ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 44 ปีศาจ!
บทที่ 44 ปีศาจ!
ฝูเจิ้งเจิ้งลืมตาตื่นและลุกไปเปิดประตูทันที แล้วเธอก็พบว่า ผู้ที่กำลังจะเข้ามานั้นก็คือเฉินเฉี่ยวหลานนั่นเอง
เฉินเฉี่ยวหลานเองที่เห็นว่าฝูเจิ้งเจิ้งกำลังมองเธอด้วยแววตาตกใจ ตัวเธอเองก็ผงะถอยหลังไปเช่นกัน
ใบหน้าสวยยิ้มอย่างเขินอายและเกาหัวตัวเองเบา ๆ “ฉ-ฉันคิดว่าเป็นโจรซะอีก…”
“ไม่มีโจรเข้ามาในบ้านหลังนี้ได้หรอกค่ะ” เฉินเฉี่ยวหลานเดินเข้าไปหาฝูเจิ้งเจิ้งพร้อมยิ้มให้แก่อีกฝ่ายก่อนจะเหลือบมองฝูซิงที่กำลังหลับปุ๋ยอยู่ด้วยความอ่อนโยน “ซิงซิงบอกฉันไว้ว่าเขาอยากกินโจ๊กข้าวดำเมื่อวันก่อน พอดีว่าฉันว่างก็เลยทำไว้ นี่ก็ขึ้นมาดูเผื่อเขาจะตื่นแล้ว แต่ดูสิ ดูท่าจะมาเร็วไปหน่อย หลับปุ๋ยเชียว”
แสงแดดที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งรีบหันไปมองนาฬิกา แล้วเธอก็พบว่านี่มัน 7 โมงแล้ว ดังนั้นเธอจึงรีบปลุกฝูซิงทันที
“ให้เขานอนต่อก็ได้นะคะ…” ก่อนที่เฉินเฉี่ยวหลานจะได้พูดจบ ฝูซิงก็ลืมตาขึ้นมา
เขาขยี้ตาไปมาด้วยความงัวเงียแล้วเอ่ยทักทายด้วยเสียงหวาน “อรุณสวัสดิ์ครับป้าเฉิน”
“อรุณสวัสดิ์ซิงซิง วันนี้ก็เป็นเด็กดีเหมือนเคยนะ” เฉินเฉี่ยวหลานเดินเข้ามาลูบใบหน้านุ่มนิ่มของเจ้าตัวเล็ก
หลังจากที่เปลี่ยนเสื้อผ้ากันแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็เดินนำลงไปข้างล่างพร้อมกระเป๋าถือของเธอ
ทั้งสองทานข้าวเช้ากันจนเสร็จ เธอก็พาฝูซิงไปส่งโรงเรียนต่อในทันที
โรงเรียนในวันนี้เงียบสงบจนไม่เหมือนปกติ ทุกสิ่งดูไม่มีการเคลื่อนไหว จะมีก็แต่ผู้อำนวยการโรงเรียนกับชายที่อยู่ในชุดเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังออกท่าออกทางกันอยู่ในสนามเด็กเล่นเล็ก ๆ เท่านั้น
เห็นเช่นนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็ประหลาดใจ ‘เกิดอะไรขึ้นที่โรงเรียนนะ?’
“หม่ามี๊ ดูสิ นั่นคุณตำรวจ!” ฝูซิงร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น
ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะความบังเอิญหรือว่าอะไร แต่ฝูซิงนั้นชอบตำรวจเป็นพิเศษมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว
“ชู่วววว—” ก่อนที่ฝูเจิ้งเจิ้งจะได้หยุดปากเจ้าตัวเล็กไว้ ทั้งสองคนที่กำลังคุยกันอยู่ ณ สนามเด็กเล่นก็ได้ยินเสียงพวกเธอจนกำลังหันมามองทั้งสองคนแล้ว
ผู้อำนวยการโรงเรียนชิงถามก่อนด้วยความสงสัย “คุณแม่ของฝูซิง มาทำอะไรที่นี่วันนี้กันน่ะครับ?”
