ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 46 คนซื่อสัตย์ไม่กลัวคำนินทาหรอก!
บทที่ 46 คนซื่อสัตย์ไม่กลัวคำนินทาหรอก!
“สวี่เหยียน?”
สวี่เหยียนดูจะตกใจในการมาของเธอมาก หญิงสาวมีท่าทีตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด
ฝูเจิ้งเจิ้งมองท่าทีของสวี่เหยียนที่ดูแปลกไปด้วยความงุนงง ดูเหมือนว่าเจ้าตัวพยายามจะปกปิดอะไรไว้อยู่ ดังนั้นแล้วเธอจึงใช้ทุกวิถีทางเพื่อทำให้อีกฝ่ายหลุดออกจากตำแหน่งที่ยืนขวางจอคอมพิวเตอร์ในตอนนี้
สิ่งที่สวี่เหยียนพยายามปกปิดไว้นั้น เป็นภาพของตัวอักษรขนาดใหญ่ที่เห็นเพียงแวบเดียวก็จำได้ยันตายแล้ว ข้อความนั้นระบุไว้ว่า “โจรสาวสวย : จัดฉากเล่นละครหลังจากขโมยของไม่สำเร็จ : ผันตัวจากโจรเป็นนังแพศยาเที่ยวจับผู้ชาย”
และภาพที่อยู่ด้านล่างประกอบข้อความดังกล่าวนั้น ภาพหนึ่งเป็นภาพของกระเป๋าถือของเธอที่ถูกเทออกมาให้เห็นว่ามีของกลางอยู่ภายใน และอีกภาพก็เป็นภาพของผู้จัดการร้านที่กำลังให้สัมภาษณ์กับนักข่าวเกี่ยวกับที่มาของแผลที่หัว
โฮ่ ภาพพวกนี้เพิ่งจะถูกโพสต์ลงไปบนอินเตอร์เน็ตด้วยนี่? บิดเบือนความจริงกันจนเละเทะไปหมดแล้ว!
ใครทำกันนะ?
เจ้าผู้จัดการอ้วนนั่นเหรอ? หรือว่า…จีหมู่เซี่ยน?
ดูเหมือนว่าวันนี้อารมณ์โกรธและฝูเจิ้งเจิ้งจะสลัดกันไม่หลุดจริงๆ เพราะถึงแม้จะพยายามทำตัวใจเย็นลงแล้ว แต่พักเดียวก็มีเรื่องให้โกรธปรี๊ดขึ้นมาได้อีก
“เจิ้งเจิ้ง อย่าเพิ่งโกรธไป นั่งลงก่อน” สวี่เหยียนกลัวว่าฝูเจิ้งเจิ้งที่เป็นมนุษย์พันธุ์บวกจะทำอะไรห่ามๆ อีก เธอจึงรีบดึงตัวเพื่อนสาวคนนี้ให้นั่งลงก่อน “ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้ทำแบบนั้นแน่ๆ แต่อย่าเพิ่งด่วนใช้อารมณ์ตัดสินใจอะไรเลยนะ ดูก่อนว่าเรื่องราวมันเป็นมายังไง”
หลังจากที่พยายามหายใจเข้าไปลึกๆ อยู่หลายครั้ง ฝูเจิ้งเจิ้งก็ใจเย็นลงมาได้นิดหน่อย เธอค่อยๆ อธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าให้สวี่เหยียนฟังแบบละเอียด
เมื่อได้ยินเรื่องทั้งหมดแล้ว สวี่เหยียนถึงกับปิดปากตนเองไว้ขณะที่อุทานออกมา “พระเจ้า! ใครกันนะที่ทำเรื่องแย่แบบนี้? อาจจะเป็นผู้จัดการนั่นก็ได้ที่โพสต์เรื่องแบบนี้ลงไปบนอินเตอร์เน็ต! แล้วว่าแต่เธอจะไปแก้ต่างกับคนอื่นยังไงให้ข่าวนี้ทั่วถึงน่ะ? ไม่สิ ก่อนจะได้แก้ต่าง ตอนนี้เธอจะใช้ชีวิตยังไงก่อน?”
ฝูเจิ้งเจิ้งไม่ตอบ เธอลุกขึ้นและเตรียมที่จะออกไป แต่สวี่เหยียนก็รั้งตัวเธอไว้อีก “จะไปไหนน่ะ เจิ้งเจิ้ง?”
