ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 45 แผนการ
บทที่ 45 แผนการ
เจ้าของร่างนั้นคือเฉียวเค่อเหริน
หญิงสาวจ้องมองประตูบ้านอย่างเกลียดชังเธอยังยืนนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น แต่ท้ายสุดเธอก็เพียงแค่ถอนหายใจและเดินจากที่นี่ไป
———————-
มวลอากาศเย็นเริ่มเข้าปะทะเมือง B แล้ว ลมหนาวที่หวนมาจากทางเหนือในปีนี้ก็ยังคงเป็นศัตรูตัวฉกาจกับผิวของคนหลายๆ คนดังเดิม
“นี่ อย่าวิ่งไปทั่วโรงเรียนนะ ไม่งั้นถ้าป่วยล่ะก็ หม่ามี๊จับไปฉีดยาแน่” ฝูเจิ้งเจิ้งพาฝูซิงไปส่งที่หน้าประตูโรงเรียนเหมือนดั่งที่เคย
“ฝูซิงรู้แล้ว” หลังจากที่รับทราบความเป็นห่วง ฝูซิงก็วิ่งฉิวเข้าไปทักทายหลี่เสี่ยวเมิ่งที่ยืนรอเด็กๆ อยู่ที่หน้าประตูทันที “อรุณสวัสดิ์ครับ คุณครูหลี่ ยืนตรงนี้หนาวไหมครับ?”
“อ๊า ฝูซิง!” หลี่เสี่ยวเมิ่งดูจะมีความสุขมากๆ เมื่อเห็นฝูซิงกลับมาเรียนอีกครั้ง เธอเดินเข้าไปหาเขาพร้อมกับจับมือของเขาไว้ “ดีใจที่ได้กลับมาเรียนต่อนะจ้ะ ครูล่ะไม่อยากให้เธอไปที่อื่นเลย”
ฝูเจิ้งเจิ้งยิ้มให้หลี่เสี่ยวเมิ่งและมองฝูซิงเดินเข้าโรงเรียนไปพร้อมหลี่เสี่ยวเมิ่งเงียบๆ
ทว่าขณะที่ทั้งสองกำลังจะเข้าประตูอาคารไปแล้ว ฝูซิงก็รีบหันกลับมาแล้วตะโกนบอกเธออีกรอบ “หม่ามี๊ อย่าลืมที่สัญญากับฝูซิงไว้นะ!”
“ไม่ลืมหรอก พ่อนักชิมตัวเปี๊ยก” ฝูเจิ้งเจิ้งตอบกลับด้วยรอยยิ้มพร้อมโบกไม้โบกมือให้เขาด้วย
หลายวันมานี้เฉินเฉี่ยวหลานเป็นคนทำอาหารตลอด เพราะงั้นมันเลยทำให้ฝูซิงคิดถึงอาหารฝีมือฝูเจิ้งเจิ้งเอาเสียมากๆ เขาน่ะอยากกินเนื้อตุ๋นฝีมือเธอแบบสุดๆเขาจึงขอให้เธอช่วยทำให้กิน
หลังจากที่ส่งเจ้าลูกชายตัวแสบเข้าโรงเรียนเรียบร้อย ฝูเจิ้งเจิ้งก็เดินอย่างสบายอกสบายใจไปยังซูเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลโรงเรียนอนุบาลนัก
เมื่อไปถึง บรรยากาศของที่นี่ก็ทำให้เธอต้องประหลาดใจ นั่นเพราะภายในซูเปอร์มาร์เก็ตนั้นมีคนอยู่เพียงน้อยนิดเท่านั้น มันเลยทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งไม่ต้องไปเดินเบียดหรือแย่งของกับใคร เพียงไม่นานเธอก็ได้ของที่ต้องการครบทุกอย่าง
ในขณะที่กำลังออกจากโซนอาหาร เด็กผู้หญิงราวๆ 5-6 ขวบก็วิ่งเข้ามาทางเธอ
“ระวัง!” ฝูเจิ้งเจิ้งรีบหยุดเดินในทันใด แต่ดูเหมือนมันจะสายไป
ทั้งสองชนกันแรงในระดับหนึ่ง แต่มีเพียงเด็กสาวเท่านั้นที่กระเด็นล้ม
