ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 38 เดต
บทที่ 38 เดต?
เธอเริ่มจำได้แล้วว่าเมื่อ 6 ปีก่อน ครั้งที่เธอแอบเข้ามาในเมือง B เธอเจอที่แห่งนี้แล้วพร้อม ๆ กับเจอเหนียนซี่ แต่เมื่อครั้งนั้นที่แห่งนี้มันดูเสื่อมโทรมมาก ๆ เป็นเพียงพื้นที่อยู่อาศัยเก่า ๆ ที่ถูกขายให้กับนายทุนเพื่อเตรียมจะสร้างรีสอร์ทเท่านั้น
และรีสอร์ทที่ว่านั่นก็คือฉืออิ๋งลี่หยางแห่งนี้
ตั้งแต่ตอนนั้นเธอก็ไม่ได้เข้ามาที่เมือง B แห่งนี้อีกเลยจนกระทั่งรับภารกิจครั้งนี้
การได้กลับมาเจอบรรยากาศเดิม ๆ ที่เปลี่ยนไปมากนั้นก็ทำให้เธอแอบยิ้มอย่างขมขื่นอยู่เหมือนกัน
หากเมื่อ 6 ปีที่แล้วเธอไม่เคยมาที่นี่ ก็คงไม่รู้เลยว่าอดีตมันเคยเป็นอย่างไรมาก่อน
ความเศร้า ความอบอุ่น ความตื่นเต้น และความอาลัยอาวรณ์ของตนเองเมื่อ 6 ปีที่แล้วมันหวนกลับมาอีกครั้งเหมือนหนังเรื่องเก่าที่นำกลับมาฉายใหม่
ยามที่เงยหน้ามองป้ายไฟที่ระยิบระยับอวดโฉมแข่งกับแสงดาว ลึก ๆ ในใจของหญิงสาวกลับตรอมตรมไปด้วยความทุกข์ เธอไม่ควรจะต้องพลัดพลากกับเหนียนซี่ หากไม่มีการก่อสร้างรีสอร์ทเกิดขึ้น
ฝูเจิ้งเจิ้งเดินช้าลง ขณะที่ได้แต่ถอนหายใจกับเหตุการณ์เก่า ๆ
ปั๊ก! โอ้ย…
ทันใดนั้นเอง ชายคนหนึ่งก็วิ่งขึ้นมาจากข้างถนนและชนเธอเข้าอย่างจัง
ด้วยความที่ตัวเธอก็ไม่ได้ระวังตัวอะไรมากอยู่แล้ว มันเลยทำให้หญิงสาวเสียหลักล้มลงไปในทันที
เธอพยายามจะยันตัวขึ้นมาในขณะเดียวกันก็มองไปยังคู่กรณีที่วิ่งฉิวไปแล้วด้วย ในตอนที่ฝูเจิ้งเจิ้งจะพูดอะไรสักอย่าง ชายคนนั้นก็เพียงแค่หันกลับมามองเธอแวบหนึ่งก่อนจะวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
อะไรกันน่ะคนคนนี้…คุ้นหน้าคุ้นตาชะมัด เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลย…
*ตุ้บ!*
“อั่ก—!” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดระคนตกใจดังขึ้นมา
“โอ้ย อะไรอีก!” ตามด้วยเสียงบ่นระงมของฝูเจิ้งเจิ้งเป็นครั้งที่สอง
เพราะเธอนั้นเพิ่งจะยืนขึ้นมาได้ แต่จู่ ๆ ก็มีไอ้บ้าที่ไหนไม่รู้มาชนจนเธอเสียหลักล้มลงไปอีก คราวนี้ฝูเจิ้งเจิ้งไม่ยอมเป็นฝ่ายที่เจ็บเพียงคนเดียวแล้ว เธอยื่นแขนไปคว้าบุคคลปริศนาอยู่ที่กำลังจะวิ่งต่อไว้อย่างรวดเร็วด้วยสัญชาตญาณ และด้วยความรวดเร็วนั้นมันก็นำพามาซึ่งแรงกระชากอันมหาศาลจนผู้ที่ถูกจับนั้นเสียหลักล้มไปอีกคน
เขารีบพยุงตัวเองขึ้นมาพร้อมจะตั้งหน้าตั้งตาวิ่งต่อ แต่ไม่ทันจะได้ไปไหน ฝูเจิ้งเจิ้งที่ฟื้นตัวเร็วกว่าก็รีบเข้ามาคว้าแขนของเขาเอาไว้อีกครั้งในทันที