ทันทีที่โดนคำถามเช่นนั้น ฝูเจิ้งเจิ้งก็ตระหนักได้ทันทีว่าวันนี้เป็นวันอาทิตย์ มิน่าล่ะถึงไม่มีเด็กคนไหนมาโรงเรียนเลย
เมื่อเห็นว่าฝูซิงดูจะสนอกสนใจชายในชุดตำรวจมากเป็นพิเศษ ผู้อำนวยการโรงเรียนก็อธิบายให้พวกเธอฟังด้วยรอยยิ้ม “คนนี้คือเจ้าหน้าที่จี เขารับผิดชอบดูแลความปลอดภัยในโรงเรียนน่ะครับ วันนี้เขาก็มาตรวจสอบตามปกติอยู่แล้ว”
ฝูเจิ้งเจิ้งยิ้มให้เจ้าหน้าที่จี ทว่าตอนนั้นเองเธอก็ชะงักไป
กลับกลายเป็นว่า เจ้าหน้าที่จีที่ว่านั้นก็คือ จีหมู่เซี่ยนคนนั้น! และการที่เขามาในชุดตำรวจนี้มันก็ทำให้เธอจำได้ทันทีว่าเขาคนนี้แหละ คือตำรวจที่เคยช่วยเธอไว้เมื่อ 6 ปีที่แล้ว!
ไม่แปลกใจเลยจริง ๆ ที่เธอจะรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น แต่เพราะการพบกันแต่ละครั้งนั้นมันค่อนข้างจะผิดที่ผิดเวลาไปเสียหน่อย มันเลยทำให้เธอคิดว่าเขาคนนี้เป็นคนไม่ดีมาตลอด ไม่เคยคิดเลยจริง ๆ ว่าคนคนนี้จะเป็นคนนั้น
อย่างไรก็ตาม ถึงเขาจะเป็นคนช่วยชีวิตเธอไว้ก็จริง แต่เธอก็ไม่ได้ชอบเขาหรอกนะ
ตลอดหลายปีมานี้เธอเอาแต่โทษจีหมู่เซี่ยน เพราะเขาทำให้เธอต้องอยู่ห่างจากโลกภายนอกด้วยเหตุผลที่ว่าต้องปกป้องตัวเธอเอาไว้ และด้วยเหตุนี้ เธอจึงต้องพลัดพรากจากเหนียนซี่ไป
เธอคิดเรื่องนี้อยู่บ่อยครั้งมาก ว่าถ้าหากเธอสามารถออกมาได้เร็วกว่านี้ และรีบตามหาเหนียนซี่ บางทีสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันอาจจะเป็นเพียงฝันร้ายในค่ำคืนหนึ่งก็ได้
แต่ไม่ว่าเธอจะขอร้องจนน้ำตานองหน้าขนาดไหน เขาก็ปฏิเสธไม่ให้เธอออกมาทุกครั้งไป
สุดท้ายเมื่อเธอไม่สามารถตามหาตัวเหนียนซี่ได้ ความหงุดหงิดและความโกรธมันก็ทำให้เธอต่อว่าการกระทำของจีหมู่เซี่ยนต่อหัวหน้าสำนักงานรักษาความปลอดภัยที่เขาทำงานอยู่
ทว่าดูเหมือนความยิ่งใหญ่จะไม่ได้อยู่กับเขาตลอดไป แม้ว่าเมื่อ 6 ปีก่อนเขาจะแข็งแกร่งขนาดไหน และมีชัยชนะเหนือกว่าเธออย่างไร แต่ในท้ายที่สุด ณ ปัจจุบันเขาก็เป็นเพียงตำรวจชุมชนคนหนึ่ง เห็นดังนั้นแล้วฝูเจิ้งเจิ้งก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมา
จีหมู่เซี่ยนนั้นจำฝูเจิ้งเจิ้งไม่ได้ แต่เขาก็มีประหลาดใจบ้างเมื่อเห็นว่าอารมณ์ของหญิงสาวนั้นเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาเห็นฝูซิง ชายหนุ่มก็ถามออกมาด้วยความสงสัย “ลูกของคุณเหรอ?”
ก่อนที่ฝูเจิ้งเจิ้งจะได้ตอบ ฝูซิงก็เป็นฝ่ายพูดเสียเอง “สวัสดีครับคุณตำรวจ ฝูซิงชื่อว่าฝูซิง ส่วนคนนี้หม่ามี๊ฝูซิงเอง”
เขาเปลี่ยนเป้าหมายมาหาเด็กน้อยฝูซิงก่อนจะย่อลงให้ใกล้เคียงกัน ใบหน้าที่ดูสับสนนั้นคลี่คลายลงมาบ้างก่อนจะถามคำถามออกไปต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฝูซิง เธออายุเท่าไหร่แล้ว?”
