ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 54 ฉันไม่ใช่แฟนของเขานะคะ!
บทที่ 54 ฉันไม่ใช่แฟนของเขานะคะ!
ฝูเจิ้งเจิ้งหันไปมองตามเสียง และเธอก็พบกับหญิงสาวผู้หนึ่งที่กำลังเดินเข้ามาทางพวกเธอ
เธอคนนั้นดูอายุน่าจะย่างเข้าวัย 40 แล้วแต่ทั้งผมและส่วนสูงกลับทำให้เธอดูเด็กกว่าที่คิด ผมที่ม้วนลอนควบคู่กับเรือนร่างที่เข้ารูปภายใต้เสื้อผ้าที่เรียบหรูมันทำให้สตรีคนนี้ดูสง่างามจนต้องตกตะลึงไม่น้อยเลย
“เพื่อนของผมน่ะ” จีหมู่เซี่ยนตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เพื่อนเหรอ?” หญิงตรงหน้าถาม
“เอ่อ…สวัสดีค่ะคุณผู้หญิง” ฝูเจิ้งเจิ้งกล่าวทักทายอีกฝ่ายด้วยความสุภาพ แต่แล้วฝูเจิ้งเจิ้งก็รู้สึกคุ้นกับชุดที่เธอคนนี้ใส่ขึ้นมาจนไม่สามารถอดที่จะหันไปถามจีหมู่เซี่ยนได้ “คนนี้ใครเหรอคะ?”
“แม่ของฉัน”
“แม่เหรอ? พระเจ้า! นี่ฉันคิดว่าเป็นพี่สาวซะอีก!” ฝูเจิ้งเจิ้งตากลมโตขึ้นมาและส่ายหน้าเหมือนยอมรับความจริงไม่ได้อยู่หลายต่อหลายครั้ง “นี่ถ้าฉันรู้ว่าแม่ที่คุณพูดถึงตอนนั้นสาวขนาดนี้ ฉันควรจะรีบบอกให้เปลี่ยนสไตล์ชุดให้มันทันสมัยกว่านี้ก็คงจะดี ฮ่าๆๆ”
จีหยาฉูรู้สึกมีความสุขมากๆที่ได้ยินเช่นนั้น เธอจับมือของฝูเจิ้งเจิ้งและถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “สาวน้อย เธอชื่ออะไรจ๊ะ?”
“อ๊ะ ฉันชื่อ ฝูเจิ้งเจิ้งค่ะ” หญิงสาวตอบด้วยท่าทีสุภาพ
“ฝูเจิ้งเจิ้ง…เจิ้งเจิ้ง…ชัดเจนเลย ผู้หญิงสวยก็ต้องคู่กับชื่อที่ดีสินะ” จีหยาฉูกล่าวชื่นชม จากนั้นเธอก็หันไปต่อว่าจีหมู่เซี่ยน “แล้วทำไมลูกถึงไม่ยอมบอกแม่ว่ามีแฟนอยู่แล้วล่ะ? หือ? คิดว่าแม่เป็นอากาศหรือไงกัน?”
