ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 50 จับไปอบรมศีลธรรม
บทที่ 50 จับไปอบรมศีลธรรม
ฝูเจิ้งเจิ้งปัดมือของเขาออกและพูดด้วยท่าทีเหยียดหยามกลับไปเช่นกัน “คุณหานควรพูดว่า ‘เธอเกลียดตระกูลหานของฉันจะตายไปไม่ใช่เหรอ?’ ต่างหากล่ะคะ!”
หานซือฉีขมวดคิ้ว “ดูท่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ สินะ”
“เป็นจริงแน่นอนค่ะ!”
“ฝูเจิ้งเจิ้ง ฉันคงจะประเมินเธอต่ำไปจริงๆ ”
เมื่อเห็นหานซือฉีกัดฟัน ฝูเจิ้งเจิ้งก็ยิ่งทำให้เขารำคาญมากยิ่งขึ้นด้วยการพูดประชดประชัน “หึ ขอบคุณที่ชมนะคะ ฮ่าๆๆ”
แววตาที่จ้องไปยังฝูเจิ้งเจิ้งของหานซือฉีนั้นพยายามระงับความโกรธของตนไว้ เขาเปิดปากพูดอีกครั้งหลังเงียบไปพักใหญ่ๆ “น้องรองของฉันคงไม่เหมาะกับเธอ”
“เฉียวเค่อเหรินก็ไม่เหมาะกับคุณหานเหมือนกัน” ฝูเจิ้งเจิ้งสวนกลับทันควันด้วยความโมโหโดยไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าน้องรองของเขาคือใคร
“ฉันรู้” ชายหนุ่มจ้องหน้าเธอด้วยสายตาที่อธิบายไม่ถูก
“คุณรู้?” ฝูเจิ้งเจิ้งทวนคำพูด “รู้แล้วก็ยังไปเดตกับเธอน่ะเหรอคะ?”
สวี่เหยียนเคยบอกเธอไว้ว่า หานซือฉีนั้นไม่อยากจะแต่งงาน แต่ดูเหมือนว่าเขากับเฉียวเค่อเหรินก็เข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยนี่ เพราะงั้นเธอเลยเริ่มสับสนขึ้นมาตั้งแต่ตรงนี้
“นั่นมันเรื่องของฉัน” ชายหนุ่มตอบเธอแบบห้วนๆ
อ่า พูดจาเย่อหยิ่งอีกแล้ว!
ฝูเจิ้งเจิ้งจึงหันหน้าไปทางอื่นและพูดด้วยความหยิ่งผยองบ้าง “คุณหานคิดว่าฉันอยากจะยุ่งเรื่องของคุณมากหรือไงคะ? ไร้สาระ คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?”
หานซือฉีอุ้มฝูซิงไปวางบนเตียงเบาๆ ก่อนจะหันกลับมาคว้าแขนของฝูเจิ้งเจิ้งอย่างรวดเร็วพร้อมกับใช้แรงที่มีมากกว่าของเขารั้งหญิงสาวมาไว้ในอ้อมแขนโดยที่เขาใช้เพียงมือข้างเดียวพันธนาการเธอไว้ ส่วนอีกข้างที่เป็นอิสระนั้นร้ายกาจ ใช้ความชำนาญของเขารั้งชุดนอนของเธอขึ้นสูง
ทว่าฝูเจิ้งเจิ้งที่ระวังตัวเมื่อต้องอยู่สองต่อสองกับหานซือฉีเป็นพิเศษนั้นก็รีบใช้มือไปกดปิดบริเวณนั้นเอาไว้เพื่อไม่ให้มันถูกเปิดไปมากกว่านี้ พร้อมทั้งข่มขู่คนตรงหน้าให้รีบปล่อยตัวเธอ “จะทำอะไรน่ะคะ! อย่าคิดขยับแม้แต่นิดเดียวนะ ไม่งั้นฉันจะไม่ออมมือแล้วแน่ๆ!”