ฝูเจิ้งเจิ้งรีบเดินเข้าไปช่วยสาวน้อยให้ลุกขึ้นยืน ซึ่งในตอนนั้นครอบครัวของเด็กสาวก็เข้ามาพอดี พวกเขาขอโทษฝูเจิ้งเจิ้งก่อนจะพาตัวเด็กน้อยคนนั้นไป
เมื่อเห็นว่าเด็กที่เข้ามาชนเธอนั้นดูจะไม่เป็นไร ฝูเจิ้งเจิ้งก็โล่งอก เธอยิ้มและกลับไปเลือกซื้อของอย่างอื่นต่อ
เมื่อซื้อของเสร็จหมดทุกอย่างแล้ว เธอก็เดินมายังจุดชำระเงิน ทว่าเมื่อหากระเป๋าเงินภายในกระเป๋า ก็พบว่ามันไม่มี ทั้งๆที่ปกติมันควรจะเปิดมาแล้วเจอเลยแท้ๆ หญิงสาวยิ้มให้แคชเชียร์ด้วยความเขินอายก่อนจะหยิบเอาของเหล่านั้นกลับออกไปจากจุดชำระเงินก่อน
เธอตั้งใจว่าเดี๋ยวกลับไปเอากระเป๋าตังค์ที่บ้าน แล้วค่อยกลับมาจ่ายเงินอีกครั้ง แต่เมื่อเธอเดินผ่านสัญญาณกันขโมยที่ติดไว้ตรงประตู เสียงของสัญญาก็ดังขึ้นมาทำให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลายคนรีบวิ่งเข้ามาล็อคตัวฝูเจิ้งเจิ้งไว้ในทันที
“พวกคุณจะทำอะไรน่ะ!?” ฝูเจิ้งเจิ้งประหลาดใจ แต่ร่างกายของเธอก็ตอบสนองไปก่อนด้วยสัญชาตญาณในการป้องกันตัว พอรู้ตัวอีกที ตนก็เผลอโยนกระเป๋าที่ถือมาด้วยออกไปเรียบร้อยแล้ว
“ไม่น่าเชื่อ ผู้หญิงคนนี้เป็นกังฟูงั้นเหรอ?” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ
“รีบๆ ไปจับเธอได้แล้ว!”
หลังจากที่เกิดเสียงดังโครมครามอยู่พักหนึ่ง ปรากฏการณ์จีนมุงก็เริ่มก่อตัวมากขึ้นๆ
“คุณผู้หญิง ผมคือผู้จัดการของซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งนี้ ผมแนะนำให้คุณให้ความร่วมมือกับทางเราด้วยเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาไปมากกว่านี้!” ชายคนหนึ่งในชุดสูทบีบแน่นเดินเข้ามาและตะโกนบอกกับฝูเจิ้งเจิ้ง
หญิงสาวยังคงสับสน ทันทีที่เห็นยามที่คว้ากระเป๋าของเธอได้กำลังจะเปิดซิปออก ความโกรธก็ทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งวิ่งเข้าไปถีบยามคนนั้นจนกระเด็นปลิวออกไป แต่เมื่อพบว่าด้านในกระเป๋านั้นว่างเปล่าสิ่งของของเธอที่เคยมีกลับหายไป หญิงสาวก็ตกใจไม่น้อยและอุทานออกมา “นี่มันไม่ใช่กระเป๋าของฉันนี่!?”
ผู้จัดการซูเปอร์มาร์เก็ตสแยะยิ้มอย่างไม่เชื่อ “แล้วทำไมคุณถึงถือกระเป๋าที่ไม่ใช่ของคุณอยู่ล่ะครับ คุณผู้หญิง? แบบนี้มันก็หมายความว่าคุณเป็นหัวขโมยใช่หรือเปล่า? จับหัวขโมยนี่ไว้!”
ความกลัวเข้าครอบงำฝูเจิ้งเจิ้งอีกครั้ง นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมจู่ๆ เธอถึงกลายเป็นหัวขโมยได้?