แฟน? ฝูเจิ้งเจิ้งช็อก แต่เพียงไม่นานเธอก็รีบส่ายหน้า “ข-เข้าใจผิดแล้วค่ะคุณผู้หญิง พวกเราไม่ใช่แฟนอะไรนั่นหรอกค่ะ เป็นแค่เพื่อนเฉยๆ”
“เพื่อนธรรมดาเหรอ?” จะให้จีหยาฉูเชื่อได้อย่างไร? ก็ในเมื่อเธอดันเห็นทั้งสองคนเพิ่งจะกอดกันอยู่เมื่อครู่นี้
จีหมู่เซี่ยนพูดด้วยเสียงหนักแน่นอันเป็นเอกลักษณ์ “ไม่ใช่ว่าแม่กำลังตามหาเสี่ยวเสี่ยวอยู่เหรอ? ถ้าไม่รีบตามเธออาจจะหนีไปอีกก็ได้นะ”
“โอ๊ะ จริงด้วยสิ แม่ลืมเสี่ยวเสี่ยวไปเลย ถ้ายังไงลูกก็พาเจิ้งเจิ้งไปทานข้าวกลางวันกับพวกเราด้วยล่ะ” หลังจากที่พูดมาเช่นนั้น จีหยาฉูก็รีบเดินกลับไปในทันที
“ดูเหมือนแม่ของคุณจีจะเข้าใจผิดไปแล้วนะคะ…” ฝูเจิ้งเจิ้งยิ้มแห้งๆ จากนั้นก็พูดขึ้นมาลอยๆ “ฉันนึกว่าคุณจีแต่งงานแล้วซะอีก แต่เหลือเชื่อเลย ยังไม่มีแม้กระทั่งแฟนเลยสินะคะเนี่ย”
“แล้วมันแปลกหรือไงครับ?” จีหมู่เซี่ยนเหลือบมองเธอ
“เปล่าค่ะๆ” หญิงสาวหัวเราะ สายตาของเขาน่ะมันคมราวกับใบมีดที่เพิ่งลับ เพราะงั้นมันเลยทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งไม่ค่อยกล้าที่จะพูดมากกับเขาเท่าไหร่ ในเมื่อเห็นแล้วว่าไม่น่าจะตามตัวโจวปิงมาได้แล้ว เธอก็เตรียมจะออกไปจากที่นี่ ดังนั้นเลยรีบโบกมือและกล่าวคำลา
เมื่อเห็นว่าจีหมู่เซี่ยนไม่ได้พูดอะไรต่อ เธอก็รีบเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
แต่หลังจากที่เดินไปได้ไม่นานนักเธอก็ยังไม่เจอประตูเสียที ความกังวลก่อตัวขึ้นและความรู้สึกบางอย่างมันก็บอกให้เธอลองเดินย้อนกลับไปอีกทางจะดีกว่า ดังนั้นฝูเจิ้งเจิ้งจึงรีบเดินหาป้ายบอกทางทันที
ขณะที่กำลังมองไปรอบๆ อยู่นั้น สายตาของหญิงสาวก็ไปหยุดอยู่กับบ้านเก่าๆ หลังหนึ่งที่ดูแตกต่างกับรีสอร์ทหลังอื่นๆ ในบริเวณนั้นโดยสิ้นเชิง
ทำไมบ้านเก่าๆ หลังนี้ถึงดูเหมือนบ้านที่เหนียนซี่เคยอยู่นักนะ?
ตำรวจสาวรีบวิ่งเข้าไปดูที่รั้วบ้านหลังนั้น และด้อมๆ มองๆ ดูให้ดี แต่ยิ่งมองเธอก็ยิ่งรู้สึกแปลก
ในเมื่อรีสอร์ททุกหลังภายในละแวกนี้ล้วนถูกสร้างด้วยสถาปัตยกรรมเดียวกัน แต่ทำไมบ้านหลังนี้ถึงยังปล่อยให้เป็นบ้านที่ไม่เข้ากับธีมของรีสอร์ทตั้งตระหง่านอยู่ตรงนี้ได้
เธอยังจำได้ดีว่าคนที่ย้ายออกจากจุดนี้เมื่อครั้งกำลังสร้างรีสอร์ทบอกเธอไว้ว่า บ้านทุกหลังที่อยู่ตรงนี้จะถูกทุบทิ้งเพื่อให้เป็นที่ดินเปล่า แล้วทำไมยังเหลือบ้านหลังนี้ไว้ล่ะ? มันแปลกเกินไปแล้ว!
เหนือสิ่งอื่นใด เธอไม่มีทางจำบ้านของเหนียนซี่ผิดแน่ๆ!
เกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่…
“เธอมาทำอะไรที่นี่น่ะ?”
