ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 59 วันหยุดนี้ฉันไม่อยู่บ้านนะ
บทที่ 59 วันหยุดนี้ฉันไม่อยู่บ้านนะ
ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกประหลาดใจ เธอไม่รู้ว่าเพราะอะไรจู่ๆ เขาถึงได้พูดแบบนั้นออกมา
แต่เธอไม่ได้ต้องการจะคิดเรื่องนี้ตอนนี้เพราะความง่วงที่โหมกระหน่ำ ดังนั้นเพียงแค่หลับตา ฝูเจิ้งเจิ้งก็หลับสนิทไปในทันที
ด้วยความที่ไม่ต้องตื่นเช้าไปทำงาน หรือส่งลูกชายไปโรงเรียน มันทำให้กว่าฝูเจิ้งเจิ้งจะตื่นมาอีกทีก็บ่ายโมงครึ่งเสียแล้ว หลังจากที่ทานข้าวต้มที่ถูกบรรจงทำเป็นพิเศษโดยฝีมือของป้าเฉิน ใบหน้างัวเงียก็สลัดหายกลายเป็นสดชื่นทันที
เมื่อกลับมาที่ห้องของตนเพื่อพักผ่อนแล้ว เธอก็นึกขึ้นได้ว่าจะมีเอกสารส่วนหนึ่งต้องส่งให้หมินจงจู่ในบ่ายวันนี้ และเธอยังจัดการมันไม่เรียบร้อยดี ดังนั้นแล้วฝูเจิ้งเจิ้งจึงรีบโทรไปหาสวี่เหยียนเพื่อจะปรึกษา
สวี่เหยียนรับโทรศัพท์ขึ้นมาหลังมีเสียงสัญญาณดังอยู่นาน น้ำเสียงแรกที่ได้ยินจากปลายสายนั้นช่างอ่อนล้าเสียเหลือเกิน “เจิ้งเจิ้ง…”
“เธอเป็นอะไรไปน่ะ?” ฝูเจิ้งเจิ้งถามด้วยความประหลาดใจ
“เมื่อคืน… ฉันท้องเสียไม่หยุดเลย ขาล้าไปหมดแล้ว… เพราะงั้นวันนี้ฉันเลยลางานน่ะ…”
“เธอเองก็ท้องเสียเหรอ?”
“เธอก็ด้วยเหรอ?”
“ใช่ เมื่อคืนฉันถึงกับต้องไปให้น้ำเกลือเลยนะ”
มันจะบังเอิญเป็นพร้อมๆ กันได้เหรอ? ฝูเจิ้งเจิ้งพึมพำในใจ
“หมอบอกว่าอาการแบบนี้คือ อาหารเป็นพิษ น่ะ แต่พวกเราก็กินแค่ปลาย่างเองไม่ใช่เหรอ? หรือว่าอาหารพวกนั้นไม่โอเค?”
ได้ยินเช่นนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็เป็นกังวลขึ้นมา เธอรีบลงบันไดไปและตะโกนเรียกหาป้าเฉินตลอดทาง
“ป้าเฉินคะ เมื่อคืนฝูซิงมีอาการท้องเสียไหมคะ?”
“ไม่นะคะคุณเจิ้ง มีอะไรเหรอ?” เฉินเฉี่ยวหลานเดินออกมาจากครัวและมองฝูเจิ้งเจิ้งด้วยความสงสัยขณะที่เช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนของตนไปด้วย
มันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเกินไป ฝูเจิ้งเจิ้งเลยถามย้ำไปอีก “แน่ใจนะคะว่าเขาไม่ได้ท้องเสียจริงๆ”
“สุดๆ ค่ะ” เฉินเฉี่ยวหลานพูดด้วยรอยยิ้ม “เมื่อเช้าฉันเช็ดก้นเขาเองกับมือ”
คราวนี้ฝูเจิ้งเจิ้งค่อยโล่งใจขึ้นแล้ว เธอยกโทรศัพท์ขึ้นมาคุยต่อ ซึ่งสวี่เหยียนก็พูดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนคร่าวๆ ให้ฟัง “ซิงซิงกินโต๊ะเราแปปเดียวเอง ส่วนใหญ่จะไปอยู่กับโต๊ะคุณหานมากกว่า”
เพราะแบบนี้เหรอฝูซิงถึงไม่ได้ท้องเสียเหมือนสองสาว?
