ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 58 อ้าปาก แล้วกินยานี่ซะ
บทที่ 58 อ้าปาก แล้วกินยานี่ซะ
ฝูเจิ้งเจิ้งหันไปมองร่างใหญ่ที่ดึงตนเข้าไป และเธอก็สบตาเข้ากับจีหมู่เซี่ยนที่ก้มมองลงมา
แต่เพราะรู้ดีว่าพวกที่ตามหลังมานั้นไม่ต่างอะไรกับหมาป่ากระหายเลือด เพราะงั้นเธอไม่มีเวลามาคิดอย่างอื่นแล้ว หญิงสาวดึงเสื้อของคนตรงหน้าไว้พร้อมอ้อนวอน “เจ้าหน้าที่จีคะ ช่วยฉันด้วยค่ะ!”
“คุณฝู?” โจวปิงที่ยืนอยู่ข้างๆ จีหมู่เซี่ยนมองด้วยความประหลาดใจ
เหล่าชายที่ตามหลังมายังคงวิ่งตามมาอย่างรวดเร็ว ทว่าเมื่อเขาเห็นฝูเจิ้งเจิ้งเข้าไปหลบอยู่ด้านหลังจีหมู่เซี่ยน คนเหล่านั้นก็รีบหยุดลงและมองหน้ากันเองในทันที
“มีเรื่องอะไรกัน?” จีหมู่เซี่ยนค่อยๆ เงยหันหน้ากลับไปมองคนเหล่านั้น เขาเอ่ยถามโดยที่สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยน
ก่อนที่ฝูเจิ้งเจิ้งจะได้ตอบ โจวปิงก็ขยิบตาให้คนเหล่านั้นแล้วชิงพูดขึ้นมาก่อน “เจ้าหน้าที่จี นี่น่าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันน่ะครับ ถ้ายังไงเดี๋ยวผมจะตรวจสอบให้ภายหลังนะ”
ในตอนนั้นเอง ชายอ้วนผู้ที่เคยแสดงกิริยาหยาบคายกับฝูเจิ้งเจิ้งก่อนหน้าเองก็เดินเข้ามาพอดี และเมื่อเขาเห็นจีหมู่เซี่ยน เขาก็เปลี่ยนจากท่าทีโกรธเกรี้ยวกลายเป็นคนสุภาพทันที “โอ้ เจ้าหน้าที่จี ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ!”
จีหมู่เซี่ยนเหลือบมองเขาก่อนจะพูด “นายอยากเจอฉันหรือไง?”
“อ-เอ่อ ก็ไม่ได้ขนาดนั้นครับ แหะๆ” ชายอ้วนหัวเราะ เขามองไปยังฝูเจิ้งเจิ้งที่หลบอยู่ด้านหลังจีหมู่เซี่ยน จากนั้นสีหน้าของเขาก็กลายเป็นอ่อนโยนดั่งพระพุทธองค์ขึ้นมา “เจ้าหน้าที่จี ผมแค่หยอกล้อกับเธอน่ะครับ แหม จริงจังไปได้ เอ๊ะ จะว่าไปปกติคุณก็เป็นคนที่ไม่สันทัดกับการหยอกล้ออยู่แล้วนี่นา”
โจวปิงรีบพูดเสริม “อ๋า ดูเหมือนจะเป็นการเข้าใจผิดจริงๆ ด้วยล่ะครับ ฮ่าๆๆ เพราะงั้นคุณฝู ไม่เป็นอะไรแล้วนะครับ”
“เฮ้ เจ้าอ้วน สาวๆ พนักงานที่นี่น่ะยังเป็นเด็กอยู่ เข้าใจไหม? ทีหน้าทีหลังก็หัดอ่อนโยนและสุภาพกับเธอซะบ้าง” เขาหันกลับไปกำชับกับชายอ้วนคนนั้นเพิ่ม
“ได้เลยครับ ครั้งหน้าผมจะระวังให้มากกว่านี้ เจ้าหน้าที่จี ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวกลับไปเล่นไพ่ต่อนะครับ” ชายอ้วนยักไหล่และยิ้มให้ เมื่อเขาเห็นว่าจีหมู่เซี่ยนไม่ได้พูดอะไร เขาก็โบกมือและพาเหล่าชายชุดดำที่มาด้วยกันนั้นกลับไปยังห้องดังเดิม
ฝูเจิ้งเจิ้งโล่งใจขึ้นมาแล้ว เธอรีบเตรียมแผนรับมือคำถามของจีหมู่เซี่ยนไว้ทันที
แต่ก่อนที่จีหมู่เซี่ยนจะได้ถาม โจวปิงก็ชิงถามขึ้นมาก่อน “คุณฝู ไม่ใช่ว่าคุณฝูทำงานอยู่ที่เว่ยหานหรอกเหรอครับ? ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?”