ในหัวของเธอตอนนี้พยายามนึกย้อนกลับไปว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ที่นึกออกก็มีเพียงตอนที่เธอไปช่วยเด็กสาวให้ลุกขึ้นยืนเท่านั้นที่สายตาไม่ได้อยู่กับกระเป๋าของตน
หรือว่ากระเป๋าของเธอจะโดนสับเปลี่ยนไปตอนนั้นงั้นเหรอ!?
ขณะที่หญิงสาวกำลังฟุ้งซ่านกับความคิดอยู่นั้น ยามตัวโตหลายๆ คนก็ยืนล้อมเธอไว้หมดแล้ว
ผู้จัดการร้านเดินเข้าไปหยิบสิ่งๆ หนึ่งออกมาจากกระเป๋าที่หญิงสาวปฏิเสธว่าไม่ใช่ของตน ก่อนจะพูดขึ้นอย่างได้ใจ “คุณผู้หญิง นี่น่ะ ชัดเจนเลยนะว่าคุณขโมยของจากที่นี่ มีอะไรอยากจะแก้ตัวไหม?”
ฝูเจิ้งเจิ้งพยายามอธิบาย “ฉันไม่ได้ขโมยอะไรทั้งนั้นนะคะ! บางทีนี่มันอาจจะเป็นแผนของใครก็ได้ ไม่เชื่อคุณลองไปตรวจสอบดูจากกล้องวงจรปิดภายในซูเปอร์มาร์เก็ตเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนเลยก็ได้!”
เขาดูท่าจะไม่สนใจที่เธอพูดแล้วหันไปส่งสัญญาณให้ยามทั้งหลายพาตัวฝูเจิ้งเจิ้งไปยังออฟฟิศของเขา
ที่ห้องส่วนตัวของผู้จัดการ
หลังจากที่เหล่ายามทั้งหลายออกไปและปิดประตูห้องแล้ว ผู้จัดการร้านก็หันกลับมามองฝูเจิ้งเจิ้งพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “คุณผู้หญิง พวกเราสงสัยว่าคุณขโมยของ…”
“ฉันไม่ได้ขโมย!” ฝูเจิ้งเจิ้งเถียงขึ้นทันควัน
ผู้จัดการหนุ่มจึงพูดอย่างจริงจังมากขึ้น “พวกเรามีทั้งประจักษ์พยานรวมถึงของกลาง คุณผู้หญิงจะมาปฏิเสธแบบนี้ไม่ได้! ผมแจ้งตำรวจไว้แล้ว เพราะงั้นเชิญคุณนั่งรอตำรวจมาอยู่ในนี้ก่อนก็แล้วกัน”
เธอจ้องมองไปยังผู้จัดการร้านที่กำลังทำตัวเบิกบานใจหลังจากบีบบังคับให้เธอเป็นขโมยได้สำเร็จ แม้ว่าตัวเธอกำลังเหยียดหยามเขาอยู่ แต่ในใจกลับเป็นกังวลเช่นกัน
เมื่อไหร่ที่เธอโดนจับไปพร้อมกับของกลางนี่ หากไม่อธิบายกับทางสถานีตำรวจให้ดีล่ะก็ มีหวังข่าวกระจายไปทั่วเมือง ความอับอายจะได้ฝังลึกลงไปชั่วลูกชั่วหลานเป็นแน่
ทางฝั่งผู้จัดการที่คิดว่าฝูเจิ้งเจิ้งคงจะสำนึกผิดได้แล้ว เขาจึงแสร้งทำเป็นพูดด้วยน้ำเสียงเสียอกเสียใจ “อ๋า ช่างน่าเสียดายจริงๆ ที่สาวสาวสวยอย่างคุณผู้หญิงต้องมาข้องเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้ ถ้าหากคุณแต่งงานล่ะก็ คงไม่ต้องมาตรากตรำขโมยนู่นขโมยนี่เพื่อหาเลี้ยงชีพตัวเองแบบนี้หรอก”
