ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 52 ไปนอนที่โซฟานั่นเลยไป!
บทที่ 52 ไปนอนที่โซฟานั่นเลยไป!
ฝูเจิ้งเจิ้งส่ายหน้าและตอบด้วยรอยยิ้มจางๆ “ฉันไม่รู้หรอกค่ะ แล้วก็ไม่ได้สนใจขนาดนั้นด้วย”
จะบอกว่าหานซือฉีอยู่กับเฉียวเค่อเหรินใช่ไหมล่ะ?
จูหลิงหลงจ้องมายังคนดื้อตรงหน้าก่อนจะพูดออกมาในที่สุด “เฉียวเค่อเหรินป่วย แล้วซือฉีก็ไปเยี่ยมเธอน่ะค่ะ”
ป่วย? เมื่อตอนกลางวันก็ยังเห็นว่าสบายดีอยู่เลยนี่?
สายตาของผู้หญิงนั้นเดาเรื่องที่คิดกันอยู่ในใจได้ไม่ยาก ดังนั้นจูหลิงหลงจึงยักไหล่ “ฉันเองก็ไม่เชื่อเหมือนกันว่าคนอย่างยัยนั่นจะป่วยได้ แต่เท่าที่ได้ยินมาจากพี่ไม่แท้คนโตก็คือเธอเป็นไข้เพราะความกลัวกับอากาศที่เย็นจัด”
“โอ๊ะ งั้นเหรอคะ ฮ่าๆๆ ” ฝูเจิ้งเจิ้งหัวเราะ เธอแสร้งทำเป็นไม่แยแสเรื่องนี้
ยัยนั่นแค่ไม่สบาย แต่หานซือฉีก็ยังยอมอยู่กับเธอตั้งครึ่งค่อนคืน แต่ฝูซิงไข้ขึ้นขนาดนี้ยังไม่ยอมโผล่มา แค่นี้ก็ชัดเจนแล้วว่าในสายตาของซือฉี พวกเธอก็ไม่ได้มีค่าอะไร
รอยยิ้มขมขื่นปรากฏขึ้นในใจของเธอ และเธอพยายามไม่ใส่ใจมันด้วยการก้มลงไปมองปรอทที่วัดไข้ฝูซิงอยู่แทน
“จริงๆ ตัวซือฉีก็ไม่ได้อยากไปหรอกค่ะ แต่เพราะพี่คนโตที่ว่าของฉันอยากให้ไป” ท่าทีไม่แยแสของฝูเจิ้งเจิ้ง ทำให้จูหลิงหลงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยและไม่พูดอะไรต่อ เธอนั่งลงไปบนโซฟาและหยิบโทรศัพท์มือถือมานั่งเล่นรอหมินจงจู่กลับมา
————————————
ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ ที่บ้านของเฉียวหยวนหาน เขตฉางเชิง เมืองจุนหลิน
“ซือฉีคะ ฉันหิวน้ำจังเลย” ด้วยความที่ตนเองไม่สบาย เฉียวเค่อเหรินจึงใช้โอกาสนี้ออดอ้อนหานซือฉีเต็มที่
เมื่อเห็นว่าน้องชายของตนไม่ขยับ หานซือเซียนก็แกล้งพูดแหย่ด้วยรอยยิ้ม “น้องสาม แกอายหรือไงที่ต้องเอาใจเค่อเหรินต่อหน้าพวกเราน่ะ?”
เพื่อกลบเกลื่อนความไม่พอใจของเขา หานซือฉีก็แสร้งทำเป็นทำตามคำขอของผู้เป็นพี่ชายและไปรับแก้วน้ำมาจากมือของเติ้งอันอวี่
ยามที่ได้เห็นลูกสาวของตนได้มีความสุข เฉียวหยวนหานก็พูดด้วยรอยยิ้ม “ดูท่าลูกสาวสุดที่รักของฉันจะถึงวัยต้องออกเรือนแล้วล่ะมั้ง”
“คุณพ่อคะ!” เฉียวเค่อเหรินแสร้งทำเป็นโกรธ
“โอเค โอเค พ่อไม่พูดก็ได้” เฉียวหยวนหานหันไปพูดกับหานซือฉีต่อ “ยังไงลูกสาวของฉันก็ต้องแต่งงาน แสดงว่าในท้ายที่สุดแล้ว ทรัพย์สินที่ฉันต่างหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเองก็จะกลายเป็นของคนอื่นอยู่ดี ถูกไหม?”