“ก็ต้องเป็น 6 ขวบอยู่แล้ว!” จริง ๆ แล้ว ฝูซิงนั้นอายุเพียง 5 ขวบกว่าเท่านั้น แต่เพราะตัวเขาไม่อยากให้ใครมาบอกว่าเด็ก จึงมักจะบอกว่า 6 ขวบแล้วตลอด
จีหมู่เซี่ยนคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะบ่นพึมพำ “6 ขวบงั้นเหรอ…เป็นไปไม่ได้…”
“เป็นไปได้นะ! ฝูซิง 6 ขวบแล้วจริงๆ นะ! ถ้าไม่เชื่อที่ฝูซิงพูดล่ะก็ ถามหม่ามี๊เลยก็ได้!” ฝูซิงรีบกระตุกเสื้อของฝูเจิ้งเจิ้งทันทีเพื่อไม่ให้ตนเองถูกมองว่าเป็นเด็กโกหกอีก
ฝูเจิ้งเจิ้งพยักหน้าอย่างเหม่อลอย
จีหมู่เซี่ยนไม่ได้มองไปยังฝูเจิ้งเจิ้งเลย เขาเพียงแค่ลูบหัวของฝูซิงก่อนจะพูดพร้อมยิ้มให้ “ฉันเชื่อเธอ หนุ่มน้อย”
เมื่อผู้อำนวยการโรงเรียนเห็นจีหมู่เซี่ยนแสดงท่าทีอ่อนโยนออกมา เขาก็พูดเสริมขณะที่ตนเองกำลังยิ้มกว้าง “เจ้าหน้าที่จี ดูเหมือนว่าคุณเองก็จะชอบเด็กๆ เหมือนกันสินะครับ”
ฝูซิงรีบแย้งขึ้นมาอีกครั้ง “ไม่ใช่หรอกครับ คุณตำรวจน่ะไม่ได้ชอบเด็กทุกคน เขาแค่ชอบเด็กที่น่ารักๆ อย่างฝูซิงเท่านั้น ใช่ม้า? คุณตำรวจ?”
“ฮ่าๆๆๆ ใช่แล้วๆ” จีหมู่เซี่ยนหัวเราะออกมาเสียงดัง
ยิ่งได้ยินเช่นนั้น ฝูซิงก็ยิ่งได้ใจใหญ่ เขาสลัดตัวเองออกจากมือของฝูเจิ้งเจิ้งแล้ววิ่งเข้าหาจีหมู่เซี่ยนเพื่อถามนู่นถามนี่ไม่หยุดหย่อน
ในตอนนั้น ฝูเจิ้งเจิ้งก็นึกถึงธุระของเธอขึ้นมาได้ ดังนั้นเธอจึงปล่อยให้ฝูซิงอยู่กับจีหมู่เซี่ยนไปก่อน ส่วนตัวเธอก็แอบไปคุยกับผู้อำนวยการโรงเรียนอยู่ห่างๆ “ฉันจะมาลาออกให้ฝูซิงน่ะค่ะ คุณพอจะช่วยจัดการให้ได้ในวันนี้เลยไหมคะ?”
ผู้อำนวยการโรงเรียนถามกลับด้วยความกังวล “ทำไมถึงอยากมาลาออกล่ะครับ? มีอะไรที่ทางโรงเรียนทำให้ไม่สบายใจหรือเปล่า?”
“ไม่ค่ะไม่” ฝูเจิ้งเจิ้งรีบยกมือปัดก่อนจะอธิบาย “มันเป็นเหตุผลส่วนตัวของฉันน่ะค่ะ ผ.อ.มั่นใจได้เลยว่าโรงเรียนของคุณนั้นเยี่ยมยอดมากๆ … จริงๆ นะ”
ได้ยินเช่นนั้นผู้อำนวยการโรงเรียนก็รู้สึกโล่งอก แต่เขาก็จำเป็นต้องตอบกลับอย่างช่วยไม่ได้ “พวกเราไม่สามารถทำเรื่องใดๆ ได้ในวันหยุดน่ะครับ ถ้าเป็นพรุ่งนี้จะได้ไหม? เดี๋ยวผมจะรีบจัดการให้ตั้งแต่เช้าวันพรุ่งนี้เลย”
“แต่ว่าฉันต้องรีบออกจากที่นี่วันนี้ คุณพอจะช่วยให้ได้วันนี้เลยไม่ได้เหรอคะ?”
