ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 55 โคตรหึง
บทที่ 55 โคตรหึง
นี่มันรถของหานซือฉี!
ฝูเจิ้งเจิ้งตกใจในระดับหนึ่งเลย ทำไมคนๆ นี้ถึงมาอยู่ที่นี่ในเวลาแบบนี้ได้ล่ะ?
หานซือฉีค่อยๆ ลดกระจกลงช้าๆ แล้วชำเลืองมองเธอในทันที “ทำไมถึงไม่กลับไปทำงาน?”
หัวใจดวงน้อยของหญิงสาวกำลังเต้นแรงด้วยความตื่นตระหนก สถานการณ์แบบนี้เห็นทีคงจะไปร้านน้ำชาไม่ได้แล้ว เพราะงั้นต้องหาทางรอดก่อน “ฉันหลับลึกไปหน่อยน่ะค่ะ ต-แต่นี่ก็กำลังจะไปบริษัทแล้วนะคะ!”
“บริษัทเว่ยหานของฉันมันอยู่ทางนั้นหรือไง?” เขาไม่รีรอที่จะพูดเป็นนัยทันที เขารู้ว่าเธอโกหก
“อ-เอ่อ…” เธอหันมองซ้ายทีขวาทีถึงได้รู้ว่าเธอไม่ได้ยืนอยู่ทางที่จะไปบริษัท เพราะงั้นจึงได้แต่ลูบหัวตัวเองและหัวเราะแห้งๆ “ส-สงสัยฉันจะยังไม่ตื่นดีน่ะค่ะ แหะๆ”
“ขึ้นรถ” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
หญิงสาวเหลือบมองไปยังทิศทางของร้านน้ำชาด้วยความอาลัยอาวรณ์ และในท้ายสุดก็ต้องขึ้นรถไฟด้วยความจำยอม
“เป็นอะไร?”
“เปล่านี่คะ”
เขาละสายตาจากเจ้าหล่อนและวกรถกลับไปยังทิศทางที่จะไปบริษัทอย่างรวดเร็วทันที
ระหว่างทางฝูเจิ้งเจิ้งไม่ได้ถามเลยว่าทำไมหานซือฉีถึงมาอยู่ที่นี่ เธอเพียงมองทอดยาวผ่านกระจกและดูวิวข้างทางที่ถูกแสงแดดยามบ่ายแก่ๆ คอยอาบชโลมให้เป็นทิวทัศน์ที่งดงาม
หานซือฉีขับรถไปด้วยความตั้งใจอย่างไม่วอกแวกจนกระทั่งรถเข้ามาจอดยังลานจอดรถชั้นใต้ดินของอาคารเว่ยหาน
ในทันทีที่รถจอดสนิท ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบคว้ากระเป๋าของตนไว้และออกจากรถไป เธอเตรียมจะวิ่งไปยังลิฟต์ที่อยู่ไม่ไกลมากแล้ว
“ฝูเจิ้งเจิ้ง!” เขาตามลงมาติดๆ พร้อมตะโกนเรียกเธอไว้
“เอ๊ะ?” เมื่อโดนเรียกด้วยชื่อเต็มเช่นนั้น เธอก็หยุดและหันกลับมาด้วยความสงสัยทันที
“ทำไมเธอถึงพยายามหลบหน้าฉัน?”
นี่ฉันตาฝาดหรือเปล่าน่ะ? ทำไมท่าทีของคนๆ นี้ถึงดูเหมือนเขาแอบเก็บซ่อนความเจ็บปวดไว้ในดวงตาล่ะ? เขาคิดว่าฉันโกรธหรือไงกัน?
แม้จะยังสงสัย แต่เธอก็โต้ตอบเขากลับไปตามปกติ “คุณหานน่ะเป็นเจ้านายฉันนะคะ ส่วนฉันน่ะเป็นแค่พนักงานเอง มันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอคะที่พนักงานจะต้องหวาดกลัวเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับเจ้านายน่ะ?”
เขารีบเดินตามเธอมาทันทีพร้อมทั้งจ้องมองเธอด้วยแววตาเยือกเย็น “กลัวเหรอ? เธอเคยกลัวฉันด้วยหรือไงกัน?”