ทันใดนั้น เสียงของบุคคลที่คุ้นเคยก็ทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งต้องสะดุ้ง และเมื่อหันกลับไปมองก็พบว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นจีหมู่เซี่ยนคนเดิม
“ฉ-ฉันหลงทางน่ะค่ะ…” ฝูเจิ้งเจิ้งเกาหัว ทำไมวันนี้เจอคนคนนี้บ่อยจังนะ? นี่ดวงสมพงษ์หรือเจ้ากรรมนายเวรกันแน่?
“โอ้ งั้นเหรอ?” จริงๆ จีหมู่เซี่ยนนั้นสังเกตท่าทีของเธอมานานแล้ว แล้วก็เห็นด้วยว่าที่นี่น่ะมีป้ายบอกทางเต็มไปหมด ทำไมยัยคนนี้ยังอุตส่าห์หลงทางได้นะ?
“แบบว่า ป้ายบอกทาง…” เธอพูดต่อด้วยความเขินอาย
จีหมู่เซี่ยนชี้ไปยังจุดๆ หนึ่ง “ทางนั้น”
“โอ๊ะ ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ” ฝูเจิ้งเจิ้งยิ้มหวานให้เขาพร้อมกับคำขอบคุณก่อนจะรีบเดินตามทางที่บอกไปอย่างรวดเร็ว
เขายืนมองจนกระทั่งหญิงสาวหายไปจากสายตาพลางครุ่นคิดบางเรื่องไปด้วย
“คุ้นหน้าคุ้นตาเธอคนนั้นหรือไง พี่รอง?”
เจ้าของเสียงนั้นคือ หานซือฉี ที่เข้ามายืนข้างๆ จีหมู่เซี่ยนเพียงแค่ยิ้มให้เขาและตอบกลับ “ค่อนข้างคุ้นเลย”
“พี่หมายความว่ายังไงน่ะที่บอกว่า ‘ค่อนข้างคุ้น’ นั่น?”
ร่างที่อุดมไปด้วยกล้ามเนื้อเดินเข้าหาหานซือฉีและตีอกเขาเบาๆ “ไม่ต้องห่วงเรื่องของฉันหรอกน่า แกเอาเวลาไปดูแลน้องเฉียวคนสวยของแกไม่ดีกว่าหรือไง?”
หานซือฉีหันมองด้วยใบหน้าที่ไม่ยินดีนักที่ได้ยินเช่นนั้น “อย่าพูดถึงเธอ”
“ถ้าแกเลือกที่จะรักษาความรู้สึกของพี่ใหญ่ แกก็อย่ามาทำตัวน่าสงสารที่นี่” จีหมู่เซี่ยนพูดออกไปตรงๆ ด้วยความจริงใจและจริงจัง
“แล้วพี่รองกับเธอคนเมื่อครู่นั่นมีความสัมพันธ์แบบไหนกันล่ะ?” หานซือฉีเปลี่ยนเรื่อง
“คำตอบของคำถามนี่สำคัญหรือเปล่า?” จีหมู่เซี่ยนแปลกใจนิดหน่อย
“สำคัญมาก” หานซือฉีชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดเสริม “มันเกี่ยวข้องกับการแต่งงานของพี่”
ได้ยินเช่นนั้นจีหมู่เซี่ยนก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “ฮ่าๆๆๆ แกจะเป็นห่วงพี่รองของแกมากไปแล้ว เรื่องงานแต่งงานอะไรนั่นน่ะ ถ้าบทมันจะมาเดี๋ยวมันก็มาเองแหละ ไม่ต้องไปเร่งเร้าหรอกน่า”
นั่นเป็นการตอบเลี่ยง ซึ่งน้องอย่างหานซือฉีรู้ดี เขาขมวดคิ้วแน่น นั่นเพราะพี่รองของเขานั้นดูไม่มีวี่แววว่าจะเดตหรือคบหากับผู้หญิงคนไหนเลย มันทำให้คนอื่นมองว่าในหัวของชายคนนี้มีแต่งานสืบสวนคดีต่างๆ เท่านั้น ขนาดล่าสุดถูกย้ายไปเป็นตำรวจท้องที่ คนคนนี้ก็ยังถวายใจให้กับการทำงานเหมือนเดิม มันเป็นอะไรที่หาได้ยากมากที่จะได้เห็นพี่รองของตนสนใจและสุภาพกับผู้หญิงเช่นนี้
บ่อยครั้งที่เขาเองยังบ่นพี่รองที่ใช้เวลากว่า 5 วันต่อสัปดาห์คลุกคลีอยู่กับหนุ่มๆ ในสถานีตำรวจ ว่าเซ็กส์เสื่อมไปแล้วหรืออย่างไร
แล้วตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้น?