เมื่อเห็นว่าฝูเจิ้งเจิ้งดูจะรีบจริงๆ ผู้อำนวยการก็นิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น “ซิงซิงเป็นนักเรียนในชั้นของคุณครูหลี่ ถ้ายังไงเดี๋ยวผมจะขอให้เธอมาที่นี่แล้วเราค่อยมาสรุปกันอีกทีนะครับ”
“ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ” ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกโล่งใจ ในตอนที่ผู้อำนวยการโรงเรียนกำลังโทรศัพท์ เธอก็เดินแยกไปหาฝูซิง
“หม่ามี๊ คุณตำรวจคนนี้เยี่ยมยอดไปเลย” ฝูซิงชิงเอ่ยมาก่อนที่เธอจะได้เดินเข้าถึงตัว และฝูเจิ้งเจิ้งก็เพียงมองจีหมู่เซี่ยนแบบผ่านๆ เท่านั้น
“คุณฝูครับ พวกเราเคยพบกันมาก่อนหรือเปล่า?” จีหมู่เซี่ยนปลุกความกล้าของเขาขึ้นมา และเอ่ยถามในที่สุด นั่นเพราะสิ่งนี้มันกวนใจเขามาพักใหญ่ๆ แล้ว
ฝูเจิ้งเจิ้งรู้ดีว่า “เจอกันมาก่อน” ที่เขาหมายถึงนั้น น่าจะเป็นช่วงก่อนที่ไปเจอกันที่สวนสนุกแน่ๆ เพราะงั้นเธอจึงแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจคำถามของเขา “เจ้าหน้าที่จีนี่ขี้ลืมจังเลยนะคะ”
ได้ยินน้ำเสียงตอบกลับที่เย็นชาของฝูเจิ้งเจิ้งแล้ว จีหมู่เซี่ยนก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ เขาโบกมือลาฝูซิงแล้วจึงออกจากที่นี่ไป
“บ๊ายบาย คุณตำรวจ~”
ฝูเจิ้งเจิ้งมองจนกระทั่งจีหมู่เซี่ยนหายไปจากสายตา เธอเริ่มคิดแล้วว่า ที่เขาวิ่งไล่โจวปิงอย่างเอาเป็นเอาตายนั้น อาจจะไม่ใช่เรื่องทวงหนี้แน่ๆ… มันน่าจะมีอะไรซับซ้อนกว่านั้น
“เจ้าหน้าที่จีไปแล้วเหรอครับ? แย่จริง ไปไหนมาไหนมาอย่างกับเงา” ผู้อำนวยการโรงเรียนผู้ที่เพิ่งเดินออกมาจากออฟฟิศพูดกับตนเอง จากนั้นเขาก็หันมาหาฝูเจิ้งเจิ้งและบอกกับเธอ “คุณครูหลี่จะมาถึงที่นี่ในอีกสักครู่ ช่วยรอก่อนนะครับ”
“ได้ค่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ” หลังจากที่จีหมู่เซี่ยนไปแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งจึงหันกลับมามองคู่สนทนาก่อนจะยิ้มบางๆ ให้
ไม่กี่นาทีต่อมา หลี่เสี่ยวเมิ่งก็รีบวิ่งเข้ามาหน้าตาตื่นพร้อมช่วยเซ็นเอกสารต่างๆ ที่ผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมไว้ให้ฝูซิง
เมื่อเสร็จธุระแล้ว ทั้งสองแม่ลูกก็พากันกลับบ้านของหานซือฉีไปอีกครั้ง ซึ่งนั่นก็เป็นเวลาเกือบจะ 10 โมงแล้ว
เพียงแค่เดินเข้าประตูรั้วไป ฝูเจิ้งเจิ้งก็เห็นว่ารถของหานซือฉีนั้นจอดอยู่กลางสวนขนาดใหญ่นี้
มันช่างเป็นการจอดรถที่ดูขี้เกียจเสียเหลือเกิน แค่ขับไปจอดในโรงรถดีๆ ก็สิ้นเรื่อง
หลังจากที่เธอแอบบ่นพฤติกรรมของเขาในใจไปแล้ว ความรู้สึกแย่ๆ ก็ดันก่อตัวขึ้นมาอีกราวกับมีลางร้ายกำลังคืบคลานเข้ามา
แล้วทุกอย่างก็ได้ประจักษ์ ในทันทีที่หญิงสาวเปิดประตูเข้าไป เธอเห็นหานซือฉียืนอยู่ในห้องนั่งเล่นแล้ว
