ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 57 ขอโทษด้วยค่ะ ฉันเป็นแค่เด็กเสิร์ฟ
บทที่ 57 ขอโทษด้วยค่ะ ฉันเป็นแค่เด็กเสิร์ฟ
ตามคำแนะนำของเจ้าของร้านขายของชำ ฝูเจิ้งเจิ้งมายังถนนหยางหมิงและมาหยุดอยู่ที่หน้าโรงน้ำชาฉีซิง
มองไปยังตะกร้าดอกไม้และเศษประทัดที่กระจัดกระจายไปทั่วบนพื้น ฝูเจิ้งเจิ้งก็พอจะเดาได้เลยว่าเมื่อตอนพิธีเปิดโรงน้ำชาวันแรกเมื่อตอนกลางวันนั้นคึกคักและน่าตื่นเต้นขนาดไหน
เธอเดินเข้าไปและพบกับชายหนุ่มผมสกินเฮดที่กำลังสูบบุหรี่อยู่ที่หน้าประตู หญิงสาวไม่รอช้าที่จะสอบถาม “เอ่อ สวัสดีค่ะ ฉันมาหาลิ่วหลินน่ะค่ะ”
“ฉันเนี่ยแหละ ลิ่วหลิน”
“โอ้ สวัสดีค่ะ พอดีว่าย่าลิ่ว…”
“ยัยป้าแก่นั่นขยันหาเรื่องมาให้ฉันจริงๆ นะ” ลิ่วหลินพูดตัดบทเธอเสียก่อนด้วยความใจร้อนก่อนจะชี้ไปยังประตูเล็กๆ และพูดเสริม “เข้าไปทางนั้น แล้วถามคุณหลี่ บอกเธอว่าฉันบอกให้มาที่นี่ จากนั้นคุณหลี่จะจัดการที่เหลือให้”
ฝูเจิ้งเจิ้งงุนงงนิดหน่อย เธอน่ะแค่ตั้งใจจะมาถามอะไรบางอย่างเฉยๆ แต่กลายเป็นว่าลิ่วหลินกลับบอกให้เธอไปหาอีกคนหนึ่งแทน ภายในประตูที่ว่านั้นตอนนี้มีแต่เสียงดังจอแจให้ได้ยินอยู่เรื่อยๆ ความลังเลเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่หนึ่ง ก่อนที่เธอจะตัดสินใจเปิดประตูนั้นเข้าไป
หลังจากที่เข้ามาแล้ว สิ่งแรกที่เธอพบนั้นก็คือ ที่แห่งนี้เป็นสวนด้านหลัง ที่ผู้คนพากันออกมาพร้อมเครื่องดื่มหรือชาในมือ
เมื่อหญิงที่ถูกเรียกว่า คุณหลี่ ได้ฟังและรู้ว่าฝูเจิ้งเจิ้งมาที่นี่เพราะลิ่วหลินแนะนำมา เธอก็ชี้ไปยังห้องเล็กๆ มุมหนึ่งพร้อมบอก “ไปทางนั้น แล้วก็เลือกชุดที่ไซส์พอดีตัวใส่ซะนะ จากนั้นไปรอที่ห้องหมายเลข 8”
“โอ๊ะ” ฝูเจิ้งเจิ้งเดินเข้าไปยังห้องเล็กๆ นั้น เธอมองไปตามราวที่แขวนชุดกี่เพ้าสีแดงไว้เต็มไปหมด ความคิดแรกในหัวก็คือ ชุดพวกนี้คือชุดยูนิฟอร์มเด็กเสิร์ฟแน่ๆ ทว่าเมื่อสังเกตดีๆ ที่ชุดเหล่านี้ไม่มีป้ายไซส์บอกอยู่เลย เพราะงั้นหากจะให้ได้ไซส์ที่พอดีตัว เธอจำเป็นต้องลองไปเรื่อยๆ เพื่อให้ได้ไซส์ที่เหมาะกับเธอที่สุด
ในขณะที่ฝูเจิ้งเจิ้งกำลังลองชุดอยู่นั้นเอง หานซือฉีก็เข้ามาถึงโรงน้ำชาแห่งนี้เพื่อตามหาเธอ
ย้อนกลับไปที่แยกกันที่ร้านปลาย่างนั้น หานซือฉีพาเฉียวเค่อเหรินกลับไปส่งที่บ้านเพราะชุดของเธอเลอะ แต่เมื่อกลับมาเกือบจะถึงบ้านแล้วก็พบว่าฝูเจิ้งเจิ้งนั้นกำลังเรียกแท็กซี่อยู่ที่ริมถนนใหญ่ เพราะงั้นหานซือฉีจึงวกรถกลับมาและขับตามแท็กซี่คันนั้นมายังโรงน้ำชาฉีซิงแห่งนี้แทน