“ไม่มีตาหรือไง! จะรีบวิ่งระเบิดรัฐสภาเหรอ!?” หญิงสาวสบถขึ้นอย่างเหลืออด
ขณะที่จับแขนของอีกคนไว้นั้น ฝูเจิ้งเจิ้งก็เห็นว่าชายที่ชนเธอก่อนหน้านี้วิ่งขึ้นแท็กซี่ที่สี่แยกไปเรียบร้อยแล้ว และแท็กซี่คันนั้นเองก็หายลับไปภายใน 2 วินาทีเลยด้วย ด้วยภาพที่เห็นมันทำให้ชายหนุ่มที่ถูกจับแขนไว้รู้สึกหงุดหงิดตัวเองเป็นอย่างมาก เขาสะบัดมือของเธอออกแล้วหันมาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ใครจะไปรู้ว่านอกจากหมาแล้วก็ยังมีคนที่มานอนกลิ้งเกลือกอยู่กับพื้นด้วย”
ได้ยินเช่นนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็โกรธจัด “เป็นคนผิดแท้ ๆ แต่ยังกล้าปากเก่งอีกเหรอ! โห นี่ฉันก็นึกว่ามีแต่หมาที่เห่าเก่ง กลายเป็นว่าสิ่งมีชีวิตสองขาตรงหน้าฉันก็ดูจะเห่าเก่งไม่แพ้กันเลยนี่หว่า!”
ชายคนนั้นปัดเสื้อผ้าที่เปื้อนฝุ่นก่อนจะหันกลับไปเตรียมที่จะเดินออกโดยไม่สนใจจะต่อความยาวสาวความยืดกับฝูเจิ้งเจิ้งไปมากกว่านี้
แต่หญิงสาวไม่ยอม เธอรีบวิ่งตามและหยุดเขาไว้ใต้โคมไฟที่ส่องสว่าง “นายชนฉันแล้วยังมาว่าฉันอีก แล้วนี่คิดจะหนีไปโดยไม่ขอโทษเลยงั้นเหรอ?”
“เธออีกแล้วเหรอ?” ยามเมื่อแสงไฟส่องลงมาเผยใบหน้าที่อยู่ใต้เงามืดของทั้งสอง ฝั่งชายหนุ่มก็รีบคว้าแขนของฝูเจิ้งเจิ้งไว้ “บอกฉันมานะว่าที่เธอจงใจมาขวางทางฉันเพราะต้องการจะช่วยโจวปิงนั่นใช่ไหม!”
“ปล่อยฉันนะ! บีบแรงขนาดนี้กลัวผิวฉันไม่ช้ำหรือยังไง!” เมื่อเห็นแล้วว่าอีกฝ่ายคือ จีหมู่เซี่ยน แถมเขายังจับแขนเธอไว้แน่น ฝูเจิ้งเจิ้งก็หยิกเข้าที่มือเขาอย่างแรงในทันที
“โอ๊ย!” จีหมู่เซี่ยนร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด แต่มือเขาก็ไม่ได้คลายแรงบีบลงเลย และยังคงพูดต่อด้วยสีหน้าหงุดหงิด “บอกฉันมา ว่าเธอกับโจวปิงนั่นมีความสัมพันธ์กันแบบไหน?”
เขาพลาดที่จะจับตัวเป้าหมายเพียงเพราะผู้หญิงคนนี้ปรากฏตัวถึง 2 ครั้งแล้ว แบบนี้จะไม่ให้สงสัยได้ยังไง?
หากคิดตามความสามารถในการต่อสู้กับเรื่องจริงที่เธอเป็นเพียงหญิงสาวคนหนึ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ฝูเจิ้งเจิ้งไม่สามารถสู้กับเขาตรง ๆ ได้อย่างแน่นอน ดังนั้นเธอจำเป็นต้องหาโอกาสให้ตนเองสามารถเปิดช่องโหว่ได้ เป็นไปได้ก็ไม่อยากจะปะทะกันซึ่ง ๆ หน้าหรอก…
“ใครคือโจวปิง? ชายคนที่นายวิ่งไล่มาน่ะเหรอ? แล้วทำไมนายต้องวิ่งไล่เขา?”