“คุณหานคะ คำเมื่อครู่นี้หมายความว่า ฉันให้ความเคารพคุณหานค่ะ ขอโทษที่ฉันพูดไม่ชัดเจนเอง แล้วก็ฉันไม่ได้มาทำงานหลายวันแล้ว เพราะงั้นมันน่าจะมีงานที่รอให้ฉันไปสะสางอยู่เป็นภูเขาเลย ถ้ายังไงฉันขอตัวก่อนนะคะ”
ทว่า หานซือฉีกลับจับแขนของเธอไว้เสียก่อน
“จะทำอะไรไม่ทราบคะ…” เธอไม่สามารถสะบัดแขนออกได้เลย เพราะงั้นฝูเจิ้งเจิ้งจึงขมวดคิ้วแล้วมองเขาแบบไม่พอใจ
ที่ลานจอดรถชั้นใต้ดินของอาคารเว่ยหานนั้นเป็นที่ที่สามารถมีพนักงานคนอื่นผ่านมาและผ่านไปได้ตลอดเวลา นั่นหมายถึงเธอมีโอกาสที่จะกลายเป็นขี้ปากคนอื่นได้ทุกเมื่อด้วยถ้าหานซือฉียังจับมือเธอไว้เช่นนี้ อีกอย่าง ทั่วทั้งบริษัทก็รู้กันดีอยู่แล้วด้วยว่าหานซือฉีกับเฉียวเค่อเหรินเป็นอะไรกัน
หากโดนเอาไปพูดว่าตนนั้นเป็นเมียเก็บชาวบ้าน มันคงไม่ใช่เรื่องที่น่าอภิรมณ์แน่ๆ
หลังจากที่หยุดพูดไปครู่หนึ่ง หานซือฉีก็ถามต่อ “ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับจีหมู่เซี่ยน ถึงขั้นไหนกันแล้ว?”
“จีหมู่เซี่ยน?” ฝูเจิ้งเจิ้งนึกถึงภาพเมื่อครั้งที่แม่ของจีหมู่เซี่ยนเข้าใจผิดคิดว่าเธอเป็นแฟนของเขาในวันนี้ขึ้นมาได้ทันที มันทำให้เธอหน้าแดงขณะที่ถามเขากลับไป “คิดว่าฉันกับคนคนนั้นมีความสัมพันธ์แบบไหนกันล่ะคะ?”
หานซือฉีเชื่อว่าตนเองนั้นเข้าใจสีหน้าที่แสดงออกมาของสาวตรงหน้าไม่ผิด เพราะงั้นแววตาของเขาจึงได้ดูเย็นชามากขึ้น “โฮ่ ฝูเจิ้งเจิ้ง ฉันประเมินเธอต่ำไปจริงๆ ด้วยสินะ!”
“งั้นก็ช่วยประเมินฉันให้สูงขึ้นด้วยนะคะ” พูดไปเช่นนั้นแล้วฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบปลีกตัวออกไปทันที
เขายืนนิ่งมองร่างของหญิงสาวหายเข้าไปในลิฟต์ พร้อมกับนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
เมื่อตอนบ่ายที่ครอบครัวของเขารับประทานอาหารร่วมกันนั้น หานซือฉีได้ยินชัดเจนแม้แม่ของเขา จีหยาฉู จะแค่กระซิบกระซาบกับพี่รองว่าทำไมถึงไม่ยอมพาแฟนสาวมาทานข้าวด้วยกัน ไม่เพียงเท่านั้น เพราะเขายังได้ยินคำถามอีกมากมายที่ถามถึงตัวสาวคนนั้นอีกด้วย แล้วคนที่อยู่กับฝูเจิ้งเจิ้งมาพักใหญ่ๆ อย่างหานซือฉีมีเหรอที่จะไม่รู้ว่าทั้งสองคนกำลังพูดถึงหล่อน?