แต่เพราะต้องหาที่จอดรถ เขาจึงพลัดกับฝูเจิ้งเจิ้งจนได้ สิ่งเดียวที่ทำได้ก็คือตามเข้ามาในโรงน้ำชานี้เผื่อว่าเธอจะเข้ามาในนี้จริงๆ
บรรยากาศภายในโรงน้ำชานั้นมันดูวุ่นวายจนหานซือฉีถึงกับต้องขมวดคิ้ว เขาค่อนข้างประหลาดใจเลยว่าทำไมฝูเจิ้งเจิ้งถึงเข้ามาที่อย่างนี้ในตอนค่ำด้วย
เมื่อหาฝูเจิ้งเจิ้งในโถงไม่เจอ เขาก็เริ่มเดินไล่หาทีละห้อง จากหมายเลข 1 มาจนถึงหมายเลข 5 ครั้นเมื่อจะไปต่อ กลุ่มของพวกลิ่วหลินก็ปรากฏตัวขึ้นมารอบๆ ตัวเขา
ลิ่วหลินพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ “สหาย ถ้าจะมาเพื่อความรื่นรมย์ล่ะก็ มาทางนี้ดีกว่าน่า”
หานซือฉีไม่ได้สนใจลิ่วหลินเลยแม้แต่นิด เขามองหาฝูเจิ้งเจิ้งในห้องหมายเลข 5 แล้วพบว่าไม่มีเธออยู่ในนั้นก็ตัดสินใจปิดประตูและเตรียมจะเดินไปยังห้องต่อไป
ทว่าลิ่วหลินก็รีบเดินมาดักทางเขาไว้เสียก่อน “สหาย วันนี้เป็นวันเปิดโรงน้ำชาฉีซิงวันแรก อย่าวอนนอนพื้นดีกว่าน่า”
“หลบ ฉันกำลังตามหาคนอยู่”
แววตาที่เฉียบคมของหานซือฉีนั้นกำลังข่มขู่เหล่าแก๊งอันธพาลและมันได้ผล พวกเขารีบกระตุกเสื้อลิ่วหลินด้วยความกังวล
แต่เพราะลิ่วหลินนั้นไม่เคยเห็นหานซือฉีมาก่อน และตัวเขาก็ถือว่าตนเองเป็นพี่ใหญ่ของคนเหล่านี้ ดังนั้นแล้วจะแสดงท่าทีหวาดกลัวออกมาไม่ได้ ยิ่งอีกฝ่ายมีแค่คนเดียวเช่นนี้ด้วย
เขาเหลือบมองหานซือฉีและตะโกนเสียงดัง “นี่แกกำลังดูถูกพวกฉันอยู่งั้นเหรอ!? บอกเลยนะว่าถ้าต้องการจะมาหาเรื่อง ฉันจะทำให้แกรู้เองว่าก่อนจะหาคนในที่ของคนอื่น ก็อย่าลืมหาโรงบาลไว้นอนหยอดน้ำข้าวต้มด้วย!”
ผลลัพธ์เป็นดังเดิม หานซือฉีไม่สนใจคำพูดนั้นเลยแม้แต่นิด แถมเขายังผลักคนที่ขวางทางออกไปด้านข้างเพื่อเดินไปดูห้องหมายเลข 6 ต่ออีก
เมื่อโดนผลักจนเกือบจะล้ม เจ้าลิ่วหลินก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ หลังจากทรงตัวได้แล้ว เขาก็รีบง้างหมัดขึ้นต่อยไปยังหน้าของหานซือฉีในทันที ทว่ามันก็พลาดเป้า หานซือฉีหลบได้อย่างง่ายดายและสวนหมัดต่อยเข้าที่หน้าของลิ่วหลินแทน
*พลั่ก!*
นี่มัน…เป็นความอัปยศที่สุดในชีวิตของเขาเท่าที่เคยเจอมาเลย
ชายร่างกำยำพ่นเลือดลงไปที่พื้นและเตรียมออกคำสั่งให้ลูกน้องมาจัดการแทน แต่ในตอนนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นด้านหลังและบอกให้เขาหยุด
“หยุดได้แล้ว!”