“อย่าขยับ!” หานซือฉีกระซิบเบาๆข้างหูเธอ เขามองหญิงสาวที่กำลังแยกเขี้ยวตรงหน้าราวกับลูกแมวน้อยพร้อมสางผมด้านหลังของเธอไปพลาง “อย่าทำให้ซิงซิงตื่น” คำพูดของคนตัวโตเหมือนจะหวังดีแต่รอยยิ้มร้ายของเขาแบบนั้นมันทำให้คิดดีไม่ได้เลย
“ถ้าคุณหานไม่แตะต้องตัวฉัน ฉันก็จะไม่ส่งเสียงดัง!” หญิงสาวยังคงปัดป้องมือของเขาอยู่
ชายหนุ่มดูจะพอใจกับท่าทีของฝูเจิ้งเจิ้ง เขามองใบหน้าสวยเธอโดยที่ไม่ได้พูดอะไร ทันใดนั้นเขาก็ปล่อยมือจากเธอและลุกเดินออกจากห้องนั้นไป
“…” ฝูเจิ้งเจิ้งถอนหายใจอย่างโล่งอกพร้อมกับนั่งลงไปที่เตียงอีกครั้ง
หน้าไม่อายที่สุด! คิดจะเอาเปรียบฉันให้ได้เลยหรือยังไงกันน่ะ!
เทียบกับจีหมู่เซี่ยนแล้ว หานซือฉีน่ะควรจะโดนจับไปฝึกอบรมศีลธรรมซะบ้าง!
ทว่า ในขณะที่ฝูเจิ้งเจิ้งกำลังทำใจให้สงบลง หานซือฉีก็กลับเข้ามาอีกครั้ง
หญิงสาวเตรียมรับมือกับปีศาจหื่นกามอีกครั้ง ปีศาจที่มาพร้อมกับกล่องพยาบาลในมือ… เอ๊ะ?
หรือว่า…ที่พยายามถอดเสื้อน่ะ…ก็เพราะแบบนี้เหรอ? ไม่ใช่เพราะจะทำเรื่องอย่างว่าใช่ไหม…
หญิงสาวเริ่มรู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก
“ถอดเสื้อ แล้วลงไปนั่งนิ่งๆ!” เขาบอกกับเธอ
ครั้งนี้ฝูเจิ้งเจิ้งยอมถอดเสื้อและนั่งลงไปบนเตียงแต่โดยดี
ตั้งแต่สวี่เหยียนและเสี่ยวอี้เฉิงกลับไป เธอก็ง่วนอยู่กับการดูแลฝูซิงจนลืมที่จะดูตัวเองเลยว่าเป็นอะไรบ้าง
เธอนำเสื้อที่ถอดออกนั้นมาพาดไหล่เอาไว้ โดยที่บนตัวยังเหลือเสื้อกล้ามอยู่อีกชั้นหนึ่ง ในขณะที่หานซือฉีเองก็เปิดกล่องยาแล้วหยิบเอาสำลีและยาทาออกมาวางรอไว้บนโต๊ะ เขาโน้มตัวลงช้าๆ แล้วค่อยๆ ปัดปลายผมที่ปรกหน้าของหญิงสาวไปด้านข้าง แต่เพียงไม่นาน มันก็กลับลงมาปิดหน้าเธอใหม่
เมื่อเข้าใจถึงเจตนาของเขาแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็ชี้ไปยังโต๊ะเครื่องแป้งแล้วพูด “ตรงนั้นมีหนังยางอยู่น่ะค่ะ”
หานซือฉีมองตามและเดินไปหยิบหนังยางที่ว่านั้นมามัดรวบผมไปรวมเป็นหางม้าไว้ด้านหลัง
ยามที่รู้สึกว่าเขาเองก็ดูจะมีเรื่องที่ไม่ถนัดแต่ก็ยังพยายามทำเหมือนกัน หญิงสาวก็เผลอหัวเราะในลำคอออกมา
“อยู่นิ่งๆ!” ถึงแม้ว่านี่ก็ยังคงเป็นคำสั่งที่เอาแต่ใจเหมือนเดิม แต่ครั้งนี้เธอกลับรู้สึกถึงความสบายใจที่จะได้ยินมากกว่าจนอดยิ้มไม่ได้
ชายหนุ่มค่อยๆ ใช้สำลีที่ชุบยาแล้วสัมผัสไปตามแผลเล็กๆ ที่หน้าผากของเธอพลางพูดกำชับ “เจ็บหน่อยนะ ทนเอาไว้ล่ะ”
คราวนี้ฝูเจิ้งเจิ้งหลุดหัวเราะออกมาจริงๆ
ทันทีที่เธอขยับหัว สำลีที่กำลังซับแผลนั้นก็เกิดสัมผัสเข้าไปผิดที่ทำให้หัวของเธอมีรอยม่วงๆ ของยาเพิ่มขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ เขายืดตัวขึ้นก่อนจะจ้องมองที่เจ้าหล่อนและพูด “ชิ อย่าขยับ!”