ได้ยินคำว่า เว่ยหาน แววตาของจีหมู่เซี่ยนก็ดูจะสนใจขึ้นมา “เว่ยหาน?”
“ฉันถูกไล่ออกน่ะค่ะ” ฝูเจิ้งเจิ้งเผยแววตาเศร้าสร้อยเรียกคะแนนสงสารออกมา “ฉันไม่สามารถหางานที่เหมาะสมกับตัวเองได้สักที เพราะงั้นเลยมาที่นี่ตามคำแนะนำ”
โจวปิงหันไปมองยังจีหมู่เซี่ยน แต่เจ้าตัวไม่ได้พูดอะไร เขาเองก็ไม่กล้าพูดอะไรด้วย
เมื่อรู้สึกได้ว่าจีหมู่เซี่ยนกำลังมองมายังเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า ฝูเจิ้งเจิ้งก็แอบกังวลในใจ เขาไม่ได้เอะใจอะไรใช่ไหมนะ? ฉันเนียนพอใช่ไหม?
เหตุผลที่ทำไมเธอถึงไม่จัดการชายพวกนั้นตั้งแต่แรกนั่นก็เพราะเธอไม่อยากให้ปัญหามันใหญ่ขึ้น เพราะยังไงซะเธอก็ยังต้องวนเวียนอยู่ที่นี่เพื่อสืบหาเบาะแสจากลิ่วหลินต่อ แต่ยังไงก็เถอะ ไม่คิดเลยว่าจีหมู่เซี่ยนจะมาอยู่ที่นี่ด้วย!
จีหมู่เซี่ยนขยิบตาให้โจวปิงเพื่อให้เขาออกไปก่อน จากนั้นจึงลากฝูเจิ้งเจิ้งออกไปนอกโรงน้ำชาผ่านทางประตูข้าง
“เฮ้ๆๆ จะพาฉันไปไหนคะ!” ฝูเจิ้งเจิ้งพยายามจะดิ้นให้หลุดจากการลากตัวเช่นนี้ แต่อีกฝ่ายจับเอาไว้แน่นมากจนกระทั่งมาถึงด้านนอกถึงได้ยอมปล่อย
“เธอมาทำอะไรที่โรงน้ำชาฉีซิง?”
“ทำงานค่ะ!”
“แค่งานเหรอ?”
“ก็ใช่น่ะสิคะ! คุณกำลังจะพูดอะไรน่ะ?”
“แสดงบัตรประชาชนให้ดูหน่อย”
“บัตรประชาชนเหรอ?” ฝูเจิ้งเจิ้งจำใจหยิบบัตรประชาชนออกมาให้อีกฝ่ายดูด้วยความไม่เต็มใจเท่าไหร่
แค่เช็คบัตรประชาชนงั้นเหรอ? หึ แย่หน่อยนะที่ฉันเตรียมการมาดีน่ะ
ในขณะที่จีหมู่เซี่ยนกำลังจะถามอะไรเพิ่มเติม ฝูเจิ้งเจิ้งก็รู้สึกได้ถึงมวลบางอย่างที่ไม่รู้ที่มาที่ไปกำลังก่อตัวขึ้นมาภายในท้องของเธอ มันค่อยๆ หนักขึ้นจนเธอกลั้นเสียงที่เกิดจากความเจ็บปวดไว้ไม่ได้
เขารู้สึกได้ว่าสาวตรงหน้ามีท่าทีแปลกไป จีหมู่เซี่ยนจึงถามออกมาด้วยความสงสัย “เป็นอะไรไป?”