เจ้าของเสียงคือโจวปิง ซึ่งมันทำให้ลิ่วหลินสูญเสียความกล้าก่อนหน้านี้ไปจนหมด เขารีบชี้ไปยังหานซือฉีก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “ลูกพี่ คนนี้มาก่อเรื่องในร้านเรานะครับ!”
*เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!*
โจวปิงตบหัวลิ่วหลินไป 2 ที
“ตาบอดหรือไงน่ะ? นี่แกไม่รู้จักคุณหานแห่งบริษัทเว่ยหานหรือไงกัน? รีบๆ ขอโทษเขาเดี๋ยวนี้เลย”
คำพูดของโจวปิงนั้นทำเอาลิ่วหลินช็อกไปทั้งตัว ก่อนจะรีบคุกเข่าลงไปและตบหน้าตัวเองขณะกล่าวขอโทษ “ผมขอโทษจริงๆ ครับ คุณหาน ขอโทษจริงๆ ผมมันตาบอดที่จำคุณหานไม่ได้”
หานซือฉีนั้นจำโจวปิงได้ แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เพราะสิ่งเดียวที่ตอนนี้เขากังวลและห่วงหาที่สุดก็คือฝูเจิ้งเจิ้งเท่านั้น ส่วนโจวปิงเมื่อรู้ว่าหานซือฉีกำลังหาคน เขาก็รีบสมทบด้วยรอยยิ้มกว้าง
“คุณหานครับ บอกผมก็ได้นะครับว่าหาใครอยู่ ที่นี่น่ะกว้างขวางในระดับหนึ่งเลย หาคนเดียวมันยากนะครับ”
ในห้องหมายเลข 6 นี้ หานซือฉีก็ยังไม่พบฝูเจิ้งเจิ้ง เขาหยุดและหันมองโจวปิงก่อนจะทำมือบอกสัดส่วนระหว่างที่พูด “ฉันกำลังหาผู้หญิงที่สูงประมาณนี้ สวมเสื้อโค้ทสีดำ”
“แล้วพวกแกจะยืนบื้ออะไรเล่า? ไปหาเธอเร็วเข้าสิ!” เมื่อได้รับรายละเอียดของเป้าหมายมา โจวปิงก็ออกคำสั่งให้ลูกน้องของเขากระจายตัวกันไปหาทันที
โจวปิงหันกลับมาหาหานซือฉีอีกครั้ง “คุณหานครับ ไปรอในออฟฟิศผมก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวผมจะกระจายคนให้มากขึ้น จะได้หาเจอไว้ๆ ”
“ไม่ต้อง เดี๋ยวฉันหาเอง”
“อ่ะ..โอเคครับ” โจวปิงส่งสัญญาณให้ลูกน้องเปิดประตูทีละห้องเพื่อให้หานซือฉีเข้าไปหาได้
แต่จนแล้วจนรอด เขาก็ไม่พบฝูเจิ้งเจิ้งแม้จะหาดูทุกห้องแล้ว
“คุณหานครับ แน่ใจนะครับว่าเพื่อนของคุณหานเข้ามาในโรงน้ำชาจริงๆ? จะเป็นไปได้ไหมว่าคุณหานอาจจะจำคนผิด?” โจวปิงหันกลับมาถามด้วยความเป็นห่วง
จำคนผิดงั้นเหรอ? หรือว่าพลัดหลงกับเธอระหว่างทาง? ด้วยคำถามนี้ หานซือฉีเองก็เริ่มกังวลใจขึ้นมาลึกๆแล้ว เขากลับไปยังโถงด้านหน้าอีกครั้งและพยักหน้าให้โจวปิงเพื่อแสดงความขอบคุณ จากนั้นหานซือฉีก็จากโรงน้ำชาฉีซิงไป
เมื่อหานซือฉีจากไปแล้ว โจวปิงก็โล่งอก เพราะยังไงเสีย เขาก็ไม่อยากจะมีเรื่องกับหานซือฉีอยู่แล้ว
เขาหันกลับไปมองลิ่วหลินที่กำลังก้มหน้าก้มตาและจับแก้วตนเองเอาไว้ ก่อนจะพูดเสียงดังด้วยความโกรธ “ทีหน้าทีหลังก็หัดดูตาม้าตาเรือด้วย! อย่าหัวร้อนจนเสียเรื่อง ไม่งั้นแกได้ตายโดยไม่รู้ตัวแน่! ได้ยินที่ฉันพูดไหม!”
