ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 43 ป๊ะป๋าของลูกพลัดพรากจากไป
บทที่ 43 ป๊ะป๋าของลูกพลัดพรากจากไป
ฝูเจิ้งเจิ้งลุกขึ้นยืนในทันใด แต่ด้วยความที่ไม่ทันได้ระวังตัว มันทำให้เธอชนเข้ากับแก้วน้ำส้มที่พนักงานนำมาเสิร์ฟพอดี น้ำส้มเหล่านั้นหกลงมาบนตัวของหญิงสาวจนเสื้อเชิ้ตสีขาวเปียกปอนไปหมด 2 มือของเธอรีบปัดน้ำส้มที่เลอะตัวนั้นโดยทันทีเพื่อไม่ให้เปียกไปมากกว่านี้
“ระวังหน่อยสิ” เสี่ยวอี้เฉิงรีบหยิบทิชชู่ขึ้นมาและช่วยปัดให้เธอ มือของเขานั้นสัมผัสโดยมือนุ่มนิ่มที่พยายามปัดน้ำส้มออกของเธอนั้นอยู่บ่อยครั้งจนตัวเขาเองก็เริ่มหน้าแดงขึ้นมานิด ๆ แต่ฝูเจิ้งเจิ้งกลับไม่ได้รู้สึกตัวเลย
เมื่อเธอเงยหน้ามองขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบว่าฝูซิงกำลังวิ่งไปหาหานซือฉีแล้ว
“ป๊ะป๋า ป๊ะป๋าก็อยู่ที่นี่ด้วย ฝูซิงไม่ได้เจอป๊ะป๋ามานานมากเลย ฝูซิงคิดถึงป๊ะป๋ามาก ๆ เลยนะ” เจ้าตัวเล็กเข้าใจว่าเสี่ยวอี้เฉิงนั้นเชิญหานซือฉีมาด้วย เพราะงั้นเขาจึงดีใจออกนอกหน้าแบบสุด ๆ
แต่สำหรับฝูเจิ้งเจิ้งนั้น เธอมั่นใจมาก ว่าหานซือฉีไม่ได้มาที่นี่เพื่อกินสเต็กคนเดียวแน่ เพราะงั้นจึงพยายามมองไปรอบ ๆ ทว่าก็ไม่มีวี่แววของเฉียวเค่อเหรินอยู่เลย น่าแปลก
สวี่เหยียนเองก็เข้าไปทักทายหานซือฉีด้วยเหมือนปกติ มีเพียงฝูเจิ้งเจิ้งเท่านั้นที่ยังยืนอยู่ที่โต๊ะ เธอพยายามไม่มองไปยังหานซือฉีและเดินไปหมายจะดึงตัวฝูซิงกลับมา
หานซือฉีจับมือของฝูซิงไว้และหันไปมองยังฝูเจิ้งเจิ้ง แต่เลือกที่จะถามสวี่เหยียนแทน “ทำไมพวกเธอถึงมากินข้าวด้วยกันล่ะ?”
“อ๋อ ฉันสัญญากับฝูซิงไว้น่ะค่ะว่าจะเลี้ยงสเต็กเขา” สวี่เหยียนตอบด้วยรอยยิ้มและความสุภาพ “แล้วคุณหานล่ะคะ? ถ้ามาคนเดียวมาร่วมโต๊ะกับพวกเราได้นะ”
ก่อนที่หานซือฉีจะได้ตอบอะไร เสียงสะดีดสะดิ้งของเฉียวเค่อเหรินก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังสวี่เหยียน “ซือฉีคะ เด็กคนนี้ลูกของใครน่ะ?”
