ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 40 ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอเบาะแสเอาป่านนี้
บทที่ 40 ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอเบาะแสเอาป่านนี้
“อ๊ะ สวัสดีค่ะคุณเฉียว ช่วยรอสักครู่นะคะ” ทันใดนั้น เสียงของสวี่เหยียนก็ดังขึ้นจากหน้าประตูห้อง
“รอสักครู่เหรอ? สวี่เหยียน สมองเธอโดนภาวะโลกร้อนละลายทิ้งไปแล้วหรือไงน่ะ? ฉันมาพบซือฉีก็ไม่ควรจะต้องรอหรือเปล่า? เห็นทีฉันควรจะบอกให้ซือฉีไล่เธอออกทีหลังแล้วล่ะ” สาวสวยพูดด้วยท่าทีหยิ่งทะนง
“ค-ค-คุณเฉียวคะ คือว่าคุณหานบอกฉันไว้ว่าอย่าเพิ่งให้ใครเข้าไปรบกวน ไม่ว่าจะใครก็ตามน่ะค่ะ คุณเฉี๊ย—” สวี่เหยียนไม่สามารถหยุดผู้มาเยือนไว้ได้ เฉียวเค่อเหรินเปิดประตูออฟฟิศเข้าไปแล้ว
เมื่อเธอเดินเข้ามา เธอก็พบว่าหานซือฉีนั้นกำลังก้มหน้าก้มตาทำงานกับคอมพิวเตอร์ของตนอยู่ เห็นดังนั้นความโกรธของเธอก็พลันมลายหายไปกลายเป็นรอยยิ้มหวาน ๆ ทันที สะโพกงามส่ายไปมาขณะที่กำลังเดินเข้าหาชายหนุ่มอันเป็นที่รักโดยที่ไม่ได้สนใจเลยว่าตัวเขาจะมีเลขาอีกคนนั่งอยู่โต๊ะข้าง ๆ ด้วย
ฝูเจิ้งเจิ้งหายใจไม่ทั่วท้องขณะที่นั่งอยู่บนที่นั่งของตน เธอแอบปาดเหงื่อที่ไหลพลั่ก ๆ ด้วยความโล่งใจ
โชคดีจริง ๆ ที่สวี่เหยียนพูดเสียงดัง หานซือฉีจึงยอมปล่อยเธอไป ไม่งั้นล่ะก็ ได้มีคนเข้าโรงพยาบาลเพราะโดนชาลวกผิวแน่ ๆ
ครั้งต่อไปเธอต้องระวังตัวเองให้ดีแล้ว จะให้อารมณ์เข้ามาครอบงำตนเองไม่ได้ คิดไม่ออกเลยว่าถ้าเผลอสาดไปจริง ๆ จะเป็นยังไง
ฉันน่ะไม่เคยอยากจะทำร้ายนายเลยนะ… บางครั้งก็แค่อารมณ์ชั่ววูบ…
“ซือฉีคะ ทำไมคุณไม่รับโทรศัพท์ฉันเลยล่ะ?” เฉียวเค่อเหรินดัดเสียงจนหวานเลี่ยน เลี่ยนจนฝูเจิ้งเจิ้งที่นั่งข้าง ๆ ยังรู้สึกสะอิดสะเอียน
“เธอโทรมาตอนฉันขับรถ” ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบ
“ขับรถเหรอ… โอ๊ะ งั้นไม่เป็นไรหรอกเนอะ ซือฉีขับรถไปดีแล้ว ไม่ต้องรับโทรศัพท์หรอก นี่ ๆ ดูสิว่าฉันเอาอะไรมา~ ทาด้า ของกินอร่อย ๆ เพียบเลย!” เฉียวเค่อเหรินวางถุงที่เธอหิ้วมาด้วยไว้บนโต๊ะก่อนจะหยิบของในนั้นออกมาวางทีละอย่าง ๆ