“ซูเปอร์มาร์เก็ต!” ฝูเจิ้งเจิ้งพูดทิ้งท้ายแล้วพุ่งพรวดออกไปไม่สนแรงที่จับรั้งเธอไว้เเลย
เธอไปถึงซูเปอร์มาร์เก็ตได้โดยมีความโกรธคอยเป็นเพื่อนร่วมทางตลอด ในตอนนี้ที่หน้าประตูทางเข้านั้นมีกลุ่มคนจำนวนมากกำลังดูอะไรบางอย่างด้วยกันอยู่
ฝูเจิ้งเจิ้งค่อยๆ เบียดและแทรกตัวเข้าไปภายใน แล้วเธอก็พบว่าผู้จัดการอ้วนคนนั้นกำลังโดนผู้หญิงคนหนึ่งที่ตัวอ้วนกว่าเขาหยิกหูและดึงไปมาอยู่ “เจ้าบ้า! ถ้าแกไม่ไปพูดจาเสียๆ หายๆ ใส่เธอแบบนั้น เธอจะทำแบบนี้กับแกไหม? คิดว่ามีปากแล้วจะพูดอะไรก็ได้เหรอ? แบบนี้มันน่าตัดลิ้นจริงๆ!”
ขณะที่ตัวผู้จัดการชั่วนั้นไม่สามารถสู้แรงของสาวคนนี้ได้เลย เขาก็แหงนหน้าขึ้นฟ้าและพูดอ้อนวอนขอความเห็นใจ “โอ้ย! เข้าใจผิดแล้วที่รัก! ฉันโดนยัยผู้หญิงนั่นล่อลวงจริงๆ นะ!”
แม้เธอจะมายืนดูเงียบๆ แต่เหล่าคนอื่นที่มุงอยู่ก่อนหน้าแล้วต่างก็เริ่มหันมามองหน้าเธอเยอะขึ้นเรื่อยๆ มันเลยทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งต้องรีบสวมหมวกและเดินออกจากที่นี่ไป
ในตอนนี้ผู้จัดการชั่วนั่นกำลังกลัวเมียสุดๆ เพราะงั้นเขาไม่น่าจะมีเวลาว่างมาโพสต์เรื่องแบบนี้แน่ๆ
จีหมู่เซี่ยนเองก็ไม่น่าจะใช่คนที่โพสต์อะไรพวกนี้ด้วย เพราะงั้นภาพนี่น่าจะโพสต์โดยใครสักคนที่เป็นคนเปลี่ยนกระเป๋าเธอไป
แต่มันจะมีใครได้อีกนะ? มีคนที่เกลียดเธอขนาดที่อยากจะทำให้เธอเสื่อมเสียชื่อเสียงถึงเพียงนี้เลยเหรอ?
คิดไม่ออกเลยแฮะ
เอาจริงๆ ฝูเจิ้งเจิ้งก็ไม่ได้สนใจหรอกว่าคนอื่นๆ จะคิดกับเธออย่างไร แต่เธอแค่อยากรู้ว่าคนพวกนี้ทำแบบนี้ทำไมก็เท่านั้น
ตลอดทางที่เดินไปเรื่อย เธอก็เฝ้าคิดแต่เรื่องนี้ไปด้วย โดยที่ไม่รู้เลยว่าที่โรงเรียนอนุบาลนั้นก็กำลังวุ่นวายไม่น้อยไปกว่าในหัวเธอเหมือนกัน
“แม่ของฝูซิงเป็นขโมย! พวกเราจะไม่เล่นกับฝูซิงอีกแล้ว!”
“พ่อของฉันเองก็บอกว่า ขโมยเป็นคนไม่ดี แล้วก็จะต้องถูกจับเข้าคุก!”
“ฝูซิง แม่ของฝูซิงจะต้องถูกจับแน่ๆ! จากนั้นฝูซิงก็จะไม่ได้เจอแม่อีกเลย!”
เด็กๆ กลุ่มหนึ่งเข้าไปห้อมล้อมฝูซิงไว้ขณะที่แต่ละคนก็พูดเรื่องที่ฟังดูคล้ายๆ กัน ฝูซิงได้แต่กำหมัดไว้แน่นและเถียงออกมาอย่างไม่ยอมแพ้ “หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ! หม่ามี๊ของฝูซิงไม่ใช่ขโมย! หม่ามี๊ของพวกแกต่างหากที่เป็นขโมย!”