“เธอเองก็น่าจะรู้คำตอบอยู่แล้ว รีบ ๆ บอกมาซะว่าเธอกับหมอนั่นมีความสัมพันธ์กันแบบไหน?”
ฝูเจิ้งเจิ้งเดาะลิ้นแล้วพูด “ฉันแค่เห็นหน้าผ่าน ๆ ถึงจะคลับคล้ายคลับคลาแต่ก็จำไม่ได้หรอกนะว่าใคร มาถามแบบนี้ก็นึกไม่ออกหรอก”
จีหมู่เซี่ยนค่อย ๆ คลายมือข้างที่จับแขนของอีกฝ่ายไว้ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วโชว์ภาพคน ๆ หนึ่งให้เธอดู “โจวปิง รู้จักหรือเปล่า?”
ทันทีที่ได้เห็นภาพ ฝูเจิ้งเจิ้งก็จำได้ทันทีว่าคนคนนี้คือหัวหน้ายามรักษาความปลอดภัยของบริษัทเว่ยหาน เพราะไม่กี่วันก่อน เธอยังให้เขาช่วยถือของอยู่เลย ในตอนนี้ ความสงสัยต่าง ๆ ก็เริ่มประดังเข้ามาภายในหัวเธอ
“รู้จักไหม?”
ชายตรงหน้าเธอนี้เร่งถามราวกับว่ากำลังซักทอดผู้ต้องสงสัย ซึ่งมันทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งหงุดหงิด หญิงสาวตอบออกไปอย่างไม่ลังเล “ไม่ ไม่รู้จัก!”
“จริงเหรอ?” จีหมู่เซี่ยนจ้องมองสายตาที่วอกแวกของหญิงสาว เขาจับแขนเธออีกครั้งและพูดด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม “พูดความจริง!”
“ฉันไม่รู้จักเขาจริง ๆ! ได้โปรดปล่อยฉันไปเถอะ ไม่งั้นล่ะก็ ฉันจะแจ้งตำรวจว่านายทำร้ายฉันนะ!”
จีหมู่เซี่ยนมองฝูเจิ้งเจิ้งด้วยความรังเกียจก่อนจะยอมปล่อยแขนเธอไป
อ่า แววตานั่น น่าหงุดหงิดชะมัด อย่างน้อย ๆ ฉันก็เป็นสาวงามประจำสถานีตำรวจเลยนะยะ! ถึงจะไม่ได้เลิศล้ำเหมือนดอกไม้เมืองกรุง แต่ฉันก็เปล่งประกายและห้าวหาญกว่าสาว ๆ พวกนั้นเยอะนะ มาทำหน้าทำตารังเกียจกันแบบนั้นได้ยัง!!
เธอมองเขากลับบ้างด้วยสายตาเดียวกัน ทั้ง ๆ ที่เป็นแค่ไอ้หนุ่มที่สวมเสื้อแจ็คเก็ตทั่วๆไป กับกางเกงขายาวควบคู่กับรองเท้าเก่า ๆ สีดำแท้ ๆ ชุดของนายน่ะมันทำให้ตัวเองดูน่ารังเกียจและต้อยต่ำกว่าเจ้าหล่อนอีกนะ!
แต่มันก็มีเรื่องน่าคิดอยู่….เป็นไปได้เหรอที่คนที่สามารถซื้อเสื้อผ้าราคาแพง ๆ ให้เป็นของขวัญวันเกิดแม่ตัวเองได้ กลับชอบแต่งตัวแบบนี้?
ก่อนที่เธอจะได้ด่าว่าเขาไปมากกว่านี้ ชายหนุ่มก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน “บัตรประชาชน”
“บัตรประชาชน?” ฝูเจิ้งเจิ้งสับสนก่อนจะเข้าใจในเวลาไม่นานนัก เธอแสดงสีหน้ารังเกียจหนักกว่าเดิม “นายจะเช็คบัตรประชาชนฉันงั้นเหรอ? หืม ฉันว่าคนที่ควรจะขอดูบัตรประชาชนน่ะมันฉันนะ ไม่ใช่คนที่เอะอะก็วิ่งไล่คนอื่นอยู่ทุก ๆ วันแบบนาย หรือบางทีนายอาจจะเป็นอาชญากรที่เข้าไปทำร้ายเจ้าของบ้านเพื่อชิงทรัพย์! ไม่นะ ฉันต้องแจ้งตำรวจแล้ว!”