ก่อนหน้านี้ก็ช่วยฝูเจิ้งเจิ้งให้หลุดออกจากคดีที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยเรื่องขโมยของ ช่วยลบประวัติเสียๆ ให้เธอ ยืนยันความบริสุทธ์ เมื่อตอนที่ฝูเจิ้งเจิ้งลื่นไถลที่แม่น้ำ จีหมู่เซี่ยนก็เป็นฝ่ายลงไปช่วยด้วยตนเองอีก เรื่องนี้เพิ่งรู้ล่าสุด ฝูเจิ้งเจิ้งเองก็เข้าไปช่วยจีหมู่เซี่ยนเลือกของขวัญวันเกิดให้แม่ของพวกเขาด้วยงั้นเหรอ?
ทำให้ตำรวจบ้างานอย่างจีหมู่เซี่ยนหลงได้ขนาดนี้ แบบนี้ยังไม่พอที่จะอธิบายถึงความสัมพันธ์ที่เกินเพื่อนได้อีกหรือไง?
หัวใจของพี่รองประจำบ้านน่ะ ตกเป็นของฝูเจิ้งเจิ้งแล้วจริงๆ งั้นเหรอ?
แต่แบบนี้เขาก็ควรจะดีใจกับพี่รองด้วยหรือเปล่า?
คิดเช่นนั้นหานซือฉีกลับเป็นฝ่ายเจ็บลึกลงไปในใจของเขาเอง แววตาของเขาแสดงให้เห็นถึงความสับสนและงุนงงขณะที่มองไปยังทิศทางที่ฝูเจิ้งเจิ้งจากไป
——————————————-
ฝูเจิ้งเจิ้งที่ไม่เห็นว่าหานซือฉีอยู่ที่รีสอร์ทนั้นด้วย ในตอนนี้เธอได้ออกมาจากรีสอร์ทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ความโล่งอกค่อยๆ คลายความพะว้าพะวงในใจลงไปอย่างมาก
เธอไม่อยากให้จีหมู่เซี่ยนรู้ว่าเธอกำลังสืบหาอะไรอยู่ ถ้าหากเขารู้เข้า เธออาจจะกลายเป็นผู้ต้องสงสัยที่โดนสืบสวนเสียเอง และถ้าเป็นแบบนั้นเรื่องที่เธอเคยเป็นพยานให้ในคดีหลี่หมิงก็จะถูกเปิดเผยด้วย
ขณะที่กำลังยืนอยู่ด้านหน้าประตูรีสอร์ท เธอก็หันกลับไปมองด้านในอีกครั้ง ภาพของบ้านหลังเก่าสะท้อนขึ้นมาในหัวพร้อมกับความสงสัยมากมายที่ไม่สามารถลืมลงได้แม้จะออกมาแล้วก็ตาม
การจะเข้าไปตรวจดูบ้านหลังนั้น คงไม่ใช่เรื่องที่ควรทำหากยังเป็นช่วงกลางวัน แต่ถ้าเป็นตอนกลางคืนล่ะ? บางทีมันอาจจะสะดวกกว่าที่จะลอบเข้าไปภายในบ้านหลังนั้นเพื่อตรวจดูว่าเป็นบ้านของเหนียนซี่หรือไม่
แล้วถ้าเกิดเป็นบ้านของเหนียนซี่ เธอควรจะทำอย่างไรต่อดี?