หลี่เสี่ยวเมิ่งที่กำลังเตรียมเครื่องดื่มไว้ให้เด็กๆ นั้นต้องรีบวางมือจากงานที่ทำแล้ววิ่งไปหาเด็กๆทันทีที่ได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย เธอดึงฝูซิงออกมาจากกลุ่มเด็กพวกนั้น พร้อมทั้งจ้องมองด้วยแววตาตำหนิเพื่อบอกให้เด็กๆ คนอื่นหยุดการกระทำเดี๋ยวนี้ “ห้ามพูดใส่ร้ายเพื่อนนะคะเด็กๆ ไม่งั้นล่ะก็ คุณครูจะไม่ให้ดอกไม้นะ!”
“คุณครูหลี่คะ ก็แม่ของเฉี่ยวเฉี่ยวพูดมาแบบนั้นนี่คะ” เด็กสาวคนหนึ่งพูด
“คุณครูหลี่คะ ถ้าคุณยังโทษว่าลูกฉันใส่ความเด็กคนนี้ล่ะก็ ฉันจะถือว่าคุณใส่ร้ายว่าฉันพูดไม่มีมูลเหตุนะ เพราะฉันน่ะเห็นด้วยตาตัวเองจากคอมพิวเตอร์ของฉันเลยว่าแม่ของเด็กคนนี้น่ะเป็นหัวขโมย!” แม่ของเฉี่ยวเฉี่ยวที่เดินเข้ามารับลูกของตนพูดเสียงดัง
หลี่เสี่ยวเมิ่งโอบกอดฝูซิงไว้และเริ่มปะทะคารมกับแม่ของเฉี่ยวเฉี่ยว “มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันค่ะ! หลายสิ่งหลายอย่างบนอินเตอร์เน็ตนั้นใช่ว่าจะเชื่อได้ทันทีที่เห็นนะคะ!”
ทว่าแม่ของเฉี่ยวเฉี่ยวก็ดูจะไม่สนใจฟังที่เธอพูดเลย หล่อนชี้ไปยังโต๊ะเล็กๆ แล้วพูดต่อ “ฉันจะมาขอให้คุณครูช่วยเปลี่ยนที่นั่งให้เฉี่ยวเฉี่ยวค่ะ พูดกันตามประสาแม่ลูกเลยนะ ฉันไม่อยากให้เฉี่ยวเฉี่ยวเข้าใจผิดว่าเป็นเพื่อนกับลูกหัวขโมยแบบนี้!”
“คุณแม่เฉี่ยวเฉี่ยวคะ ข่าวบนโลกออนไลน์น่ะ ต้องทำการตรวจสอบและยืนยันว่าเป็นความจริงก่อนนะคะ ไม่งั้น….” หลี่เสี่ยวเมิ่งยังคงพยายามอธิบายกับเธอ
“ฉันจะขอพบกับผู้อำนวยการโรงเรียนเดี๋ยวนี้เลย! ในเมื่อขอเปลี่ยนที่แล้วทำไม่ได้ ก็ย้ายโรงเรียนมันไปเลย! แล้วก็นะ ฉันคิดว่าไม่มีครอบครัวไหนหรอกที่อยากให้ลูกของพวกเขาเติบโตมากับพวกลูกขี้ขโมยหรอกนะคะ เพราะงั้นครูเองก็ด้วย เลิกโอ๋ผิดคนสักที!”
ครูสาวพูดอะไรไม่ออก เพราะยังไงซะตำแหน่งของเธอตอนนี้ก็เป็นแค่เพียงคุณครูคนหนึ่งเท่านั้น
ทันใดนั้นเอง ฝูซิงก็รีบผละตัวออกจากหลี่เสี่ยวเมิ่งแล้ววิ่งเข้าไปหาแม่ของเฉี่ยวเฉี่ยวพร้อมตะโกน “อย่ามาพูดไม่ดีนะ! หม่ามี๊ของฝูซิงไม่ใช่ขโมย! คุณป้าต่างหากที่เป็นคนไม่ดี!”