ขณะที่ชายหนุ่มกำลังพูดกับเธอ มือของเขาก็ยื่นเข้ามาจับที่ใบหน้าของฝูเจิ้งเจิ้งพร้อมกับลูบไล้เชยชมใบหน้านั้นด้วยความเสน่หา หญิงสาวอยากทึ้งหน้าไอ้โรคจิตคนนี้จริงๆ แต่ด้วยตอนนี้มือของเธอถูกยามพวกนั้นพันธนาการไว้น่ะสิ
“ออกไปนะ!” แต่ฝูเจิ้งเจิ้งไม่ยอมตามเกมของเขา เธอสะบัดตัวออกด้วยความรู้สึกขยะแขยงแบบสุดๆ
ผู้จัดการร้านรีบผละตัวออกด้วยความโกรธ เขาถอยออกมาตั้งหลักก่อนจะใช้แรงกดร่างของหญิงสาวลงไปกับพื้น “เธอมันก็แค่นังหัวขโมย! จะทำตัวหยิ่งยโสไปถึงไหนฮะ! ฉันอุตส่าห์พูดกับเธอดีๆ เพราะตีค่าเธอไว้มาก แต่ตอนนี้ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ฉันจะยัดเยียดความทรงจำอันแสนสุขให้เธอไม่รู้ลืมเลย!” เขาพยายามจะซุกใบหน้าลงบนคอระหงของหญิงสาว
ฝูเจิ้งเจิ้งที่มือถูกมัดอยู่นั้นตระหนักได้ว่าวิกฤตกำลังมาถึง เธอจึงรีบพลิกหนีด้วยความคล่องแคล่ว แล้วถีบผู้จัดการอ้วนให้ลงไปนอนกองอยู่กับพื้นแทนโดยที่ไม่ใช่มือแม้แต่น้อย
ชายอ้วนผู้นั้นกลิ้ง ไปกับพื้นจนหัวใหญ่ๆ ของเขากระแทกเข้ากับขาโต๊ะอย่างรุนแรง และไม่นานต่อจากนั้น เลือดสีแดงก็ไหลออกมาจากแผลของเขา
“อ๊าาาาาาาาาาา” เสียงโอดครวญของเขานั้นเรียกให้ยามทั้งหลายรีบวิ่งเข้ามาภายในนี้ และเมื่อพวกเขาเห็นภาพที่เกิดขึ้น ทุกๆ คนกลับแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ และเข้าจับกุมตัวฝูเจิ้งเจิ้งไว้อีกครั้ง ถึงแม้ว่าจริงๆ แล้วคนเหล่านี้จะรู้อยู่เต็มอก
“นังโง่! แกกล้าดียังไงมาปฏิเสธความหวังดีที่ฉันมอบให้แบบนี้น่ะ! ช่างหัวมัน ไปเรียกตำรวจมาเร็วๆ!” ผู้จัดการหนุ่มอ้วนคนนี้โกรธจัด ใบหน้าที่ฉาบไปด้วยเลือดนั้นดูชั่วร้าย
การต่อสู้ย่อมๆ เมื่อครู่นั้นทำให้ผมของหญิงสาวยุ่งเหยิงไปหมด สภาพนี้ดูก็รู้ว่าใครเป็นเหยื่อกันแน่
ถ้าหากไม่ติดว่ามือเธอถูกมัดไว้ล่ะก็ บางทีผู้จัดการร้านโรคจิตคนนั้นอาจจะไม่ได้โดนแค่ถีบก็ได้ คนแบบนี้สมควรโดนผู้คนรุมกระทืบจริงๆ
ในท้ายที่สุด ฝูเจิ้งเจิ้งก็ถูกจับส่งสถานีตำรวจใกล้ๆ ซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งนั้นในฐานะขโมย
“ชื่อ?”
“ฝูเจิ้งเจิ้ง”
“อายุ?”
ขณะที่เธอกำลังก้มหน้าก้มตาตอบคำถามพวกนั้น หญิงสาวก็รู้สึกว่าเสียงของเจ้าหน้าที่ที่ถามเธอนั้นมันช่างคุ้นหูเสียเหลือเกิน และเมื่อเงยหน้าขึ้นมา เธอก็พบว่าคนตรงหน้าเธอก็คือ จีหมู่เซี่ยน!