ทันใดนั้นเอง ฝูเจิ้งเจิ้งก็คิดถึงรอยยิ้มของเฉียวเค่อเหรินที่มอบให้เธอก่อนจะจากกัน ความรู้สึกไม่ดีมันค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมา… ยัยนั่นเป็นคนลงมืองั้นเหรอ?
แบบนั้นยิ่งเป็นไปได้ยาก เฉียวเค่อเหรินน่ะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอจะไปร้านปลาย่าง นอกจากนี้ เธอก็หายแว้บไปแค่ตอนที่ไปล้างมือเท่านั้น ที่เหลือก็อยู่ที่โต๊ะด้วยกันเกือบตลอด แถมตอนที่เธอหายไป อาหารก็ถูกเสิร์ฟมาแล้วด้วย
ในขณะที่ฝูเจิ้งเจิ้งกำลังตั้งข้อสงสัย เธอก็ได้ยินสวี่เหยียนพูดขึ้น “ยังไงก็เถอะ ดีแล้วที่เป็นแค่ผู้ใหญ่อย่างเราๆ น่ะ ซิงซิงไม่เป็นไรก็ถือว่าโชคดีล่ะนะ แล้วเธอเป็นยังไงบ้างเจิ้งเจิ้ง?”
“ฉันได้น้ำเกลือไปแล้วเมื่อคืน ตอนนี้เลยดีขึ้นมากแล้วล่ะ เธอเองก็พักผ่อนให้มากๆ เถอะ”
หลังจากที่วางสายไปแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็นอนคิดอยู่อีกพักใหญ่บนเตียงของตน แต่ไม่ว่ายังไงเธอก็ยังไม่สามารถหาจุดเชื่อมโยงระหว่างเฉียวเค่อเหรินกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ได้สักที
บางทีเธออาจจะกังวลมากเกินไป หญิงสาวจึงส่ายหน้าไล่ความคิดเหล่านี้และหัวเราะกับตนเองที่ดูจะตื่นตูมมากไปหน่อย
นี่มันก็บ่าย 2 โมงกว่าแล้ว ถึงเวลาที่ควรจะไปรับฝูซิงเนื่องจากวันนี้เป็นวันศุกร์ โรงเรียนจะเลิกเร็วกว่าปกติอีกนิดหน่อย ยังไงเสียวันนี้ก็ไม่มีอะไรต้องทำอยู่แล้วด้วย ค่อยๆ เดินไปก็น่าจะทันถมเถ
เมื่อฝูเจิ้งเจิ้งมาถึงโรงเรียนอนุบาล มันก็เป็นเวลาบ่าย 3 โมงครึ่งไปแล้ว ผู้ปกครองหลายครอบครัวต่างก็มารับเด็กๆ ของตนกลับไป
เธอเองก็มารับเจ้าตัวเล็กของเธอเช่นกัน และเมื่อมองไปรอบๆ ฝูเจิ้งเจิ้งก็พบว่าฝูซิงนั้นกำลังเล่นสไลเดอร์อยู่ เธอจึงโบกมือพร้อมเรียก “ฝูซิง หม่ามี๊อยู่นี่จ้า~”
สิ่งที่คาดหวังไว้นั่นคือลูกชายของเธอต้องรีบสไลด์ลงมาหาเธออย่างมีความสุขแน่ๆ ทว่าเขากลับเพียงแค่เหลือบมองและมองอยู่เช่นนั้นไม่ยอมลงมา
หลี่เสี่ยวเมิ่งคิดว่าฝูซิงคงไม่ได้ยิน เธอจึงช่วยเรียกเขาด้วยอีกเสียงหนึ่ง “ซิงซิง หม่ามี๊ของหนูมาแล้วนะ ลงมาเร็ว”
ฝูซิงยอมสไลด์ลงมาแบบไม่เต็มใจ แก้มที่พองลมไว้นั้นเป็นสัญญาณให้เห็นว่าเขาจะไม่ยอมพูดอะไรออกมาง่ายๆ แน่ๆ
“ฝูซิง เป็นอะไรไปน่ะ? ลูกไม่มีความสุขหรือไง?” ฝูเจิ้งเจิ้งย่อลงไปยิ้มให้ลูกชายของตน หรือว่าจะทะเลาะกับคนอื่นอีกแล้วนะ?
