ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 56 เด็กๆ ช่างไร้เดียงสา
บทที่ 56 เด็กๆ ช่างไร้เดียงสา
ร้านปลาย่างนั้นตั้งอยู่บนถนนห้วนฉุย ซึ่งอยู่คนละฟากกับถนนหยางหมิง ถนนเส้นนี้เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อของ “เส้นทางแห่งบาร์บีคิว”
ถึงแม้ว่าหน้าหนาวจะย่างกรายเข้ามาแล้ว และบนถนนเส้นนี้ก็มีผู้คนอยู่บางตากว่าฤดูอื่นๆ แต่กระนั้นที่ร้านปลาย่างกลับมีลูกค้ามาอุดหนุนกันอย่างหนาแน่น นั่นเพราะปลาย่างของภัตตาคารแห่งนี้ ขึ้นชื่อว่าพิเศษและอร่อยกว่าที่ไหนๆ
เคล็ดลับของร้านนี้จะเริ่มต้นจากนำปลาไปย่างด้วยเตาถ่าน แล้วนำไปเคี่ยวกับซุปประจำฤดูกาล เมื่อซุปเดือดได้ที่แล้ว ลูกค้าสามารถเลือกผักมากมายใส่ไปได้ตามใจชอบ ภายในเมือง B นั้น ผู้คนส่วนใหญ่จะชอบกินปลาย่าง ดังนั้นเกือบทุกร้านปิ้งย่างก็จะมีปลาย่างถ่านอยู่ในเมนูกันหมด
ร้านปลาย่างเป็นร้านอาหารขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมพื้นที่ระดับร้านเล็กๆ รวมกัน 3 ร้านเลย ภายในร้านตกแต่งในรูปแบบที่เรียบง่ายแต่ก็ได้มาซึ่งความสะอาดและเรียบร้อย
สวี่เหยียนเดินนำฝูเจิ้งเจิ้งและลูกชายไปยังที่นั่งริมหน้าต่างที่เธอชื่นชอบ หลังจากสั่งอาหารไปเรียบร้อยแล้ว สวี่เหยียนก็ส่งเมนูคืนไปให้เด็กเสิร์ฟดังเดิม
ฝูซิงถอดรองเท้าออกก่อนจะกระโดดไปยืนบนเก้าอี้เพื่อมองไปรอบๆ ตัวด้วยความตื่นเต้น ในมือของเขาถือตะเกียบและกวัดแกว่งไปมาเหมือนอาวุธคู่ใจ
ตลอดเวลาที่ฝูซิงยืนมองซ้ายทีขวาที่อยู่บนเก้าอี้นั้น สวี่เหยียนก็ยื่นมือไปเพื่อคอยประคองไม่ให้เขาล้มลงมา “ซิงซิง ถ้ากระโดดบนเก้าอี้เดี๋ยวจะตกลงมาเอานะ”
ฝูเจิ้งเจิ้งนั้นไม่ได้สนใจฝูซิงเลย เธอกำลังล้างช้อนส้อมต่างๆ ด้วยน้ำเดือดเพื่อฆ่าเชื้อโรคอยู่ “ถ้าตกลงมาหม่ามี๊ไม่ช่วยนะ”
ในตอนที่ฝูซิงหันไปมองทางอื่น สวี่เหยียนก็หันมากระซิบกระซาบ “เจิ้งเจิ้ง ในเมื่อเธอกลับมาทำงานอีกรอบแบบนี้ แสดงว่าหูตาเธอคงจะต้องพบเจอกับภาพอันน่าบาดตาบาดใจทุกวันแล้วล่ะสิ”
“เอาหูไปนาเอาตาไปไร่จ้ะ” ฝูเจิ้งเจิ้งยิ้ม
แต่ก่อนที่เธอจะได้ชื่นชมกับคำพูดอันสวยหรูของตน ฝูซิงก็ร้องออกมาด้วยความดีใจ “หม่ามี๊! ดูสิ ป๊ะป๋าก็มาด้วยล่ะ!”
เธอช็อกไป เรื่องแบบนี้มันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร? ร้านแบบนี้มันไม่น่าจะอยู่ในสายตาของหานซือฉีได้เลยนะ!