“…” หานซือฉีที่นั่งเงียบมานานขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
แต่ทางหานซือเซียนกลับตอบในทันที “อย่างน้อยๆ ก็คิดว่าเป็นค่าซื้อความสุขของเค่อเหรินก็ได้ครับ”
“ใช่เลยๆ ฮ่าๆๆๆ” เฉียวหยวนหานตอบรับพร้อมหัวเราะ
ในตอนนั้นเอง โทรศัพท์ของหานซือฉีก็ดังขึ้นมา เมื่อเขาเห็นว่าเป็นเบอร์ที่คุ้นเคย เขาก็ลุกและจะไปรับโทรศัพท์ด้านนอกแล้ว ทว่าเฉียวหยวนหานก็ใช้ถ้อยคำหว่านล้อมหยุดเขาเอาไว้เสียก่อน “ธุระเหรอซือฉี? ไม่เอาน่า เธอกำลังจะหลบหน้าพวกเราเหรอ?”
ดังนั้นแล้วหานซือฉีจึงจำเป็นต้องรับสายภายในบ้านนั้น และทันทีที่รับ เสียงที่ฟังดูรีบร้อนของฝูเจิ้งเจิ้งก็ดังมาจากปลายสาย “ฝูซิงไข้ขึ้น 39.7 องศาค่ะ! ตัวร้อนจี๋เลย!”
หัวใจที่นิ่งสงบของเขาหล่นวูบลงไปในทันที ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่เฉียวเค่อเหรินที่กำลังนวดตามเนื้อตัวของเธออยู่ก็พูดด้วยน้ำเสียงเย้ายวน “ซือฉีคะ ใครโทรมาเหรอ? มาช่วยนวดให้ฉันหน่อยสิ”
ทำให้ท่าทีของซือฉีต้องเปลี่ยนไปในทันที เขาตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เข้าใจแล้ว” ก่อนจะวางโทรศัพท์ไป ตัวเขาเองรู้ดีว่าไม่สามารถออกจากเมืองจุนหลินได้ในทันทีแน่ๆ
“มีเรื่องเกิดขึ้นที่บริษัท เดี๋ยวผมขอตัวไปโทรบอกให้จงจู่จัดการให้ก่อนนะครับ” แม้จะมีสายตาของหลายๆ คนเหลือบมองมา แต่ครั้งนี้หานซือฉีไม่รั้งรอและก้าวเดินออกไปทันที
หานซือเซียนพยักหน้าให้แก่เฉียวหยวนหานและเดินตามออกไปติดๆ
หานซือฉีรีบสั่งการกับหมินจงจู่ด้วยเสียงเบา และเมื่อเขาหันกลับไป ก็พบว่าหานซือเซียนนั้นกำลังมองเขาด้วยสายตาอาฆาต บางทีอีกฝ่ายน่าจะได้ยินแล้วว่าในบทสนทนานั้นมี “ฝูเจิ้งเจิ้ง” อยู่ด้วย
“น้องสาม นี่แกยังติดต่อกับเธอคนนั้นอีกเหรอ? ยังไม่ให้หล่อนย้ายออกไปอีกหรือไง?” ชัดเลยว่าหานซือเซียนนั้นไม่อยากจะทะเลาะกับเขาที่นี่ ดังนั้นอีกฝ่ายจึงพยายามพูดด้วยเสียงที่เบาแต่นั่นก็ซ่อนความไม่พอใจไว้ไม่มิด
“นี่มันเรื่องของผมน่า”
“น้องสาม!!” ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรขึ้น ในจังหวะนั้นเอง หานซือเซียนเหลือบไปเห็นว่าเฉียวเค่อเหรินตามออกมาเสียก่อน เขาเลยรีบเปลี่ยนเรื่อง “ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่ก็ดีแล้ว”
ไม่เพียงเท่านั้น เฉียวหยวนหานเองก็ตามออกมาด้วย เขาชี้ไปด้านล่างพร้อมพูดกับหานซือเซียน “ซือเซียน เราไปคุยกันด้านล่างดีกว่า ปล่อยสองคนนี้ไว้ตามลำพังเถอะ”
