ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 39 ช่วยทำตัวเองให้ดูสง่างามด้วยค่ะ!
บทที่ 39 ช่วยทำตัวเองให้ดูสง่างามด้วยค่ะ!
“ฮึ่ม! คุณหานไม่ใช่เหนียนซี่ เพราะงั้นคุณหานจะมาเป็นของเก่าของฉันได้ยังไงกันคะ?” ฝูเจิ้งเจิ้งถามอย่างเย็นชา
จริง ๆ เธอเองก็ไม่ได้อยากจะขัดขืนการกอดของเขา หากแต่พอคิดถึงเหล่าสาว ๆ ที่อาจจะเคยโดนเขากอดแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็รู้สึกไม่อยากจะเอาตนเองไปคลุกคลีกับน้ำหอมสาวอื่นให้ทับรอย
“อย่าติดต่อกับหมอนั่นอีก!”
“นี่มันไม่ใช่เรื่องของคุณหานนะคะ!” หญิงสาวเถียงไปก่อน เพราะเธอไม่มั่นใจว่าหานซือฉีหมายถึงใครจากนั้นก็ทิ้งท้ายด้วยการทำปากยื่น ๆ แบบที่ทำบ่อย ๆ อยู่แล้ว
“ก็บอกว่าอย่ามาท้าทายฉัน!”
หานซือฉีเรื่องออกแรงจับเธออีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้มันทำให้หญิงสาวต้องหลุดร้องเพราะความเจ็บปวดออกมา ฝูเจิ้งเจิ้งรีบจับมือที่ออกแรงบีบของเขาไว้และพูดด้วยเสียงสั่นคลอน “ปล่อยฉันนะ! คุณหานจะไปเดตกับผู้หญิงคนไหนก็ได้ แล้วทำไมฉันจะทำไม่ได้? จริง ๆ แล้วสำหรับคุณหานฉันเป็นใครกันแน่! แล้วคุณคิดว่าตัวเองเป็นอะไรกับฉันกันแน่? ทำไมถึงอยากจะเข้ามาขัดในเรื่องของฉันซะทุกเรื่อง? ถ้าหากไม่ใช่ว่าฝูซิงซื้อคุณมาเป็นป๊ะป๋า บางทีพวกเราเองก็อาจจะไม่รู้จักกันเลยก็ได้!”
ถ้อยคำเหล่านี้ดูจะกระทบจิตใจหานซือฉีในระดับหนึ่งเหมือนกัน มันทำให้เขาคลายแรงที่จับแขนเธอไว้ออก ซึ่งทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งได้โอกาสผลักเขาออกไปและคร่ำครวญก่อนจะวิ่งขึ้นชั้นบนไปอย่างรวดเร็ว หลังจากเปิดประตูและเปิดไฟแล้ว เธอก็หันไปปิดประตูช้า ๆ และคอยระวังตัวหากอีกฝ่ายจะตามมา ทว่าเขากลับไม่ได้ตามเธอมาแต่อย่างใด มันเลยทำให้ในใจของหญิงสาวรู้สึกหดหู่ลงมา
ประตูปิดลง ฝูเจิ้งเจิ้งทิ้งตัวลงไปบนเตียงโดยไม่ได้อาบน้ำ
ที่ริมฝีปากของตนตอนนี้ กลิ่นของเขายังคงติดอยู่อย่างชัดเจน แต่ทันใดนั้นภาพของเขาที่จูบกับหญิงอื่นมันก็ปรากฏขึ้นมาในหัว และด้วยภาพเหล่านี้ เธอเอง…ก็เริ่มรู้สึกหึงขึ้นมาแล้ว…
ไม่ได้นะฝูเจิ้งเจิ้ง เย็นไว้!
แต่ถึงเธอจะบอกตนเองว่าให้เย็นไว้อีกสักร้อยสักพันรอบ หัวใจของเธอก็ไม่สามารถถูกควบคุมโดยสมองได้เสียที ทุกครั้งที่เป็นเช่นนี้ ท้ายสุดแล้วเธอก็จะเป็นฝ่ายดำดิ่งลงไปสู่ห้วงลึกที่ไร้ก้นตลอด
ให้ตายเถอะ….