แต่ยังไงฝูเจิ้งเจิ้งก็ยังหยุดหัวเราะไม่ได้ “แหม นายท่านคะ นี่มันยาม่วง ไม่ใช่ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ [1]สักหน่อย ฉันจะเจ็บได้ยังไงกันน่ะ? เรื่องพวกนี้เด็กยังรู้เลยนะคะ”
จะว่าไปแล้ว คนคนนี้ไม่เคยเจอแผลเลยหรือไงน่ะ? แผลพวกนี้เล็กน้อยจะตายไป ยิ่งถ้าให้เทียบกับตอนอยู่ในโรงเรียนตำรวจแล้วล่ะก็ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยด้วยซ้ำไป
หานซือฉีหันกลับไปมองฉลากยาด้วยท่าทีที่ดูประหลาดใจ เขาเปลี่ยนสำลีแล้วชุบยาม่วงใหม่อีกครั้งเพื่อไปทำแผลที่ด้านหลังคอของเธอต่อ
“ไม่ว่าจะเจ็บหรือไม่เจ็บ ยังไงก็ต้องกันไว้ก่อนอยู่ดี”
“มันเหมือนกับ คนเราต้องเตรียมตัวที่จะรับมือกับเรื่องร้ายๆ ไว้ก่อนแม้ว่าเราจะไม่อยากเจอเรื่องนั้นก็ตามหรือเปล่าคะ?”
ฝูเจิ้งเจิ้งพูดเสริมความหมายโดยนัยของประโยคที่เขาพูดไว้ก่อนหน้า ซึ่งมันทำให้ชายหนุ่มถึงกับขมวดคิ้ว ทว่าเขากลับไม่ได้โต้เถียงอะไรเธอ กลับกันเขายังค่อยๆ ทายาให้เธออย่างระมัดระวังอีกด้วย
หลังจากทำแผลที่ทั้งหัวและคอเสร็จแล้ว เขาจึงค่อยๆ นั่งลงไปบนเตียงข้างๆ เธอ ยกข้อมือเล็กของหญิงสาวขึ้นและเริ่มทายาจุดสุดท้ายต่อโดยไม่ได้พูดอะไร
ท่าทีที่ดูสุภาพอ่อนโยนเช่นนั้น มันทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกถึงความอบอุ่นและอ่อนหวานจากตัวผู้ชายคนนี้ได้อย่างบอกไม่ถูก
เวลาที่ไม่ได้ทะเลาะกับอีกฝ่ายนั้น มันก็ทำให้เธอรู้สึกสบายใจดีเหมือนกัน เอาจริงๆ เรื่องทุกอย่างมันคงจะดีกว่านี้หากไม่มีเฉียวเค่อเหรินเข้ามา…
เอ๊ะ? นี่ฉันคิดเรื่องนี้มากไปหรือเปล่านะ?