“เด็กไร้สัมมาคารวะอย่างเธอก็เหมาะกับการเป็นลูกนังขี้ขโมยดีนี่!”
“ไม่ต้องเสียใจไปนะฝูซิง ครูเชื่อเธอนะ” หลี่เสี่ยวเมิ่งอุ้มฝูซิงขึ้นมาและพาเขาไปยังออฟฟิศก่อน ขณะที่ขอให้ครูคนอื่นช่วยไปดูชั้นเรียนของเธอแทนชั่วคราว
“คุณครูหลี่ หม่ามี๊ของฝูซิงไม่ใช่ขโมยจริงๆนะ หม่ามี๊ของฝูซิงน่ะ เป็นหม่ามี๊ที่ดีที่สุดในโลกเลย!” เธอพยักหน้าเห็นด้วยกับฝูซิงทุกอย่าง อย่างน้อยๆ ก็ไม่อยากจะกดดันเด็กคนนี้ไปมากกว่านี้
“ครูรู้จ้ะ” ครูสาวปาดน้ำตาให้ลูกศิษย์ตัวน้อยเบาๆ จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหมายจะโทรหาฝูเจิ้งเจิ้ง แต่ก็พบว่าโทรศัพท์ของเธอนั้นถูกปิดเครื่องไว้ เธอเลยรีบโทรหาทางหานซือฉีแทนในทันที และไม่นานนัก ปลายสายก็รับโทรศัพท์
“ซือฉี คุณพอจะว่างมาที่โรงเรียนไหม? พอดีมันมีบางอย่างไม่ค่อยดีเกี่ยวกับฝูซิงน่ะ” หลังจากที่ได้รับการตอบกลับจากหานซือฉี หลี่เสี่ยวเมิ่งก็เบาใจลงนิดหน่อย
ครู่ใหญ่ๆ ต่อมา หานซือฉีก็เข้ามาด้วยความเร่งรีบ
ทันทีที่ฝูซิงเห็นหานซือฉีเด็กชายก็ร้องไห้ออกมาราวกับเขื่อนแตก “ป๊ะป๋า พวกเขาพูดว่าหม่ามี๊ของฝูซิงเป็นขโมย! หม่ามี๊ไม่ใช่หัวขโมยนะ! ฮือออออออออ”
หานซือฉีโอบกอดฝูซิงเอาไว้ขณะหันกลับมามองและถามหลี่เสี่ยวเมิ่ง “เกิดอะไรขึ้นน่ะ?”
——————————————-
ขณะที่สวมหมวกปกปิดใบหน้า ฝูเจิ้งเจิ้งก็เฝ้าคิดตลอดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่กว่าเธอจะมาถึงโรงเรียน เธอก็พบว่ามันเริ่มจะเย็นมากแล้ว จึงรีบวิ่งเข้าไปภายในทันที
ทว่าเมื่อเข้าไปหาฝูซิงที่ห้องเรียน เธอกลับไม่พบตัวเขา ดังนั้นหญิงสาวจึงรีบวิ่งตรงไปยังออฟฟิศของโรงเรียนแทนและพบว่าหานซือฉีกำลังคุยกับหลี่เสี่ยวเมิ่งอยู่โดยที่ในอ้อมแขนของเขามีฝูซิงอยู่ด้วย
หลี่เสี่ยวเมิ่งหันมาเห็นเธอก่อน จึงกล่าวทักทายด้วยสีหน้าที่ไม่เป็นธรรมชาติสักเท่าไหร่ “สวัสดีค่ะ คุณแม่ฝูซิง”
หานซือฉีหันมองตามสายตาของคนตรงหน้าก่อนจะสบตาฝูเจิ้งเจิ้งด้วยแววตาที่เยือกเย็น เขาหันกลับไปและพยักหน้าให้หลี่เสี่ยวเมิ่งอีกครั้งแล้วจึงลุกเดินออกไปพร้อมฝูซิงที่ยังอยู่ในอ้อมแขนดังเดิม
“ฮ-เฮ้!” เมื่อรู้สึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบตามเขาไปในทันที
ไม่ใช่ว่าเขาต้องอยู่กับเฉียวเค่อเหรินเหรอ? ทำไมถึงมารับฝูซิงได้ล่ะ? ไม่กลัวว่าเฉียวเค่อเหรินจะหาที่อยู่ตรงนี้เจอแล้วหรือไง?