เฮ้อ…
ก่อนหน้านี้ที่พวกเราเริ่มสนิทกันบ้าง…ก่อนที่ฉันจะรู้เรื่องคู่หมั้นนั่น พวกเราทั้งสองคนต่างก็ยังไม่มีใครกันทั้งคู่ ทั้ง ๆ ที่ฉันยังมีโอกาสแม้จะนิดหน่อยก็ยังถือว่ามีแท้ ๆ….
ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว… แบบนี้จะให้ฉันแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างได้เหรอ?
ฉันไม่ได้รักนายหานซือฉี ไม่ได้รักอะไรในตัวนายทั้งนั้น ช่วงหนึ่งฉันก็แค่รู้สึกว่านายเหมือนเหนียนซี่ แต่ก็แค่นั้น ฉันไม่ได้รักนาย ได้ยินไหมฉันไม่ได้รักนาย!!
ฝูเจิ้งเจิ้งยังคงนอนย้ำเตือนตัวเองอยู่อีกพักใหญ่ ๆ และอีกครั้งหนึ่งที่เธอพยายามบอกให้หัวใจเลิกหวั่นไหวกับเรื่องของอีกฝ่าย ฉันไม่ได้มาเพื่อตกหลุมรักเขานะ ฉันมาเพื่อสืบคดี…
สืบคดี….
ค้ายาเสพติด…
โจวปิง…
หัวหน้ายาม….
เอ๊ะ? นี่มันก็เบาะแสไม่ใช่เหรอ?
ทันใดนั้น หญิงสาวก็ลุกขึ้นมานั่งทันที
การที่เธอได้รับมอบหมายให้มาที่นี่ก็เพราะว่ามีข่าวลือเรื่องพนักงานบริษัทเว่ยหานนั่นอาจจะเกี่ยวพันกับคดียาเสพติด ทางสถานีตำรวจเลยส่งเธอมาคอยจับตาดูหานซือฉีไว้และทำงานร่วมกับหยางเต๋า แต่ตลอดมาเธอไม่ได้เบาะแสอะไรเลย จึงสรุปไปว่าบริษัทเว่ยหานและหานซือฉีเป็นผู้บริสุทธิ์
บางที่นี่อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนก็ได้! เบาะแสของโจวปิงนี้สำคัญมากเลยทีเดียว!
คิดได้ดังนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็หยิบโทรศัพท์เครื่องเล็กขึ้นมาแล้วส่งข้อความให้หยางเต๋าเตรียมสืบหาข้อมูลเรื่องโจวปิงทันที
หลังจากที่ส่งข้อความไปแล้ว หัวใจของเธอก็หนักอึ้งอีกครั้ง เธอย้ำเตือนตัวเองว่าต้องทำการหาเบาะแสให้คดียาเสพติดนี้ให้เสร็จก่อน ห้ามโดนตัวแปรอื่นเข้ามาทำให้สับสน จะต้องไม่ให้อารมณ์มามีอิทธิพลเหนืองานที่ได้รับมอบหมายไม่ได้เด็ดขาด
เมื่อส่งข้อความเสร็จ หญิงสาวก็ยืดแขนอย่างผ่อนคลายและเตรียมจะไปอาบน้ำ แต่หน้าจอโทรศัพท์ที่เพิ่งส่งข้อความไปก็สว่างแว้บขึ้นมาเสียก่อน เมื่อหยิบมันมาดูก็พบว่าหยางเต๋าส่งข้อความกลับมาแล้ว “เจิ้งเจิ้ง เธอยังไม่นอนอีกเหรอ?”
ฝูเจิ้งเจิ้งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบไป “ฉันกำลังจะไปนอน ทำไมรุ่นพี่ยังไม่นอนล่ะคะ?”