พี่รองของเขานั้นไม่ได้ตอบคำถามเหล่านั้นไปตรงๆ แต่เขารู้ดีว่าคนอย่างพี่รองน่ะ ถ้าไม่ได้ตอบปฏิเสธ นั่นหมายถึงสิ่งที่อีกฝ่ายถามเป็นเรื่องจริง และถือเป็นการบอกเป็นนัยๆ ว่าเรื่องความสัมพันธ์นี้เป็นเรื่องจริงด้วย
สิ่งที่ไม่คาดคิดสำหรับหานซือฉีจริงๆ เลยก็คือ เพียงแค่ไม่กี่วันที่เรื่องของเขาและเฉียวเค่อเหรินถูกแพร่กระจายออกไป ฝูเจิ้งเจิ้งก็วางแผนเข้าหาพี่รองของเขาอย่างรวดเร็วเช่นนี้ รวมไปถึงการที่เธอสามารถหว่านเสน่ห์ใส่พี่รองของเขาได้สำเร็จอีก!
ต้องยอมรับจริงๆ แล้วว่าฝูเจิ้งเจิ้งนั้นสามารถเข้าถึงอารมณ์และความรู้สึกของผู้อื่นได้ดี ไม่เช่นนั้นแล้วคนที่เป็นแม่คนแล้วอย่างเธอ จะสามารถหว่านเสน่ห์ใส่ทั้งเขาและพี่รองจนหลงได้ขนาดนี้!
คิดเหรอว่าฉันจะยอมให้ฝูซิงไปเรียกคนอื่นว่าป๊ะป๋าน่ะ? ไม่มีวัน! ต่อให้เป็นพี่รองก็ไม่ยอมหรอก!
ในเมื่อเธอเป็นฝ่ายเริ่มยั่วฉันเอง อย่าหวังเลยว่าจะถอนตัวออกไปได้ง่ายๆ แบบนี้ ไม่มีทาง!
ชายหนุ่มยืนนิ่งอยู่นาน จนในที่สุดก็เดินเข้าออฟฟิศไป
————————————————-
ฝูเจิ้งเจิ้งเข้าไปยังห้องของรองประธานบริษัท เธอทักทายสวี่เหยียนและสวี่เหยียนเองก็ดูจะดีใจมากๆ ที่ได้เห็นเธอกลับมาทำงานได้เช่นนี้ แต่เพราะว่ามันยังเป็นเวลาทำงาน พวกเธอทั้งสองจึงทำได้แค่แอบนัดแนะว่าจะไปทานอาหารด้วยกันหลังจากเลิกงานเท่านั้น จากนั้นเธอก็รีบเข้าไปยังออฟฟิศของเธอ
ทว่าเมื่อมือเรียวนั้นผลักประตูเข้าไป เสียงหวานของสตรีที่คุ้นหูก็ดังขึ้นมาจากด้านใน “ซือฉีคะ อยู่ที่นี่หรือเปล่า? คุณปล่อยให้ฉั…”
เจ้าของเสียงนั้นคือเฉียวเค่อเหริน และเมื่อเธอหันมาแล้วพบว่าคนที่กำลังเข้าไปในห้องไม่ใช่หานซือฉี รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป จะมีก็แต่น้ำเสียงเท่านั้นที่เปลี่ยนไปในทันที “ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ? บริษัทนี้ยังมีอะไรให้เธอทำได้อีกหรือยังไง?”
“ฉันได้รับแจ้งให้มาที่บริษัทน่ะค่ะ” ฝูเจิ้งเจิ้งไม่อยากจะมีเรื่องกับเฉียวเค่อเหริน ดังนั้นจึงตอบไปด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ใครแจ้งไปแบบนั้นกันนะ?”
น้ำเสียงที่ฟังดูไม่ยินดีนั้นทำเอาฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกไม่ค่อยสบายใจขึ้นมาทันที แต่เธอก็เลือกตอบกลับด้วยความใจเย็น “คุณหานค่ะ เขาบอกฉันมาแบบนั้น”
“ซือฉีเหรอ? มันจะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไงน่ะ?” ครั้งนี้เฉียวเค่อเหรินรีบเดินเข้าไปหาฝูเจิ้งเจิ้งทันที เธอเหลือบมองหญิงสาวตรงหน้านี้ด้วยความเหยียดหยาม ตั้งใจมองให้เธอเห็นถึงสายตาที่ดูแคลนนั้น “เธอเปลี่ยนความคิดของเขาได้ยังไงกันน่ะ?”