หลี่เสี่ยวเมิ่งลูบหัวฝูซิงเบาๆ ก่อนจะถามด้วยความอ่อนโยน “เป็นอะไรไปซิงซิง? บอกคุณครูได้นะถ้ามีอะไรที่ทำให้หนูรู้สึกไม่สบายใจ?”
เจ้าตัวเล็กพ่นลมออกจากปากแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “ป๊ะป๋าบอกว่าจะมารับฝูซิง”
นี่เหรอเหตุผล? โถ่ เจ้าแร็คคูนตัวน้อย นี่ฉันที่เป็นแม่แท้ๆ ไม่สามารถเทียบเท่าพ่อเทียมของเธอได้แล้วเหรอ? นี่มันกี่เดือนเองนะ?
ฝูเจิ้งเจิ้งลูบหัวฝูซิงเชิงหยอกล้อและพูดแซะกับเขาด้วยน้ำเสียงเหมือนจะโกรธ “หม่ามี๊มารับหนูก็ได้ไม่ใช่หรือไงฮะ?”
คุณครูสาวที่ยืนมองเหตุการณ์ตรงหน้านั้นก็อดหัวเราะไม่ได้ เธอดันฝูซิงไปหาฝูเจิ้งเจิ้งแล้วพูดกับเขา “ป๊ะป๋าของซิงซิงจะต้องยุ่งมากๆ เลยล่ะจ้ะ ถึงไม่ว่างมารับแบบนี้ เพราะงั้นต่อให้เป็นหม่ามี๊มารับก็ไม่ต่างกันนะ อย่าเศร้าไปเลยซิงซิง เพราะเด็กที่ไม่มีความสุขน่ะ จะกลายเป็นเด็กที่ไม่น่ารักนะ”
ฝูซิงพยักหน้าก่อนจะยอมจับมือฝูเจิ้งเจิ้งแล้วพากันเดินออกไป
ทำไมคำพูดของคุณครูถึงได้ดูใช้ได้ผลกับเจ้าแร็คคูนตัวแสบนี่มากกว่าฉันนะ?
แม้ใบหน้าของฝูเจิ้งเจิ้งจะมีรอยยิ้ม แต่ลึกๆ ข้างในเธอก็ไม่ได้รู้สึกมีความสุขเสียเท่าไหร่
หลังจากที่เดินออกมาได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ ฝูซิงก็สลัดมือออกจากฝูเจิ้งเจิ้งแล้วรีบวิ่งตรงไปข้างหน้าทันที “ป๊ะป๋า! ฝูซิงกะไว้แล้วว่าป๊ะป๋าต้องมา!”
เมื่อฝูเจิ้งเจิ้งแหงนหน้ามอง เธอก็พบว่าฝูซิงนั้นวิ่งตรงเข้าสู่อ้อมแขนของหานซือฉีราวกับลูกเหล็กที่โดนแม่เหล็กดูด เขาคว้าตัวเด็กน้อยเอาไว้ก่อนจะอุ้มขึ้นมาเพื่อกล่าวทักทาย
ใบหน้าจิ้มลิ้มของฝูซิงหันมามองฝูเจิ้งเจิ้งก่อนจะแสยะยิ้มน้อยๆ
ในตอนที่ฝูเจิ้งเจิ้งกำลังจะถามว่าทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ หานซือฉีก็ยิงคำถามมาก่อน “ดีขึ้นแล้วเหรอ?”