แต่ก่อนที่จะได้ส่ง ฝูเจิ้งเจิ้งก็ลบคำว่า “ทำไมรุ่นพี่ยังไม่นอนล่ะคะ?” ออกแล้วค่อยส่งไป
“ฉันนอนไม่หลับเลย เพราะมันแต่คิดถึงเธอเจิ้งเจิ้ง”
เจ้าของชื่อในท้ายประโยคอย่างตัวเธอเองถึงกับช็อกไปเลย และเพราะแบบนี้กว่าข้อความตอบกลับจะถูกส่งไปใหม่มันจึงใช้เวลาอีกพักใหญ่ ๆ “รีบนอนได้แล้วค่ะ ฉันเองก็จะไปนอนเหมือนกัน”
สิ้นสุดการสนทนา ฝูเจิ้งเจิ้งก็ลบข้อความทุกอย่างและวางโทรศัพท์ไว้ไกล ๆ จากนั้นก็คว้าชุดนอนแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป
———————————————
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากที่พาฝูซิงไปส่งโรงเรียนอนุบาลเรียบร้อยแล้ว ฝูเจิ้งเจิงก็ตรงไปยังแผนกรักษาความปลอดภัยของบริษัทก่อนที่จะเข้าไปยังออฟฟิศของตน สภาพของเธอในตอนนี้มองจากไกล ๆ ก็รู้ว่านอนไม่พอ เมื่อไปถึงที่นั่น เธอก็พบว่าที่นั่นมีเพียงยามรักษาความปลอดภัยอยู่ไม่กี่คนกำลังกินซาลาเปากันอยู่ และท่ามกลางพวกเขาไม่มีโจวปิงอยู่ด้วย
“อ้าว คุณฝู มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ?” ยามรักษาความปลอดภัยหวางรีบวางซาลาเปาในมือลงทันทีเมื่อเห็นฝูเจิ้งเจิ้ง
“หัวหน้ายามโจวไม่มาเหรอคะวันนี้?”
หวางส่ายหน้า “ไม่มาครับ เอาจริง ๆ ผมเองก็ไม่เห็นเขามา 2 วันแล้วด้วย บางทีอาจจะติดธุระส่วนตัวอยู่ ถ้ายังไง หากคุณฝูมีอะไรให้ช่วยก็บอกพวกเราได้นะครับ”
“ไม่มา 2 วันแล้วเหรอ…เขายังไม่ได้ลาออกใช่ไหมคะ?” ฝูเจิ้งเจิ้งถามต่อ
หวางส่ายหน้าอีกครั้ง “อันนี้ผมไม่ทราบเหมือนกันครับ”
“วันนี้เขาจะมาไหม?”
“ไม่ทราบครับ”
ฝูเจิ้งเจิ้งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น “พอดีฉันอยากจะให้หัวหน้าโจวช่วยอะไรหน่อยน่ะค่ะ ถ้าหากเขามาก่อนเวลาเลิกงาน ช่วยบอกให้เขาไปหาฉันที่ออฟฟิศทีนะคะ”
ระหว่างทางที่เดินกลับไปยังออฟฟิศ ฝูเจิ้งเจิ้งก็ยังคงคิดถึงเรื่องของโจวปิงมาตลอด เธอหวังว่าเขาจะมาทำงานวันนี้ เพื่อเธอเองก็จะได้ทำงานหลักเธอวันนี้เหมือนกัน
เธอแอบหยิบโทรศัพท์เครื่องเล็กขึ้นมา น่าแปลกที่วันนี้ไม่มีข้อความสั้น ๆ มาจากหยางเต๋า แต่ฝูเจิ้งเจิ้งก็ไม่ได้ติดใจอะไรมากนัก เธอรีบส่งข้อความไปบอกหยางเต๋าเกี่ยวกับเรื่องที่โจวปิงไม่มาทำงาน 2 วันแล้วไปก่อน
เมื่อพิมพ์เสร็จเธอก็เก็บโทรศัพท์เครื่องเล็กนั้นลงไปดังเดิมและเริ่มทำความสะอาดโต๊ะทำงานของตน หลังจากที่เหลือบไปเห็นกองเอกสารที่วางเรียงรายซึ่งเป็นผลมาจากที่เธอไปช่วยสวี่เหยียนจัดเรียงไว้เมื่อวาน มันก็ทำให้หญิงสาวนึกอะไรบางอย่างได้…สวี่เหยียนยังไม่มาทำงานเลยนี่นา
เธอป่วยหรือเปล่านะ? ปกติก็เป็นคนสู้งานและตั้งใจทำงานแท้ ๆ แถมยังไม่เคยมาทำงานสายและชิ่งออกก่อนเวลาเลิกงานด้วย เมื่อคิดได้ดังนี้ ฝูเจิ้งเจิ้งก็ตัดสินใจโทรไปหาสวี่เหยียนทันที
เสียงสัญญาณดังวนนานจนสุดท้ายก็ตัดไป สวี่เหยียนไม่ได้รับโทรศัพท์ สิ่งนี้ทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งเริ่มจะกังวลขึ้นมานิด ๆ แล้ว เธอกดโทรกลับไปใหม่อีก 3 ครั้ง และในครั้งที่ 3 สวี่เหยียนก็รับสายด้วยน้ำเสียงงัวเงีย “ฮาลโหลล เจิ้งเจิ้ง”
“สวี่เหยียน เธอป่วยเหรอ?”