“ได้ยินแล้วครับ ได้ยินแล้ว” ลิ่วหลินที่ก้มหัวลงต่ำขณะตอบรับ และเมื่อโจวปิงจากไปเขาก็ตะโกนใส่คนอื่นด้วยความโมโห “ดูกันพอหรือยังน่ะหา? ไปทำงานของตัวเองสิ!”
ความเจ็บปวดที่มุมปากยังรู้สึกได้อยู่ เขาเพียงแค่สัมผัสมันเบาๆ ก่อนจะกลับไปสูบบุหรี่ที่สวนด้านหลังเพื่อระบายอารมณ์
ขณะนั้น ฝูเจิ้งเจิ้งที่เพิ่งจัดการชุดของตนเองเสร็จก็เดินออกมาจากห้อง เธอพบลิ่วหลินกำลังนั่งสูบบุหรี่อยู่ที่มุมหนึ่งด้วยใบหน้าที่มีรอยฟกช้ำ ฝูเจิ้งเจิ้งจึงเดาก่อนเลยว่าด้านนอกนั้นต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่ๆ เพราะงั้นเธอจึงไปรินชามาแก้วหนึ่ง “คุณลิ่วคะ เหนื่อยไหม? จิบชาสักหน่อยนะ”
ลิ่วหลินเงยหน้าขึ้นมาและเมื่อพบว่าเป็นฝูเจิ้งเจิ้ง เขาก็พูดขึ้นด้วยความเยือกเย็น “ทำไมเธอยังอยู่ที่นี่?”
“ฉันเพิ่งเปลี่ยนชุดเสร็จค่ะ” ฝูเจิ้งเจิ้งยิ้มและพูดเชยชมขึ้นมา “คุณลิ่วเนี่ยเป็นคนที่เก่งมากๆ เลยนะคะ แค่ครู่เดียวเองก็ทำให้ฉันได้งานเลย ไม่แปลกใจเลยว่าคุณย่าลิ่วจะบอกว่าคุณน่ะเก่งมากๆ ให้ฉันฟังตลอด”
“เก่งมากๆ อะไรกันน่ะ!” ความอัปยศที่เพิ่งจะได้รับมาเมื่อครู่มันยังกวนใจ ยิ่งได้ยินเช่นนี้มันก็ทำให้เขารู้สึกโกรธขึ้นมาอีก นี่มันช่างเป็นวันที่โชคร้ายเสียจริงๆ !
“มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะมาใช้ชีวิตอยู่กับโลกภายนอกเช่นนี้ เพราะเราไม่สามารถตัดสินคนจากสีหน้าของเขาได้ ที่ฉันลาออกจากงานเก่าก็เพราะว่าไม่สามารถทนกับพฤติกรรมของเจ้านายได้นั่นแหละ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันเฝ้าคิดมาตลอดว่าสักวันหนึ่งเมื่อฉันแข็งแกร่งขึ้น ฉันก็อยากจะเปิดธุรกิจเป็นของตัวเอง เพื่อจะได้ไม่ต้องมาคอยเป็นที่ระบายอารมณ์ของคนอื่นแบบที่ผ่านมา!”