ฝูเจิ้งเจิ้งกระโจนออกจากจุดที่ยืนอยู่อย่างว่องไวเมื่อเห็นว่าจีหมู่เซี่ยนกำลังเดินเข้ามาหมายจะชิงโทรศัพท์เธอไป จากนั้นก็ข่มขู่เขาไปว่า “ถ้านายขืนเดินเข้ามาอีกก้าวเดียวล่ะก็ ฉันจะตะโกนบอกทุกคนว่านายจะปล้นฉัน ห้ามขยับ ยื่นนิ่ง ๆ อยู่ตรงนั้นแหละ ยามของรีสอร์ทกำลังเดินลาดตระเวนอยู่ ถ้าหากนายบีบบังคับฉันล่ะก็ ไม่นานนักนายได้จมกองเลือดตัวเองตายอยู่ตรงนี้แน่!”
เมื่อเขาเห็นว่าฝูเจิ้งเจิ้งกดเบอร์โทรศัพท์ฉุกเฉินจริง ๆ แววตาที่มองไปนั้นก็โกรธจัดราวกับมีเปลวไฟกำลังลุกไหม้อยู่ภาย แต่ในเมื่อเธอขู่ถึงขนาดนั้นแล้วล่ะก็ ชายหนุ่มก็ตัดสินใจไม่เดินหน้าต่อ เขาเพียงอธิบายให้อีกฝ่ายฟังด้วยเหตุผล “พวกนั้นเป็นหนี้ฉัน แล้วไม่ยอมจ่าย”
จริง ๆ เธอก็แค่ขู่ไปเท่านั้นแหละ เพราะอย่างที่รู้ ๆ กันว่าฝูเจิ้งเจิ้งเรียกตำรวจช่วงนี้ไม่ได้ การทำงานของเธอค่อนข้างถือเป็นความลับในเมืองนี้ หากตัวตนของเธอถูกเปิดโปงล่ะก็ มีหวังได้ทำงานลำบากขึ้นแน่ ๆ
หญิงสาวเก็บโทรศัพท์ลงไปตามเดิมและมองสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้าของคนตรงหน้าอีกรอบก่อนจะพูดด้วยความไม่เชื่อ “พวกนั้นยืมเงินจากนาย? ยืมยังไงให้มีเงินแต่งตัวดูดีกว่านายได้น่ะ? เอาไปเล่นหุ้นเหรอ?”
ในใจของฝูเจิ้งเจิ้งนั้นไม่อยากจะเชื่อจริง ๆ นั่นเพราะเธอรู้อยู่แล้วว่ายามรักษาความปลอดภัยของบริษัทเว่ยหานน่ะเงินเดือนไม่น้อยอยู่แล้ว แถมยิ่งเป็นหัวหน้ายามก็ยิ่งมากขึ้นไปอีก แล้วทำไมคนอย่างเขาต้องมายืมเงินคนอื่นล่ะ?
“คนพวกนั้นน่ะ….” จีหมู่เซี่ยนหยุดไปชั่วขณะก่อนจะพูดต่อ “เสพยา”
“โอ๊ะ” ฝูเจิ้งเจิ้งเริ่มจะเชื่อในคำพูดของเขาขึ้นมาบ้างแล้ว เธอส่ายหน้าก่อนจะถอนหายใจ “สรุปแล้วก็เป็นพวกทวงหนี้สินะ ดูเหมือนอาชีพนี้จะมาแรงเป็นอันดับหนึ่งประจำปีนี้เลยนะเนี่ย ยังไงก็เถอะ เงินน่ะ เป็นสิ่งที่ดีนะว่าไหม?”
หากถ้าไม่ใช่เพราะเงินเป็นสิ่งที่ดีแล้วล่ะก็ หานซือฉีคงไม่หยิ่งผยองได้ขนาดนี้หรอกมั้ง?
จีหมู่เซี่ยนเหลือบมองไปยังรีสอร์ทใกล้ ๆ ก่อนจะพูดอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร “ไม่มีอะไรที่รวยง่ายเหมือนชีวิตผู้หญิงหรอกนะ แค่รอหน้าประตูก็ได้เงินแล้ว”
“รออะไร?”