“ป่าวนี่นา ฮ้าว~~”
“เปล่า? แล้วทำไมเธอยังไม่มาทำงานอีก? นี่มันเกิน 8 โมงแล้วนะ!”
“ห้ะ? กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด—–” เสียงกรีดร้องถูกตัดไปกลางคันด้วยการวางสาย
ฝูเจิ้งเจิ้งเข้าใจแล้วว่าทำไมอีกฝ่ายถึงยังไม่มาทำงาน…หลับเพลินนี่เอง
เธอยักไหล่ก่อนจะลองไปหาอะไรที่พอจะทำได้เพื่อช่วยสวี่เหยียนไว้ อย่างที่ทุกคนรู้ว่าบริษัทเว่ยหานน่ะ หากมาสายล่ะก็ จะไม่โดนหักแค่เงินเดือน แต่รวมไปถึงโบนัสเองก็จะถูกหักด้วย ไม่สนด้วยว่าคนคนนั้นจะมีเหตุผลอะไรมาพูดก็ตาม
หลังจากที่วางโทรศัพท์ไปแล้ว สายโทรเข้าอีกสายหนึ่งก็ดังขึ้นมาติด ๆ
ครั้งนี้มาจากหานซือฉี
หญิงสาวเตรียมจะกดรับแล้วในทันที แต่ก็ตัดสินใจรอก่อน เธอยืนดูโทรศัพท์ตนเองดังอยู่อย่างนั้นอีกพักใหญ่ ๆ จนท้ายสุดจึงรับสายนั้นเสียที
“เธออยู่ไหน?” ปลายสายเอ่ยถามด้วยเสียงแข็งกร้าว
“ในออฟฟิศค่ะ”
“มาที่ร้านซุปหลิวฟู่ซะ”
“ฉันทานข้าวเช้าแล้วค่ะ”
เธอรู้จักร้านนั้น เพราะฝูซิงชอบมากินซุปวุ้นเส้นกับเกี๊ยวน้ำที่ร้านนี้มากที่สุด แถมเขายังเคยขอให้หานซือฉีพามาที่ร้านนี้ถึงสองครั้งแล้วด้วย นอกจากนั้นเธอยังรู้มาอีกว่าหานซือฉีนั้นไม่ได้ชอบกินซุปขนาดนั้น ไหนจะร้านที่ว่าก็ไม่ได้เลิศหรูเหมาะสมกับคนอย่างเขาอีก…ทำไมจู่ ๆ ไปโผล่อยู่ร้านแบบนั้นได้กันนะ
“ฉันไม่ได้บอกให้เธอมากินข้าวเช้า ฉันจะให้เธอมาจ่ายเงิน”
หานซือฉีพูดต่อด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ซึ่งมันทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งหงุดหงิดขึ้นมานิดหน่อย
ขอโทษที่เข้าใจผิดไปเองก็แล้วกัน!