แววตาที่มองมานั้นราวกับกำลังคิดว่าฝูเจิ้งเจิ้งเป็นคนที่โลภจ้องจะเอาสมบัติของเธอเสียอย่างนั้น ซึ่งฝูเจิ้งเจิ้งก็ทำได้แค่ข่มความเกลียดชังไว้และพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ยินดียินร้าย “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าทำไมเขาถึงเปลี่ยนความคิด แต่จริงๆ แล้วฉันก็ไม่ได้อยากจะมาทำงานสักเท่าไหร่อยู่แล้ว”
“ไม่อยากมาทำงานในบริษัทเว่ยหานงั้นเหรอ?” เฉียวเค่อเหรินทวนคำพูดด้วยความคิดต่างๆ มากมาย แต่แล้วทันใดนั้นเธอก็เข้ามากระซิบ “คุณฝู เธออยากจะแต่งงานแล้วเข้ามาเป็นสะใภ้ตระกูลหานจริงๆ ใช่ไหม? ถ้าใช่ฉันพอจะช่วยเธอได้นะ”
ช่วยฉันแต่งงานเข้าตระกูลหาน?
มีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าเฉียวเค่อเหรินรักหานซือฉีขนาดไหน?
ถ้าจะให้ฉันไปแต่งงานกับหานซือฉี เธอจะไม่ฆ่าอำพรางฉันตรงนี้ในทันทีเลยหรือไงน่ะ? แบบนี้เหรอช่วยที่ว่า? ช่วยให้ไปสบายและล้มเลิกความคิดเพ้อฝันนั่น?
ฝูเจิ้งเจิ้งมองเฉียวเค่อเหรินด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด แล้วจึงพบว่าเธอตรงหน้านี้ดูเหมือนจะกำลังกระแทกกระทั้นตนอยู่
เฮอะ กำลังหัวเราะเยาะฉันอยู่ล่ะสิ!
เมื่อรู้สึกได้ดังนั้น ฝูเจิ้งเจิ้งก็ใช้ความรำคาญของตนกลั่นเอาถ้อยคำเสียดสีออกมาพูดตอกกลับไปบ้าง “ยังมีคนที่ยังไม่รู้อีกเหรอคะว่าคุณเฉียวรักคุณหานขนาดไหน? ฉันคิดว่าเรื่องวิธีแต่งเข้าตระกูลหานนั่นน่ะ คุณเฉียวคิดแล้วหาวิธีให้ตัวเองน่าจะดีกว่ามั้งคะ”
คำพูดของเธอทำเฉียวเค่อเหรินหน้าเสียไปในทันที แต่เมื่อเธอเตรียมจะระเบิดอารมณ์โกรธออกมา สายตาก็เหลือบไปเห็นหานซือฉีที่กำลังเดินเข้ามาเสียก่อน เพราะงั้นเธอจึงรีบกลบเกลื่อนท่าทีไม่น่าอภิรมณ์นั้นไว้ใต้รอยยิ้มสดใสของตน “ซือฉี มาแล้วเหรอคะ? ฉันรอคุณอยู่นานแล้ว”
ถ้าหล่อนเป็นนักแสดง ฉันอยากจะเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์เสียจริง
ฝูเจิ้งเจิ้งคิดขณะที่ก้มหัวให้และกลับไปปัดโต๊ะของเธอที่ไม่ได้ใช้มาหลายวัน
“ไม่ใช่ว่าฉันบอกให้เธอพักผ่อนอยู่ที่บ้านหรือไง? ทำไมถึงยังมาที่บริษัทอีก?”
“แหม ฉันรู้นะคะว่าคุณน่ะเป็นห่วงฉัน แต่ฉันคิดถึงซือฉีนี่นา”
เฉียวเค่อเหรินเดินผ่านฝูเจิ้งเจิ้งไปควงแขนหานซือฉีไว้ก่อนจะหันกลับมามองฝูเจิ้งเจิ้งอีกครั้ง “เอ้อ คุณฝูคะ ช่วยทำชานมให้ฉันแก้วนึงนะคะ”
“โอ้ ได้ค่ะ” ฝูเจิ้งเจิ้งตอบรับ หลังจากที่เธอทำความสะอาดโต๊ะของตนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอจึงรีบไปล้างมือและทำชานมอย่างค่อยเป็นค่อยไป
การกระทำที่ดูอุ้ยอ้ายไม่ได้รีบร้อนนั้น เฉียวเค่อเหรินก็จงใจพูดกับหานซือฉี “ซือฉีคะ คุณฝูน่ะไม่อยากจะมาทำงานในเว่ยหานแล้ว ซือฉีจะบังคับให้เธอมาทำงานทำไมล่ะ?”