“คุณแม่บอกมาว่า ซือฉีน่ะชอบมาทำงานโดยไม่กินข้าวเช้า เพราะงั้นฉันเลยเป็นห่วงซือฉีมาก ๆ เลยนะคะรู้ไหม? นี่ ๆ ฉันมีขนมปังถั่วจากร้านเป๋าต้าเหรินด้วย คุณแม่บอกว่าซือฉีชอบมันมาก ๆ เลย ลองชิมหน่อยไหมคะ? อ้าม~” เฉียวเค่อเหรินจัดแจงทุกอย่างโดยที่หานซือฉีไม่ได้พูดสักคำ และในตอนนี้เธอก็กำลังป้อนขนมปังถั่วจ่อปากเขาไว้อยู่
“วันนี้ฉันกินข้าวแล้ว” เขาพูดทั้งที่สายตายังจับจ้องอยู่ที่หน้าจอไม่แม้แต่จะหันมองเฉียวเค่อเหรินเลย
“อ่ะ? เอ๋? วันนี้กินแล้วเหรอ? อ๊า ไม่เป็นไร ถ้างั้นก็เก็บไว้กินตอนหิวก็ได้นะคะ ฉันไม่ซีเรียส” เธอยังคงยิ้มหวานให้เขาอย่างไม่ย่อท้อ
ยิ่งนั่งอยู่ตรงนี้นาน ๆ ฝูเจิ้งเจิ้งก็ยิ่งรู้สึกว่าอยากจะคายสิ่งที่กินไปเมื่อวานออกมาจริง ๆ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเฉียวเค่อเหรินต้องใช้เสียงสองพูดตลอดเวลา ลิ้นไม่เหลวบ้างเหรอ?
แต่ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้อยากจะรับรู้วิถีชีวิตของสองคนนี้ก็จริง แต่มันก็อดที่จะแอบฟังไม่ได้
ยามเมื่อเห็นว่าเฉียวเค่อเหรินเกาะแกะหานซือฉีได้โดยที่เขาไม่ไล่เธอออกไป มันก็ทำให้เธอรู้สึกว่าเลือดลมมันไม่ไหลเวียนเอาเสียเลย ปวดหัวกับคนคนนี้จริง ๆ
“ซือฉี คิดถึงฉันหรือเปล่าคะ?”
“คิดถึงฉันไหม?” เฉียวเค่อเหรินกล่าวซ้ำอีกครั้งแล้วเขย่าแขนของหานซือฉีด้วยท่าทีน่ารัก
“เธอนั่งลงไปก่อน ฉันต้องทำงาน พี่ชายของฉันจ้องจะตรวจงานฉันอยู่” เขาพูดขึ้นอย่างไม่แยแสเธอเท่าไหร่แต่ก็ยังคงความสุภาพไว้อยู่ มันค่อนข้างต่างจากที่สวี่เหยียนบอกไว้เลย เพราะหานซือฉีก็ดูไม่ได้เฉยเมยกับเฉียวเค่อเหรินมากขนาดที่เจ้าหล่อนว่า
“ก็ได้ งั้นไว้ซือฉีเสร็จงานแล้วออกไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยได้ไหมคะ?” เธอทำตามชายหนุ่มอย่างว่าง่าย
“ได้” ชายหนุ่มตอบรับด้วยท่าทีปกติ และยังคงสนใจงานตรงหน้าต่อไป
“น่ารักที่สุด ม๊วฟ!”
เสียงจุ๊บดัง ๆ นั้นทำเอาฝูเจิ้งเจิ้งพูดอะไรไม่ออกเลย ทั้ง ๆ ที่ทั้งสองคนก็ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันกับเธอแท้ ๆ แต่ทำไมถึงรู้สึกเสียใจได้นะ? นี่มันก็แค่เหมือนดูหนังเองนะ ฉากเลิฟซีนก็เห็นได้บ่อย ๆ อยู่แล้วนี่นา?