“ค่ะ รู้สึกดีขึ้นแล้ว”
“ได้กินยาแก้อักเสบหรือยัง?”
“ยังค่ะ พอดีรู้สึกดีขึ้นมาก่อน”
ได้ยินเช่นนั้นหานซือฉีก็หรี่ตามองไปยังแม่คนดื้อทันที “ไม่ใช่ว่าหมอบอกเธอให้กินยา 3 เวลาหรือไง? อาการอักเสบน่ะมันร้ายแรงมากนะ”
“มันก็ไม่ได้รุนแรงขนาดนั้นสักหน่อย ฮึ่ม!” เธอรีบหยุดเขาไว้ก่อนที่เขาจะพูดมากไปกว่านี้ พร้อมกำชับเพื่อให้เขามั่นใจ “กลับไปจะรีบกินเลยก็แล้วกันค่ะ”
เมื่อเห็นว่าหานซือฉีดูอยากจะพูดจริงๆ ฝูเจิ้งเจิ้งก็ยกมือขึ้นปราม และเน้นย้ำไปอีกทีหนึ่ง “รู้แล้วๆ ฉันไม่ลืมหรอกค่ะ”
“บ๊ายบายครับ คุณครูหลี่” ฝูซิงหันไปโบกมือให้หลี่เสี่ยวเมิ่งทิ้งท้ายขณะที่โดนอุ้มอยู่ในอ้อมแขนของหานซือฉี
ฝูเจิ้งเจิ้งหันกลับไปมองหลี่เสี่ยวเมิ่งที่ยังคงยิ้มส่งพวกเธอด้วยรอยยิ้มที่ได้เห็นอยู่เป็นประจำนั้นโดยที่ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใดๆ
ครั้นเมื่อทั้ง 3 กลับมาถึงบ้านแล้ว มันก็ยังไม่ได้มืดอะไร เพราะวันนี้ฝูซิงเลิกเร็วกว่าทุกวัน ด้วยเหตุนี้ ฝูเจิ้งเจิ้งเลยต้องการจะให้ฝูซิงทำการบ้านให้เสร็จก่อน แต่ฝูซิงกลับปฏิเสธและขอร้องเธอ “หม่ามี๊ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ป๊ะป๋าจะมีเวลามาอยู่กับฝูซิงแบบนี้ ฝูซิงอยากเล่นเกมกับป๊ะป๋าแล้วค่อยทำการบ้านพรุ่งนี้ ได้ไหม? โอเคหรือเปล่า?”
“โอเค!” หานซือฉีชิงตอบก่อน
“ไม่โอเค!” ฝูเจิ้งเจิ้งค้านหัวชนฝา ทว่าทั้งสองหนุ่มเล็กหนุ่มใหญ่กลับทำเป็นหูทวนลมพร้อมๆ กัน มันเลยทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งเดือดขึ้นมา
“ฝูซิง!”
“หม่ามี๊ ป๊ะป๋าบอกว่าอยากจะกินเนื้อตุ๋นหม้อไฟเพราะหม่ามี๊ทำเนื้อตุ๋นหม้อไฟได้อร่อยมากๆ เลย” หลังจากพูดเช่นนั้นแล้วฝูซิงก็รีบปรี่เข้าหาหานซือฉีทันที
“ลูกจะไม่ทำอย่างอื่นเลยยกเว้นกินกับเล่นเนี่ยนะ! คิดว่าตัวเองเป็นเด็กแบเบาะหรือยังไง?” ฝูเจิ้งเจิ้งพูดด้วยความโกรธ แต่ท้ายสุดแล้วเธอก็เดินเข้าครัวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
——————————-
“วันหยุด 2 วันนี้ฉันไม่อยู่บ้าน บางทีฉันอาจจะต้องออกไปคืนนี้เลย ห้ามออกไปไหนตลอด 2 วันนี้ แล้วก็อยู่แต่ในบ้านคอยดูแลซิงซิงเอาไว้นะ” หานซือฉีพูดขึ้นระหว่างที่กำลังทานมื้อเย็นด้วยกัน
ฝูซิงรีบวางชามของตนลงในทันทีแล้วเอ่ยถาม “ป๊ะป๋าจะไปไหน? ฝูซิงอยากจะไปกับป๊ะป๋า!”