สวี่เหยียนที่จำเสียงนี้ได้เป็นอย่างดีรีบหันกลับไปยังต้นเสียงและกล่าวทักทายอย่างรวดเร็ว “ส-สวัสดีค่ะ คุณเฉียว”
“คุณสวี่เหยียน? เธอเองก็มาทานข้าวเย็นที่นี่เหมือนกันเหรอ?? ว้าว โลกช่างกลมจริง ๆ นะเนี่ย! นี่ลูกของเธอเหรอ? น่ารักดีนะ~ ” เฉียวเค่อเหรินยิ้มอย่างอ่อนโยนและยื่นมือไปสัมผัสแก้มของฝูซิงเบา ๆ
ฝูซิงหันหน้าออกในทันที เขาหลบมือที่กำลังเคลื่อนเข้าหานั้นอย่างไม่ชอบใจนัก
ฝูเจิ้งเจิ้งเตรียมจะเข้าไปคว้าตัวฝูซิงแยกออกมาแล้ว แต่สวี่เหยียนก็รู้ใจเธอและเป็นฝ่ายคว้าตัวฝูซิงออกมาก่อน เธอกุมมือเล็ก ๆ ของฝูซิงและกล่าวขอโทษให้กับอีกฝ่ายไปด้วย “พวกเรามากินข้าวเย็นด้วยกันน่ะค่ะ ถ้ายังไงฉันคงขอตัวก่อน ไม่อยากจะรบกวนเวลาของคุณหานแล้วก็คุณเฉียวมากไปกว่านี้ด้วย”
ทว่าฝูซิงกลับดึงมือของเขากลับไปและวิ่งเข้าไปดึงเสื้อของหานซือฉีไว้ น้ำเสียงอ้อนวอนเอ่ยถามขณะที่กำลังแหงนหน้ามองเจ้าของเสื้อ “ป๊ะป๋า ไม่มากินข้าวกับพวกเราจริง ๆ เหรอ?”
“ป๊ะป๋า?” สีหน้าของเฉียวเค่อเหรินเปลี่ยนไปในทันที “ซือฉีคะ เด็กคนนี้เป็นใครกันแน่? ทำไมเขาถึงเรียกคุณว่าป๊ะป๋า?”
เมื่อตระหนักได้ว่ากำลังจะมีปัญหาตามมา ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบตรงเข้าไปคว้าตัวเด็กน้อยทันที แต่เธอก็ได้ยินน้ำเสียงเฉยชาไร้ความรู้สึกของหานซือฉีตอบกลับเสียก่อน “เด็กคนนี้เป็นลูกของคุณฝู ชื่อ ฝูซิง เขาไม่มีพ่อตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็ก ๆ ครั้งนึงฉันเคยหยอกล้อกับเขาที่ออฟฟิศ จากนั้นมาเขาก็เรียกฉันว่าป๊ะป๋าทุกครั้งที่เจอหน้ากันน่ะ”
“อ้อ ฉันเข้าใจแล้วค่ะ ช่างเป็นเด็กที่น่าสงสารจริง ๆ เรียกผู้ชายว่าป๊ะป๋าทุกครั้งที่ได้เจอเลย” เฉียวเค่อเหรินมองฝูซิงด้วย ‘ความเห็นอกเห็นใจ’
หัวใจของฝูเจิ้งเจิ้งจมดิ่งอีกครั้ง และครั้งนี้เธอไม่อ้อยอิ่งดูสถานการณ์แล้ว หญิงสาวรีบเดินเข้าไปและคว้าตัวฝูซิงมาจากหานซือฉีอย่างนุ่มนวล
เฉียวเค่อเหรินที่หันมาพบฝูเจิ้งเจิ้งก็แอบกระซิบเบา ๆ “คุณฝูคะ คุณเองก็ยังสาวยังสวย รีบหาแฟนจะดีกว่านะคะ อย่างน้อย ๆ ฝูซิงจะได้มีพ่อสักทีด้วย”
ฝูเจิ้งเจิ้งยิ้มและพยักหน้า “ขอบคุณที่เป็นห่วงนะคะ คุณเฉียว ฉันจะพยายามค่ะ”
แม้ฝูเจิ้งเจิ้งจะไม่อะไรด้วย แต่ฝูซิงนั้นไม่ชอบใจมาก ๆ เขาตะโกนใส่เฉียวเค่อเหรินขณะที่ชี้ไปยังหานซือฉี “หม่ามี๊ของฝูซิงจะต้องเอาป๊ะป๋ามาเป็นแฟนให้ได้เลย!”
“ฝูซิง!” ฝูเจิ้งเจิ้งตะคอกด้วยความโกรธ
แค่ท่าทีเฉยชาผลักภาระเรื่องทุกอย่างมาไว้ที่เธอของหานซือฉีก็น่าหงุดหงิดพอแล้ว นี่ลูกชายของตนยังมาทำให้หงุดหงิดมากกว่าเดิมอีก
สายตาแห่งความรังเกียจปรากฏขึ้นภายในดวงตาของเฉียวเค่อเหริน แต่เพียงครู่เดียวมันก็หายไป ใบหน้าของสาวสวยเปื้อนรอยยิ้มหวานหยาดเยิ้มแทน “แหม คุณฝู ลูกชายของคุณฝูนี่ไร้เดียงสาจังเลยนะคะ ฮะๆๆ”
จากนั้นเธอก็เข้าไปควงแขนของหานซือฉีไว้พลางถาม “ซือฉี คุณว่าไหมคะ?”