ฝูเจิ้งเจิ้งหันไปมองเพื่อให้มั่นใจว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่
และเมื่อเธอหันกลับไปมอง เธอก็พบว่าหานซือฉีอยู่ที่นี่จริงๆ แถมข้างกายเขายังมีเฉียวเค่อเหรินกำลังกอดแขนเขามาด้วย ทั้งยังดูพูดนู่นพูดนี่กระหนุงกระหนิงมาตลอดทางอีก
“อะไรกันเนี่ย ทำไมพวกเขาถึงมาอยู่ในที่แบบนี้กันล่ะ?” สวี่เหยียนเองก็ตกใจไม่แพ้กัน “ฉันคิดว่าถ้ามาร้านแบบนี้แล้วจะไม่ต้องเจอสองคนนี้ซะอีกนะ!”
“ป๊ะป๋า! ทางนี้!” ฝูซิงตะโกนเรียกในขณะที่ฝูเจิ้งเจิ้งพยายามดึงตัวเขากลับมานั่ง
เธอยกมือขึ้นปิดปากไว้หลังจากที่ดึงตัวกลับมานั่งแล้วพร้อมกับดุเจ้าตัวเล็กไปด้วยเสียงเบา “ฝูซิง หม่ามี๊สอนลูกไว้ว่ายังไง!?”
เฉียวเค่อเหรินหันตามเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กน้อย แต่เธอก็ไม่ได้แสดงท่าทีไม่ชอบใจแต่อย่างใด รอยยิ้มบนใบหน้านั้นยังคงสดใสดังเดิม หญิงสาวโบกไม้โบกมือให้พร้อมกล่าวทักทาย “อ้าว บังเอิญจังเลยนะเนี่ย พวกเธอเองก็มาที่นี่ด้วยเหรอ? สวัสดีจ้ะ ซิงซิง”
“ฮึ่ม!” เห็นดังนั้นฝูซิงก็ไม่ยอมสนใจเธอเลย แถมยังหันหน้าหนีไปทางอื่นอีก
“ฝูซิง สุภาพหน่อยลูก” ฝูเจิ้งเจิ้งเตือนก่อนจะหันไปยิ้มให้กับผู้มาใหม่ “สวัสดียามเย็นค่ะ คุณเฉียว คุณหาน”
สวี่เหยียนเองก็กล่าวทักทายในทันทีด้วยเช่นกัน แต่หานซือฉีนั้นกลับไม่ได้พูดอะไรตอบพวกเธอ เพียงแค่พยักหน้าเบาๆ เท่านั้น
“งั้นเรานั่งกันตรงนี้ดีกว่าค่ะซือฉี” เฉียวเค่อเหรินนั่งลงไปพร้อมกับหานซือฉีที่โต๊ะใกล้ๆ ฝูเจิ้งเจิ้ง
แม้จะเห็นอกเห็นใจฝูเจิ้งเจิ้ง แต่สวี่เหยียนเองก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน เธอได้แต่มองฝูเจิ้งเจิ้งในขณะที่ฝูเจิ้งเจิ้งเองก็มองเธอกลับมาและยิ้มเจื่อนๆ ให้พลางส่ายหน้าช้าๆ เพื่อบอกให้รู้ว่าตนไม่ได้สนใจอะไร
ไม่นานนัก อาหารของทั้งสองโต๊ะก็มาเสิร์ฟพร้อมๆ กัน
อีกฟากหนึ่ง เฉียวเค่อเหรินทำตัวเหมือนเด็กน้อยที่ต้องคอยให้คนอื่นดูแลตลอดเวลา เธอเรียกร้องให้หานซือฉีป้อนเธออยู่เรื่อยๆ ในขณะที่หานซือฉีก็ไม่ได้ปฏิเสธ พร้อมทำตามคำขอของเธอทุกอย่างโดยไม่พูดอะไร
สวี่เหยียนนั้นคีบปลาเป็นชิ้นเล็กๆ โดยไม่ให้มีก้างเหลือใส่ถ้วยของฝูซิงพลางมองฝูเจิ้งเจิ้งที่กินราวกับลืมวิญญาณไว้ที่บ้านไปด้วย เมื่อเห็นว่าหากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปมันคงจะไม่มีความสุขกันทั้งหมดแน่ๆ เธอจึงเข้าไปกระซิบ “เจิ้งเจิ้ง เปลี่ยนร้านกันไหม?”