หานซือฉีสัมผัสหน้าผากของเจ้าตัวเล็กอย่างนุ่มนวล “ป๊ะป๋าต้องไปทำธุระน่ะ มันสำคัญมากๆ ก็เลยพาซิงซิงไปไม่ได้นะ”
“อืออออ งั้นถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญ ป๊ะป๋าจะพาฝูซิงไปด้วยเหรอ?”
“ได้แน่นอน”
“เย้! ป๊ะป๋าเยี่ยมยอดที่สุดเลย!” ฝูซิงยกตะเกียบขึ้นพร้อมส่งเสียงดีใจ
ไม่ใช่เรื่องสำคัญงั้นเหรอ… นี่มันคำหลอกเด็กใหม่สินะ ได้ ฉันจะจำไว้!
จะไปใช้เวลาสุดแสนวิเศษกับสาวสวยคนนั้นก็บอกไปตรงๆ สิ ไม่เห็นจะต้องโกหกเด็กเลยนี่?
ฝูเจิ้งเจิ้งถอนหายใจเบาๆ โดยไม่เงยหน้าขึ้นมามอง กระนั้นสีหน้าของเธอก็ดูจะแอบเหยียดหยามเขาอยู่
“ฉันต้องไปตรวจสอบเมืองข้างๆ กับพี่ชายของฉันนิดหน่อย”
กับหานซือเซียน? ตรวจสอบ?
ด้วยความสงสัย ฝูเจิ้งเจิ้งจึงเงยหน้าขึ้นมา และมันทำให้เธอได้สบตากับหานซือฉีที่กำลังมองมาอย่างไม่ตั้งใจ
ใบหน้าสวยนั้นแสดงออกถึงความเขินอายเล็กน้อย ชัดเลยว่าเขาสามารถเดาได้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่!
ว่าแต่ทำไมต้องมองเธอด้วยแววตาล้อเลียนแบบนั้นน่ะ?
สิ่งนั้นทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดอยู่นิดหน่อย แต่ก็อายถ้าหากจะต้องโวยวายต่อหน้าป้าเฉินเช่นนี้ เพราะงั้นเธอจึงก้มหน้าก้มตาแสร้งทำเป็นตักชิ้นเนื้อมาใส่ชามของตนอย่างรวดเร็วและเหลือบมองไปยังหานซือฉีด้วย
ตะเกียบของหานซือฉีลอยเข้ามากดตะเกียบเธอไว้ก่อน “เนื้อน่ะมันร้อน เธออาจจะโดนลวกปากพองเอาได้ถ้ารีบกินเกินไป เพราะงั้นฉันว่าเธอไว้กินทีหลังดีกว่า”
มาไม้ไหนอีกเนี่ย? จะบอกว่าฉันยังกินไม่ได้ถ้านายยังไม่บอกให้กินงั้นเหรอ? เฮอะ ไร้สาระน่า
เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอก็ชักตะเกียบกลับ แต่ใช่ว่าเธอจะล้มเลิกความพยายาม ฝูเจิ้งเจิ้งขยับชามเนื้อตุ๋นมาใกล้ๆ เธอแล้วโกยเอาเนื้อมากมายหลายชิ้นไปใส่ชามของตนไว้เพื่อแสดงให้เห็นว่าเธอไม่ยอมแพ้ต่อคำพูดของเขาแต่อย่างใด
“หม่ามี๊ เหลือไว้ให้ฝูซิงด้วย!” ฝูซิงที่เห็นดังนั้นก็รีบเขยิบชามของตนเข้าไปใกล้ๆ ทันที
หานซือฉีและเฉินเฉี่ยวหลานต่างพากันหัวเราะไปพร้อมๆ กัน