คำพูดที่อ่อนโยนของฝูเจิ้งเจิ้งทำให้ลิ่วหลินผ่อนคลายอารมณ์ลงนิดหน่อย หลังจากที่เขาดื่มชาไปแล้ว เขาก็ถอนหายใจอีกครั้ง “มีใครบ้างที่ไม่อยากจะแข็งแกร่งขึ้น? ทุกคนก็อยากหมดนั่นแหละ แค่มันไม่ใช่เรื่องง่ายก็เท่านั้น”
เธอเล็งเห็นโอกาสแล้ว เพราะงั้นจึงจงใจพูดต่อ “ทุกอย่างก็ย่อมมีหนทางของมันเองเสมอนั่นแหละค่ะ เพียงแค่เราต้องช่วยๆ กันเอาเอง”
“หึ ต่อให้มันจะมีทางที่ดีกว่านี้จริงๆ ฉันก็ไม่มีทางที่จะไขว่คว้ามันมาได้หรอก ดูสิว่าฉันเป็นใคร? ทำได้ก็แค่วิ่งไปเป็นธุระให้พวกเขา” ลิ่วหลินน้อยใจตัวเองนิดๆ
ฝูเจิ้งเจิ้งจงใจพูดต่อเพื่อแสดงความสงสารของเธอ “อย่าเพิ่งเศร้าไปเลยค่ะคุณลิ่ว ฉันไม่คิดหรอกนะคะว่าพวกเขาจะไม่มีทางที่ดีที่สามารถไปด้วยกันได้น่ะ”
“ถึงพวกนั้นมีทางที่ดีจริงๆ พวกนั้นก็คงจะปฏิเสธที่จะให้ฉันไปด้วยอยู่ดี”
“แล้วทางที่ว่านั่นทางไหนล่ะคะ?” ฝูเจิ้งเจิ้งตาเปล่งประกาย
“เจ้าพวกนั้นเอาแต่มองฉันเป็นไอ้งั่งคนหนึ่ง คิดว่าฉันไม่รู้ว่าการที่พวกมันร่วมมือกันเปิดโรงน้ำชาฉีซิงแห่งนี้ก็เพื่อที่จะติดต่อกับพวกลูกน้องเก่าของบอสหลี่ได้ พวกมันต้องการที่จะหาห้องลับนั่นให้เจอ…”
“ห้องลับงั้นเหรอ?” ฝูเจิ้งเจิ้งแสร้งทำเป็นสับสน
เมื่อเห็นว่าฝูเจิ้งเจิ้งดูท่าจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ลิ่วหลินก็ดูจะพึงพอใจมากๆ เขาจึงเล่าต่ออย่างภาคภูมิใจ “มันคือความพยายามมาตลอดหลายปีของบอสหลี่น่ะ จริงๆ จะเรียกว่ามันคือขุมสมบัติมหาศาลเลยก็ได้ ว่ากันว่าใครก็ตามที่ได้ทรัพย์สินที่อยู่ภายในห้องลับนี้ไป ต่อให้ตายแล้วเกิดอีกเป็นสิบชาติก็ใช้ไม่หมด แต่โชคร้ายที่กุญแจของห้องลับมันดันหายไปเมื่อตอนที่บอสหลี่ตาย เพราะงั้นแล้วคนเหล่านี้ถึงกลับมาที่นี่เพื่อตามหากุญแจนั่น”
ชัดเจน คนพวกนี้มาตามหากุญแจ ฝูเจิ้งเจิ้งเริ่มจะตื่นเต้นมากขึ้นแล้ว กระนั้นเธอก็ยังเอ่ยปากถามได้ด้วยความใจเย็น “กุญแจนั่นอยู่ที่ไหนเหรอคะ?”
“กุญแจ…” เมื่อเห็นนายหญิงหลี่ออกมา ลิ่วหลินก็หยุดพูดไปก่อน
นายหญิงหลี่ที่เดินออกมาเห็นฝูเจิ้งเจิ้งกำลังรินชาให้ลิ่วหลินอยู่ เธอก็ขมวดคิ้วและพูดขึ้น “ทำไมเธอถึงยังอยู่ที่นี่อีก? ไม่ใช่ว่าฉันบอกให้เธอไปที่ห้องหมายเลข 8 หรือไง? เงินเดือนน่ะอยากได้ไหมฮะ?”
ฝูเจิ้งเจิ้งรีบเก็บจานขึ้นมาและยิ้มให้ลิ่วหลินก่อนจะโค้งหัวให้แล้วจึงปลีกตัวกลับเข้าในโรงน้ำชาไป
ดูเหมือนว่าเธอคงไม่จำเป็นต้องเข้าหาโจวปิงแล้ว เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเหมือนทางตันนั้น ได้ลิ่วหลินมาช่วยส่องไฟนำทางให้แทนเมื่อครู่นี้ ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก เธอน่ะอยากจะรีบๆ รายงานเรื่องนี้ให้หยางเต๋าให้เร็วที่สุดเลย แต่คิดไปคิดมา บางทีบอกเขาในตอนที่ได้เบาะแสมากกว่านี้น่าจะเป็นผลดีมากกว่า
ในการที่จะได้มาซึ่งเบาะแสที่มากขึ้นจากลิ่วหลิน เห็นทีเธอคงต้องมาทำงานที่โรงน้ำชาแห่งนี้อีกหลายคืนเพื่อที่จะได้หาโอกาสเข้าใกล้เขาและคุยเรื่องนี้ต่อ
อย่างไรก็ตาม ที่แห่งนี้ก็เต็มไปด้วยบรรยากาศที่ไม่ได้น่าอภิรมณ์ไปซะทีเดียว ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่อันธพาลเดินกันเต็มไปหมด เธอจำเป็นต้องระวังตัวเองให้มาก เพื่อที่จะได้ไม่ไปพลาดหาเรื่องกับคนพวกนี้เข้า
ต้องระวังตัวเองให้ดี ต้องดูแลตัวเองให้รอดจนกว่าจะได้เบาะแสมากพอ!