หัวใจของฝูเจิ้งเจิ้งเริ่มจะเต้นแรงขึ้น ถ้าหากมันเป็นบ้านของเหนียนซี่จริงๆ บางทีเธออาจจะหาหลักฐานได้ว่าเหนียนซี่มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลหานหรือเปล่า หรือมากกว่านั้น…เธออาจจะสามารถตามหาตัวเหนียนซี่ได้จากหลักฐานภายในบ้านหลังนั้น!
ความเร่าร้อนของจิตวิญญาณแห่งตำรวจมันกำลังลุกโชนขึ้นมาอีกครั้งแล้ว!
ไม่คาดคิดเลยว่าการไล่ตามตัวโจวปิงแบบนี้จะนำมาซึ่งความคืบหน้าในการตามหาเหนียนซี่เช่นนี้ !
อ๊ะ…โจวปิง…
พลันเมื่อคิดถึงโจวปิง ฝูเจิ้งเจิ้งก็นึกถึงจุดประสงค์ที่ทำให้เธอโผล่มาถึงที่นี่ในวันนี้ได้ขึ้นมา เพราะงั้นเธอจึงรีบวกกลับไปยังเขตที่อยู่อาศัยที่โจวปิงอาศัยอยู่ในทันที
ในตอนที่ฝูเจิ้งเจิ้งกำลังเดินผ่านร้านของชำทางใต้ไปนั้น เจ้าของร้านก็กวักมือเรียกให้เธอเข้าไปหาในร้าน
“หาโจวปิงเจอไหมหนู?” เจ้าของร้านคนนี้เป็นหญิงชราอายุร่วม 60 ปี เธอส่งเก้าอี้ให้แก่หญิงสาวหมายจะให้นั่งคุยกับตนเป็นเพื่อนคุยยามว่างเช่นนี้
ด้วยความเร่งรีบ ฝูเจิ้งเจิ้งจึงส่ายหน้าหมายจะปฏิเสธ ทว่าอีกฝ่ายก็เข้ามากระซิบข้างๆ หูเธอเสียก่อน “เธอน่ะเป็นตำรวจใช่ไหมล่ะ?”
ประโยคเดียวสะดุ้งไปทั้งทรวง และด้วยปฏิกิริยาตอบสนองผ่านสีหน้าของฝูเจิ้งเจิ้งเช่นนี้ เจ้าของร้านวัยชราก็ยิ้มด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “กะไว้แล้ว ฉันน่ะเก่งเรื่องการแยกแยะผู้คนมากเลยนะ”
“ว่าไปนั่น จริงๆ ก็มีตำรวจมาถามฉันเกี่ยวกับเรื่องโจวปิงเหมือนกัน เมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง แต่ฉันน่ะไม่อยากคุยกับคนพวกนั้น ถึงพวกเขาจะเลือกถามถูกคนก็เถอะ ฉันน่ะ กล้าพูดได้เลยว่า ไม่มีเรื่องไหนที่ฉันไม่รู้เกี่ยวกับในย่านที่พักอาศัยนี้! หนูน่ะดูน่าสนใจ ฉันคิดว่าหนูน่าจะเป็นคนดี เพราะงั้นอยากถามอะไรก็ถามเลย สัญญาว่าจะตอบทุกอย่างที่รู้”
ได้ยินเช่นนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็รู้สึกปลาบปลื้มสุดๆ เธอครุ่นคิดถึงเรื่องที่อยากรู้อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มถามคำถามหลายๆ อย่างกับหญิงชราผู้นี้
หลังจากที่ออกมาจากร้านของชำนั้นแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็ตรงกลับไปยังบ้านของหานซือฉีในทันที ซึ่งมันเป็นเวลาเกือบจะเที่ยงแล้ว
ทันทีที่เธอเปิดประตูเพื่อจะเข้าบ้าน เฉินเฉี่ยวหลานก็เดินสวนออกมาพอดี เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่าเป็นฝูเจิ้งเจิ้งที่กำลังจะเข้าบ้าน เธอก็รีบถามในทันที “คุณเจิ้งคะ เมื่อเช้าคุณหายไปไหนมากันคะ?”