“เหมือนจะท้องเสียค่ะ” ไม่มีเวลาที่จะพูดอะไรต่อแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งถือเอาโอกาสนี้ปลีกตัวออกมาและวิ่งเข้าห้องน้ำภายในสวนด้านหลังของโรงน้ำชาฉีซิงไปราวกับหนูที่วิ่งลงท่อระบายน้ำ
หลังจากที่ได้ปลดทุกข์เกือบชั่วโมง ฝูเจิ้งเจิ้งก็รู้สึกได้เลยว่าภาพตรงหน้ามันกำลังหมุนไปหมด
เธอพยายามจะหาต้นตอของสิ่งที่ทำให้ท้องเสียเช่นนี้ แต่มันก็ดูจะไม่มีความเป็นไปได้เลย จะบอกว่าร่างกายเธอไม่แข็งแรงก็คงจะไม่ใช่ หรือจะไปโทษอาหาร ช่วงนี้ก็ไม่ได้กินอะไรผิดสำแดงลงไปซะด้วย
เมื่อรู้สึกว่าดีขึ้นแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็ไปบอกโจวปิงว่าเธอจะกลับมาที่นี่อีกครั้งพรุ่งนี้ตอนเย็น แล้วก็ขอให้เขาช่วยอย่าบอกคนอื่นว่าเธอและเจ้าหน้าที่จีนั้นเป็นเพื่อนกัน
ถึงแม้ว่าโจวปิงจะไม่เข้าใจถึงการกระทำของเธอเท่าไหร่ แต่เขาก็รีบพยักหน้าแถมยังบอกให้คนในโรงน้ำชาพาเธอไปคลินิกเล็กๆ แถวนี้อีกด้วย
ฝูเจิ้งเจิ้งได้รับน้ำเกลือไป 1 ถุง และกว่ามันจะหมด เวลาก็เดินเข้าสู่ตี 1 เสียแล้ว
หญิงสาวกลับบ้านพร้อมกับร่างกายที่อ่อนเพลียไปหมด หลังจากที่ไต่เสาและกลับเข้าไปยังระเบียงห้องได้
ระหว่างนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็พลาดเหยียบสเก็ตบอร์ดที่ฝูซิงเล่นทิ้งไว้เมื่อช่วงกลางวัน ลื่นลงไปจนเกือบจะไปกองกับพื้นแบบไม่ทันตั้งตัว
ในขณะที่กำลังบ่นเกี่ยวกับความโชคร้ายของตนเองไปด้วยนั้น เธอก็เปิดประตู เปิดไฟ และทิ้งตัวลงไปบนเตียงนอนแทบจะทันที
ทว่าขณะที่ทิ้งตัวนอนลงไปได้ครู่หนึ่ง ฝูเจิ้งเจิ้งก็รู้สึกได้ว่ากลิ่นตัวของเธอนั้นมันช่างเหม็นเสียเหลือเกิน ดังนั้นแม้จะเพลียแค่ไหน แต่ก็ตัดสินใจที่จะไปอาบน้ำให้สบายตัวเสียก่อนกลับมานอนจะดีกว่า
หลังจากที่ได้อาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ใบหน้าที่เหนื่อยล้าก็ค่อยๆ สดชื่นขึ้นมาบ้าง และเมื่อเธอจะกลับไปนอนอีกครั้ง เธอก็พบว่าด้านนอกประตูกระจกที่อยู่ชั้นในของห้องน้ำอีกที มีร่างๆ หนึ่งกำลังยืนอยู่
ความกลัวก่อตัวขึ้นในหัวอีกครั้ง หญิงสาวมองไปรอบๆ ตัวก่อนจะหยิบแก้วในอ่างล้างหน้ามาเตรียมไว้เป็นอาวุธและเปิดประตูกระจกนั้นออกทันที แต่แล้วเจ้าของเงานั้นกลับกลายเป็น หานซือฉี ที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าประตูนั้นเสียได้!