“เข้าใจแล้วครับ” ตอบไปดังนั้นแล้วหานซือเซียนก็ลงไปด้านล่างพร้อมกับเฉียวหยวนหาน
“ซือเซียน ต่อให้นายไม่เข้ามาพบวันนี้ เดี๋ยวฉันคงต้องเข้าไปพบนายเร็วๆ นี้แทนแน่ๆ สถานีรถไฟใต้ดินทางใต้ของเมืองอยู่ในขั้นสุดท้ายแล้ว นายสามารถเริ่มโฆษณาเกี่ยวกับเมืองฮั่นต้าได้เลยนะ”
“โอ๊ะ? เยี่ยมไปเลยนะครับแบบนั้น งั้นเดี๋ยวทางผมจะเริ่มแผนเปิดเมืองฮั่นต้าเลยก็แล้วกัน” หานซือเซียนดูจะตื่นเต้นกับเรื่องนี้มาก ทั้งสองจึงพากันเดินลงไปข้างล่าง ทิ้งคนทั้งคู่ให้อยู่ตามลำพัง
“ซือฉีคะ กลับไปในห้องกันเถอะ” เฉียวเค่อเหรินเข้ามากอดแขนหานซือฉีไว้
เขายอมเดินตามกลับเข้าห้องไปขณะฟังอีกฝ่ายบ่นไปตลอดทางด้วย
หลังจากที่นั่งคุยกันไปซักพักแล้ว หานซือฉีก็ลงไปยังชั้นล่างเพราะมันดึกมากแล้วและตัวเฉียวเค่อเหรินเองก็อยากจะพักผ่อน แต่เธอก็ยังดึงดันที่จะตามมาส่งเขา
เมื่อเดินเขามาใกล้ในระยะที่ได้ยินทั้งสองสนทนากันเขาได้ยินพี่ชายของตนพูดขึ้น “ผมจะไม่ยอมให้ซือฉีทำแบบนั้นแน่ๆ สิ่งเดียวที่เขาต้องทำตอนนี้ก็คืออยู่กับเค่อเหริน”
จากนั้นชายสองคนก็หัวเราะด้วยกันเสียงดัง
“เค่อเหรินบอกฉันว่าเมื่อหลายวันก่อนภาพที่รีสอร์ทฉืออิ๋งลี่หยางนั้นงดงามมากในฤดูหนาวเช่นนี้”
“วันมะรืนที่จะถึงนี้เป็นวันเกิดแม่ของผม ถ้ายังไงเดี๋ยวผมคงเลือกไปจัดงานเลี้ยงกันที่นั่นแล้วเดี๋ยวให้ซือฉีมาพาเค่อเหรินไปด้วย”
“ได้เลย” เฉียวหยวนหานเงยหน้าขึ้นแล้วหันไปมองลูกสาวของตนที่ลงมาด้านล่างพร้อมกับหานซือฉี ทันใดนั้นเขาก็พูดด้วยรอยยิ้ม “เค่อเหริน ลูกได้ยินแล้วสินะ? มะรืนนี้จะเป็นวันเกิดคุณนายหาน เพราะงั้นอย่าลืมเตรียมของขวัญล่ะ เพราะในอนาคตเธอจะมาเป็นแม่ยายของลูกนะ อย่าทำให้เธอผิดหวังล่ะ”
เฉียวเค่อเหรินอุทาน “โอ๊ะ? วันเกิดคุณนายหานเหรอคะ? ไว้ใจได้เลยค่ะคุณพ่อ เดี๋ยวลูกสาวคนนี้จะทำให้คุณพ่อภาคภูมิใจเอง”
“เทศมนตรีเฉียว ถ้ายังไงพวกเราต้องขอตัวก่อน” หานซือเซียนลุกขึ้น
“โอ้ ได้เลยๆ ไว้ถ้ามีข่าวอะไรเกี่ยวกับเรื่องสถานีรถไฟใต้ดินนั่นแล้วฉันจะรีบบอกให้รู้นะ” เฉียวหยวนหานเองก็ลุกขึ้นด้วย “เค่อเหริน ไปส่งซือฉีแล้วก็พี่ใหญ่ของลูกหน่อยสิ”
หานซือฉีผงกหัวน้อยๆ ให้เฉียวหยวนหานกับภรรยาของเขาก่อนจะหันหน้ากลับพร้อมเดินออกไปกับพี่ชายของตนทันที
ตลอดทางที่นั่งรถมากับหานซือเซียน เขาได้พูดถึงเมืองฮั่นต้าเป็นระยะ ทว่าหานซือฉีกลับไม่ได้ตอบอะไร จนหานซือเซียนต้องพูดเรื่องที่น่าจะทำให้เขารู้สึกตัวขึ้นมา “พรุ่งนี้ฉันจะหาที่อยู่ดีๆ ให้ฝูเจิ้งเจิ้งกับลูกชายของเธอให้ แล้วก็จะหาคนไปดูแลพวกเขาด้วย แกจะได้เลิกกังวลกับทั้งสองคนนี้ได้แล้ว”