พลันเมื่อตระหนักได้ว่าตนนั้นเหม่อลอยเกินไปแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบตักอาหารใส่ชามและยัดเข้าปากอย่างรวดเร็วพร้อมกับพูดขึ้น “จะเปลี่ยนทำไมน่ะ? ฉันไม่ได้มาขอข้าวกินฟรีสักหน่อย”
“แต่…” สวี่เหยียนมองคนปากแข็งตรงหน้าอย่างกระอักกระอ่วน
“เธอก็กินของเธอไปเถอะ ยังเหลืออีกตั้งเยอะนะ” ฝูเจิ้งเจิ้งไม่พูดเปล่า เธอคีบปลาใส่ถ้วยสวี่เหยียนให้กินเป็นเพื่อนเธอเสียเลย
ทันใดนั้น ฝูซิงก็วางถ้วยและตะเกียบลงก่อนจะก้มลงไปใส่รองเท้า
“ลูกจะไปห้องน้ำเหรอ?” แม้จะยังไม่รู้จุดประสงค์ แต่เมื่อเห็นฝูซิงใส่รองเท้า ฝูเจิ้งเจิ้งก็หันไปช่วยใส่โดยอัตโนมัติ
“หม่ามี๊ ฝูซิงจะไปกินข้าวกับป๊ะป๋า!”
มือที่ช่วยใส่รองเท้านั้นชะงักลงไปพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอเองด้วย ฝูเจิ้งเจิ้งรีบจับเจ้าตัวเล็กให้นั่งลงไปดังเดิม “ไม่มีทาง! กินโต๊ะนี้แหละ!”
ทว่าฝูซิงกลับไม่ยอมฟังเธอพร้อมทั้งตะโกนโหวกเหวก “ป๊ะป๋า ฝูซิงอยากไปกินข้าวกับป๊ะป๋า! โต๊ะป๊ะป๋าดูจะมีแต่อะไรอร่อยๆ เต็มไปหมดเลย!”
“ฝูซิง!” ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกเขินอายเมื่อลูกชายของตนส่งเสียงดังเช่นนั้น
อย่างไรก็ตาม เฉียวเค่อเหรินไม่ได้หัวเราะกับความน่าละอายนั้นแต่อย่างใด กลับกันเธอยังกวักมือเรียกฝูซิงด้วยความใจกว้างอีกด้วย “มานี่เร็วซิงซิง น้าสั่งอาหารไว้เยอะเลย ยังไงพวกเราก็คงทานกันไม่หมดอยู่แล้วด้วย”
“ขอบคุณครับน้าเฉียว” ฝูซิงพุ่งพรวดไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้มทันที แต่ในขณะเจ้าตัวเล็กกำลังจะวิ่งถึงโต๊ะของหานซือฉีแล้วเขาก็หันกลับมาและยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้ฝูเจิ้งเจิ้ง ซึ่งทำให้เธอโกรธเป็นอย่างมาก
เฉียวเค่อเหรินเตรียมที่จะคว้าเก้าอี้ว่างข้างๆ มาให้ฝูซิง ทว่าฝูซิงกลับตรงดิ่งขึ้นไปปีนตักของหานซือฉีในทันที “ป๊ะป๋า ฝูซิงจะนั่งกับป๊ะป๋า”
หานซือฉีขยับเก้าอี้ถอยหลังไปนิดหน่อยเพื่อให้ฝูซิงสามารถนั่งบนตักเขาได้สะดวก ก่อนจะยิ้มขึ้นมาเมื่อเห็นท่าทีของฝูซิงเช่นนี้
“ซิงซิงอยากกินอะไรดีล่ะ เดี๋ยวป๊ะป๋าจะตักให้”
ยังไม่มีวี่แววของความโกรธปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเฉียวเค่อเหริน เธอชี้ไปบนอาหารมากมายบนโต๊ะแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนเสียยิ่งกว่าหานซือฉีเสียอีก “ซิงซิง หนูอยากทานอะไร จานนี้ไหม? หรือจานนี้ดี?”