ฝูเจิ้งเจิ้งพูดด้วยเสียงตะกุกตะกักเพราะกำลังตกใจ “ท-ทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้ได้ล่ะคะ?”
เธอเก็บแก้วนั้นลงไปในอ่างอาบน้ำดังเดิม
หานซือฉีเดินเข้ามาใกล้เธอมากขึ้นก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ “แล้วฉันควรจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ?”
หญิงสาวก้าวถอยหลังและตอบอย่างหวาดกลัว “นี่มันห้องของฉันนะคะ”
ตี 2 แล้วยังสวมชุดเดิมอยู่ นี่แสดงว่าเขามารอให้เธอกลับมางั้นเหรอ?
หานซือฉีรู้ว่าฉันแอบออกไปข้างนอกมางั้นเหรอ!?
ภายในใจของฝูเจิ้งเจิ้งนั้นกำลังร้องห่มร้องไห้ไปหมดแล้ว แถมจู่ๆ ไอ้อาการหน้ามืดก่อนหน้าก็ยังกลับมาอีก
ชายหนุ่มจ้องมองใบหน้าที่ซีดเซียวของเธอก่อนจะใช้สองนิ้วบีบแก้มของเธอไว้พลางพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “สนุกหรือเปล่า?”
ฝูเจิ้งเจิ้งพยายามสงบสติอารมณ์ไว้ก่อนจะสลัดหน้าออกจากมือของอีกฝ่าย “อย่ามาจับฉันด้วยมือที่จับผู้หญิงอื่นมานับไม่ถ้วนแล้วนะคะ”
“รังเกียจหรือไง?”
“ก-ก็เปล่า…”
คราวนี้หานซือฉียื่นแขนออกและคว้าตัวของสาวตรงหน้าเข้ามากอดไว้แทน
“เฮ้! ปล่อยฉันนะคะ! อย่าทำตัวให้ฉันรังเกียจคุณไปมากกว่านี้สิ!” ฝูเจิ้งเจิ้งดิ้นเร่าออกจากอ้อมแขน
“รังเกียจ?”
“ใช่ค่ะ!”
เขาดูจะพึงพอใจกับคำตอบของเธอมากๆ แต่ก็ใช่ว่าจะปล่อยกอดเธอออก “เธอหายไปไหนมากลางดึกแบบนี้?”
จากสิ่งที่พอจะคาดเดาได้ตอนนี้ หานซือฉีน่าจะหาเธอที่ห้องไม่เจอเมื่อเขากลับมาถึงบ้าน เพราะงั้นเธอจึงตอบคำถามออกไปให้ไม่มีอะไรซับซ้อน “ฉันก็แค่ออกไปเดินเล่นข้างนอกเพราะเบื่อ…”
“เดินไปถึงไหนกันล่ะ?” ชายหนุ่มรีบขัดจังหวะ
“คุณหานคิดว่าตัวเองเป็นตำรวจที่กำลังสอบสวนผู้ร้ายอยู่หรือยังไงคะ? คุณหานไปไหนทำไมไม่ยอมบอกฉันบ้าง?” ฝูเจิ้งเจิ้งแกล้งตอบคำถามด้วยการโยนคำถามใส่เขาแทน
หานซือฉีเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถามต่อ “เธอได้ไปโรงน้ำชาฉีซิงมาหรือเปล่า?”