หลังจากที่คิดทบทวนเรื่องนี้จนมั่นใจแล้ว เธอก็หยิบชุดชาและเดินตรงเข้าไปยังห้องหมายเลข 8 ที่คุณนายหลี่ว่าไว้ทันที
ในทันทีที่เดินเข้าไปในห้องนั้น ควันบุหรี่ที่อัดแน่นอยู่ภายในก็ลอยฟุ้งออกมาจนเธอลืมตาแทบไม่ขึ้น เมื่อฝูเจิ้งเจิ้งสงบสติอารมณ์ตกใจเมื่อครู่ได้ เธอก็ค่อยๆ ลืมตาและมองภาพตรงหน้า มันประกอบไปด้วยโต๊ะ 2 โต๊ะ ผู้คนบางส่วนเล่นไพ่นกกระจอก ในขณะที่บางส่วนเองก็เล่นไพ่สำรับไปเรื่อยเปื่อย
คนเหล่านี้เป็นกลุ่มประชากรที่ฉลาดน้อยแต่ร่ำรวย นอกจากพวกนี้แล้วก็ยังมีเหล่าชายชุดดำที่สวมสร้อยคอเส้นหนายืนกระจัดกระจายกันอยู่ ความกังวลใจเกิดขึ้นกับฝูเจิ้งเจิ้งอีกครั้ง เธอพยายามรินชาลงในแก้วอย่างระมัดระวัง และเข้าไปจัดการที่เขี่ยบุหรี่ที่เต็มจนล้นแล้วให้ ก่อนจะโค้งตัวเพื่อขออนุญาตออกจากห้องไป
ทว่าก่อนที่เธอจะได้หันหลังกลับ แขนข้างหนึ่งของเธอก็ถูก 1 ในชายเหล่านี้คว้าเอาไว้ “นังนี่มันสวยจังวะ! ว่าไงน้องสาว สนใจอยู่กับพี่คืนนี้ไหม?”
ความหวาดกลัวเริ่มเข้าครอบงำจิตใจ แต่จะให้ถีบคนเหล่านี้ออกไป ก็กลัวจะกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่กว่าเดิม เพราะงั้นฝูเจิ้งเจิ้งจึงหยุดความคิดนั้นไว้และกล่าวขออีกฝ่ายด้วยเสียงเบาแทน “ขอโทษจริงๆ ค่ะ ฉันเป็นแค่เด็กเสิร์ฟ”
เสียงหัวเราะจากคนหมู่มากดังขึ้น “เด็กเสิร์ฟอย่างเธอได้เงินเดือนละเท่าไหร่กันน่ะ? นอนกับพวกฉันคืนเดียว เท่ากับเธอได้เงินที่มาเสิร์ฟชาที่นี่ครึ่งปีเลยนะ”
ชายคนนั้นจับเข้าที่หน้าอกของฝูเจิ้งเจิ้งเต็มมือ และด้วยความตกใจ ฝูเจิ้งเจิ้งก็ผลักเขาออกแล้ววิ่งออกไปทันที
“บ้าเอ้ย! โจวปิงฝึกนังนี่ยังไงน่ะ? แล้วทำไมพวกแกยังไม่รีบไปตามกลับมาอีก? ฉันล่ะอยากสั่งสอนนังนี่ให้รู้สำนึกจนใจจะขาดอยู่แล้ว!”
ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่ามีคนไล่หลังเธออยู่ และทันใดนั้นเอง ร่างของหญิงสาวก็พุ่งชนเข้ากับคนคนหนึ่ง และเขาคนนั้นก็ดึงเธอเอาไว้ให้อยู่ข้างกายด้วย
————————————————————————————————————-
คุยกับผู้แปล
ไม่ใช่หานซือฉีหรอกมั้ง… ถ้าใช่นี่จะเรียกว่าดวงดีหรือดวงตกกันนะ?
-ทีมงานผู้แปล Enjoybook-