เมื่อทำแผลเสร็จหมดทุกที่แล้ว หานซือฉีก็วางสำลีลงแต่ยังคงจับข้อมือของอีกฝ่ายเอาไว้อยู่ เขาเป่าลงไปที่แผลนั้นอย่างแผ่วเบา 2 ครั้งก่อนจะวางมันลง
“อย่าเพิ่งขยับ!” หานซือฉีกำชับเสียงแข็งอีกครั้งเมื่อเห็นว่าฝูเจิ้งเจิ้งกำลังจะเอนตัวลงนอน “รอยาม่วงแห้งก่อน ไม่งั้นมันจะเลอะไปทั่ว”
ฝูเจิ้งเจิ้งยกแขนขึ้นหมายจะหยอกเขาให้เขาตกใจกลัวว่าเธอจะเอายาม่วงไปป้าย ทว่าเมื่อขยับแขน ความเจ็บแปลบก็เกิดขึ้นที่รอยแผลนั้น “อุ่ก…”
เธอรีบชักมือกลับมาและลูบบริเวณแผลนั้นพลางร้องโอดครวญเบาๆ ทั้งๆ ที่ตอนแรกกะจะแกล้งเขาเสียหน่อยแท้ๆ แต่ดันลืมไปเลยว่าแผลของเธอที่เพิ่งได้มามันสดๆ ร้อนๆ
“ยัยซุ่มซ่ามเอ๊ย!” หานซือฉีจับมือของเธอไว้แล้วค่อยๆ ตรวจดูอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นว่าไม่มีส่วนไหนได้แผลเพิ่ม เขาจึงค่อยๆ วางมือข้างนั้นลงอีกครั้ง
“เฮ้ๆ เสื้อคุณหานเลอะยาม่วงแล้วนะคะ” มองไปยังรอยคราบม่วงๆ บนเสื้อที่เนียนกริบของเขา ฝูเจิ้งเจิ้งก็เอ่ยเตือน
“ดีแล้ว” เขาลุกขึ้นและไปเทชาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เสื้อคุณหานเลอะยาม่วงอยู่นะคะ!” ฝูเจิ้งเจิ้งที่เห็นว่าอีกฝ่ายดูไม่สนใจคำพูดของตนนั้นก็เผลอเข้าใจไปว่าเขาไม่ได้ยิน เลยพูดเน้นไปอีกครั้งหนึ่ง
“ก็บอกว่าดีแล้ว”
“อะไรดีกันคะ?”
“มันก็ดูดีไม่ใช่เหรอ?” เขาพูดหน้าตาย
“ดูดีอะไรของคุณหานน่ะ เชื่อเค้าเลย ฮ่าๆๆ” หลังจากพูดไปแบบนั้น ฝูเจิ้งเจิ้งก็อดไม่ได้ที่จะหลุดหัวเราะออกมาอีก
ขณะที่นำชาที่เทมาให้เธอ เขาก็พูดขึ้นมา ”หน้าผากเธอก็ดูดีอยู่นะ”
ถ้อยคำนั้นดูมีเลศนัย ดังนั้นหญิงสาวจึงรีบเล่นตัวเองเสียก่อน “เฮอะ หน้าหมูยังดูดีกว่าอีก”
“อย่างน้อยๆ ก็ไม่ดูดีเท่าเธอหรอก” หานซือฉีผู้ที่กำลังกลั้นขำอยู่นั้นเดินไปหยิบกระจกบานเล็กๆ บนโต๊ะเครื่องแป้งมาให้เธอ
เมื่อฝูเจิ้งเจิ้งมองภาพในกระจกนั้น เธอก็พบว่าบนหน้าของเธอมีหยาดแต้มสีม่วงของยาม่วงเลอะเทอะเต็มไปหมด แล้วไหนจะหางม้าที่คิดว่าอีกฝ่ายมัดไว้ดีๆ นั้น จริงๆ มันยุ่งจนไม่เป็นทรงอย่างกับคนเมามัดผมไม่มีผิดเพี้ยนเ“คุณหานแกล้งฉันอีกแล้วเหรอคะ!”