ฝูเจิ้งเจิ้งถึงกับช็อกไปเลย แต่เธอก้ยังแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องและตอบปฏิเสธไป “ฉันไม่ชอบดื่มชาค่ะ”
ด้วยแววตาที่เฉียบคม หานซือฉียังคงพูดต่อ “ปล่อยให้ลูกชายของตัวเองต้องนอนอยู่บ้านอย่างโดดเดี่ยวยามค่ำคืนแบบนี้ เธอ…”
เมื่อสายตาของเขาเหลือบลงไปมองยังมือของอีกฝ่ายและเห็นรอยเข็มน้ำเกลือ เขาก็หยุดพูดไป
ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ท้องไส้ของฝูเจิ้งเจิ้งก็ปั่นป่วนขึ้นมาอีกครั้ง และเธอไม่สามารถทนมันได้ หญิงสาวรีบผลักหานซือฉีออกไปด้านข้างแล้วผลุบหายเข้าไปในห้องน้ำทันที ครู่หนึ่งต่อจากนั้น เธอก็นั่งหมดสภาพอยู่บนชักโครกด้วยความอ่อนแรง
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ เจิ้งเจิ้ง? เปิดประตูเดี๋ยวนี้!” หานซือฉีตะโกนเรียกด้วยความร้อนใจ
นี่แคร์ฉันขนาดนี้เลยเหรอ? แต่ต่อให้นายจะเป็นเหนียนซี่ ฉันก็ไม่เปิดประตูห้องน้ำให้ตอนปลดทุกข์หรอกนะ…
ฝูเจิ้งเจิ้งยืนฟังอยู่ด้านในด้วยความงุนงง เธอรีบจัดการตัวเองให้เรียบร้อยก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูออกไปเมื่ออีกฝ่ายเริ่มเคาะประตูหนักขึ้น
ทันทีที่ประตูเปิดออก หานซือฉีก็พุ่งเข้ามากอดเธอไว้ก่อนจะถามด้วยความกังวล “เป็นอะไร? ทำไมถึงต้องให้น้ำเกลือ?”
แม้จะเป็นเพียงครู่เดียว แต่เธอก็สังเกตเห็นได้ถึงความเป็นห่วงในแววตาของเขา ใจที่เคยแกร่งดังหินผาก็อ่อนยวบลงทันที เธอค่อยๆ ตอบออกไปด้วยความอ่อนล้า “ท้องเสียค่ะ”
หานซือฉีรีบพาเธอกลับไปนอนบนเตียงทันที พร้อมทั้งเตรียมจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาด้วย
เธอรีบหยุดเขาไว้ก่อนจะชี้ไปยังกระเป๋าถือของตนเอง “คุณหมอจัดยามาให้แล้วค่ะ… แต่ฉันยังไม่ได้กินเลย”
ได้ยินเช่นนั้นเขาก็รีบไปหยิบกระเป๋าถือใบดังกล่าวมา แต่เมื่อหาด้วยวิธีสุภาพชนแล้วก็เจอแต่กระเป๋าสตางค์กับกระเป๋าเครื่องสำอางค์ เพราะแบบนั้นแล้วเขาจึงตัดสินใจเขย่าๆ แล้วเทของในกระเป๋าออกมากองบนเตียงให้หมดในทีเดียว
โทรศัพท์เครื่องเล็กอันเป็นความลับของฝูเจิ้งเจิ้งก็ไหลออกมาด้วยและแน่นอนว่าหานซือฉีเห็นมัน
ใบหน้าที่ซีดเซียวอยู่แล้วของฝูเจิ้งเจิ้ง ซีดลงหนักกว่าเดิมหลังจากเห็นเช่นนั้น
ทว่าโชคยังดีเพราะหานซือฉีดูจะสนใจแค่หาถุงยา เมื่อเจอเป้าหมาย เขารีบคว้าเอาถุงยาออกมาแล้วเทยาส่งให้เธอ ก่อนจะลุกไปเตรียมน้ำใส่แก้วมาให้
ฝูเจิ้งเจิ้งรีบเก็บโทรศัพท์เครื่องเล็กนั้นลงไปในกระเป๋าดังเดิมทันทีโดยแสร้งว่าเก็บของลงกระเป๋าตามปกติ
“ช่างกระเป๋าไปก่อนเถอะ มากินยาก่อน”
“ก็ได้ค่ะ” หลังจากที่ดันกระเป๋าไปด้านข้างแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็รับยามากินด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
หลังจากที่กินยาเข้าไปเรียบร้อยแล้ว หานซือฉีก็ช่วยประคองเธอให้นอนลงไปใหม่อีกรอบก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงนุ่ม “ไปทำอีท่าไหนให้ท้องเสีย?”