“ฝูซิงชอบกินปลากับผัก!” ฝูซิงตอบโดยไม่รีรอ
“ได้เลย~” เฉียวเค่อเหรินเคลื่อนจานที่ฝูซิงชอบเข้าไปใกล้เขา “ดูเหมือนเราสองคนจะชอบเด็กๆ เหมือนกันสินะคะ ซือฉี” หญิงสาวพูดด้วยท่าทีมีความสุขมากกว่าทุกครั้ง
ฝูเจิ้งเจิ้งเป็นกังวลก็จริง แต่ภาพที่เห็นมันก็ทำให้เธอพยายามคิดทบทวนถึงสถานการณ์และจุดประสงค์ของเฉียวเค่อเหรินใหม่อยู่บ่อยครั้ง
“คุณหานช่วยดูแลซิงซิงให้แล้ว เธอน่ะ ร่าเริงได้แล้วนะ” สวี่เหยียนขยิบตาเพื่อให้ฝูเจิ้งเจิ้งหันกลับมาทานอาหารของตนต่อได้แล้ว
หันมองสวี่เหยียนที่กระซิบจนแทบจะพูดผ่านโทรจิตแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็แอบหัวเราะ แต่ยังไงเสียความกังวลมันก็ทำให้เธอเหลียวมองฝูซิงอีกครั้ง
“รีบๆ กินได้แล้ว ไม่งั้นเดี๋ยวปลาจะไหม้ซะก่อนนะ”
มองไปยังโต๊ะที่ดูจะสุขสันต์กันไปหมด ฝูเจิ้งเจิ้งย่อมรู้ดีว่าฝูซิงน่ะคงจะไม่กลับมาโต๊ะนี้แล้วแน่ๆ เพราะงั้นเธอจึงต้องปล่อยไปก่อนและหันกลับมาจัดการอาหารบนโต๊ะของพวกเธอแทน
“ว้าย!”
ทันใดนั้นเอง เสียงร้องของเฉียวเค่อเหรินที่หวานจนบาดหูก็ดังขึ้นมา ฝูเจิ้งเจิ้งรีบหันมองในทันทีแล้วก็พบว่าเจ้าของเสียงนั้นกำลังยืนเพื่อปัดเช็ดชุดเดรสสีขาวของตนด้วยกระดาษทิชชู่เปียกอยู่
“น้าเฉียว ฝูซิงขอโทษ ฝูซิงไม่ได้ตั้งใจ ฝูซิงแค่อยากกินเต้าหู้เย็นแค่นั้นเอง” เสียงหวาดหวั่นของฝูซิงดังตามขึ้นมา
ดูเหมือนว่าเพราะฝูซิงจะพยายามตักเต้าหู้เย็นในน้ำซุปปลาย่างมาใส่ชามของตน และด้วยความที่เขานั้นเป็นเพียงเด็ก เลยไม่ได้ระมัดระวังว่าน้ำซูปร้อนๆ นั้นจะกระฉอกออกจากถ้วยและกระเด็นใส่มือของเฉียวเค่อเหรินรวมถึงชุดของเธอด้วย
ฝูเจิ้งเจิ้งเตรียมจะลุกขึ้น ทว่าสวี่เหยียนรีบเหยียบเท้าเธอเอาไว้เสียก่อน ไม่นานต่อจากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงของหานซือฉีพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วง “เป็นอะไรหรือเปล่า?”
“ฉันโดนน้ำร้อนลวกน่ะค่ะ เจ็บไปหมดเลย” เฉียวเค่อเหรินโชว์หลังมือที่เป็นรอยแดงจากการโดนน้ำซุปลวกให้หานซือฉีดูพร้อมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอมทุกข์
แต่ไม่ทันที่หานซือฉีจะได้เข้าไปดูอาการ ฝูซิงก็คว้ามือของเฉียวเค่อเหรินไว้ด้วยมือที่มันเยิ้มของเขาเสียก่อน “น้าเฉียว ให้ฝูซิงเป่าให้นะ หลังจากเป่าแล้วน้าเฉียวจะไม่เจ็บแผลอีกเลย”
หญิงสาวรีบชักมือตนเองกลับทันที ทว่าถึงจะคว้ากลับเร็วขนาดไหน แต่มือของเธอก็เปื้อนทั้งน้ำลายและน้ำมันไปแล้ว แต่เพราะหานซือฉีกำลังมองมาที่เธออยู่ เฉียวเค่อเหรินจึงพยายามข่มความขยะแขยงเอาไว้และยิ้มหวานออกมาอยู่เรื่อยๆ “ขอบคุณจ้ะซิงซิง หนูนี่เป็นเด็กดีจริงๆ”
ฝูซิงพูดอย่างภาคภูมิใจ “มันไม่เจ็บแล้วใช่ไหมครับ? ก่อนหน้านี้ที่ป๊ะป๋าโดนน้ำร้อนลวก ฝูซิงก็เป่าให้เหมือนกัน แล้วป๊ะป๋าก็ไม่เจ็บอีกเลย”
หานซือฉียิ้มให้เขาก่อนจะลูบหัวเจ้าตัวเล็กแทนการกล่าวชม