หลังจากชะงักไปครู่หนึ่งเขาก็พูดต่อ “ฉันทำแบบนี้ก็เพื่อพวกเขา แกก็รู้ว่าเค่อเหรินเอาแต่ใจขนาดไหน และแกก็ควรรู้ด้วยว่าทำไมเจ้าหล่อนถึงเชื่อฟังแกในตอนนี้”
เมื่อเห็นว่าหานซือฉียังคงเงียบ เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังมากขึ้น “แกโตพอที่จะแยกแยะได้แล้วนะว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ”
รถที่ขับมาค่อยๆ หยุดลงตรงหน้าทางเข้ารีสอร์ทฉืออิ๋งลี่หยาง หานซือเซียนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากย้ำเตือนผู้เป็นน้องชายอีกครั้ง “อย่าลืมนะว่ามะรืนนี้เป็นวันเกิดของคุณแม่ แกต้องพาเค่อเหรินมาที่นี่ น้องรองเตรียมของขวัญไว้ตั้งแต่เนิ่นๆแล้ว แต่แกยังทำตัวไม่แยแสแบบนี้อยู่เลย ลืมแล้วหรือไงว่าคุณแม่น่….”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ หานซือฉีก็ตรงดิ่งไปขึ้นรถของตนและขับออกไปในทันที ชายหนุ่มทำได้แค่มองรถของน้องชายด้วยความเหนื่อยใจและส่ายหน้าเบาๆ จนกระทั่งรถคันนั้นลับสายตาหายไป
—————————————
ในที่สุด น้ำเกลือก็หมดขวด ฝูเจิ้งเจิ้งช่วยปลดเข็มน้ำเกลือให้ฝูซิงก่อนจะหันไปหาจูหลิงหลง “นี่ก็ดึกมากแล้ว คุณจูไปพักผ่อนก่อนเถอะค่ะ”
เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรที่ต้องทำแล้ว จูหลิงหลงก็พยักหน้าก่อนจะเอนตัวลงไปบนเตียง ทว่ายามที่เห็นหมินจงจู่กำลังจะลงมานอนด้วย เธอก็รีบง้างเท้าถีบอีกฝ่ายออกไปก่อน “ไปนอนที่โซฟานู่น!”
“ทำไมโหดร้ายกับฉันจัง!? นอนโซฟามันไม่สบายนะ ให้ฉันนอนข้างๆ เท้าเธอก็ได้” หมินจงจู่อ้อนวอนด้วยความเศร้าโศก
“ไม่!” จูหลิงหลงตอบอย่างไม่ลังเล
สุดท้ายเขาก็ทำได้แค่เดินไปนอนที่โซฟาด้วยความชอกช้ำ
ฝูเจิ้งเจิ้งนั้นคุ้นเคยกับเสียงเอะอะยามค่ำคืนเช่นนี้อยู่แล้ว เพราะงั้นเธอจึงไม่หงุดหงิดหรือบ่นอะไร เพียงแค่ยิ้มให้ทั้งคู่แล้ววางมือของฝูซิงลงไปบนเตียงเบาๆ และปลีกตัวไปเข้าห้องน้ำที่อยู่ข้างประตูแทน
แต่เมื่อเธอกำลังจะเข้าใกล้ประตู ทันใดนั้นประตูห้องก็เปิดออก และหานซือฉีก็พลันเดินหน้าตาตื่นเข้ามา เขาจ้องไปยังฝูเจิ้งเจิ้ง
“ซิงซิงเป็นยังไงบ้าง?” ชายหนุ่มถามคำถามนี้ก่อนจะก้าวเข้ามาในห้องซะอีก
แม้ว่าเธออยากจะค่อนขอดเขามากแค่ไหน แต่เมื่อเห็นสภาพอีกฝ่ายดูเละไปหมดทั้งตัว ไม่ว่าจะเส้นผม กางเกงที่มีทั้งคราบน้ำคราบโคลนเลอะไปหมด หัวใจของเธอก็สั่นไหวด้วยความเป็นห่วงก่อนจะถามขึ้นในทันที “ไปทำอะไรมาน่ะคะ?”