เธอครุ่นคิดก่อนจะตอบไป “ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ หลังจากที่พาฝูซิงกลับมาแล้ว ฉันก็รู้สึกไม่ค่อยดีนิดหน่อย ตอนแรกคิดว่าน่าจะเป็นไข้ เลยให้ฝูซิงไปนอนกับป้าเฉินก่อน อย่างน้อยๆ ถ้าฉันเป็นไข้จริงๆ ฝูซิงจะได้ไม่ติดหวัดด้วย แต่หลังจากนั้นท้องมันก็ปวดไปหมด แล้วก็ลุกเข้าลุกออกห้องน้ำรัวๆ เลย”
“เป็นหนักขนาดนี้ยังอุตส่าห์ปีนเสาลงไปด้านล่างได้อีกเหรอ?”
“ก็ฉันกลัวว่าถ้าเปิดประตูป้าเฉินอาจจะตื่นได้น่ะค่ะ คุณหานไม่รู้เหรอว่าป้าเฉินแทบไม่เคยหลับสนิทเลยนะ” แม้จะคิดว่าเหตุผลแค่นี้ก็มากพอแล้ว แต่ถ้ามีมากกว่านี้ก็อาจจะทำให้เขาเชื่อได้ง่ายขึ้น เพราะงั้นเธอจึงพูดเสริม “ตอนฉันยังเรียนอยู่ ฉันปีนกำแพงบ่อยจะตายไป เพราะงั้นก็เลยอยากทดสอบความสามารถของตัวเองไปในตัว…”
เธอสาบานเลยว่าหากจะหนีไปตอนกลางคืนจะไม่ปีนกำแพงลงไปอีกแล้ว เพราะถ้าโดนจับได้มันหาเหตุผลลำบากแบบนี้แหละ
ชัดเจนเลยว่าหานซือฉีดูจะไม่เชื่อเธอเสียเท่าไหร่ เขาขมวดคิ้วหากแต่ไม่ได้จะเค้นเอาความจริง “ห้ามปีนกำแพงอีก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เสาก็ห้าม ฉันจ้างเธอเพื่อให้มาดูแลลูกชายของฉัน ถ้าหากเธอแข้งขาหักขึ้นมา เดี๋ยวฉันก็ต้องไปหาคนอื่นมาดูแลเธออีกทอดหนึ่ง”
ถึงแม้มันจะเป็นการดุ แต่มันก็ทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกว่ายาในปากนั้นรสหวานขึ้นมาทันที
“คุณหานคิดว่าฉันจะอ่อนแอเหมือนใครบางคนที่ป่วยหลังจากเห็นคนอื่นลื่นตกลงไปในธารน้ำแข็งเหรอคะ?” เมื่อสบโอกาส ฝูเจิ้งเจิ้งก็อดไม่ได้ที่จะพูดเสียดสีขึ้นมาบ้าง
“ตอนแรกฉันคิดว่าเธอจะแค่ปากเสียอย่างเดียว ไม่คาดคิดเลยว่าจะมีมุมปากดีแบบนี้อยู่ด้วย”
“ฮึ่ม! ฉันพอใจพูดในสิ่งที่ฉันพอใจค่ะ!” ฝูเจิ้งเจิ้งบุ้ยปาก เมื่อคิดถึงเฉียวเค่อเหรินทีไร ภาพที่หานซือฉียอมตามใจอีกฝ่ายมันก็ทำให้เธอรู้สึกหึงขึ้นมาทุกที มันเป็นแบบนี้มาตลอด แต่ยามที่สวี่เหยียนถามทีไร เธอก็ตอบปฏิเสธตลอดทุกครั้ง
หานซือฉีค่อยๆ เอื้อมมือมานวดคลึงบริเวณเอวของเธอผ่านผ้าห่ม ความนุ่มสบายและจังหวะที่พอดิบพอดีนี้มันทำให้เธอเริ่มหึงผู้หญิงอื่นมากขึ้นไปอีก “คุณหานเนี่ย ดูแลผู้หญิงเก่งจริงๆ เลยนะคะ”
เขาเงยหน้าขึ้นและจ้องไปยังเจ้าหล่อน ทันใดนั้นเอง มือใหญ่ก็กอบกุมมือเล็กของเธอไว้และลูบเบาๆ ก่อนจะยิ้มอย่างชั่วร้ายออกมา “ฉันน่ะ จะทะนุถนอมก็ต่อเมื่ออีกฝ่ายเป็นคนสวยที่ตัวหอมเท่านั้นแหละ ถ้ายังไงขอพิสูจน์ตัวเธอก่อนก็แล้วกัน”
ใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆ ประทับปลายจมูกลงไปหลังฝ่ามือที่นุ่มนวลของเธอ ก่อนจะดอมดมเบาๆ เพื่อรับเอากลิ่นของแม่ตัวแสบนี้เข้าไป
“หวา เธอเน่าแล้วนะ”
“คุณหาน! ฮึ่ย! ฉันไม่ได้ขอให้คุณหานมาดูแลฉันสักหน่อย!” ฝูเจิ้งเจิ้งรีบชักมือกลับไปในทันทีพร้อมกับพูดแขวะด้วย “คนที่คุณหานควรไปดูแลไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกนะคะ!”