“ไม่อยากทำงานในเว่ยหานงั้นเหรอ?”
แม้ใบหน้าจะหันไปมองเฉียวเค่อเหริน แต่ฝูเจิ้งเจิ้งก็รู้ดีว่าหานซือฉีเอ่ยปากถามตน กระนั้นเธอก็ไม่ได้พูดอะไรและนำชานมไปเสิร์ฟให้เฉียวเค่อเหรินอย่างระมัดระวัง
ความไม่สบายใจเกิดขึ้นภายในใจของเฉียวเค่อเหรินเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าฝูเจิ้งเจิ้งนั้นดูจะไม่เถียงเรื่องที่เธอเพิ่งพูดไป เพราะแบบนั้นเธอจึงรีบอธิบายต่อด้วยรอยยิ้ม “คุณฝูคงจะล้อฉันเล่นแน่ๆ เลย ในเมืองนี้ยังจะมีใครไม่อยากเข้ามาทำงานในบริษัทเว่ยหานบ้างน้า~ ขนาดฉันเองยังอยากเข้ามาเลย!”
ทว่าหานซือฉีกลับไม่ได้ตอบอะไรเธอ เขามองฝูเจิ้งเจิ้งที่กำลังเดินกลับไปนั่งที่นั่งของตนก่อนจะหันกลับมาสนใจหน้าจอของตนโดยไม่ได้พูดอะไร
เฉียวเค่อเหรินยังคงยิ้มอยู่ดังเดิม แต่ในสายตาที่เหลือบมองฝูเจิ้งเจิ้งนั้นแอบซ่อนความไม่พอใจไว้อยู่
ตำแหน่งที่ฝูเจิ้งเจิ้งทำงานอยู่นั้นถูกเพิ่มมาโดยหานซือฉี จริงๆ งานทุกอย่างที่เลขาต้องทำนั้น แค่สวี่เหยียนคนเดียวก็ทำได้สบายๆ ดังนั้นถึงแม้ว่าฝูเจิ้งเจิ้งจะไม่ได้มาทำงานหลายวัน เธอก็ไม่มีงานค้างให้ทำอยู่ดี
อย่างไรก็ตาม การที่ต้องมานั่งอยู่ในห้องนี้เกือบชั่วโมงมันก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกสบายใจเสียเท่าไหร่ เพราะตลอดเวลาที่อยู่ในห้องนี้ ฝูเจิ้งเจิ้งต้องแสร้งทำเป็นหูทวนลมตลอดเพื่อไม่ให้เผลอไปได้ยินเฉียวเค่อเหรินหยอกเย้าหานซือฉีอยู่
เมื่อเห็นว่าเวลาเกือบจะ 4 โมงครึ่งแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็เก็บข้าวเก็บของและเตรียมจะเลิกงาน หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็เดินไปหาหานซือฉีเพื่อบอกเขา “คุณหานคะ ฉันมีเรื่องที่ต้องไปสะสางต่อ ถ้ายังไงฉันขอเลิกงานเร็วหน่อยนะคะ”
“นี่เพิ่งจะ 4 โมงครึ่งเองนะคะ เธอจะไปรับซิงซิงที่โรงเรียนแล้วเหรอ?” เฉียวเค่อเหรินดูจะเป็นห่วงเป็นใยเธอเสียเหลือเกิน
“ได้” ทว่าหานซือฉีกลับตอบโดยไม่ลังเลหรือเงยหน้ามามองเสียด้วยซ้ำ