“ในใจคุณหานไม่คิดจะพกเงินสดติดตัวไปทั้ง ๆ ที่รู้ว่าจะไปหาข้าวเช้ากินหน่อยเหรอคะ? ฉันกำลังทำงานอยู่ ไม่มีเวลาไปหรอก”
“งั้นในเมื่อเป็นเวลางาน เลขารองประธานมีสิทธิ์อะไรที่จะมาขัดคำสั่งรองประธานกันน่ะ?” น้ำเสียงปลายสายใช้อำนาจข่มขู่ชัดเจน
อุ่ก บ้าเอ๊ย นี่ฉันตกม้าตายด้วยตัวเองอีกแล้ว!
ฝูเจิ้งเจิ้งวางโทรศัพท์ไปด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง อันที่จริงเธอยังไม่อยากจะเห็นหน้าเขาสักเท่าไหร่ แต่ทำไงได้ ดันมาเป็นลูกน้องของเขาเนี่ยสิ
ขณะที่เธอกำลังหยิบกระเป๋าถือของตนและเตรียมจะออกไปจ่ายเงินนั้นเอง ภาพของสวี่เหยียนก็ลอยเข้ามาในหัว ทันใดนั้นความคิดบางอย่างก็เฉิดฉายขึ้นมา ฝูเจิ้งเจิ้งรีบโทรไปหาสวี่เหยียนและขอให้อีกฝ่ายช่วยไปจ่ายค่าอาหารเช้าของหานซือฉีที่ร้านซุปหลิวฟู่แทนเธอ จากนั้นก็ชี้ทางสว่างให้แก่สวี่เหยียนว่าให้นางเอาเรื่องที่ต้องไปจ่ายค่าอาหารให้หานซือฉีนี้มาเป็นข้ออ้างในการเข้างานสายซะ
ถ้าไม่ได้ลงชื่อเข้างานเพราะติดธุระที่ข้องเกี่ยวกับบริษัทล่ะก็ ยังไงก็ไม่โดนหักเงินอยู่แล้ว
ด้วยวิธีนี้ สวี่เหยียนก็จะสามารถสลัดตัวเองออกจากปัญหาได้ แถมเธอยังสามารถเลี่ยงที่จะเจอหน้าหานซือฉีตั้งแต่เช้าได้ด้วย หลังจากที่วางโทรศัพท์ ฝูเจิ้งเจิ้งก็รู้สึกมีความสุขสุด ๆ เธอเดินฮัมเพลงไปเรื่อยขณะไปหยิบนู่นหยิบนี่ ความสุขมันบดบังตาของเธอจนไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าหมินจงจู่เดินเข้ามาในออฟฟิศแล้ว
หมินจงจู่เดินเข้าไปเคาะหน้าผากของฝูเจิ้งเจิ้งเบา ๆ ก่อนจะถามด้วยความสงสัย “ทำไมวันนี้เธอดูมีความสุขจัง หนูเจิ้ง?”
หญิงสาวตกใจ แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นหมินจงจู่ เธอก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “เพราะว่าอากาศดีน่ะค่ะ เอ้อ ผู้จัดการหมินคะ คุณหานยังไม่มานะคะ”
“เพราะรู้แหละว่าเขายังไม่มา ฉันถึงได้มาที่นี่ พอดีว่าฉันดันไปทำชาในห้องชาหกใส่กางเกง ครั้นจะให้กลับบ้านไปเปลี่ยนก็เสียเวลา นี่เลยว่าจะมาขอยืมกางเกงของซือฉีก่อนน่ะ” เขาชี้นิ้วไปทางห้องส่วนตัวของหานซือฉี
เธอเองก็พอจะรู้มาบ้างว่าภายในนั้นมีเสื้อผ้าสำรองถูกเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้า แล้วยังรู้ด้วยว่าความสัมพันธ์ของหมินจงจู่และหานซือฉีเป็นอย่างไรกัน ดังนั้นนี่จึงไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอะไร
เมื่อเห็นแล้วว่าอีกฝ่ายเข้าไปแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็ได้ไอเดียใหม่อีก เธอแสร้งทำเป็นพยายามจะย้ายโต๊ะทำงานของตน
ชายหนุ่มที่เปลี่ยนกางเกงเสร็จแล้วออกมาเจอภาพดังกล่าวก็ยืนมองด้วยความสงสัย “หนูเจิ้ง กำลังทำอะไรอยู่น่ะ?”