หากบ้านที่พวกเธออยู่กันนั้นถูกเฉียวเค่อเหรินหาเจอ ทั้งเธอและลูกชายคงจะต้องอยู่ไม่สุขกันแน่ๆ!
ขณะที่คิดถึงเรื่องนี้ ฝูเจิ้งเจิ้งก็ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง หรือว่าจะเป็นเฉียวเค่อเหรินที่แทงข้างหลังเธออยู่?
“ขึ้นไปบนรถ” หานซือฉีออกคำสั่งด้วยเสียงเบา
เมื่อต้องสบตากับแววตาที่ไร้ซึ่งเยื่อใยนั่น เธอก็ต้องจำใจขึ้นรถไปอย่างขัดขืนไม่ได้
เมื่อเธอเหลือบไปเห็นดวงตาของฝูซิงที่ดูแดงก่ำ หัวใจของผู้เป็นแม่ก็สั่นคลอนขึ้นมาอีก ฝูเจิ้งเจิ้งรีบถามในทันที “ลูกเป็นอะไรไปน่ะ? ทะเลาะกับเด็กคนอื่นอีกแล้วเหรอ?”
“ไม่” ฝูซิงส่ายหน้า
“แล้วลูกร้องไห้ทำไม? ไม่สบายหรือเปล่า?” ไม่เพียงถามเปล่า เพราะสิ้นคำถาม ฝูเจิ้งเจิ้งก็ยื่นมือไปสัมผัสหน้าผากของเจ้าตัวเล็กด้วย
กระนั้นฝูซิงก็ยังส่ายหน้าอีก
คราวนี้เธอมองด้วยความสงสัยไปยังหานซือฉี หรือว่าเขาจะทำให้ลูกชายของเธอไม่สบายใจอีกแล้ว?
ในขณะที่เธอเตรียมจะถามคำถามออกไป หานซือฉีก็ขับรถเร็วราวกับจะเทคออฟออกจากสนามบินขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ และมันทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งต้องกอดลูกชายของตนไว้แน่นในทันที
หลังจากที่มาถึงบ้านของหานซือฉีแล้ว เขาก็เดินเข้าไปขอให้เฉินเฉี่ยวหลานพาฝูซิงไปดูแลด้านบนในขณะที่ตัวเขานั้นก็ลากฝูเจิ้งเจิ้งขึ้นไปชั้นบนด้วย
“ปล่อยฉันนะคะ! เป็นบ้าอะไรไปอีกเนี่ย!?” ฝูเจิ้งเจิ้งดิ้นเร่าขณะที่กำลังโดนลากเข้าไปในห้องของเขา วันนี้หานซือฉีใช้เท้าปิดประตูอย่างแรง เห็นได้ชัดเลยว่าเขาอารมณ์ไม่ดีขนาดไหน
เมื่อหันไปมองหน้าของเขา หญิงสาวก็พบว่าในแววตาที่เคยเยือกเย็นนั้น ตอนนี้กำลังลุกโชนไปด้วยเปลวไฟ เขากำลังโกรธและโกรธมากๆด้วย “ทำไมเธอถึงไม่บอกให้ฉันรู้หลังจากเกิดเรื่องใหญ่แบบนี้ขึ้น!”
“หา?” ไม่นานหลังจากนั้น เธอก็เข้าใจได้ว่าหานซือฉีกำลังพูดเรื่องอะไร “ภาพพวกนั้นมันถูกโพสต์ลงอินเตอร์เน็ตไปแล้ว บอกคุณหานไปแล้วมันจะช่วยอะไรได้คะ?”
หานซือฉีกัดฟันแน่น “ฉันหมายถึงเรื่องตอนที่เธออยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ต!”
“ฉ-ฉันคิดว่าคนที่ซื่อสัตย์อย่างฉันไม่จำเป็นต้องกลัวคำนินทาก็ได้…”
“ยัยโง่! ทำไมถึงมีของที่ไม่รู้ที่มา มาอยู่ในกระเป๋าของเธอได้? เรื่องแค่นี้ใช้สมองของเธอคิดเอาเองไม่ได้หรือไง?”