“หลังจากพาฝูซิงไปส่งที่โรงเรียนแล้วก็เดินเล่นละแวกนั้นนิดหน่อยค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ?” ฝูเจิ้งเจิ้งถามกลับด้วยความสงสัย
ฟังเช่นนั้นแล้วเฉินเฉี่ยวหลานก็อดที่จะดุเธอไม่ได้ “ทำไมถึงไม่เปิดโทรศัพท์ขณะไปเดินเล่นด้วยล่ะคะ? ท่านซือฉีน่ะโทรมาถามฉันตั้งหลายรอบว่าคุณเจิ้งกลับบ้านหรือยัง ฉันคิดว่าเขาน่าจะเป็นกังวลมากแน่ๆ เลย”
หานซือฉี?
ฝูเจิ้งเจิ้งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วก็พบว่ามีสายที่ไม่ได้รับมากมายปรากฏขึ้นบนหน้าจอจริงๆ ดูจากเวลาแล้วน่าจะเป็นช่วงหลังจากที่ออกมาจากรีสอร์ทนั่นพอดี ตอนนั้นเธอพยายามจะสะกดรอยตามโจวปิงก็เลยต้องปิดเสียงโทรศัพท์ไว้ก่อน
ไม่ใช่ว่าเขารู้อยู่แล้วเหรอว่าเธอต้องไปส่งฝูซิงที่โรงเรียนน่ะ? ทำไมถึงโทรมาเยอะแยะขนาดนี้นะ?
แม้จะสงสัย แต่ฝูเจิ้งเจิ้งก็ไม่ได้อยากจะเข้าใจจุดประสงค์ของเขานักหรอก เธอเหนื่อยกับความสัมพันธ์คลุมเครือกับหานซือฉีนี่แล้ว เพราะงั้นจะขอทุ่มเททุกอย่างให้กับการสืบหาตัวโจวปิงและการลักลอบเข้าไปตรวจสอบในบ้านของเหนียนซี่ก็พอ
หญิงสาวปลีกตัวเข้าไปในครัวเพื่อช่วยเฉินเฉี่ยวหลานทำอาหาร เธอตั้งใจว่าหลังจากทานมื้อเที่ยงเสร็จแล้วจะขึ้นไปพักผ่อนเสียหน่อย จากนั้นก็จะไปร้านน้ำชาที่เจ้าของร้านของชำได้บอกเธอเอาไว้ หญิงชราผู้นั้นบอกเธอไว้ว่าร้านน้ำชาที่พูดถึงจะเปิดวันนี้ และหากไปที่นั่นได้ เธอจะสามารถพบใครหลายคนที่เธอต้องการพบได้ที่นั่น
หลังจากที่ทานมื้อกลางวันเสร็จแล้ว เธอก็รีบขึ้นไปนอนพักผ่อนด้านบน
ทว่าเมื่อทิ้งตัวลงได้ไม่นาน หานซือฉีก็โทรหาเธออีกครั้ง
“เมื่อเช้าไปไหนมา?” คำถามของเขาทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย
ไม่กะจะให้มีอิสระในชีวิตหน่อยเลยหรือไงน่ะ?
แม้จะไม่พอใจ แต่ฝูเจิ้งเจิ้งก็ยอมตอบไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้แสดงออกถึงความรู้สึกจริงๆ ในตอนนั้น “หลังจากส่งฝูซิงเสร็จฉันก็ไปเดินเล่นแถวๆ นั้นค่ะ”
“ไปเดินเล่นที่ไหน? แล้วไปเจอใครมาบ้าง?”
นี่ต้องรายงานทุกเรื่องเลยเหรอ? ทำไมนายไม่หัดรายงานฉันบ้างล่ะว่านายไปไหน แล้วไปกับใคร!
ความรู้สึกหงุดหงิดมันทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งตอบไปอีกครั้งหลังจากบุ้ยปากและแก้มป่อง “ฉันไปเดตค่ะ”
ไหนๆ เขาก็ชอบทักว่าเธอไปเดตบ่อยๆ อยู่แล้วนี่ ขนาดยังไม่เคยไปจริงๆ นะ เพราะงั้นครั้งนี้จะพูดให้ได้ยินเองเป็นขวัญหูเลยก็แล้ว
“เหรอ ชีวิตเธอจะอยู่ไม่สุขถ้าไม่มีผู้ชายอยู่ด้วยหรือไง?”
“ชีวิตคุณหานอยู่สุขไหมล่ะคะถ้าไม่มีผู้หญิง?” เธอยอกย้อน
เสียงจากปลายสายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่น้ำเสียงที่เยือกเย็นนั้นจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “กลับมาทำงานบ่ายนี้”
ทำงาน? บ่ายนี้เนี่ยนะ?
บ่ายนี้เธอวางแผนที่จะไปร้านน้ำชาแล้ว ดังนั้นฝูเจิ้งเจิ้งจึงเอ่ยถามออกไปทันที “เป็นพรุ่งนี้ได้ไหมคะ?”
“บ่ายนี้” ปลายสายย้ำอีกครั้งแล้ววางโทรศัพท์แบบไม่ให้เธอมีโอกาสได้ต่อรอง
ฝูเจิ้งเจิ้งโยนโทรศัพท์ไปบนเตียงด้วยความโกรธเกรี้ยว
ทำไมคนที่ถูกไล่ออกแล้วอย่างฉันต้องกลับไปทำงานตามที่นายบอกด้วยฮะ!
ฉันสามารถไล่นายออกบ้างได้ไหม?
ยังไงเสียสวี่เหยียนก็ทำงานทุกอย่างมาตลอดหลายวันนี้ได้โดยที่ไม่มีเธอนี่ เพราะงั้นถ้าบ่ายนี้เธอไม่เข้ามันจะเป็นอะไรไป? ไว้หานซือฉีถามหาเหตุผลก็ค่อยบอกว่าตนนั้นไม่สบายก็จบ
ดังนั้นแล้วฝูเจิ้งเจิ้งจึงตัดสินใจที่จะทำตามแผนที่เธอวางไว้
เปลือกตาหนักจากความเหนื่อยล้าค่อยๆ ปิดลงมา ส่งเธอเข้าสู่ห้วงนิทราไปพักใหญ่ๆ
———————————-
สติค่อยๆ กลับมาอีกครั้ง ฝูเจิ้งเจิ้งลืมตาตื่นขึ้นและมองไปยังนาฬิกา เธอพบว่านี่เป็นเวลากว่า 3 โมงแล้ว หญิงสาวรีบจัดการตัวเองให้อยู่ในสภาพดูเรียบร้อยแล้วรีบไปทักทายเฉินเฉี่ยวหลานก่อนจะออกจากบ้านไป
เมื่อเธอเดินออกมาจากย่านที่พักและเข้าสู่ถนนหลัก มือเรียวงามก็ยกขึ้นเพื่อเรียกแท็กซี่ ทว่ารถคันที่วิ่งเข้ามาจอดเทียบข้างนั้นกลับไม่ใช่แท็กซี่แต่อย่างใด
——————————————————————————————————–
คุยกับผู้แปล
อะไรกันวะเนี่ย 5555555555555 นี่ไม่คิดเลยนะว่าพี่รองคือจีหมู่เซี่ยน ไม่เลยแม้แต่จะเอะใจ พอรู้อย่างงี้แล้วคิดย้อนกลับไปมันก็ทำให้เห็นว่า ไอ้พี่น้องคู่นี้มันก็แอบเป็นห่วงกันอยู่นะ โห โคตรเซอร์ไพรส์
-ทีมงานผู้แปล Enjoybook-