“เด็กๆ นี่ช่างไร้เดียวสาดีจริงๆ ซือฉี เดี๋ยวฉันขอไปล้างมือก่อนนะคะ” เฉียวเค่อเหรินยิ้มน้อยๆ แล้วจึงปลีกตัวไปยังห้องน้ำ ในทันทีที่ใบหน้าเธอไม่ได้อยู่ในสายตาของหานซือฉี รอยยิ้มหวานๆ นั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นความรังเกียจอย่างรวดเร็ว
หานซือฉีและฝูซิงนั้นนั่งหันหลังให้ฝูเจิ้งเจิ้ง ดังนั้นฝูเจิ้งเจิ้งจึงไม่เห็นสีหน้าของหานซือฉี แต่ฝูซิงนั้นขยับตัวและโผล่หน้ามาให้ฝูเจิ้งเจิ้งเห็น เขาขยิบตาเพื่อให้เธอรู้ว่าเมื่อครู่นี้เขาจงใจแบบสุดๆ ฝูเจิ้งเจิ้งเพียงแค่ใช้สายตาดุมองมาที่เขา เจ้าตัวเล็กจึงรีบหดหัวกลับไปซุกแขนหานซือฉีอีกครั้ง
สวี่เหยียนที่แม้จะไม่ได้เห็นท่าทีของฝูซิง แต่จากท่าทีที่ฝูเจิ้งเจิ้งเป็นตอนนี้ เธอก็พอจะเข้าใจอะไรได้ เพราะงั้นสวี่เหยียนจึงเตะขาฝูเจิ้งเจิ้งใต้โต๊ะด้วยความกังวล “เจิ้งเจิ้ง เราพาฝูซิงออกจากที่นี่ดีกว่าไหม?”
ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกเสียดายไม่น้อยเลยกับอาหารที่เหลืออีกมากมายบนโต๊ะ แต่เมื่อคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจากสถานการณ์ในตอนนี้ เธอก็ยืนขึ้นมา
“ฝูซิง ดึกมากแล้วนะ กลับบ้านกันเถอะ”
“หม่ามี๊ ฝูซิงมาแล้ว~” ทันทีทันใด ฝูซิงสไลด์ลงจากตักของหานซือฉีลงมาพร้อมกับมือที่ยังเลอะซอสสีแดงอยู่
เมื่อหานซือฉีหยิบทิชชู่เปียกมาหมายจะเช็ดให้เขา ฝูซิงก็วิ่งปรี่ออกจากที่นั่ง และเข้าไปยิ้มหวานให้กับเฉียวเค่อเหรินที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำ “น้าเฉียวครับ ฝูซิงจะกลับบ้านแล้ว ฝูซิงชอบกินข้าวกับน้าเฉียวมากๆ เลยนะครับ!”
“น-น้าก็ชอบจ้ะ” เฉียวเค่อเหรินยิ้ม แต่แววตาของเธอนั้นกลับกำลังโฟกัสไปที่มือของฝูซิงที่มันแผล่บเช่นนั้น ราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ
“ป๊ะป๋า พาฝูซิงมากินข้าวกับน้าเฉียวอีกได้ไหม?”
“ได้สิ”
“เยี่ยมยอดไปเลย! ป๊ะป๋าดีที่สุด! ฝูซิงตกลงตามนั้น”
เฉียวเค่อเหรินเองถึงจะระแวงมือฝูซิงอยู่ แต่เธอก็พลอยมีความสุขไปด้วย เพราะตามปกติแล้วมันจะเป็นเธอที่เป็นฝ่ายเปิดฉากเอ่ยชวนอีกฝ่ายไปทานข้าวก่อน แต่คราวนี้ ด้วยคำขอของฝูซิง เขาจะต้องเป็นฝ่ายเอ่ยชวนเธอก่อนบ้างแน่ๆ
“น้าเฉียวล่ะครับ โอเคไหม?” ในตอนที่เฉียวเค่อเหรินหันไปมองหานซือฉี ชุดเดรสสีขาวของเธอก็ถูกประทับด้วยรอยมือที่เปื้อนซอสสีแดงของฝูซิงเสียแล้ว
หญิงสาวรีบผลักฝูซิงออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ฝูซิงรีบหันกลับไปมองหานซือฉีด้วยแววตาปวดร้าวก่อนจะพูด “ป๊ะป๋า น้าเฉียวไม่ชอบฝูซิง…”
“ม-ไม่ใช่นะ น้าชอบฝูซิงนะ จะให้น้าไม่ชอบฝูซิงได้ยังไงกัน?” เมื่อตระหนักได้ว่าเธอทำอะไรพลาดไป เฉียวเค่อเหรินก็รีบลืมความโกรธก่อนหน้านั้นไว้เบื้องหลังทันที
คราวนี้ฝูเจิ้งเจิ้งไม่มองเฉยๆ แล้ว เธอเดินเข้าไปคว้ามือฝูซิงพร้อมทิชชู่เปียกก่อนจะกล่าวขอโทษเฉียวเค่อเหรินและพากันออกมาจากร้านโดยมีสวี่เหยียนตามมาติดๆ
ฝูเจิ้งเจิ้งเช็ดมือให้ฝูซิงด้วยทิชชู่เปียกนั้นใต้ต้นไม้ด้านนอกขณะที่ว่ากล่าวเขาไปด้วย “ซิงซิง ลูกทำตัวไม่น่ารักเลยนะ รู้ตัวหรือเปล่า?”