“ให้ตาลุงที่ต้องการอีหนูมาคว้าตัวไป”
“บัดซบ! นี่นายด่าฉันอีกแล้วงั้นเหรอ!” ความอดทนของฝูเจิ้งเจิ้งขาดผึง แต่จีหมู่เซี่ยนก็ไม่รอให้เธอเข้าหาอีก เขารีบเดินออกไปจากที่นี่อย่างรวดเร็ว
หญิงสาวรีบวิ่งตามไปติด ๆ ระหว่างนั้นก็ด่าทอเขาด้วยถ้อยคำที่ฟังแล้วไม่เจริญหูอีกมากมาย ทว่าชายหนุ่มเองก็ไม่ได้สนใจเธอราวกับเขาไม่ได้ยิน เป้าหมายของเขาก็คือการเรียกแท็กซี่ตรงหน้า ฝูเจิ้งเจิ้งที่เห็นเช่นนั้นก็รีบวิ่งไปดักเพื่อให้ได้ขึ้นแท็กซี่ก่อน เธอกระโจนเข้ารถไปและล็อกประตูอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งกำชับคนขับว่าให้ขับออกไปให้เร็วที่สุดเสียเลย
เมื่อหันกลับไปมองแล้วเห็นว่าตนทำให้จีหมู่เซี่ยนหัวเสียได้ ความทุกข์เมื่อครู่ที่โดนหลอกด่าก็พลันหายไปด้วย
หลังจากที่ถึงบ้านแล้ว มันก็เป็นเวลากว่าเที่ยงคืน
มองไปยังความมืดมิดที่กลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างตรงหน้าไปอย่างมิดชิด เธอก็ค่อย ๆ เปิดประตูและปิดมันเบา ๆ ขณะที่ฝูเจิ้งเจิ้งกำลังเปลี่ยนรองเท้า หญิงสาวก็รู้สึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ปกติในบริเวณที่เธอยืนอยู่ ความหวาดระแวงเพิ่มขึ้นสูงจนเธอต้องยืนขึ้นมาใช้สายตามองดูสิ่งต่าง ๆ ในความมืดให้ดี ๆ
พลันเมื่อสายตาเริ่มปรับสภาพกับพื้นที่อับแสงเช่นนี้แล้ว เพียงแค่แสงจากดวงไฟเล็ก ๆ มันก็มากพอที่จะทำให้เธอเห็นถึงเงาดำที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากตรงหน้าเธอนัก
ฝูเจิ้งเจิ้งรับรู้ได้ทันทีว่าเจ้าของเงานี้ต้องเป็นหานซือฉีแน่ ๆ
แม้ในใจจะอยากตะโกนออกไปว่า “สนุกมากหรือไงที่แกล้งทำเป็นมาหลอกแบบนี้” แต่ปากมันก็ไม่กล้าพูดอะไร หญิงสาวแสร้งทำเป็นว่าไม่เห็นเขาและก้มหน้าก้มตาเปลี่ยนรองเท้าต่อไป
ในตอนที่เธอเตรียมจะเดินผ่านเข้าไปและขึ้นด้านบน แขนที่อยู่ในเงามืดนั้นก็คว้าแขนเธอเอาไว้ในทันที
“รู้ตัวด้วยเหรอว่าต้องกลับบ้าน?”
กลิ่นแอลกอฮอล์จาง ๆ ลอยออกมาตามเสียงที่เอ่ยถามนี้ ฝูเจิ้งเจิ้งรู้ได้ในทันทีว่าเธอกำลังจะต้องปะทะคารมกับคนเมา ดังนั้นเธอจึงรีบสลัดมือออกแล้วเดินหนีในทันที
ทว่ามือหนาก็คว้าจับแขนเธอไว้อีกครั้ง คราวนี้เขาดันร่างเล็กของหญิงสาวไปจนชิดกำแพง
“ปล่อยฉันนะคะ!”
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เห็นแววตาของเขาชัดเจนนัก แต่จากแสงน้อยนิดนั่นก็ทำให้เธอพอจะเดาได้ว่าดวงตาคู่นั้นจ้องจะกลืนเธอไปทั้งตัว หญิงสาวไม่กล้าที่จะขัดขืนเพื่อให้ตัวเองหลุดพ้น หากแต่พยายามพูดปลอบเขาให้ใจเย็นลงแทน “บนโลกนี้ไม่มีใครสามารถวางแผนเดตให้จบตรงตามเวลาได้หรอกนะคะ ใช่ไหม?”