ความรู้สึกต่าง ๆ บนใบหน้าของหานซือฉีค่อย ๆ จางหายไป แทนที่ด้วยการพยักหน้าเบา ๆ “ไปกันเถอะ”
“ได้เลยค่ะ” เฉียวเค่อเหรินเบียดเสียดร่างหนาข้าง ๆ เธอราวกับเป็นนกตัวน้อยที่กำลังคลั่งรัก ทั้งสองเดินผ่านฝูเจิ้งเจิ้งไป และไม่พลาดที่จะเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยแววตาดูถูก
ความรู้สึกที่จุกแน่นไปทั้งอกนั้นทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งพูดไม่ออก เธอพยายามอย่างมากที่จะข่มอารมณ์ใจเย็น สวี่เหยียนเดินมารับตัวทั้งสองกลับไปนั่งโต๊ะเพื่อที่จะไม่ทำให้เสียบรรยากาศ
แต่เดินไปไม่กี่ก้าว ฝูซิงก็สลัดมือเธอออกแล้ววิ่งเข้าไปชนและตะโกนใส่เฉียวเค่อเหรินอีกรอบ “ห้ามแตะต้องป๊ะป๋านะ! ป๊ะป๋าน่ะเป็นของฝูซิงเท่านั้น!”
“ฝูซิง!”
*พลั่ก!*
สีหน้าของสวี่เหยียนนั้นถอดสีแล้ว ในขณะที่ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบวิ่งเข้าไปคว้าตัวฝูซิงไว้ ทว่าเพราะเฉียวเค่อเหรินสวมส้นสูง ยามที่เธอโดนกระแทกด้วยแรงเพียงเล็กน้อย ร่างของเธอก็แทบจะล้มลงไปกับพื้นทันที ยังดีที่ว่าเฉียวเค่อเหรินกอดแขนของหานซือฉีไว้แน่นในระดับหนึ่ง เธอจึงยังยืนอยู่ได้
เฉียวเค่อเหรินค่อย ๆ ก้มลงไปลูบเท้าของตนพลางข่มความโกรธที่โดนรบกวนไว้ แต่เมื่อได้ยินฝูเจิ้งเจิ้งกำลังดุลูกชายของตนด้วยเสียงเบา ความโกรธของเธอก็ไม่ได้จางหายไปซะทีเดียว หากแต่เธอเลือกที่จะแสร้งทำตัวน่าสงสารและหันไปออดอ้อนหานซือฉีแทน “โอ้ย…ซือฉี รู้สึก…เจ็บจังเลยค่ะ…”
“ก็ไม่เป็นอะไรนี่” หานซือฉีไม่ได้หันไปช่วยเฉียวเค่อเหรินแต่อย่างใด กลับกันเขายังขมวดคิ้วและจ้องไปยังฝูเจิ้งเจิ้งก่อนจะพูดอย่างเยือกเย็นอีกด้วย “ทำไมเธอถึงไม่ดูแลลูกให้ดี? ถ้าเมื่อกี้เค่อเหรินล้มลงไปจริง ๆ เธอจะรับผิดชอบยังไง?”
“ฉัน…เอ่อ…” ฝูเจิ้งเจิ้งสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะเอ่ยขอโทษออกมา “คุณหานคะ ลูกชายของฉันดื้อมากๆ ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ”
ฝ่ายถูกเมินจากซือฉีอย่างเฉียวเค่อเหรินขมวดคิ้วแน่น แต่เธอก็แสร้งทำเป็นให้อภัยและโบกมือไปมา “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ซือฉี อย่าใส่ใจเอาความเด็ก ๆ เลยเนอะ มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่เด็กด้อยการศึกษาแถมยังมาจากครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์แบบนี้จะมีพฤติกรรมที่รุนแรง—อุ่ก”
“อย่ามายืนใกล้กับป๊ะป๋าแบบนั้น! ผู้หญิงไม่ดี!”
ฝูซิงพยายามเข้าไปผลักเฉียวเค่อเหรินออกอีกครั้ง แต่คราวนี้ฝูเจิ้งเจิ้งตะโกนห้ามเขาไว้ทันด้วยความโกรธ “ฝูซิง! ถ้าลูกยังไม่เลิกทำตัวเป็นเด็กเกเรแบบนี้ หม่ามี๊จะตีแล้วนะ!”