ด้วยความคิดเช่นนั้น มันเลยทำให้อารมณ์ของเธอค่อยเย็นลงมาหน่อย
เฉียวเค่อเหรินลากเก้าอี้มาและนั่งอยู่ข้าง ๆ หานซือฉี เธอเท้าคางมองเขาทำงานด้วยมือข้างหนึ่ง ตลอดเวลาเธอพยายามจะหว่านเสน่ห์ใส่เขาตลอดทุกครั้งที่มีโอกาส
ทันใดนั้น หานซือฉีก็หันไปตะโกนบอกฝูเจิ้งเจิ้ง “เลขาฝู ไปชงชานมใส่โกโก้มาที”
ใบหน้าสวยของเฉียวเค่อเหรินกระตุกขึ้นมาทันทีเมื่อตระหนักได้ว่าในออฟฟิศนี้ยังมีบุคคลที่ 3 นั่งอยู่ด้วย แถมยังเป็นสาวสวยอีก! ความหึงหวงค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นมาทีละนิด แต่เมื่อได้ยินว่าหานซือฉีกำชับเรื่อง “ใส่โกโก้” สีหน้าของเธอก็กลับมาอ่อนโยนอีกครั้ง
“แหม จำได้ด้วยเหรอคะว่าฉันชอบชานมโกโก้? บอกไปแค่ครั้งเดียวเองน้า~” เธอยิ้มหวานให้หานซือฉีพร้อมทั้งทำปากสีแดงสดของเธอนั้นให้เหมือนว่ากำลังส่งจูบผ่านอากาศให้เขา
ทว่าฝูเจิ้งเจิ้งกลับรู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นมันดูเสแสร้งยังไงก็ไม่รู้ และเธอเองก็ไม่เข้าใจด้วยว่าทำไมหานซือฉีถึงชอบเธอได้ขนาดนี้
ในตอนที่ฝูเจิ้งเจิ้งนำชานมโกโก้มาเสิร์ฟให้เฉียวเค่อเหริน เธอเองก็ยิ้มให้พร้อมทั้งพยักหน้าเชิงทักทายอีกฝ่ายและพูด “คุณเฉียวคะ นี่ชานมของคุณค่ะ หวังว่าจะถูกใจนะคะ”
เฉียวเค่อเหรินเหลือบมองฝูเจิ้งเจิ้งนิดหน่อย และดูเหมือนว่าเธอจะพึงพอใจกับกิริยาที่ค่อนข้างเชื่อฟังของฝูเจิ้งเจิ้งมาก ๆ เพราะงั้นความเกลียดชังในแววตาของเธอจึงพลันหายไปในทันที หญิงสาวรอจนกระทั่งฝูเจิ้งเจิ้งกลับไปนั่งที่แล้วจึงถามขึ้นมา “ซือฉีคะ ไม่ใช่ว่าคุณมีสวี่เหยียนเป็นเลขาอยู่แล้วเหรอ? ทำไมถึงยังมีเลขาอีกคนอยู่ในห้องนี้ล่ะ?”
“สวี่เหยียนทำงานทุกอย่างคนเดียวไม่ได้หรอกนะ” เขาตอบเธอแบบขอไปที
ทันใดนั้นเอง เฉียวเค่อเหรินก็ลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้นแบบสุด ๆ “งั้นให้ฉันเป็นเลขาให้คุณไหม? สวี่เหยียนก็ปล่อยให้รับผิดชอบงานด้านนอกไป ส่วนงานภายในก็ให้ฉันช่วยดูแลเอง เพราะยังไงซะ หลังจากพวกเราแต่งงานกันแล้ว ฉันก็ต้องดูแลเรื่องต่าง ๆ ภายในอยู่ดี”
หัวใจของฝูเจิ้งเจิ้งกำลังเจ็บปวด กระนั้นเธอก็ยังพยายามตั้งใจฟังเรื่องที่สองคนนี้พูดอยู่ดี
“เธอไม่เชื่อใจฉันเหรอ?” ฝูเจิ้งเจิ้งไม่ได้หันไปมองสีหน้าของหานซือฉีเมื่อครั้งที่เขาพูดประโยคนี้ แต่เธอค่อนข้างมั่นใจว่าโทนเสียงของเขานั้นแอบเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย
เฉียวเค่อเหรินเงียบไปครู่หนึ่งและรีบยิ้มหวานออกมาทันที “จะให้ฉันไม่เชื่อใจซือฉีได้ยังไงล่ะคะ? ฉันรู้อยู่แล้วว่าซือฉีน่ะไม่ตกหลุมรักสาวอื่นหรอก ก็แค่หยอกเล่นเฉย ๆ เอง”
“เธอน่ะไม่เคยต้องมาอยู่ในสถานะที่ต้องแบกรับอะไรมาก่อน ถ้าหากฉันทำให้เธอต้องมาแบกรับนู่นนี่นั่นทันทีเมื่อมาอยู่กับฉัน แบบนั้นมันหมายความว่าฉันมันไร้ความสามารถหรือเปล่า?”