ชุดของเฉียวเค่อเหรินนั้นดูจะต้องแพงมากแน่ๆ โดนฝูซิงทำซะขนาดนั้นมีหวังไม่ได้หยิบมาใส่อีกแหงๆ
ฝูซิงตอบกลับด้วยท่าทีที่ไม่ได้สำนึกผิด “แล้วใครใช้ให้เขามาเดตกับป๊ะป๋ากับทำให้หม่ามี๊หงุดหงิดเล่า?”
ถึงแม้เธอจะรู้สึกได้ถึงความเป็นห่วงของลูกชาย แต่ยังไงซะก็ห้ามคล้อยตาม ไม่งั้นฝูซิงอาจจะติดแกล้งคนอื่นเป็นนิสัยก็ได้ “อย่าพูดอะไรไร้สาระน่า คิดว่าหม่ามี๊จะหงุดหงิดเรื่องอะไรพวกนี้หรือไง? ลูกก็รู้ว่าน้าเฉียวน่ะเป็นแฟนของป๊ะป๋าลูกนะ เขาจะมาเดตด้วยกันก็เรื่องปกติแล้ว!”
“ไม่! หม่ามี๊ต่างหากแฟนของป๊ะป๋า!”
“โอเคๆ เราเลิกคุยกันเรื่องนี้แล้วกลับบ้านได้แล้ว” ฝูเจิ้งเจิ้งไม่อยากทะเลาะกับลูกชายของตนไปมากกว่านี้ เพราะงั้นหลังจากที่เอ่ยคำลากับสวี่เหยียนแล้ว เธอก็พาฝูซิงกลับบ้านไป
ทั้งสองถึงบ้านได้ก่อนสองทุ่ม เมื่อเห็นว่าเฉินเฉี่ยวหลานยังไม่ได้เข้านอน ฝูเจิ้งเจิ้งก็แสร้งพูดขอให้อีกฝ่ายช่วยพาฝูซิงไปนอนด้วยเพราะตัวเองนั้นรู้สึกมีไข้และกลัวว่าฝูซิงอาจจะติดหวัดจากเธอได้
เฉินเฉี่ยวหลานได้ยินดังนั้นก็ไม่ปฏิเสธที่จะพาฝูซิงไปนอนกับเธอทันที เห็นเช่นนี้งฝูเจิ้งเจิ้งก็รู้สึกดีใจอยู่ลึกๆ เธอรีบขึ้นไปชั้นบนทันทีหลังจากที่ส่งฝูซิงเข้านอนกับเฉินเฉี่ยวหลานแล้ว
ฝูเจิ้งเจิ้งอาบน้ำและเลือกเสื้อผ้าที่ดูมีสไตล์พร้อมกับแต่งหน้าอ่อนๆ หลังจากแอบฟังและสรุปได้ว่าด้านล่างไม่มีเสียงอะไรแล้ว เธอก็เดาไว้ว่าเฉินเฉี่ยวหลานและฝูซิงต้องหลับไปแล้วแน่ๆ ดังนั้นฝูเจิ้งเจิ้งจึงปิดไฟและเดินออกไปยังดาดฟ้าด้านนอก ก่อนจะไต่ลงไปตามเสาเพื่อลงไปยังสวนด้านล่าง
ขณะที่เดินออกมาตามถนนหลักเพื่อเรียกแท็กซี่จนกระทั่งได้แท็กซี่ เธอไม่ได้สังเกตเลยว่ามีรถยนต์อีกคันหนึ่งกำลังคอยติดตามเธออยู่ไม่ไกลนัก
—————————————————————————————————————–
คุยกับผู้แปล
ไม่ปฏิเสธเรื่องแฟนแล้วเหรอ? เอ๋~?
-ทีมงานผู้แปล Enjoybook-