“เดต? ใครอนุญาตให้เธอไปเดตน่ะ?” น้ำเสียงของหานซีฉีเริ่มจะรุนแรงมากขึ้นมาทีละนิดแล้ว
แบบนี้จะไม่ให้ฝูเจิ้งเจิ้งรู้ได้อย่างไรว่าหานซือฉีนั้นเปลี่ยนไป? เธอรู้สึกดีใจแบบสุด ๆ เลยพูดไปออกอย่างไม่เร่งรีบ “ฉันก็เรียนรู้มาจากคุณหานนั่นแหละค่ะ คุณหานเองก็ไปเดตมาเหมือนกันนี่ ไม่ใช่เหรอ?”
“เธอหึงฉันหรือไง?” ชายหนุ่มถามพร้อมยื่นหน้าเข้าไปใกล้
“หึงเหรอ? แหม ๆ ฉันน่ะยังไม่เคยหึงใครเลยนะคะ ปกติแล้วจะมีแต่ผู้ชายมากกว่าที่มาคอยหึงฉัน” ฝูเจิ้งเจิ้งแสร้งทำเป็นถามต่อด้วยความประหลาดใจ “โอ๊ะ คุณหานเองไม่น่าจะหึงฉันด้วยล่ะมั้งคะ? หรือว่าหึง?”
“อย่ามาท้าทายฉันนะ!” หานซือฉีที่ตอนนี้กลายเป็นอีกคนเริ่มจะหัวเสียกับคนตรงหน้า
ฝูเจิ้งเจิ้งยังคงไม่หยุด เธอแสร้งทำเป็นกลัวไปเรื่อยๆก่อนจะพูดด้วยเสียงอ้อยอิ่ง “โอ๊ะ ๆ ไม่ได้นะคะคุณหาน ถ้าหากคู่หมั้นแสนสวยและอ่อนหวานของคุณหานรู้เข้าเนี่ย ฉันต้องโดนฆ่าตายแน่ ๆ เลย ฉันน่ะ—-!?”
ไม่ทันจะได้พูดจบ ริมฝีปากนุ่มนิ่มของเธอก็รู้สึกได้ถึงความอุ่นร้อนที่เข้ามาสัมผัส รสขมของแอลกอฮอล์ก็ตามเข้ามาราวกับจะมอมเมาเธอ ฝูเจิ้งเจิ้งเข้าใจในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น และด้วยความรู้สึกขยะแขยง หญิงสาวก็ออกแรงผลักหานซือฉีออกในทันที
ชายหนุ่มราวกับรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายจะผลักตนออก คราวนี้เขาจับใบหน้าของเธอไว้ด้วยสองมือพร้อมทั้งดันร่างของตนให้ชิดร่างบางของคนตรงหน้าให้มากขึ้นกว่าเดิมอีก หญิงสาวก็พยายามดิ้นขัดขืน ทั้งสองร่างที่กำลังขยับไปมาจนถอยร่นจากกำแพงไปจนเกือบจะถึงประตูแล้ว
ทำไมคนเมาถึงมีแรงเยอะขนาดนี้ได้น่ะ!?
หญิงสาวเริ่มตระหนักแล้วว่าขืนเป็นแบบนี้ต่อไป เธอจะต้องพ่ายแพ้เขาในที่สุด
ทันใดนั้นเอง ประตูห้องห้องหนึ่งก็เปิดออกมา ทั้งหานซือฉีและฝูเจิ้งเจิ้งที่กำลังดิ้นไปมาอยู่นั้นต่างก็หยุดนิ่งไปพร้อม ๆ กัน และเป็นเธอที่ตกอยู่ในอ้อมกอดของเขา
เฉินเฉี่ยวหลานผู้เดินออกมาจากห้องนั้นถามด้วยน้ำเสียงลังเล “คุณเจิ้งคะ? กลับมาแล้วเหรอ? ท่านซือฉี?”