ฝูเจิ้งเจิ้งแหงนหน้ามองอีกฝ่าย นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เธอได้ยินถ้อยคำหยาบคายออกมาจากปากเขา ดูท่าจะโกรธจริงแฮะ
“ก็เพราะมันไม่ใช่กระเป๋าของฉันไงคะ มันถึงมีของที่ไม่รู้ที่มาอยู่! กระเป๋าของฉันมันถูกสับเปลี่ยน!”เธอยืนยันความจริงกับเขา
“ก็รู้นี่ว่าถูกสับเปลี่ยน แล้วทำไมไม่รีบโทรมาขอให้ฉันช่วย!?” อารมณ์ของชายหนุ่มในตอนนี้เริ่มเดือดขึ้นมาเพราะคนตรงหน้าอีกรอบ
“แล้วสรุปขอให้คุณหานช่วยมันจะได้ผลหรือไงคะ!” ฝูเจิ้งเจิ้งบนพึมพำ “พอโดนยามจับ ฉันก็ถูกส่งไปยังสถานีตำรวจเลย คุณหานเองก็ไม่ใช่สารวัตหรือผู้กำกับแท้ๆ…”
“เธอ!” หานซือฉีโกรธจนแทบจะพ่นไฟออกมา “ไม่ต้องให้ฝูซิงไปโรงเรียนพรุ่งนี้! ปล่อยให้เวลามันผ่านไปก่อน”
“ทำไมล่ะคะ?” ครูทั้งโรงเรียนรู้หมดแล้วเหรอ?
“จะมีหิมะตกหนัก 2 วัน เธอก็สอนหนังสือเขาอยู่บ้านซะ”
“แต่แบบนั้นมันจะไม่เป็นการสนับสนุนให้เขาเป็นเด็กขี้เกียจตั้งแต่เด็กๆ เหรอ…”
“เธอไม่มีสมองหรือยังไง? ช่วยรีบๆ เพาะพันธุ์มันสมองขึ้นมาในอนาคตอันใกล้นี้ด้วยนะ แล้วก็อย่าทำให้ฝูซิงเสียหน้าอีก!”
ถ้อยคำดูถูกเหยียดหยามด้วยสายตาเย็นชานั้นช่วยขยี้ความหมาย มันทำเอาใจของฝูเจิ้งเจิ้งปวดร้าวไปหมด “ฉันไม่ได้ทำให้เขาเสียหน้า! สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้มันเป็นอุบัติเหตุ! คิดว่าคนอย่างฉันจะเป็นขโมยไปได้ยังไงกันคะ! ฉันน่ะ…”
เมื่อเห็นว่าฝูเจิ้งเจิ้งหยุดพูดไปกลางคัน หานซือฉีก็ก้มหน้าไปมองเธอใกล้และย้ำถาม “เธอทำไม?”
“ฉัน…เอ่อ…ฉันเป็นคนดี! เป็นผู้ที่ปฏิบัติตนตามกฎหมายพลเมืองของประเทศนี้!” หลังจากพูดเช่นนี้ออกไป เธอก็เลิ่กลั่กไปหมด
“เธออยู่บ้าน แล้วก็สอนฝูซิงไปซะ ถ้าหากยังกล้าที่จะออกจากที่นี่แม้แต่ก้าวเดียว ก็เตรียมใจรับผลที่จะตามมาได้เลย” หานซือฉีพูดทิ้งท้ายด้วยคำขู่ก่อนจะเดินจากไป
ขู่อีกแล้ว…พูดเตือนดีๆ ไม่เป็นหรือไงน่ะ? ฝูเจิ้งเจิ้งบ่นในใจอยู่หลังประตู
ถ้าเรื่องนี้มันเกิดขึ้นในเมือง A ล่ะก็ เธอคงไม่ต้องเจอกับอะไรที่ทำให้ช้ำใจได้ขนาดนี้ เพราะเพียงแค่โชว์บัตรเจ้าหน้าที่ ทุกอย่างก็จบ และเมื่อกลับมาคิดเรื่องนี้ ไม่ว่ายังไงก็ไม่สามารถหายโกรธได้!
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เธอสูญเสียโทรศัพท์ที่จะใช้ติดต่อกับหยางเต๋าไปแล้ว บางทีตอนนี้เขาอาจจะกำลังรอให้เธอติดต่อเขาไปอยู่ก็ได้ อย่างน้อยๆ ตอนนี้เธอก็ต้องรีบหาทางติดต่อเขาให้ได้ ไม่งั้นแล้วภารกิจที่ทำอยู่คงได้มีปัญหาแน่ๆ!