หญิงสาวรีบยืนขึ้นด้วยความตื่นเต้น “เจ้าหน้าที่จี เรื่องนี้เป็นเรื่องเข้าใจผิดนะคะ!”
“นั่งลงก่อน นั่งลง” ตำรวจอีกคนหนึ่งรีบเข้ามาจับเธอให้นั่งลงไว้
“อายุ?” จีหมู่เซี่ยนที่มีหน้าที่ถามก็ถามคำถามเดิมอีกครั้ง
บ้าเอ๊ย นี่จับมาในฐานะขโมยจริงหรอเนี่ย? ทำไมถามอย่างกับไปฆ่าใครตายซะอย่างงั้นเล่า?
อย่างไรก็ตาม เธอเองก็เป็นตำรวจหญิงคนหนึ่ง เพราะงั้นเธอจะไม่ยอมให้เรื่องเข้าใจผิดเกิดขึ้นได้แน่ๆ!
แต่การโดนถามซ้ำๆ มันก็น่ารำคาญอยู่ดี ด้วยเหตุนี้เธอจึงตอบอย่างจำใจ “24”
จากนั้นเธอก็พูดเสริม “ฉันไม่ได้ขโมยอะไรทั้งนั้น ใครบางคนวางแผนที่จะขโมยของๆ ฉันไปต่างหาก ถ้าหากไม่เชื่อล่ะก็ พวกคุณไปตรวจดูจากกล้องวงจรปิดภายในร้านเลยก็ได้ แล้วเราจะได้เห็นความจริงกัน”
“ผู้จัดการร้านนั้นบอกว่า เธอไม่เพียงแต่ไม่สำนึกผิด แต่เธอยังทำร้ายเขาด้วย”
“ก็ไอ้ผู้จัดการอ้วนนั่นจะลวนลามฉันนี่! ที่ไปทำให้หัวหมอนั่นแตกมันก็ถือว่าเป็นการป้องกันตัวได้ไม่ใช่เหรอ?”
จีหมู่เซี่ยนขมวดคิ้ว “ป้องกันตัวเองงั้นเหรอ? ผู้จัดการนั่นบอกมาว่า เธอน่ะขโมยของไม่สำเร็จ ก็เลยคิดจะใช้มารยาล่อลวงเขา แต่เพราะเขาปฏิเสธเธออีก เธอก็เลยทำร้ายเขาเพื่อจะหลบหนี เขาน่ะมีพยานเต็มไปหมดเลยนะ”
ได้ยินคำพูดของเขาที่เหมือนว่าจะเข้าทางผู้จัดการอ้วนนั่น ฝูเจิ้งเจิ้งก็รู้สึกจนใจในตอนนี้เธอท้อแท้อยากจะร้องไห้เอามากๆ
อยากจะโทรเรียกหยางเต๋าเสียเหลือเกิน แต่เธอก็รู้ดีว่า ต่อให้หยางเต๋าจะมา แต่เขาก็อาจจะรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ไม่ได้เช่นกัน เพราะแบบนี้ทางที่ดี เธอควรจะเปลี่ยนไปขอร้องชายตรงหน้านี้แทนดีกว่า
“เจ้าหน้าที่จี ฉันน่ะเป็นผู้บริสุทธิ์จริงๆ นะคะ คุณต้องช่วยฉันนะ” ฝูเจิ้งเจิ้งพูดอย่างอ่อนแอ
แต่จีหมู่เซี่ยนไม่สนใจ “ฉันไม่รู้จักเธอ ทำไมฉันถึงต้องช่วยเธอด้วย? ยิ่งไปกว่านั้น เธอนั่นแหละ ทำตัวน่าสงสัย”
“ไม่ใช่ว่าพวกเราเจอกันก็ตั้งหลายครั้งเหรอคะ?” ฝูเจิ้งเจิ้งยิ้มหวาน
จีหมู่เซี่ยนวางโน๊ตบุ๊คที่ใช้เก็บข้อมูลเมื่อครู่ไว้บนโต๊ะก่อนที่เตรียมจะออกจากห้องไป
ทันใดนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็ตะโกนมาอีกครั้ง “เจ้าหน้าที่จี! ฉันรู้นะคะว่าคุณรู้ว่าฉันเป็นผู้บริสุทธิ์! คุณต้องช่วยฉัน! เจ้าหน้าที่จี คุณเป็นคนรักความถูกต้องไม่ใช่เหรอ!”
