของหานซือฉีและเฉียวเค่อเหรินที่ควงแขนเดินเข้าไปในภัตตาคารเหม่ยลี่อยู่ตลอด สิ่งนี้มันทำให้เธอรู้สึกหดหู่มาพักใหญ่แล้ว
เขาจะกลับกันหรือยังนะ? หรือว่าคืนนี้จะไม่กลับ? ใช่สิ บ้านอีกหลังก็ทำความสะอาดไว้แล้วนี่ ไม่ต้องกลับมาหลังนี้ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย
ไม่เอาน่า…อย่าคิดแต่เรื่องนี้สิตัวฉัน อย่าลืมสิว่าตัวเองเข้ามาเพื่อหาว่าหานซือฉีกับบริษัทเว่ยหานมีอะไรเกี่ยวข้องกับสิ่งผิดกฎหมายหรือเปล่าก็แค่นั้นเอง ยังไงซะฉันก็ไม่ได้มาที่นี่เพื่อตกหลุมรักเขาอยู่แล้ว
ระหว่างทางที่นั่งรถอยู่นั้น ฝูเจิ้งเจิ้งก็มองไปยังแสงไฟหลากสีด้านนอกอยู่ตลอด สักพักเธอก็นึกถึงฝูซิงขึ้นมาว่าเขาจะนอนหรือยัง
ทันใดนั้น รถแท็กซี่ที่นั่งอยู่ก็เกิดหยุดขึ้นมาพร้อมกับคนขับรถที่หันมาขอโทษ “ต้องขอโทษจริง ๆ ครับคุณผู้หญิง จู่ ๆ รถผมมันก็เสีย ขยับไปไหนไม่ได้เลย”
“เอ๊ะ?” ฝูเจิ้งเจิ้งเดินลงมาจากแท็กซี่แบบงง ๆ เมื่อเธอมองไปรอบ ๆ ก็พบว่าตนเองกำลังอยู่ในที่ประหลาด ๆ เสียแล้ว ถ้าจำไม่ผิด เหมือนก่อนหน้านี้คนขับจะบอกว่ามีถนนเส้นหนึ่งที่กำลังซ่อมทางอยู่ เพราะงั้นเขาเลยต้องอ้อมมา แล้วใครจะคาดคิดว่าจู่ ๆ รถที่พาอ้อมจะมาเสียเอากลางทางแบบนี้?