“หม่ามี๊—” เมื่อเห็นว่าแม่ของตนง้างแขนขึ้น ฝูซิงก็ร้องตกใจด้วยแววตาเศร้าสร้อย
สวี่เหยียนรีบเข้ามาดึงฝูซิงออกไปข้าง ๆ พร้อมทั้งกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับเขาด้วย
“ฝูเจิ้งเจิ้ง พรุ่งนี้เธอไม่ต้องมาทำงาน” หานซือฉีพูดขึ้นโดยไม่ได้หันไปมองฝูเจิ้งเจิ้งแม้แต่นิดเดียว
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น สวี่เหยียนก็ช่วยแก้ต่างให้ทันที “เอ่อ คุณหานคะ ซิงซิงไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้นนะคะ”
สีหน้าของฝูเจิ้งเจิ้งนั้นดูสิ้นหวัง “หมายความว่ายังไงน่ะ…”
ไล่ฉันออกเหรอ?
เฉียวเค่อเหรินที่ยืนดูสถานการณ์อยู่นั้นซ่อนรอยยิ้มไว้เบื้องหลังและพูดออกมาด้วยความ ‘เป็นห่วง’ “ซือฉีหมายความว่า คุณฝูอาจจะไม่สะดวกก็ได้หากต้องทำงานและเลี้ยงลูกตามลำพังน่ะค่ะ เพราะงั้นคุณฝูควรจะกลับไปตั้งใจเลี้ยงลูกอยู่ที่บ้านก่อน ฉันพูดถูกไหมคะ ซือฉี?”
“ถูก” หานซือฉีตอบ
“คุณหานคะ เจิ้งเจิ้งน่ะ…” สวี่เหยียนรีบเข้ามา แต่เมื่อโดนหานซือฉีจ้องมองด้วยแววตาเย็นชา เธอก็รีบหยุดและมองฝูเจิ้งเจิ้งด้วยความหมดหนทาง
ใบหน้าของฝูเจิ้งเจิ้งซีดเผือดลง แม้ในใจของเธอจะเดือดดาลสักแค่ไหน เธอก็เลือกที่จะเก็บมันไว้ในใจ ยังไงซะบริษัทเว่ยหานก็เป็นของตระกูลหานอยู่แล้ว ตัวเขาเองก็ยังเป็นถึงรองประธานอีก การจะไล่พนักงานที่ไม่สำคัญสักคนออกมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรอยู่แล้ว
แต่เธอไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องมาถูกหานซือฉีไล่ออกด้วยเรื่องเล็ก ๆ พวกนี้!
ถึงแม้ว่าหากเธอสืบคดีภายในบริษัทเว่ยหานไม่สำเร็จ ท้ายสุดก็จะโดนส่งกลับเหมือนกัน แต่เธอก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องออกจากบริษัทเว่ยหานเช่นนี้
เขาแคร์เฉียวเค่อเหรินขนาดนั้นเลยงั้นเหรอ?
แล้วใครมันสร้างข่าวที่บอกว่าเขาจำใจต้องหมั้นกับเธอกันนะ?
เท่าที่เห็นก็มีความสุขดีไม่ใช่หรือไง!
ถ้างั้นล่ะก็ เดี๋ยวจะย้ายออกจากเมือง B พร้อมกับซิงซิงคืนนี้พรุ่งนี้เลยก็ได้!
มองไปยังหานซือฉีและเฉียวเค่อเหรินที่หายไปจากตรงนั้นแล้ว ฝูซิงก็ค่อย ๆ เดินกลับไปหาฝูเจิ้งเจิ้งและกอดเธอไว้เบา ๆ ใบหน้าที่เศร้าสร้อยค่อย ๆ แหงนมองผู้เป็นแม่พร้อมหยาดน้ำตาที่ไหลลงมา “หม่ามี๊ ฝูซิงขอโทษ ฝูซิงสร้างปัญหาอีกแล้วใช่ไหม? เพราะแบบนี้เหรอป๊ะป๋าถึงทิ้งฝูซิงไป?”
“เจิ้งเจิ้ง…” สวี่เหยียนไม่รู้ว่าควรจะปลอบด้วยถ้อยคำไหนดีในเวลาแบบนี้ มันยากมาก ๆ ที่จะได้ทำงานในบริษัทเว่ยหาน แต่กลับกัน การโดนไล่ออกกลับง่ายกว่า!