“ขอบคุณค่ะคุณหาน ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงนะคะคุณเฉียว” หลังจากพูดไปเช่นนั้นแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็หันหน้าออกแล้วเดินจากไปทันที
ไม่รู้ว่าทำไมตนเองถึงต้องขอบคุณเฉียวเค่อเหรินด้วย แต่สิ่งหนึ่งที่รู้คือ เธอคนนั้นอยู่ไม่สุขเลยหลังจากที่เห็นฝูเจิ้งเจิ้งกลับเร็วเช่นนี้
“การเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะคะ ซือฉี จะว่าไปแล้วในบริษัทเองก็มีทั้งผู้ชายที่ยังโสดและสาวๆ ที่ยังไร้คู่อยู่อีกมากมายเลย หรือดีไม่ดีในบริษัทก็อาจจะยังมีคนแบบฝูเจิ้งเจิ้งที่ต้องเลี้ยงลูกเพียงลำพังอยู่ก็ได้ ถ้ายังไงให้ฉันลองคุยกับคุณพ่อเพื่อให้ท่านจัดปาร์ตี้สละโสดให้ดีไหมคะ?” เฉียวเค่อเหรินแสดงความสนอกสนใจขึ้นมา
“มันเป็นเรื่องส่วนตัวของพนักงานน่ะ” หานซือฉีตอบกลับโดยไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำ จากนั้นจึงเอ่ยกับเธอแบบขอไปที “คิดเรื่องมื้อเย็นวันนี้ดีกว่า”
นั่นทำให้เฉียวเค่อเหรินรู้สึกมีความสุขขึ้นมาอีกครั้ง “ฉันอยากทานอาหารฝรั่งเศสค่ะ ซือฉี”
“โอเค เธอไปจองโต๊ะไว้ได้เลย เดี๋ยวฉันเสร็จงานแล้วเราค่อยไปกินด้วยกัน”
“ได้เลยค่ะ ซือฉีน่ารักที่สุดเลย~” เฉียวเค่อเหรินกอดและเขย่าแขนแรงขณะที่ตนเองนั้นก็หยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมากดด้วย
การที่แขนของหานซือฉีโดนเขย่านั้น มันส่งผลถึงมือที่กำลังพิมพ์งานอยู่ด้วย แววตาเฉียบคมขมวดคิ้วมองตัวอักษรที่ปรากฏขึ้นมาเพราะการกดแป้นผิด แม้จะไม่ได้พูดอะไรแต่ปลายนิ้วที่บรรจงกดลงไปที่ปุ้ม Backspaceอย่างแรงนั้นก็แสดงออกถึงความไม่พอใจเล็กน้อย
ในฤดูหนาวนั้น ยามเย็นจะคืบคลานเข้ามาเร็วกว่าปกติ เวลาเพียง 4 โมงครึ่ง ดวงอาทิตย์ก็คล้อยต่ำลงมามากแล้ว
เมื่อฝูเจิ้งเจิ้งไปถึงโรงเรียน เด็กๆ ต่างก็กำลังเกาะกลุ่มกันเล่นสไลด์เดอร์อยู่ในสนามเด็กเล่นโดยฝูซิงเองก็อยู่ในกลุ่มนั้นด้วย ยามเมื่อเจ้าตัวเล็กเหลือบไปเห็นแม่ของตน เขาก็ส่งเสียงเรียก “หม่ามี๊ ฝูซิงอยู่ทางนี้!”
“ไม่ต้องรีบร้อนวัยรุ่น” ฝูเจิ้งเจิ้งเดินไปหาฝูซิง “วันนี้เชื่อฟังคุณครูหลี่หรือเปล่าเอ่ย?”