“กลับมาแล้วเหรอคะ?” เฉินเฉี่ยวหลานถามด้วยรอยยิ้ม
“อ-อืมค่ะ…” ฝูเจิ้งเจิ้งตอบคำถาม แต่สายตาเธอนั้นกลับจ้องไปที่คนที่อยู่ในห้องนั่งเล่นตอนนี้
ฝูซิงเองก็กระโดดโลดเต้นอย่างดีใจเมื่อเห็นว่าหานซือฉีอยู่ที่นี่ ทว่าแทนที่เขาจะเรียก ‘ป๊ะป๋า’ เหมือนตามปกติ ครั้งนี้เขากลับเรียก ‘คุณลุงหาน’ แทนด้วยความตะกุกตะกัก
คำว่า ‘คุณลุงหาน’ นั้นทำให้หานซือฉีหน้าตึงเครียดขึ้นมาทันที อารมณ์ที่นิ่งสงบของเขาพลันเดือดพล่านขึ้นอย่างรวดเร็ว และแววตาที่มองไปยังฝูเจิ้งเจิ้งเองก็ไม่ใช่แววตาเย็นชาเหมือนตอนนั้น ราวกับคนละคน
เฉินเฉี่ยวหลานที่เลี้ยงดูหานซือฉีมาตั้งแต่เด็กก็รับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ ดังนั้นเธอจึงรีบคว้าตัวฝูซิงมาแล้วขึ้นชั้นบนไปทันที
ภายในห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่นั้น เหลือเพียงคน 2 คนที่อยู่ในอารมณ์อึมครึมกันทั้งคู่ นอกจากเสียงเข็มนาฬิกาที่เดินตามปกติแล้ว ในห้องนี้ก็ไม่มีเสียงอะไรหลุดรอดออกมาอีก
“เธออยากจะย้ายออกเหรอ?” เสียงของหานซือฉีดังขึ้นแทรก มันก้องกังวาลไปทั่วทุกมุมห้อง และด้วยเสียงนี้มันก็ทำให้อุณหภูมิภายในห้องนั่งเล่นนี่เยือกเย็นลงอีกหลายเท่า
ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว เขาได้รับโทรศัพท์จากทั้งเฉินเฉี่ยวหลานและหลี่เสี่ยวเมิ่ง คนหนึ่งบอกว่าฝูเจิ้งเจิ้งเก็บเสื้อผ้าและของจำเป็นลงกระเป๋าไว้แล้วเหมือนเตรียมจะย้ายออก ส่วนอีกคนก็บอกว่าฝูเจิ้งเจิ้งกำลังพาฝูซิงไปลาออกที่โรงเรียน ตัวเขาเองก็พบว่าเธอปิดโทรศัพท์หนีไปแล้วด้วย
ด้วยเหตุนี้เลยทำให้ชายหนุ่มกลับมาบ้านทันที เขาบุกเข้าห้องของเธอและพบว่าทั้งโทรศัพท์ บัตรเครดิตและเงินสดถูกวางไว้อย่างเรียบร้อยอยู่ที่โต๊ะข้างเตียงแล้ว
เมื่อเห็นว่าฝูเจิ้งเจิ้งยังคงเงียบไม่ตอบอะไร หานซือฉีก็เดินเข้ามาหาเธอพร้อมกับพูดย้ำคำถามเดิมอีกครั้ง “เธอกล้าดียังไงจะย้ายออกจากที่นี่โดยไม่ได้รับอนุญาต?”
แต่เดิมนั้นฝูเจิ้งเจิ้งกำลังอยู่ในอาการเสียใจ แต่เมื่อเห็นท่าทีจองหองของเขา ความเสียใจเปลี่ยนเป็นความโกรธในทันที “ฉันมีเท้าของฉันนะคะ เพราะงั้นมันเป็นเรื่องของฉันว่าจะไปไหนหรือไม่ไป”
“เรื่องของเธองั้นเหรอ?” หานซือฉีเหยียดยิ้ม “อย่าลืมสิว่าเธอน่ะเป็นคนของฉันตลอดเดือนนี้น่ะ”
“เป็นคนรับใช้ค่ะ!” ทันทีที่เธอแก้คำผิดให้เขา เธอก็ตระหนักได้ว่าตนเดินหมากผิดเสียแล้ว
“ดีมาก ไหนนับซิว่าเดือนนี้เหลืออีกกี่วัน”
“ถูกไล่ออกแล้ว ทำไมฉันยังต้องเป็นคนรับใช้ให้คุณหานอีกล่ะคะ? ตอนนี้ฉันเป็นอิสระแล้วนี่!” เธอเชิดหน้าเถียงเขาอย่างท้าทาย
หานซือฉีหรี่ตาและเหลือบมองต่ำลงมายังหญิงสาวก่อนจะพูดอย่างเย้ยหยัน “แล้วเธอจ่ายหนี้ที่สร้างไว้ให้บริษัทเว่ยหานแล้วหรือยัง? แล้วเรื่องหนี้ของสวี่เหยียนที่เธอบอกจะแบกรับแทนล่ะ?”