เจ้าหน้าที่หนุ่มหยุดฝีเท้าและหันกลับมามองฝูเจิ้งเจิ้ง พลางถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “บอกฉันมาว่าเราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อน? ”
คำถามนี้อีกแล้ว!
ในตอนที่ฝูเจิ้งเจิ้งกำลังตัดสินใจที่จะพูดออกไป เธอก็นึกได้ถึงเรื่องที่เธอเอาจีหมู่เซี่ยนไปบ่นเสียๆ หายๆ ให้กับหัวหน้าของเขาฟังเมื่อตอนที่เธอออกมาได้ครั้งที่แล้ว ดังนั้นหัวใจของเธอมันก็ดำดิ่งลึกลงไปอีกทันที แท้จริงแล้ว สาเหตุที่ทำให้เขาถูกลดตำแหน่งมาแบบนี้มันจะเกี่ยวกับเรื่องในวันนั้นหรือเปล่านะ? ถ้าจำไม่ผิดเหมือนว่าจีหมู่เซี่ยนเองก็จะเป็นตำรวจอยู่ในพื้นที่นี้มาหลายปีแล้วด้วย
เขาจะยังเจ็บปวดกับเรื่องนี้อยู่หรือเปล่านะ?
เธอตัดสินใจรีบๆ ตอบออกไปก่อน “ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้เราก็พบกันตั้งหลายรอบแล้วเหรอคะ? ที่สวนสนุก ที่ถนนหลิวอวิ๋น รวมไปถึงที่ห้องเทียนหงอีก คุณน่ะเป็นคนมีคุณธรรมสูง แล้วก็มีศักดิ์ศรี นอกจากนั้นคุณยังคอยลงโทษสิ่งไม่ดีอยู่เรื่อยๆ ด้วย ดังนั้นหากฉันจะชมบ้างมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใช่ไหม?”
จีหมู่เซี่ยนจ้องมองไปยังฝูเจิ้งเจิ้งอยู่พักใหญ่ๆ ก็จะยกมือบอก “เธอไปได้”
ฝูเจิ้งเจิ้งไม่อยากจะเชื่อ เลยถามย้ำ “ฉันไปได้เหรอ?”
“หรือว่าอยากเข้าคุกก่อน? รีบๆ ออกไปได้แล้ว ทางนั้น” จีหมู่เซี่ยนบ่นเธอก่อนจะเดินออกไป
สิ่งนี้มันราวกับความฝันเลย ทั้งๆ ที่เมื่อครู่นี้ยังโดนจีหมู่เซี่ยนสอบปากคำอยู่แท้ๆ อยู่ดีๆเขาก็ดันเป็นฝ่ายช่วยเธอซะนี่
เธอแอบถามข้อมูลจากหลายๆ คนจนรู้ว่าจีหมู่เซี่ยนนั้นเพิ่งจะไปจัดการเรื่องคดีนี้ให้เธอมาเมื่อครู่เลย เขาคนนี้รู้นิสัยเจ้าเล่ห์ของผู้จัดการร้านดี ทันทีที่เขาบอกว่าจะขอดูกล้องวงจรปิด ผู้จัดการร้านก็จะแสร้งทำเป็นพูดว่า เขาให้อภัยฝูเจิ้งเจิ้งแล้ว เรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นจากความเข้าใจผิด เขาไม่ติดใจเอาความอะไรแล้วทั้งนั้น
เรื่องทั้งหมดมันกลายเป็นว่า จีหมู่เซี่ยนรู้อยู่ตั้งแต่ต้นแล้วว่าเธอนั้นบริสุทธิ์จริง แต่เขาแสร้งทำเป็นข่มขู่ให้กลัวเพื่อที่จะล้วงเอาความจริงจากเธอ แผนสูงนักนะ!
โชคร้ายหน่อยนะ ที่ฉันไม่โง่!