“แกล้งเธอเหรอ?” แววตาคมกริบจ้องมองพร้อมกับคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน เขาค่อยๆ ยิ้มอย่างชั่วร้าย มือหนายืดออกก่อนจะผลักร่างของเธอล้มลงไปนอนบนเตียง “แกล้งยังไงกันน่ะ? แบบนี้เหรอ?”
ฝูเจิ้งเจิ้งรีบกลิ้งลงไปข้างเตียง และเมื่อเขานั่งลงมาบนเตียงบ้าง เธอก็กลับขึ้นไปใช้ขาข้างหนึ่งพาดไปบนตักของชายหนุ่ม พร้อมกับใช้มือทั้งสองข้างจับใบหน้าของเขาไว้พลางลูบไล้ไปมา “กล้าดียังไงมาแกล้งฉันกันคะ!”
จุดประสงค์ที่แท้จริงของเธอนั้นก็เพื่อป้ายยาม่วงที่เลอะมือเธอให้มันไปเลอะหน้าของอีกคนแทน และเมื่อเห็นว่าใบหน้าของหานซือฉีเต็มไปด้วยคราบของยาม่วงแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็เกือบจะหลุดขำออกมาทันที ด้วยความที่เธอกลัวว่าฝูซิงที่นอนอยู่ใกล้ๆ จะตื่น หญิงสาวก็รีบปิดปากตนเองไว้และกลั้นขำจนหน้าแดงอย่างเห็นได้ชัด
หานซือฉีจับใบหน้าตนเองและจินตนาการว่าสภาพมันจะต้อง “เละเทะ” แล้วแน่ๆ ดังนั้นเขาจึงยื่นใบหน้าที่อีกฝ่ายละเลงไว้เข้าไปใกล้ และจ้องลึกไปยังดวงตาเธอ
ในที่สุดฝูเจิ้งเจิ้งก็ไม่อาจกลั้นเสียงหัวเราะได้อีกต่อไป เธอรีบกลิ้งลงจากตักของอีกคนไปบนเตียงและมุดหน้าเข้าไปในผ้าห่มก่อนจะหัวเราะอย่างบ้าคลั่งอยู่ภายในนั้น เสียงหัวเราะดังระงมอยู่ภายในและลามออกมาสู่ภายนอกเป็นเวลาพักหนึ่ง
*เพี๊ยะ!*
เสียงของฝ่ามือฟาดลงไปที่ก้นของคนที่กำลังหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลัง มันทำให้เธอหยุดหัวเราะทันทีพร้อมโผล่หน้าออกมาจากผ้าห่มหมายจะโวยวายใส่เขา ทว่าเพราะหัวเราะมากไป ก็เลยปวดท้องจนพูดอะไรไม่ออก ทำได้เพียงชี้หน้าแบบขุ่นเคืองเท่านั้น
ชายหนุ่มดึงร่างบางเข้ามากักไว้ในอ้อมกอดของตน “ตลกมากเลยหรือไง?”