หานซือฉีหัวเราะ “ความหึงของเธอมันหนาจนจะพังกำแพงไปห้องซิงซิงแล้วนะ”
“ไม่พูดแล้ว ฮึ่ม!” ได้ยินเช่นนั้นเธอก็โกรธจนแก้มป่อง
ชายหนุ่มลูบแก้มของเธอเบาๆ “ดึกมากแล้ว เธอพักผ่อนไปก่อน ตื่นมาอาการน่าจะดีขึ้น แล้วก็พรุ่งนี้นอนเฉยๆ ล่ะ ไม่ต้องไปทำงาน”
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เริ่มรู้สึกปกติกับการโดนสัมผัสเช่นนี้จากเขา แต่ได้ยินว่าพรุ่งนี้ไม่ต้องไปทำงาน ฝูเจิ้งเจิ้งก็แอบหัวเราะอยู่ในใจ วันหยุดพิเศษแบบนี้คงไม่ได้มีบ่อยๆ ทว่ากว่าจะรู้ตัวอีกที นี่มันก็เลยตี 2 มาแล้ว ถ้ายังฝืนตัวเองอยู่แบบนี้ มีหวังพรุ่งนี้ไม่ตื่นแหงๆ ดังนั้นเธอจึงรีบตอบ “ทำไมล่ะคะ? การที่พนักงานอย่างฉันลาหยุดมันไม่ดีไม่ใช่เหรอ? ต่อให้เป็นครึ่งวันก็เถอะ…”
“ฉันพูดคำไหนคำนั้น” หานซือฉีจ้องไปยังเธอ
มันเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะรู้สึกสบายตัวได้หลังจากที่ได้ฟังคำพูดเอาแต่ใจเช่นนั้นของเขา อยากจะหัวเราะออกมาเลยแฮะ
ความรู้สึกที่มีแค่เขาอยู่กับเธอในตอนนี้โดยไม่ต้องสนใจสิ่งอื่นๆ นั้นช่างดีจริงๆ ไม่อยากจะคิดถึงทั้งเฉียวเค่อเหริน…แล้วก็เหนียนซี่ด้วย…
มือหนาคู่เดิมจับให้ฝูเจิ้งเจิ้งนอนดีๆ ก่อนจะวางโทรศัพท์ของเธอไว้โต๊ะข้างเตียง “ถ้ารู้สึกไม่สบายตัว โทรเรียกฉันได้เลย แล้วฉันจะรีบมา”
“โอเคค่ะ” จริงๆ ก็อยากจะบอกให้เขาอยู่ต่อ แต่ท้ายสุดแล้วก็ไม่ได้พูดออกไป
หานซือฉีลุกขึ้นก่อนจะจากไป หลังจากที่เขาเดินไปได้ 2 ก้าว ร่างนั้นก็หยุดก่อนจะหันกลับมาพูด “ฝูซิงจะเรียกใครว่าป๊ะป๋าไม่ได้ ยกเว้นฉัน!”
———————————————————————————————————–
คุยกับผู้แปล
เริ่มจากล่อลวงให้ฝูเจิ้งเจิ้งเปลี่ยนมาใช้ หานเจิ้งเจิ้ง ให้ได้ก่อน
-ทีมงานผู้แปล Enjoybook-