ฝูเจิ้งเจิ้งแอบรู้สึกขอบคุณตัวเองอยู่ลึกๆ เพราะถ้าหากจีหมู่เซี่ยนรู้ว่าเธอเป็นใครแล้วล่ะก็ เขาอาจจะกลับไปบอกให้ผู้จัดการอ้วนนั่นถอนคำสารภาพก็ได้…
ทางที่ดีอย่าไปยั่วโมโหคนคนนี้จะดีกว่า คิดได้ดังนั้น เธอก็รีบออกจากที่นั่นทันที
เมื่อฝูเจิ้งเจิ้งกลับมาถึงบ้าน เฉินเฉี่ยวหลานก็ประหลาดใจที่เห็นเธอเดินกลับมามือเปล่า หญิงสาวโกหกเฉินเฉี่ยวหลานไปว่า กระเป๋าเธอถูกขโมย ซึ่งมันทำให้เฉินเฉี่ยวเหลานหวาดกลัวกับสิ่งที่เธอพูดนี้และกำชับให้ฝูเจิ้งเจิ้งดูแลตนเองให้ดีในคราวหน้า
หลังจากที่จัดการเรื่องที่ต้องทำเสร็จหมดแล้ว ความเบื่อหน่ายก็เริ่มกลับมาเยือนฝูเจิ้งเจิ้งอีกครั้ง ทันใดนั้นเอง เธอก็นึกขึ้นได้ว่าเธอยังมีงานที่ต้องทำ งานที่ควรจะเป็นของเธอ ก็ควรจะเป็นของเธอ ไม่ใช่ของสวี่เหยียนดังนั้นแล้วเธอจึงตัดสินใจที่จะไปเอางานที่ค้างอยู่กลับมาทำที่บ้าน
แต่แล้วเมื่อฝูเจิ้งเจิ้งมาถึงบริษัท บรรยากาศโดยรอบก็เปลี่ยนไปในทันที ทุกคนภายในบริษัทตีตัวออกห่างเธอ รวมถึงบางคนก็แอบกระซิบกระซาบกันเรื่องเธอด้วย
แค่ถูกไล่ออกจากบริษัท ถึงกับต้องตีตัวออกห่างขนาดนี้เลยเหรอ?
ทำอย่างกับไม่เคยมีใครถูกไล่ออกจากบริษัทเลยซะอย่างนั้นแหละ!
ความมัวหมองมันเกิดขึ้นภายในใจของฝูเจิ้งเจิ้งตลอดทาง แต่ก่อนจะเศร้ามากไปกว่านี้ เธอก็วกกลับไปโทษหานซือฉีใหม่อีกรอบหนึ่ง ถ้าจะไล่ออกล่ะก็ ควรจะรักษาหน้าเธอโดยการเรียกไปเซ็นใบลาออกสิ!
เมื่อเธอมาถึงออฟฟิศรองประธานบริษัท เธอก็ไม่พบทั้งสวี่เหยียนที่ควรจะอยู่หน้าห้องรวมไปถึงหานซือฉีที่ควรจะอยู่ด้านใน บางทีเขาอาจจะไปเดตอยู่กับเฉียวเค่อเหรินก็ได้
ใบหน้าสวยบุ้ยปากขณะที่กำลังโกยเอกสารต่างๆ เพื่อใช้สำหรับทำงานบนโต๊ะของสวี่เหยียน และในตอนที่เธอเตรียมจะออกจากตรงนี้ไปพร้อมเอกสารกองใหญ่ สวี่เหยียนก็กลับมาพร้อมเหลือบมองคอมพิวเตอร์ของเธอด้วยความรอบคอบ
ฝูเจิ้งเจิ้งค่อยๆ เดินเข้าไปหาสวี่เหยียนก่อนจะเรียกให้เธอตกใจ “สวี่เหยียน!”
—————————————————————————————
คุยกับผู้แปล
แต้มบุญหมดอีกแล้วนะ คุณฝูเจิ้งเจิ้ง ไปทำบุญเพิ่มแต้มได้แล้ว!
-ทีมงานผู้แปล Enjoybook-