“อ-เอ่อ….” เมื่อรู้สึกได้ถึงอันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามา เธอก็รีบจะผละออกจากผ้าห่ม ทว่าจะตั้งตัวได้มันก็เหมือนจะสายไปแล้ว เธออยู่ในอ้อมกอดเขา ปีศาจร้ายนั่นยื่นหน้าเข้ามาใกล้เธอมากริมฝีปากของทั้งสองอยู่ห่างกันแค่คืบ และเพราะว่าก่อนหน้านี้เสียแรงไปกับการหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง มันเลยทำให้เธอไม่เหลือเเรงที่จะดิ้นหนี ต้องปล่อยให้ตัวเองจมไปภายในอ้อมกอดของปีศาจบ้ากามตรงหน้า
“อย่าขยับเชียวล่ะ” ไม่พูดเปล่า หานซือฉีใช้มือเพียงข้างเดียวของเขารวบแขนทั้งสองของหญิงสาวไว้แน่น
ยามที่ต้องสบตากับแววตาขี้เล่นที่ดูอ่อนโยนของชายหนุ่มตรงหน้า ฝูเจิ้งเจิ้งก็ทำได้แค่ยิ้มแห้งเท่านั้น เธอรู้สึกชอบสายตาเขาในตอนนี้มากกว่าตอนที่เขาทำท่าทีเฉยชาใส่เธอเสียด้วยซ้ำ ในตอนนี้เขาทั้งมีเสน่ห์และน่าหลงใหลเป็นที่สุด
แม้ว่าฝูเจิ้งเจิ้งจะสวมเพียงเสื้อกล้ามตัวบาง แต่อุณหภูมิของร่างกายของเธอกลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าแววตาที่จ้องมองมานั้นกำลังจุดไฟบางอย่างภายในกายให้มันร้อนรุ่มขึ้นจนเธอไม่สามารถฝืนสบตากับเขาต่อไปได้ ต้องแกล้งหันมองทางอื่นแทน
แต่ทันใดนั้น แก้มนุ่มก็ถูกจับให้หันกลับมาสบตากับเขา
“มองมาที่ฉัน” ชายหนุ่มกระซิบเสียงแหบพร่า
ฝูเจิ้งเจิ้งไม่กล้าทำตามที่เขาบอก เพราะเธอรู้ดีว่าถ้าหันกลับไป ไม่แคล้วโดนคนตรงหน้าปล้นจูบแน่ๆ
แต่ถึงจะอยากหนีจากตรงนี้แค่ไหน ฝูเจิ้งเจิ้งก็ไม่สามารถฝ่ากำแพงที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อพวกนี้ไปได้เลย ร่างกายเธอไม่มีแรงมากพอราวกับว่าลึกๆ แล้ว ในใจเธอกำลังปรารถนาในกลิ่นกายคุ้นเคยที่กำลังรุกล้ำเข้ามาเรื่อยๆนี้ก็ได้
“เจิ้งเจิ้ง…” เสียงของคนตรงหน้าชัดเจนเหมือนเสียงที่ได้ยินอยู่ในความฝันบ่อยๆ แถมตอนนี้ยังอยู่ใกล้มากๆ เสียด้วย!
มันยากมากที่จะได้ยินหานซือฉีเรียกเธอด้วยชื่อนี้ แต่ทุกครั้งที่ได้ยิน มันก็ทำให้เธอรู้สึกมีความสุขอยู่ไม่น้อย
“เรียกชื่อฉันสิ” ชายหนุ่มใช้ปลายจมูกไล้ตามกรอบหน้าเรียวของเธอ
“อะ?” ฝูเจิ้งเจิ้งที่กำลังตกใจกับการกระทำของคนตรงหน้า จนเธอไม่สามารถทำตามที่คนตรงหน้าบอกได้