หานซือฉีก้มตัวลงนิดหน่อยเพื่อปัดเสื้อผ้าของเขา “เดินไม่ระวังเลยลื่นน่ะ”
แน่นอนอยู่แล้ว เขาไม่อยากจะพูดหรอกว่าเพราะรีบมาที่นี่ตั้งแต่ลงจากรถ ก็เลยไม่ได้ระวังพื้นที่มีน้ำแข็งเกาะหนาอยู่จนสะดุดล้ม
“บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่าคะนั่น?” เธอถามต่อด้วยความร้อนใจ
“ผิวฉันหนาอยู่แล้ว” พูดจบหานซือฉีก็เดินตรงไปหาฝูซิงในทันที “ฝูซิงเป็นอะไรไป?”
หมินจงจู่ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยก็รีบเดินเข้ามาหาทันที “ซือฉี ในที่สุดนายก็มา! งานของฉันเสร็จสิ้นแล้ว! ขอบคุณพระเจ้า ซิงซิงปลอดภัยดีแล้ว”
ฝูเจิ้งเจิ้งเองก็พูดด้วย “อย่างที่ว่านั่นแหละค่ะ คุณหมอบอกว่าเขาอาการดีขึ้นแล้ว หลังจากน้ำเกลืออีกขวดหนึ่งหมดพรุ่งนี้ก็กลับได้”
ชายหนุ่มนั่งลงไปที่เตียงของฝูซิงและสัมผัสไปที่หัวของเด็กน้อยอย่างอ่อนโยน เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวเล็กบนเตียงมีสีหน้าแดงระเรื่อเพราะหายหวัดแล้ว ตัวเขาเองก็รู้สึกโล่งใจไปด้วย
เมื่อเห็นว่าจูหลิงหลงนั่งอยู่ที่เตียงข้างๆ และกำลังจ้องมองมาที่เขา หานซือฉีก็หันไปบอกหมินจงจู่ “จงจู่ พาหลิงหลงกลับบ้านไปก่อน แล้วก็ขับรถดีๆ ด้วย”
ท่ามกลางความโล่งใจ หมินจงจู่ก็กวักมือเรียกจูหลิงหลง
จูหลิงหลงลุกขึ้นจากเตียง เธอมองมาที่หานซือฉีกับฝูเจิ้งเจิ้ง แต่ไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านี้ จากนั้นก็ออกไปกับหมินจงจู่เงียบๆ
ภายในห้องเงียบลงอีกครั้ง
หลังจากที่ฝูเจิ้งเจิ้งล้างหน้าและออกมาจากห้องน้ำแล้ว เธอก็เห็นหานซือฉีเอาแต่เฝ้ามองฝูซิงอยู่ตลอดเวลา เพราะงั้นเธอจึงไม่ได้พูดอะไรและกลับไปนั่งข้างๆ เตียงอื่นแทน
ก่อนหน้านี้เธอเอาแต่ต่อว่าเขา แต่ตอนนี้ ความเป็นห่วงของเขาที่มีต่อฝูซิงดูจะไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เมื่อคิดถึงเรื่องที่จูหลิงหลงพูดไว้ก่อนหน้า คิดเหรอว่าคนที่ฉลาดอย่างฝูเจิ้งเจิ้งจะไม่เข้าใจความลำบากใจของหานซือฉี?
แต่แล้วมันจะทำไมกันล่ะ? ในเมื่อหานซือฉีมีคู่หมั้นอยู่แล้ว แถมคนคนนั้นก็ไม่ใช่เธอด้วย
ถึงแม้ว่าเสียงถอนหายใจของฝูเจิ้งเจิ้งจะเบาขนาดไหน แต่หานซือฉีก็ยังสามารถได้ยิน พร้อมถามกลับด้วยเสียงเข้ม “นี่เธอยังโกรธฉันอยู่อีกเหรอ?”
ฝูเจิ้งเจิ้งที่นั่งอยู่เตียงด้านหลังหานซือฉีนั้นชะงักไป เธอพยายามจะสงบสติอารมณ์ไว้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไม่ค่ะ คุณหานน่ะช่วยพวกฉันไว้เยอะเลย นี่เป็นครั้งแรกเลยที่พวกเราได้เข้ามาในห้องพักที่หรูขนาดนี้”
“ฉันยุ่งกับเรื่องอื่นอยู่จริงๆ”
นี่คือคำอธิบายเหรอ? ฝูเจิ้งเจิ้งแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
‘ยุ่งอยู่กับเรื่องอื่น’ นั่นก็หมายถึงอยู่กับเฉียวเค่อเหรินไม่ใช่หรือไง? เธอไม่ได้ต้องการจะฟังเรื่องนี้
บรรยากาศภายในห้องเงียบไปอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่หานซือฉีจะถามเธออีกครั้ง “แผลนั้น ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า?”