ฝูเจิ้งเจิ้งแอบออกมายังระเบียงและเผอิญเห็นว่าหานซือฉีกำลังขับรถบึ่งออกไปอีกครั้ง ขับเร็วขนาดนี้ไม่ซื้อเจ็ทส่วนตัวไปเลยล่ะ?
หลังจากที่เขาหายลับตาไปแล้วพร้อมกับรถคู่ใจ เธอก็รีบวิ่งกลับเข้าไปในบ้านเพื่อหาเศษเหรียญจากในลิ้นชักและวิ่งดิ่งลงไปชั้นล่างอย่างรวดเร็ว
ทว่าก่อนที่เธอจะได้ออกนอกบ้าน เฉินเฉี่ยวหลานก็เดินเข้ามาขวางไว้เสียก่อน “คุณเจิ้งคะ ท่านซือฉีแนะนำให้คุณไม่ออกไปไหนในหลายวันนี้นะคะ เขาย้ำเตือนมาว่ามันอาจจะเกิดอันตรายได้ถ้าอยู่ด้านนอก”
“ป้าเฉินคะ ไม่เป็นไร ฉันแค่จะออกไปเดินเล่นเฉยๆ เอง”
แต่เฉินเฉี่ยวหลานก็ยังคงปฏิเสธที่จะให้เธอออกไป “ฉันคงไม่สามารถให้ออกไปได้หรอกค่ะ นี่เป็นคำสั่งของท่านซือฉี ดังนั้นฉันต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของคุณเจิ้งก่อนเป็นอันดับแรก”
ฝูซิงเองก็โผล่เข้ามาหยุดเธอด้วย “หม่ามี๊ ป๊ะป๋าบอกว่ามีหลายคนข้างนอกมองหม่ามี๊ว่าเป็นขโมย ถ้าหากหม่ามี๊ออกไป หม่ามี๊จะถูกตำรวจจับได้นะ แล้วก็จะโดนจับขังคุกด้วยนะ! ถ้าหม่ามี๊ถูกจับเข้าคุกล่ะก็ หม่ามี๊อาจจะโดนนักโทษคนอื่นๆ แกล้งเอาก็ได้!
เมื่อมองเห็นความพยายามในการกันไม่ให้เธอออกไปด้านนอกของทั้งสองคนขนาดนี้ ฝูเจิ้งเจิ้งก็แอบหงุดหงิด หากแต่เธอไม่ได้หงุดหงิดสองคนนี้ เธอหงุดหงิดเขานั่นแหล่ะหน็อยแน่..หานซือฉีเก่งกาจนักนะเรื่องล่อลวงคนอื่นเนี่ย!
เธอนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดใจและตอบรับความหวังดีของของทั้งสอง ทว่าฝูเจิ้งเจิ้งก็คือฝูเจิ้งเจิ้ง เธอแสร้งทำเป็นเชื่อฟัง จากนั้นก็ทานอาหารเย็นด้วยกันก่อนจะพาฝูซิงขึ้นไปนอน
พลันเมื่อฝูซิงหลับไปแล้ว เธอก็ปิดไฟในห้องให้มืดสนิท จากนั้นก็แอบย่องไปที่ระเบียงด้านนอกและไต่ตามเสาลงไปด้านล่างอย่างคล่องแคล่ว
ขณะที่ยืนอยู่ที่ประตูรั้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็คิดในใจ ‘ซิงซิง หลับให้นานๆนะลูก แล้วก็อย่าเผลอตื่นขึ้นมาระหว่างที่หม่ามี๊ไม่อยู่ล่ะ!’
ในจังหวะที่เธอกำลังจะหันหน้าและออกไปด้านนอกนั้นเอง เงาของมือข้างหนึ่งก็สัมผัสลงมาที่ไหล่ของเธอแบบไม่ทันได้ตั้งตัว
————————————————————————–
คุยกับผู้แปล
ปกติตำรวจสาวจีนนี่เค้าฝึกอะไรกันบ้างนะ? เหลือหลักสูตรไหนบ้างที่เธอยังทำไม่ได้อีก เจิ้งเจิ้ง?
-ทีมผู้แปล Enjoybook-