“เรียกชื่อ” คราวนี้ชายหนุ่มกระซิบที่ข้างหูของเธอ
“คุณหาน…”
“ไม่ใช่นามสกุล” หานซือฉีมองหน้าเธออย่างคาดโทษเอาไว้
“อ่ะ…เอ่อ…ฉันทำไม่ได้ค่ะ…” แก้มทั้งสองเห่อแดงขึ้นมาไม่รู้เพราะอุณหภูมิห้องหรืออุณหภูมิร่างกายของเธอกันแน่
“ทำไม่ได้งั้นเหรอ? งั้นฉันจะลงโทษเธอ!” เขายิ้มร้าย
พูดไม่ทันขาดคำ ริมฝีปากของคนตรงหน้าก็เคลื่อนเข้าหาริมฝีปากบางของเธอในทันที
“อื้อออออ…” ฝูเจิ้งเจิ้งไม่สามารถขัดขืนอะไรได้เลย ทำได้แค่เพียงปล่อยให้เขามอบสัมผัสอุ่นร้อนนั้นเข้ามาที่ริมฝีปากของตนแบบนั้น มันทั้งหวานล้ำและเร่าร้อนในคราวเดียวกัน หญิงสาวเหมือนถูกมอมเมาจากคนตรงหน้าจนไม่สามารถหลุดจากความเคลิบเคลิ้มนี้ได้ ชั่วเวลาไม่กี่วินาทีกลับเนิ่นนานราวกับผ่านไปเป็นปี
เธอเองก็ไม่รู้ว่าทำไมลึกๆแล้ว….กลับดีใจกันนะ
ปีศาจร้ายที่เห็นว่าหญิงสาวในอ้อมกอดกำลังเพลิดเพลินไปกับอารมณ์ที่อ่อนไหว ด้วยความเจนจัดในสนามรัก มือของเขาก็เริ่มปัดป่ายลูบไล้ไปตามเรือนร่างของหญิงสาว
และในจังหวะที่มือร้ายกำลังจะรุกล้ำเข้ามาในเขตหวงห้ามใต้กระโปรงของเธอ หญิงสาวก็ตื่นจากภวังค์ ทันทีที่สติเริ่มกลับมาเธอรีบรวบรวมเรี่ยวแรงที่มีทั้งหมดต่อต้านชายหนุ่มทันที
แต่ไม่ว่ายังไง หานซือฉีก็กอดเธอไว้แน่นกว่าราวกับจะปฏิเสธไม่ให้เธอออกจากอ้อมแขนเขาไป
“ปล่อยฉันนะคะ! ไม่ได้ยินหรือไง!?.. หน้าไม่อายที่สุด!”
หญิงสาวดิ้นรนใช้มือน้อยๆ ทุบตีอกแกร่งอีกคนอย่างสะเปะสะปะและต่อว่าคนตรงหน้าเสียงเบา เพื่อไม่ให้รบกวนเจ้าตัวเล็กที่นอนอยู่ใกล้ๆ รวมไปถึงเฉินเฉี่ยวหลานที่อาจจะอยู่ด้านนอกได้ทุกเมื่อ
เมื่อเห็นว่าหานซือฉีไม่ยอมปล่อย เธอก็เริ่มก่นด่าเขาอีกครั้ง “คุณนี่มันไม่มียางอายเลยจริงๆ พอเห็นผู้หญิงเข้าหน่อยก็หลงหน้ามืดตามัวไปหมดเลยนะ”
เขามองผมหางม้าที่ตนมัดให้ หานซือฉีก็พยักหน้ารับและพูดพร้อมรอยยิ้ม “ต่อให้ไม่สวยฉันก็หลงได้นะ”
ทันทีที่เข้าใจความหมายที่เขาตั้งใจจะยอกย้อน ฝูเจิ้งเจิ้งก็รูดยางที่รัดผมลงมาปาใส่หน้าอีกฝ่ายและดิ้นออกจากอ้อมแขนนั้นทันที “ฉันไม่ได้พูดเล่นนะคะ! ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่อยากจะนอนกับคุณนะ!!”