“แน่นอน! วันนี้ฝูซิงได้ดอกไม้สีแดงดอกใหญ่ตั้ง 2 ดอก! ดูสิ!” สิ้นคำพูดฝูซิงก็ยืดอกด้วยความภาคภูมิใจ
ฝูเจิ้งเจิ้งจับแก้มของลูกชายเธอไว้ก่อนจะหอมเข้าไปที่หน้าผากอย่างชื่นชม “เก่งมากฝูซิง ในเมื่อวันนี้ลูกเป็นเด็กดี เพราะงั้นหม่ามี๊จะพาลูกไปร้านปลาย่างแล้วหาปลากินเป็นมื้อเย็นกันดีกว่า”
“เยส! ขอบคุณครับหม่ามี๊! ฝูซิงไม่ได้กินปลาย่างมานานม๊ากกกกก” ฝูซิงพูดเจื้อยแจ้วด้วยความร่าเริง
“งั้นลูกเล่นอยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวหม่ามี๊ไปจ่ายค่าเทอมก่อน”
เพราะเมื่อเช้านี้ผู้อำนวยการโรงเรียนไม่อยู่ ดังนั้นเธอจึงรีบมาจ่ายก่อนมันจะเย็นกว่านี้แล้วเขาจะไม่อยู่อีก
การจ่ายค่าเทอมนั้นจริงๆ แค่เดินเข้าไปวางเงินเสร็จก็เป็นอันที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเพียงครู่เดียวเธอก็ออกมาจากออฟฟิศของผู้อำนวยการโรงเรียน ตอนนั้นเองเธอก็ได้เหลือบไปเห็นหลี่เสี่ยวเมิ่งกำลังคอยดูแลเด็กๆ ที่กำลังเล่นสไลด์เดอร์บริเวณสนามเด็กเล่นอยู่ เธอจึงรีบกล่าวทักทายอีกฝ่าย
ก่อนหน้านี้ฝูเจิ้งเจิ้งไม่ค่อยถูกชะตากับหลี่เสี่ยวเมิ่งเสียเท่าไหร่ นั่นเพราะความสัมพันธ์ที่คลุมเครือของเธอกับหานซือฉี รวมไปถึงตัวตนของเธอที่เป็นถึงลูกของหลี่หมิงด้วย แต่ในตอนนี้ เรื่องต่างๆ มากมายที่ได้ผ่านเข้ามาในชีวิตฝูซิงภายในโรงเรียนแห่งนี้ มันทำให้ความเชื่อใจและประทับใจในตัวหลี่เสี่ยวเมิ่งนั้นมีมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่หลี่เสี่ยวเมิ่งทำให้เธอนั้น มันทำให้หลายครั้งเธอเองยังไม่เชื่อเลยว่าหญิงสาวคนนี้เป็นลูกสาวของหัวหน้าแก๊งค้ายาที่ร้ายกาจอย่าง หลี่หมิง คนนั้น
หลี่เสี่ยวเมิ่งหันมาตามเสียงทักทาย และเมื่อเธอเห็นฝูเจิ้งเจิ้งเดินเข้ามา ใบหน้าสวยก็ยิ้มกว้างและกล่าวชมฝูซิงให้อีกฝ่ายฟังอย่างรวดเร็ว “สวัสดีค่ะคุณแม่ซิงซิง วันนี้ซิงซิงเป็นเด็กดีมากๆเลย เขาทานข้าวไม่เหลือเลยแม้แต่เม็ดเดียวเมื่อกลางวัน”
ยิ่งได้รับการยืนยันว่าเป็นเด็กดี ฝูซิงก็ยิ่งมั่นใจและภูมิใจในตนเองมากขึ้นไปอีก ซึ่งฝูเจิ้งเจิ้งก็ยิ้มและกล่าวขอบคุณหลี่เสี่ยวเมิ่งก่อนที่ทั้งสองแม่ลูกจะพากันออกจากโรงเรียนไป
คุณครูสาวยืนยิ้มที่ได้เห็นสองแม่ลูกคู่นี้สนิทสนมกันดีจนกระทั่งพวกเขาเดินลับตาไปจึงกลับมาดูแลเด็กคนอื่นๆ ต่อ ในตอนนั้นเองเสียงโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้นมา “ฮัลโหล? เอ๋ วันนี้จะไปทานอาหารฝรั่งเศสเหรอคะ? อืมมมมม เอ้อ ฉันได้ยินมาว่าซิงซิงกับแม่ของเขาจะไปทานปลาย่างกันที่ร้านขายปลาย่างน่ะค่ะ แหม นึกตามแล้วก็น้ำลายสอเลยน้า~”
———————————————————————————————————-
คุยกับผู้แปล
หลังจากพ่ายให้หานซือฉีมาหลายครั้ง ตอนนี้ฝูเจิ้งเจิ้งเก็บหมดจริงๆ ทั้งหานซือฉีทั้งเฉียวเค่อเหรินเลย 555555555555
-ทีมงานผู้แปล Enjoybook-