ดูเหมือนว่าประโยคนี้จะใช้ได้ผลกับเฉียวเค่อเหรินเป็นอย่างดี เพราะมันทำให้หญิงสาวยิ้มแก้มปริออกมาอีกครั้ง
ฝูเจิ้งเจิ้งเองก็แอบโล่งใจ นึกว่าสองคนนี้จะมาทะเลาะกันในเวลางานซะแล้ว
กระนั้นเธอก็รีบเตือนตัวเองอีกว่าอย่าหลงไปกับอะไรง่าย ๆ ห้ามรู้สึกอะไรทั้งสิ้นโดยเฉพาะกับคนคนนี้
บางทีเธออาจจะเป็นเพียงคนเดียวในห้องก็ได้ ที่พอได้ยินหานซือฉีพูดแบบนั้นแล้วแอบเจ็บอยู่ลึก ๆ หรือว่าเธอจะตกหลุมรักเขาเข้าแล้วจริง ๆ?
ตลอดช่วงเช้านี้ เฉียวเค่อเหรินไม่ยอมออกไปไหนเลย และมันทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งต้องแบกรับบรรยากาศที่น่าอึดอัดนี้อยู่ตัวคนเดียว
เมื่อถึงเวลาพักเที่ยง สวี่เหยียนก็ยิ้มหน้าบานขณะที่เดินไปร้านอาหารพร้อมกับฝูเจิ้งเจิ้ง “เจิ้งเจิ้ง ขอบคุณเธอมาก ๆ เลยนะ ถ้าไม่ได้เธอล่ะก็ ฉันอาจจะโดนทำโทษไปแล้ว”
“เรื่องเล็กน้อย ก็ช่วย ๆ กันน่ะ” เธอยิ้มรับขณะที่ในหัวยังสลัดเรื่องกวนใจในตอนเช้าไม่ได้
“เจิ้งเจิ้ง เฉียวเค่อเหรินนั่นขลุกอยู่ในออฟฟิศคุณหานตลอดช่วงเช้าเลย เธอคนนั้นทำให้เธออึดอัดใจหรือเปล่า?”
ฝูเจิ้งเจิ้งส่ายหน้า “ทำไมเธอคนนั้นถึงต้องทำให้ฉันอึดอัดใจล่ะ? ไม่ได้มีอะไรกันสักหน่อย”
“ใช่สิ เธอกำลังจะบอกว่าเธอไม่ได้ตกหลุมรักคุณหานอีกล่ะสิ” สวี่เหยียนยิ้มก่อนจะเปลี่ยนไปถามด้วยความอยากรู้ “เออนี่ เจิ้งเจิ้ง เธอคิดว่าคุณหานทำตัวแปลก ๆ บ้างหรือเปล่า?”
“แปลก ๆ เหรอ?” ฝูเจิ้งเจิ้งงุนงง
“เมื่อเช้าเธอบอกให้ฉันไปจ่ายบิลค่าอาหารเช้าให้คุณหานใช่ไหม? แต่เมื่อตอนฉันไปน่ะ คุณหานก็เดินออกไปโดยไม่พูดอะไรเลย แล้วพอฉันจะจ่ายเงิน เจ้าของร้านก็บอกว่าคุณหานจ่ายเองไปแล้ว แบบนี้ไม่คิดว่ามันแปลกเหรอ?”