“ไม่แล้วค่ะ”
น้ำเสียงที่เฉยชาของเธอมันทำให้หานซือฉีรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา เพราะแบบนั้นเขาจึงไม่ได้พูดอะไรต่อ หลังจากที่ขยับตัวฝูซิงไปข้างๆ แล้ว เขาก็ค่อยๆ เอนลงไปนอนข้างๆ ฝูซิงเบาๆ
ตลอดวันมานี้ฝูเจิ้งเจิ้งเจอแต่เรื่องเหนื่อยๆ มาตลอดจนกระทั่งถึงตอนนี้ แต่เมื่อเห็นว่าหานซือฉีมาช่วยดูแลฝูซิง ตัวเธอก็รู้สึกโล่งใจโดยไม่คาดคิด นัยน์ตาสวยค่อยๆ คล้อยหลับลงไปจนกระทั่งเสียงร้องเจื้อยแจ้วของฝูซิงช่วยปลุกเธอขึ้นมาในตอนเช้ารุ่งขึ้น
ฝูซิงนั่งอยู่คนเดียวบนเตียง ในมือก็ถือเรือกระดาษลำหนึ่งพร้อมกับร้องเพลงไปด้วย
เธอรีบลุกขึ้นมาและถามทันที “ตื่นแล้วเหรอฝูซิง? ยังรู้สึกไม่สบายอยู่ไหม?”
ขณะที่ถามนั้น ฝูเจิ้งเจิ้งก็หันมองไปรอบๆ ห้อง แต่เธอก็ไม่พบแม้กระทั่งเงาของหานซือฉีเลย
ไปไหนแต่เช้านะ? ในขณะที่เธอกำลังประหลาดใจ ฝูซิงก็เขย่าเรือกระดาษนั้นเหมือนเรือที่กำลังลอยอยู่ในน้ำก่อนจะพูด “หม่ามี๊ ฝูซิงสบายดี หม่ามี๊คิดว่าเรือกระดาษนี้เหมือนจริงไหม? ป๊ะป๋าสอนฝูซิงล่ะ!” เด็กน้อยยิ้มอย่างมีความสุข
“หิวหรือยัง? เดี๋ยวหม่ามี๊ไปซื้อข้าวเช้าให้เอาไหม?” เธอรีบสางผมให้หายยุ่งด้วยมือเพื่อเตรียมที่จะออกไปข้างนอก
“ป๊ะป๋ากำลังไปซื้อข้าวเช้าให้อยู่” ฝูซิงรีบหยุดเธอไว้ “ป๊ะป๋าบอกว่า เดี๋ยวจะหาซื้ออาหารเช้าที่ฝูซิงชอบมาให้ด้วย ฝูซิงชอบข้าวต้มเนื้อที่สุดเลย”
อ๊ะ? เขาออกไปซื้อข้าวเช้าเหรอ?
การเปลี่ยนแปลงของหานซือฉีนั้นทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งยากที่จะยอมรับจริงๆ
“หม่ามี๊ รีบแปรงฟันเร็ว เดี๋ยวป๊ะป๋ากลับมา เราจะได้กินข้าวเช้ากัน” เจ้าตัวเล็กร้องเพลงอีกครั้ง ท่าทีของเขาดูจะมีความสุขมาก ทั้งๆ ที่เมื่อวานยังสิ้นฤทธิ์อยู่เลย วันนี้กลับกลายเป็นเจ้าแรคคูนตัวแสบเหมือนเดิมแล้ว
เมื่อเห็นว่าฝูซิงดูอาการดีขึ้น ฝูเจิ้งเจิ้งก็โล่งใจ หลังจากที่เธอล้างหน้าเสร็จแล้ว ก็กลับมานั่งลงข้างๆ เตียงของฝูซิงและฟังเขาร้องเพลงไปเรื่อย
ทันใดนั้น ประตูห้องพักก็เปิดออก
——————————————————————————————————–
คุยกับผู้แปล
ทำไมรู้สึกว่าคนที่เปิดประตูเข้ามาจะไม่ใช่หานซือฉีอ่ะ คนเขียนชอบทำร้ายจิตใจ 555555555555
-ทีมงานผู้แปล Enjoybook-