เมื่อเห็นฝูซิงแอบสะอึกสะอื้น ฝูเจิ้งเจิ้งก็ไม่สามารถใจแข็งได้ ยังไงลูกชายของเธอก็ยังเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งที่ต้องการพ่อเพื่อมาทำให้เขามีความสุขและคอยปกป้องเขาเหมือนคนอื่น ๆ เด็กคนนี้น่ะไม่ผิดเลย… สิ่งเดียวที่ผิดพลาด คือการที่เธอต้องแยกจากเหนียนซี่โดยไม่ได้ต้องการนั่นต่างหาก
ไม่อย่างนั้นแล้วลูกชายของเธอจะเป็นแบบนี้ได้อย่างไร?
และเธอเอง…ก็คงไม่ต้องทนทุกข์กับแผลในใจเช่นนี้หรอก
เธอถอนหายใจช้า ๆ และหันไปฝืนยิ้มให้กับลูกชายของตนขณะพาเขากลับไปนั่งโต๊ะด้วย “ฝูซิง จำได้ไหมว่าหม่ามี๊สอนอะไรลูกไว้? จงสุภาพกับคนอื่น นอกจากนี้ก็ต้องใจเย็นและรอบคอบด้วย”
“หม่ามี๊ ฝูซิงจำได้ว่าหม่ามี๊สอนอะไรไว้ แต่ทำไมป๊ะป๋าไม่คุยกับฝูซิงล่ะ?” ฝูซิงยังคงไม่สามารถปล่อยวางเรื่องนี้ได้ “หม่ามี๊ ผู้หญิงไม่ดีคนนั้นเป็นแฟนป๊ะป๋าเหรอ?”
“ฝูซิง! จำไว้ว่าหานซือฉีไม่ใช่พ่อของลูก พ่อของลูกน่ะชื่อเหนียนซี่! หม่ามี๊ต้องแยกจากกับพ่อของลูกโดยไม่ได้ตั้งใจ และเขาจะต้องตามหาพวกเราแน่ ๆ ! จากนั้นเขาก็จะรักพวกเรามากที่สุด!” ฝูเจิ้งเจิ้งเหลือบมองฝูซิงอีกครั้ง ก่อนจะเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นขอโทษคนอื่น ๆ “มันเป็นความผิดของฉันเองที่ไม่สอนฝูซิงให้ดี เลยทำให้ต้องมาทำลายบรรยากาศมื้ออาหารของเธอ…”
“แต่ป๊ะป๋าจะตามหาพวกเราจริง ๆ ใช่ไหม? เขาจะไม่ลืมพวกเราหลังจากห่างหายกันไปนานใช่หรือเปล่า?” ฝูซิงเริ่มร้องไห้ออกมา
สวี่เหยียนรีบเข้ามาปลอบฝูซิง “ไม่ต้องห่วงนะ ป๊ะป๋าน่ะจะต้องไม่ลืมฝูซิงแน่ ๆ”
เสี่ยวอี้เฉิงเองก็รีบหยิบกล่องป็อปคอร์นมาให้ฝูซิง “ไม่ร้องนะคนเก่ง มานี่เร็ว ป็อปคอร์นของโปรดเราไง”
อย่างไรก็ตาม ฝูซิงในตอนนี้ไม่สนใจอะไรแล้วทั้งนั้น เขาร้องไห้ออกมาเสียงดังด้วยความผิดหวัง
ฝูเจิ้งเจิ้งเองก็ไม่มีอารมณ์จะกินข้าวต่อแล้ว เพราะงั้นเธอจึงอุ้มฝูซิงขึ้นมาไว้ในอ้อมกอด ก่อนจะพูดขอโทษทั้งสองอีกทีหนึ่ง “ฉันจะพาฝูซิงกลับไปก่อน…ไว้พวกเรามากินข้าวกันใหม่นะ”
แม้สวี่เหยียนอยากจะถามว่าอีกฝ่ายพักอยู่ที่ไหน แต่เสี่ยวอี้เฉิงก็ส่ายหน้าเบา ๆ ให้เธอเสียก่อน และเธอก็เข้าใจดีว่าไม่ควรถาม สวี่เหยียนเดินเข้าไปสัมผัสที่หัวของฝูซิงเบา ๆ ก่อนจะพูดด้วยความเป็นห่วง “เจิ้งเจิ้ง กลับไปดูแลซิงซิงก่อนเนอะ ยังไงเขาก็ยังเป็นเพียงเด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งเท่านั้นเอง”
ฝูเจิ้งเจิ้งพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับลูกชายของเธอที่กำลังร้องไห้อยู่ในอ้อมแขน
ระหว่างทางกลับบ้าน ฝูซิงที่ซบอยู่ในอ้อมแขนฝูเจิ้งเจิ้งจู่ ๆ ก็พูดขึ้นมา “หม่ามี๊ ฝูซิงจะเรียกเขาว่าป๊ะป๋าได้ไหมถ้าเจอหน้าเขาอีก?”