“บางทีคุณหานอาจจะตบ ๆ เจอเงินในกระเป๋าก็ได้นะ”
“บางทีสินะ สมเป็นคนรวยจริง ๆ เดาใจยากสุด ๆ” สวี่เหยียนยิ้มออกมาอีกครั้งแล้วพูดเสริม “เออใช่ ฉันเห็นบนโต๊ะคุณหานมีอาหารเช้าอีกชุดเตรียมไว้ด้วยนะ แถมตอนเขาเดินผ่านฉันน่ะ เขายังดูโกรธสุด ๆ เลยด้วย บางทีน่าจะเป็นเพราะเขานัดใครมากินอาหารเช้าด้วยกันแต่โดนปฏิเสธหรือเปล่านะ?”
รอใครมากินอาหารเช้าด้วยกันเหรอ?…หรือว่าจะหมายถึงฉันนะ? ฝูเจิ้งเจิ้งถามใจตัวเอง
แต่เพียงไม่นาน เธอก็หลุดหัวเราะออกมา
เป็นไปไม่ได้หรอก ก็เล่นเอาสาวสวยมาขลุกอยู่ในบริษัทแบบนั้น แถมเมื่อเช้ายังหวานเลี่ยนกันจนฉันเอียนของหวานไปได้อีกหลายวันเลยด้วย แบบนี้แล้วเขาจะมาสนใจฉันทำไม?
สวี่เหยียนไม่ได้รู้เลยว่าฝูเจิ้งเจิ้งนั้นมีท่าทีแปลกออกไปเพราะกำลังหลุดไปอยู่ในห้วงแห่งความคิดของตนเอง
“เจิ้งเจิ้ง เธอได้เจอเสี่ยวอี้เฉิงเมื่อวานแล้ว คิดว่าเป็นยังไงบ้าง?” สวี่เหยียนพยายามถามความรู้สึกของเธอ
“อืม…” ฝูเจิ้งเจิ้งตอบอย่างเหม่อลอย
ได้ยินเช่นนั้นสวี่เหยียนก็แก้มป่องใส่ “ฉันถามเธอว่าเธอคิดว่าเสี่ยวอี้เฉิงเป็นยังไงบ้าง นี่อย่ามาเมินกันนะ!”
ฝูเจิ้งเจิ้งกลับมามีสติอีกครั้ง เธอรีบส่ายหน้าไล่ความฟุ้งซ่านแล้วตอบในทันที “เขาดูดีมากเลย! ทั้งภายนอกแล้วก็นิสัย แถมเขายังดูเข้ากับคนง่ายด้วยนะ”
คำตอบในครั้งนี้สวี่เหยียนค่อนข้างพึงพอใจ เธอแสดงความชอบใจผ่านท่าทีเขินอายของตน “ฉันก็คิดแบบนั้นแหละ เขาน่ะดูดีที่สุดเลยเมื่อเทียบกับคนที่ฉันไปเดตด้วยครั้งก่อน ๆ”
เมื่อได้เห็นเพื่อนสาวของตนมีความสุข ฝูเจิ้งเจิ้งก็มีความสุขด้วย “ถ้างั้นแล้วเธอต้องรีบรุกแล้วนะ ไม่งั้นอาจจะโดนคนอื่นโฉบผู้ชายดี ๆ ไปก็ได้นา ฮ่า ๆๆ”
สวี่เหยียนฟังฝูเจิ้งเจิ้งแซวแล้วก็เขินอายขึ้นมา เธอดีดแก้มของอีกฝ่ายเบา ๆ แล้วพยายามพูดกลบเกลื่อน “อ-อย่าหัวเราะฉันนะ! เธอก็รู้ว่าทุกคนที่เข้ามายังบริษัทเว่ยหานพร้อมกับฉันน่ะ เหลือแค่ฉันคนเดียวแล้วนะที่ยังโสดอยู่! ฉันไม่ยอมให้ตัวเองถูกพวกคนมีคู่ทิ้งไว้อยู่ข้างหลังหรอกนะ!!”