ฝูเจิ้งเจิ้งหัวเสียขึ้นเรื่อยๆ นี่เขากำลังปั่นหัวเธอเล่นหรือยังไง “คุณหานไล่ฉันออกแต่ก็ไม่ยอมให้ฉันไปไหน สรุปแล้วคุณหานต้องการอะไรกันแน่คะ!”
“ในเดือนนี้ เธอจะได้ไปไหนหรือไม่ มันขึ้นอยู่กับฉัน” พูดจบก็ขว้าแขนงามดึงเข้ามาใกล้ตน
“ทำไมกัน…”
“เพราะเธอกำลังชดใช้หนี้ฉันอยู่ ฉันที่เป็นเจ้าหนี้จะสั่งให้เธอทำอะไรก็ได้ และเธอต้องทำ” น้ำเสียงเด็ดขาดของหานซือฉีก้องกังวานไปทั่วห้อง
“นี่มันไม่ยุติธรรมเลยนะคะ!” ฝูเจิ้งเจิ้งพยายามสะบัดแขนของตนออกอย่างแรง
ปีศาจ! นี่ฉันเผลอทำสนธิสัญญากับปีศาจเพียงแค่แลกข้าวเปลือกเม็ดเดียวไปเสียแล้ว!
“นอกจากนั้น” หานซือฉีไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยแขนเธอเลย แถมเขายังดูไม่สนใจด้วยว่าเธอจะเป็นอย่างไร “ข้อตกลงระหว่างฉันกับฝูซิงยังไม่จบ เธอไม่มีสิทธิ์ไปบอกเขาให้เรียกฉันว่า ‘คุณลุง’ ”
เมื่อหานซือฉีพูดถึงฝูซิง ฝูเจิ้งเจิ้งก็นึกภาพของลูกชายที่ร้องไห้อย่างเศร้าโศกเมื่อคืนได้ และภาพนี้มันทำให้เธอระเบิดความโกรธออกมา “หานซือฉี! ฉันไม่เคยคิดเลยว่านายจะเป็นคนที่เห็นแก่ตัวขนาดนี้! นายก็แค่อยากจะทำให้ตัวเองมีความสุขไม่ใช่หรือไง!? นายเคยคิดถึงความรู้สึกของคนอื่นบ้างไหม? นายรู้ไหมว่าเมื่อคืนฝูซิงเศร้าขนาดไหนที่นายไม่แยแสเขา! นายรู้ไหมว่าเด็กคนนั้นร้องไห้นานเท่าไหร่เพียงเพราะแค่นายไม่สนใจ!” ความเจ็บปวดทุกอย่างที่สุมอยู่ในใจของเธอก็พรั่งพรูออกมา
ความรู้สึกต่างๆภายในแววตาที่เย็นชาของหานซือฉีกำลังขัดแย้งกันไปหมด ทว่าทุกอย่างก็สงบลงไปในทันทีเช่นกัน เขาไม่ได้พูดอะไรต่อและเดินขึ้นไปข้างบนเงียบๆ
“ทำไมไม่ตอบฉันมาเล่า!” ฝูเจิ้งเจิ้งไม่ยอมแพ้ เธอรีบเดินตามขึ้นไปติดๆ
เมื่อปลอดคนแล้ว ห้องนั่งเล่นที่เคยคุกรุ่นไปด้วยไฟทะเลาะก็ค่อยๆ สงบลงอีกครั้ง
ในตอนนั้นเอง ร่างของหญิงสาวคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่หน้าประตูบ้าน
—————————————————————————————
คุยกับผู้แปล
ใครอี๊กกกกกกกกกกก
-ทีมงานผู้แปล Enjoybook-