ก้มลงไปมองใบหน้าเปื้อนน้ำตาของผู้เป็นลูกชาย ฝูเจิ้งเจิ้งก็เจ็บปวดไปทั้งหัวใจ แต่เธอก็ยังพยายามกัดฟันพูดต่อ “ไม่จ้ะ เรียกเขาว่า คุณลุงหาน ก็พอ”
แววตาของฝูซิงค่อย ๆ ริบหรี่ลงไปทันที เด็กน้อยหลบสายตาและไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
ภาพนี้เป็นภาพที่เธอไม่อยากจะเห็นมากที่สุด และสิ่งเดียวที่เธอทำได้ ก็มีเพียงกอดลูกชายของตนไว้แน่น ๆ เท่านั้น
เมื่อถึงบ้าน ฝูเจิ้งเจิ้งจัดแจงให้ฝูซิงไปนอนบนเตียง ในขณะที่เธอก็หยิบกระเป๋าเดินทางออกมาเพื่อเก็บเสื้อผ้าของพวกเธอเอาไว้ ในตอนเช้าก็จะได้สามารถออกจากที่นี่ได้เลย
ทว่าเมื่อเปิดตู้เสื้อผ้าออกมา เธอก็พบว่าเสื้อผ้าของเธอนั้นมีแต่ตัวที่หานซือฉีซื้อให้ทั้งนั้น หากไม่ใช่เขาซื้อให้เองก็เป็นเสื้อผ้าที่ซื้อด้วยเงินของเขา ฝูเจิ้งเจิ้งยิ้มอย่างขมขื่นก่อนจะหยิบเอามาแค่เสื้อผ้าเรียบง่ายบางตัวเพื่อที่จะสวมแล้วเก็บมันลงไปในกระเป๋าเดินทางใบนั้น
หญิงสาวหยิบกระเป๋าถือออกมาและเปิดเพื่อเช็คดูว่ามีอะไรต้องเอาออกบ้าง ซึ่งสิ่งที่ได้ก็มีบัตรเครดิต เงินสดแล้วก็โทรศัพท์ที่เขาซื้อให้ เธอปิดเครื่องให้เรียบร้อยและวางเรียงไว้ด้วยกันบริเวณโต๊ะข้างเตียง
นอกจากนั้นเธอยังส่งข้อความไปบอกถึงความคิดคร่าว ๆ ของตนให้กับหยางเต๋าอีกด้วย ซึ่งหยางเต๋าก็ตอบรับเธอด้วยการรีบจองตั๋วสำหรับให้เธอและลูกชายสามารถกลับเมือง A ได้ในวันพรุ่งนี้
หลังจากที่เก็บโทรศัพท์เครื่องเล็กลงไปแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็ค่อย ๆ เอนตัวนอนลงและมองไปรอบ ๆ พื้นที่เล็ก ๆ ที่เรียกว่าบ้านมาจนเริ่มจะคุ้นชินแล้ว เมื่อคิดว่าจะต้องจากไป น้ำตามันก็เริ่มไหลออกมา
เปลือกตาค่อย ๆ ปรือปิดช้า ๆ และพยายามที่จะละทิ้งทุกอย่างผ่านการถอนหายใจ เธอจะเอาความทรงจำครั้งนี้กลับไปด้วยไม่ได้ หรือจะให้มันมามีผลกับการใช้ชีวิตต่อจากนี้ไม่ได้เด็ดขาด
พักผ่อนให้เต็มที่ฝูเจิ้งเจิ้ง และเมื่อไหร่ที่เธอตื่นขึ้นมา ชีวิตที่สงบสุขพร้อมกับฝูซิงก็อยู่แค่เอื้อมแล้ว
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานขนาดไหนกว่าที่เธอจะผล็อยหลับไปเพราะความเหนื่อยอ่อน แต่เพียงแค่ได้หลับไปครู่หนึ่ง เสียงของบางสิ่งบางอย่างก็ดังขึ้นบริเวณประตู…กลอนนั่น…กำลังถูกปลดล็อกจากภายนอก!
—————————————————————————————–
คุยกับผู้แปล
เจ็บปวด… *ดูดชานมไข่มุก*
-ทีมงานผู้แปล Enjoybook-