ตอนนั้นเอง ฝูเจิ้งเจิ้งก็นึกถึงเรื่องของโจวปิงขึ้นมาได้ เธอเลยถามสวี่เหยียนเกี่ยวกับเขาด้วยเหตุผลที่ว่า หญิงชราในย่านชุมชนที่เธออาศัยอยู่นั้นอยากจะหาลูกเขยให้กับลูกสาวของแกเสียที
ฟังคำถามนั้นแล้วสวี่เหยียนก็คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้า “จริง ๆ ฉันก็ไม่ได้รู้เรื่องเขามากนักหรอก แล้วก็ไม่รู้สึกว่าเขาเป็นคนดีด้วย มันเป็นเหตุการณ์เมื่อเย็นวันหนึ่งน่ะ เผอิญว่าฉันกำลังออกไปข้างนอกกับเพื่อนของฉันพอดี แล้วฉันก็เห็นว่าคนคนนั้นน่ะกำลังเดินสนิทชิดเชื้อกับพวกอันธพาลอยู่ ฉันไม่คิดว่าคนที่มีเพื่อนเป็นอันธพาลจะเป็นคนดีนะ เอาเป็นว่าเธอเองก็อย่าไปยุ่งกับเขาให้มากจะดีกว่า”
“อันธพาล? อันธพาลแบบไหนน่ะ?” ฝูเจิ้งเจิ้งถามต่อ
“ฉันก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน เออ แต่เพื่อนฉันรู้จัก 1 ในพวกอันธพาลเหล่านั้นนะ แล้วเขาก็บอกด้วยว่าอันธพาลที่รู้จักเคยมีคดีมาก่อน รู้สึกว่าจะเกี่ยวกับยาเสพติดเนี่ยแหละ แต่แค่นี้ก็น่าจะเป็นเหตุผลที่หนักพอที่จะไม่ไปยุ่งกับคนแบบนี้แล้วไหม?”
เกี่ยวกับยาเสพติดจริง ๆ ด้วย! ฝูเจิ้งเจิ้งมั่นใจในสิ่งที่เธอเดาอีกครั้ง
แต่มันก็ยังมีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้เธอประหลาดใจอยู่ ตอนนี้ถ้าโจวปิงหายตัวไปเลย นั่นจะหมายถึงมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นกับแก๊งของเขาหรือเปล่านะ?
เมื่อนานมาแล้ว ทางสถานีตำรวจนอกเมืองพบว่าบริษัทเว่ยหานนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดียาเสพติดครั้งก่อน แต่กลับไม่มีการรายงานอะไรทั้งนั้น ดังนั้นแล้วทางตำรวจจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะส่งเธอเข้ามาทำงานในบริษัทเว่ยหานแห่งนี้เพื่อสืบหาข้อมูลประกอบรูปคดี
ตอนแรกคิดว่าจะไม่ได้เบาะแสอะไรกลับไปบ้างซะแล้ว ถ้าหานซือฉีไม่ลงโทษเธอโดยการให้เธอไปเป็นคนรับใช้ 1 เดือน ป่านนี้เธอและฝูซิงอาจจะกลับไปอยู่เมือง A เหมือนเดิมแล้วก็ได้ ไม่คาดคิดจริง ๆ ว่าจะมาเจอเบาะแสเอาตอนนี้
หรือว่าโจวปิงจะเป็นหัวหน้าแก๊งค์อันธพาลพวกนั้น ในขณะที่หานซือฉีก็คอยควบคุมทุกอย่างอีกทีหนึ่ง?