หานซือฉีรีบคว้าตัวฝูเจิ้งเจิ้งเอาไว้พร้อมกับพูดด้วยเสียงหนักแน่น “ฉันก็ไม่ได้พูดเล่นกับเธอเหมือนกัน ฉัน…”
ในตอนนั้นเอง จู่ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังแทรกขึ้นมา ชายหนุ่มรีบปล่อยมือจากเธอแล้วลุกไปรับสายนั้น
ยามที่เหลือบไปเห็นว่าผ้าห่มที่ห่มตัวฝูซิงอยู่มีการขยับเล็กน้อย ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบพลิกตัวไปนอนพิงหัวเตียงและค่อยๆ ขยับท่าทางให้เด็กน้อยเข้ามาซุกอกเธอได้อย่างนุ่มนวล “ไม่ต้องกลัวนะ หม่ามี๊อยู่นี่แล้ว”
ฝูเจิ้งเจิ้งหันกลับไปมองหาหานซือฉีอีกครั้ง แล้วก็พบว่าเขากำลังคุยโทรศัพท์อยู่ด้านนอก แต่เพียงไม่นานนัก ชายหนุ่มก็กลับเข้ามาอีกพร้อมด้วยท่าทีช่วยไม่ได้ “ฉันมีบางอย่างที่ต้องไปจัดการ เธออยู่ดูแลฝูซิงที่นี่แล้วก็พักผ่อนให้เยอะๆ ด้วยนะ”
พูดจบหานซือฉีก็ออกไปอย่างรีบร้อนทันที
เมื่อเห็นเขาดูจะไม่มีเวลาว่าง ฝูเจิ้งเจิ้งก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ หลังจากที่เฝ้าดูฝูซิงหลับ หญิงสาวก็ตระหนักได้ว่านี่เป็นเวลา 4 โมงเย็นเข้าไปแล้ว เห็นทีเธอคงต้องนอนพักบ้าง
ร่างบางที่อ่อนเพลียค่อยๆ ขยับทิ้งตัวลงนอนบนเตียงข้างๆ เด็กน้อยแล้วก็ผล็อยหลับไปในที่สุดด้วยความเหนื่อยล้า
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ จู่ๆ เฉินเฉี่ยวหลานก็เข้ามาปลุกเธอด้วยน้ำเสียงร้อนรน “คุณเจิ้งคะ คุณเจิ้ง! ตื่นเร็วค่ะ ซิงซิงมีไข้!”
ได้ยินเช่นนั้น ฝูเจิ้งเจิ้งก็ลุกพรวดขึ้นมาและสัมผัสเข้าไปที่หน้าผากของฝูซิงในทันที
ตัวร้อนจี๋เลยแฮะ…
“39.7 องศาค่ะ!” เฉินเฉี่ยวหลานส่งปรอทวัดไข้ที่วัดไว้เมื่อไม่นานนี้ให้เธอดู “ฉันกลัวว่าเขาจะป่วยเพราะความกลัวเรื่องเมื่อตอนบ่าย ถ้ายังไงรีบพาเขาไปโรงพยาบาลเถอะค่ะ!”
ฝูเจิ้งเจิ้งรีบสวมเสื้อคลุมและอุ้มฝูซิงขึ้นมาในทันที เธอพร้อมจะออกไปแล้วแต่เฉินเฉี่ยวหลานก็พูดเตือนเธอไว้ก่อน
“ตอนนี้มันมืดแล้ว แล้วก็หิมะตกด้วย คุณเจิ้งจะไปยังไงด้วยตัวคนเดียวคะ? บอกท่านซือฉีดีกว่าไหม?”
เธอหันไปมองที่นาฬิกา แล้วก็พบว่ามันเป็นเวลาทุ่มกว่าๆ แล้ว ครั้งนี้เธอจึงไม่รอช้าที่จะโทรหาหานซือฉีทันที
สัญญาณติดต่อดังอยู่ครู่ใหญ่ๆ ก่อนที่เธอจะตัดใจ เสียงที่ปลายสายก็ตอบกลับมา “เกิดอะไรขึ้น?”
น้ำเสียงของหานซือฉีนั้นฟังดูเอื่อยเฉื่อยและไร้ความรู้สึก และเสียงนี้มันทำให้หัวใจของฝูเจิ้งเจิ้งสั่นสะท้านไปหมด
[1] ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (Hydrogen Peroxide) มีสภาพเป็นของเหลวใส หนืดกว่าน้ำเล็กน้อยมีฤทธิ์กัดกร่อนเมื่อสัมผัสผิวหนัง อาจเกิดผื่นแดง รู้สึกปวดแสบปวดร้อน
———————————————————————————————————
คุยกับผู้แปล
ดีกัน 1 ย่อหน้า เกือบทะเลาะ 2 หน้า ทะเลาะกัน 3 ตอน
-ทีมงานผู้แปล Enjoybook-