“อ๊ะ พอดีฉันอยากจะขยับโต๊ะให้มันทำงานสะดวกขึ้นน่ะค่ะ”
พอรู้เหตุผลเธอแล้ว หมินจงจู่ก็เดินเข้าไปจับโต๊ะไว้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงใจดี “โอ้ ถ้างั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้ชายเถอะ จะให้ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ มาทำอะไรแบบนี้ได้ยังไงกัน? ถ้าครั้งหน้าอยากจะย้ายโต๊ะอีกก็เรียกยามมาช่วยก็ได้นะ”
หญิงสาวปากเหงื่อของตนและพูดอย่างเขินอาย “จริง ๆ ก็ไปขอแล้วน่ะค่ะ แหะ ๆ ฉันไปคุยกับหัวหน้าโจวไว้ว่าให้ช่วยย้ายโต๊ะหน่อย แต่ฉันยังไม่เห็นเขาเลย เพราะนอกจากหัวหน้าโจวแล้ว กับคนอื่นฉันก็ไม่คุ้นเคยเท่าไหร่ จะเรียกว่าเกรงใจเลยไม่กล้าขอคนอื่นก็ได้”
“โจวปิงงั้นเหรอ? นี่ถ้าเธอไม่พูดถึงเขา ฉันเองก็แทบจะลืมไปแล้วนะว่าเขาไม่มาทำงาน 2 วันแล้ว หายไปไม่บอกไม่กล่าวด้วย ถ้าวันนี้เจอเขาล่ะก็ ฉันคงต้องไล่ออกแล้วล่ะ” หมินจงจู่เคาะไปที่โต๊ะก่อนจะพูดต่อ “อย่าเพิ่งขยับไปไหนนะ เดี๋ยวฉันไปขอแรงยามมาช่วยย้ายโต๊ะให้”
“ขอบคุณค่ะผู้จัดการหมิน คุณนี่ช่างเป็นคนที่มีจิตใจโอบอ้อมอารีจริง ๆ เหมือนกับคุณหลิงหลงเลย” ระหว่างที่กำลังเชยชมหมินจงจู่นั้น ฝูเจิ้งเจิ้งก็คิดถึงเรื่องโจวปิงที่หายตัวไปด้วย
ครึ่งชั่วโมงต่อมา หานซือฉีก็กลับมายังออฟฟิศเสียที
ขณะที่ฝูเจิ้งเจิ้งกำลังชงชาให้เขา เธอก็แอบเหลือบมองเขาไปด้วย น่าประหลาดใจที่วันนี้เขาดูจะมีสีหน้าหมองมัวตั้งแต่เช้าเลย ทำหน้าอย่างกับไปเป็นหนี้ใครไว้หลายล้านเสียอย่างนั้นแหละ
เธอทำเหมือนปกติทุกอย่าง เมื่อชงชาเสร็จแล้วก็เดินเอาชาไปเสิร์ฟเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คุณหาน ชาค่ะ”
เพื่อชดเชยในสิ่งที่สวี่เหยียนทำให้เช้านี้ ดังนั้นเธอจะสุภาพกับเขาสักวันก็ได้
“ทำไมเธอถึงให้สวี่เหยียนไปจ่ายเงินให้ฉัน?” แทนที่จะดื่มชา หานซือฉีกับเงยหน้ามาถามเสียอย่างนั้น
“ออฟฟิศมันสกปรกน่ะค่ะ ฉันเลยอยากจะทำความสะอาดก่อนที่คุณหานจะมาถึง เพราะงั้นก็เลยขอให้สวี่เหยียนไปแทน ยังไงซะเธอก็ว่าง ๆ อยู่แล้ว มีอะไรหรือเปล่าคะ? สวี่เหยียนเองก็ไม่ได้พกเงินไปเหรอ?” หญิงสาวแกล้งตีหน้าซื่อ
หานซือฉีค่อนข้างมั่นใจ เขาคิดผิดว่าเธอนั้นไม่ฉลาด เพราะว่าจริง ๆ แล้วเธอน่ะ ฉลาดเป็นกรดเลยด้วยซ้ำ
“เธอจงใจไม่ไปล่ะสิ!” หานซือฉีกัดฟันพูด
ฝูเจิ้งเจิ้งแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง “คุณหานคะ ฉันกิน อยู่แล้วก็หลับนอนที่บ้านคุณหานตลอด จะให้ฉันกล้าแสดงท่าทีขัดขืนได้ยังไงกัน?”