“ย่าเฉิน จะไปไหนน่ะ?” ฝูซิงที่น่าจะตื่นพอดีเดินตามออกมาด้วยเสียงงัวเงีย
“กลับไปนอนเถอะจ้ะซิงซิง ไม่งั้นเดี๋ยวจะเป็นหวัดเอานะ ย่าแค่มาดูข้างนอกเฉย ๆ เผื่อว่าหม่ามี๊กับป๊ะป๋าของฝูซิงจะกลับมาแล้ว” ไม่พูดเปล่า เฉินเฉี่ยวหลานค่อย ๆ เดินออกมาจริง ๆ ฟังได้จากเสียงฝีเท้าของเธอที่ค่อย ๆ เข้ามาใกล้จุดที่ทั้งสองอยู่มากขึ้นเรื่อย ๆ
ฝูเจิ้งเจิ้งทั้งเป็นกังวลและเขินอาย เธออยากจะผลักหานซือฉีออกไปไกล ๆ อยู่แต่ก็กลัวว่าเฉินเฉี่ยวหลานจะได้ยินแล้วเข้ามาเห็นภาพบัดสีแบบนี้ แถมหานซือฉีเองก็ดูจะไม่ยอมปล่อยเธอไปง่าย ๆ แน่ เขาท้าทายเธอให้ทำในสิ่งที่คิดราวกับว่าอยากให้เฉินเฉี่ยวหลานมาเห็นภาพนี้เสียเหลือเกิน
ในการที่จะพยายามทำอะไรให้เงียบที่สุด ฝูเจิ้งเจิ้งค่อย ๆ ขยับไปทางซ้ายทีละนิด ซึ่งหานซือฉีก็ขยับตามเธอไปด้วยก่อนที่ทั้งสองร่างจะหายไปในมุมที่อับแสงไฟ
“ย่าเฉิน ป๊ะป๋ากับหม่ามี๊ฝูซิงกลับมาหรือยัง? ป๊ะป๋า– หม่ามี๊—” เสียงของฝูซิงตะโกนออกมาอีก เขาอยู่ในห้องของเฉินเฉี่ยวหลาน และตอนนี้ดูเหมือนจะกำลังกระโดดอยู่
หญิงสาวรู้ดีถึงพฤติกรรมของลูกชายตนที่ชอบกระโดดไปมาบนเตียง ทุก ๆ คืนฝูซิงจะต้องกระโดดแบบนี้ไม่ว่าเขาจะมีความสุขหรือกำลังทุกข์ใจอยู่ก็ตาม
เมื่อไม่ได้ยินเสียงอะไรตอบกลับมา เฉินเฉี่ยวหลานก็บ่นกับตนเองเบา ๆ “นี่ฉันเริ่มประสาทหลอนแล้วเหรอเนี่ย เห็นทีจะแก่เกินงานแล้วล่ะมั้ง หนุ่มสาวสองคนนั้นคงไม่กลับบ้านกันมากลางดึกแบบนี้หรอก”
บางทีอาจจะเป็นเพราะเฉินเฉี่ยวหลานนั้นเหลือบไปเห็นฝูซิงที่ยืนอยู่ในห้องโดยไม่สวมเสื้อคลุมก็ได้ ที่ทำให้เธอรีบกลับไปภายในห้องเพื่อปลอบเจ้าลิงซนนั้นให้กลับไปนอนดี ๆ “โอ้ ซิงซิงลูก หนูต้องรีบเข้านอนนะ ถ้าหากนอนน้อยแล้วป่วย ย่าจะพาหนูไปฉีดยาจริง ๆ นะ”
บ้านหลังใหญ่หลังนี้เงียบสงบลงแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็ค่อย ๆ ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทว่าเมื่อเห็นว่าหานซือฉีนั้นแอบโอบกอดเธอไว้อยู่ หญิงสาวก็เตรียมจะผละออกจากเขา แต่ในใจก็กลัวว่าจะปลุกให้เฉินเฉี่ยวหลานตื่นอีกรอบ ดังนั้นเธอจึงพยายามดิ้นรนออกไปด้วยการเคลื่อนไหวที่ส่งเสียงเบาที่สุด
“มีรักใหม่แล้วก็ลืมรักเก่าเลยหรือไง?” หานซือฉีไม่ยอมที่จะปล่อยให้เธอไป
—————————————————————————————————–
คุยกับผู้แปล
เมาเพราะใครไม่รู้ แต่จูบนี้เพื่อเธอจริง ๆ
-ทีมงานผู้แปล Enjoybook-