“เจิ้งเจิ้ง? เจิ้งเจิ้ง! คิดอะไรของเธออยู่น่ะ? ชอบทิ้งเพื่อนแล้วหลุดไปอยู่ในโลกของตัวเองจริง ๆ นะเธอน่ะ” สวี่เหยียนเคาะโต๊ะด้วยตะเกียบเพื่อเรียกสติฝูเจิ้งเจิ้งให้กลับมาอีกครั้ง
“อ-อ๊ะ? อ๋อ คิดเรื่องฝูซิงนิดหน่อยน่ะ เป็นห่วงว่าเขาจะกินดีอยู่ดีที่โรงเรียนไหม” เธอรีบกลบเกลื่อนเรื่องที่คิดไว้ในทันที
“เจ้าตัวเล็กนี่เอง จะว่าไปฉันก็ไม่ได้เจอเขานานแล้วนะ แอบอยากเจอเหมือนกันแฮะ นี่ ไหน ๆ วันนี้ฉันก็ว่างแล้ว เย็นนี้ให้ฉันไปรับฝูซิงกับเธอแล้วพวกเราไปหาสเต็กกินกันไหม? ฉันเคยสัญญากับเขาไว้ว่าฉันจะชวนเขาไปกินสเต็กด้วยกันน่ะ”
“โอกาสหน้าได้ไหม? เมื่อคืนฉันรู้สึกนอนไม่พอซักเท่าไหร่ อารมณ์มันเลยไม่ค่อยมั่นคงน่ะ” ฝูเจิ้งเจิ้งตอบราวกับคิดคำตอบไว้อยู่แล้ว
สวี่เหยียนพยักหน้าเข้าใจ เธอจึงรีบเสนอวันใหม่ “งั้นถ้าเป็นพรุ่งนี้หลังเลิกงานล่ะ? คืนนี้ต่างฝ่ายต่างกลับไปนอนให้เต็มอิ่มก่อน ดูสิ ฉันก็นอนไม่พอ ถุงใต้ตาเด่นชัดกว่าเธออีก”
ฝูเจิ้งเจิ้งคิดครู่หนึ่งก่อนจะตอบตกลง ยังไงซะตอนนี้หานซือฉีเองก็คงไม่มีเวลาให้เธอและลูกแล้ว
เมื่อกลับมาถึงออฟฟิศแล้วหลังจากทานข้าวกลางวันเสร็จ เธอเตรียมจะนั่งลงและทำงานต่อ ทว่าหูที่ดีกว่าคนปกตินั้นก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังมาจากห้องส่วนตัวของหานซือฉี และมันทำให้เธอลุกพรวดขึ้นมาทันที
เธอมั่นใจว่าก่อนจะออกไป หานซือฉีและเฉียวเค่อเหรินออกไปก่อนแล้ว
นอกจากนี้ บริษัทช่วงกลางวันคนก็ไม่เยอะด้วย หรือว่า…ขโมยเหรอ!?
แต่ขโมยจะเข้ามาขโมยอะไรในบริษัทแบบนี้น่ะ คอมพิวเตอร์หรือไง? หัวสูงไปนะ
หรือว่าจะเป็นโจรกรรมข้อมูล!
แบบที่เธอเคยทำมาก่อนหน้านี้?
แต่นั่นเธอทำเพื่อความถูกต้องนา ในประเทศนี้ไม่น่าจะมีใครที่ขโมยข้อมูลเพื่อความถูกต้องอีกแล้วล่ะมั้ง หรือมี?
ฝูเจิ้งเจิ้งมองไปรอบ ๆ ก่อนจะได้ไม้ถูพื้นมาถือไว้ในมือ เธอเดินไปยังทางเข้าห้องส่วนตัวนั้นอย่างรวดเร็วและเตรียมพร้อมไว้
เอาล่ะนะ ฝูเจิ้งเจิ้ง 3… 2… 1!
สิ้นสัญญาณนับในหัว เธอก็เปิดประตูเข้าไปอย่างรวดเร็ว ทว่าภาพที่รอเธออยู่ด้านในนั้นกลับทำให้เธอถึงกับหน้าแดงในทันที
———————————————————————————————————
คุยกับผู้แปล
+1 สวี่เหยียน ฝูเจิ้งเจิ้งทิ้งเพื่อนไปอยู่ในโลกส่วนตัวเก่งมากกกกกกกกกกกก จริง ๆ เธอไม่ควรเอาตะเกียบเคาะโต๊ะ ควรเอาตะเกียบทิ่มหน้าแม่นี่ไปซักรูสองรู
-ทีมงานผู้แปล Enjoybook-