หานซือฉีคว้าแขนของฝูเจิ้งเจิ้งไว้และดึงเธอให้เซเข้ามาหาตัวเขา ทว่าฝูเจิ้งเจิ้งนั้นเตรียมตัวไว้อยู่แล้ว ดังนั้นเธอจึงจับโต๊ะไว้ด้วยมือข้างหนึ่งเพื่อไม่ให้ตนเองเสียศูนย์ก่อนจะเขี่ยมือของอีกคนออกจากแขนไป
ชายหนุ่มลุกขึ้นทันที เขาทำท่าทีเหมือนจะเดินออกไป แต่แล้วร่างนั้นก็พลิกกลับและผลักเธอให้ถอยเข้าไปจนติดโต๊ะที่จับไว้แทน
เมื่อรู้สึกได้ถึงอันตราย ฝูเจิ้งเจิ้งก็ถอยตัวเองออกแบบสุดตัวแต่เพราะโต๊ะที่อยู่ติดด้านหลังเลย เธอจึงต้องใช้มือหนึ่งดันแผงอกของอีกฝ่ายไว้และย้ำเตือนเขาด้วยเสียงดัง “คุณหานคะ ที่นี่มันออฟฟิศนะคะ ช่วยประพฤติตัวให้อยู่ในความสง่างามด้วยค่ะ!”
เขาเริ่มรู้สึกหงุดหงิดกับแม่สาวตรงหน้าแล้ว ดังนั้นจึงตอบกลับไปอย่างวางอำนาจ “ที่นี่มันออฟฟิศของฉัน ฉันจะทำอะไรก็ได้ตามที่ฉันต้องการ?”
“คุณไม่กล้าทำหรอกค่ะ!” หญิงสาวหลุดปากท้าทายออกไป
“หึ…คิดว่าไม่กล้าทำสินะ?” หานซือฉีขมวดคิ้ว
ในขณะที่ใบหน้าของหานซือฉีกำลังเขยิบเข้าใกล้เธอมากขึ้นทีละนิด ๆ ฝูเจิ้งเจิ้งก็พยายามถอยหนี เธอแอบหวีดร้องอยู่ในใจ นี่ฤทธิ์แอลกอฮอล์เมื่อคืนมันยังไม่จางหมดไปอีกเหรอเนี่ย อีตานี่ไปเอาความกล้าทำเรื่องลามกกลางวันแสก ๆ ในที่ทำงานมาจากไหนเยอะแยะน่ะ!?
ไม่ได้! จะปล่อยให้เขาทำไม่ได้!
หานซือฉีมีทั้งแฟนและคู่หมั้นอยู่แล้ว ที่เขามาทำให้ใจเธอสั่นนั่นก็แค่อยากจะเอาเปรียบเธอเท่านั้น!
คิดได้ดังนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที
ในเวลานี้ ริมฝีปากของหานซือฉีอยู่ห่างจากริมฝีปากของเธอเพียงแค่ไม่ถึงปลายจมูกเท่านั้น แถมตัวเธอเองยังเกือบจะ “นอน” ลงไปบนโต๊ะทำงานของเขาแล้วด้วย
เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเขากำลังแกล้งเธอ และนั่นมันทำให้หญิงสาวโกรธขึ้นเป็นอย่างมาก แก้วชาที่เพิ่งชงให้นั้นก็ดันมาอยู่ในระยะมือพอดี
มือเรียวของฝูเจิ้งเจิ้งค่อย ๆ ขยับไปหยิบแก้วชาช้า ๆ พลางกระหยิ่มในใจ เธอพร้อมจะสาดชาร้อนแก้วโปรดของเขาแล้ว!