ฝูเจิ้งเจิ้งอายจนหน้าแดงกับการกระทำของตัวเอง หลังจากที่เธอแบ่งเนื้อบางส่วนไปที่ชามของฝูซิงแล้ว เธอก็ก้มหน้าก้มตาเคี้ยวเนื้อในปากไปขณะที่ในหัวก็วางแผนสำหรับ 2 คืนที่ไม่มีหานซือฉีอยู่เอาไว้ด้วย
ไม่นานนักหลังจากที่ทานมื้อเย็นกันเสร็จ หานซือฉีก็ได้รับโทรศัพท์ และหลังจากที่กำชับฝูเจิ้งเจิ้งไม่ให้ออกไปไหนช่วงกลางคืนแล้ว เขาก็รีบขับรถออกไปในทันที
เมื่อเห็นว่ารถของหานซือฉีขับออกไปแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็ขอให้เฉินเฉี่ยวหลานพาฝูซิงไปนอนด้วยอีกคืนเพราะเธอยังรู้สึกไม่หายดีเสียทีเดียว
เฉินเฉี่ยวหลานนั้นรักและเอ็นดูฝูซิงมาตลอดอยู่แล้ว ดังนั้นเธอจึงไม่ปฏิเสธและรับคำด้วยความยินดี ซึ่งฝูซิงเองก็ดูจะมีความสุขที่ได้เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง ฝูเจิ้งเจิ้งนำชุดนอนของฝูซิงลงมาด้านล่าง และเฝ้าดูพวกเขาจนกระทั่งทั้งสองไปอาบน้ำด้วยกัน เธอจึงวางใจและกลับไปยังชั้นบน
ยามที่ชั้นล่างไร้เสียงโหวกเหวก ฝูเจิ้งเจิ้งที่เปลี่ยนชุดรอไว้แล้วก็รีบปีนลงมาตามเสาที่ระเบียงอีกครั้งหนึ่ง
สายลมด้านนอกเริ่มพัดพาความหนาวเย็นให้กระทบกับผิวกายจนะเธอต้องสั่นเบาๆ เพราะความหนาวเย็นนี้ ทันใดนั้นสิ่งที่พยากรณ์อากาศเมื่อเย็นรายงานไว้มันก็ลอยขึ้นมาในหัว เขาบอกไว้ว่า ลมหนาวจะมาเยือนเมือง B ในคืนนี้ เพราะงั้นแล้วเห็นทีเธอคงจะต้องรีบเดินให้เร็วขึ้นเพื่อไม่ให้หนาวตายซะก่อนเสียแล้ว
ขณะที่ยืนรอแท็กซี่อยู่นั้น ฝูเจิ้งเจิ้งก็เหลือบมองไปตลอดสองฝั่งทาง และเมื่อมองดีๆ ก็พบว่ามันมีป้ายโฆษณาแปะประกาศให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ด้วยข้อความว่า “รถไฟใต้ดินหมายเลข 1 ที่เชื่อมโยงทุกความสะดวกสบายให้ชีวิตของพวกท่าน จงตื่นตาตื่นใจกับเมืองฮั่นต้า ทางเลือกที่ไม่ควรพลาด!”
เมือง B จะมีรถไฟใต้ดินแล้วเหรอ?
แต่ไม่มีเวลาที่จะได้คิดเรื่องนี้มากนัก แท็กซี่ที่เธอเฝ้ารอก็มาจอดที่ป้ายเสียก่อน
เมื่อมาถึงโรงน้ำชาฉีซิง ฝูเจิ้งเจิ้งก็เห็นว่าลิ่วหลินกำลังทักทายลูกค้าอยู่ที่หน้าประตูกับลูกน้องของเขา เธอยิ้มให้ก่อนจะรีบเข้าไปด้านในทันที
บางทีโจวปิงอาจจะไปพูดอะไรบางอย่างกับคนเหล่านี้เอาไว้ เพราะงั้นเมื่อเธอเข้าไปที่ด้านหลังร้าน คุณนายหลี่ก็พูดสุภาพกับเธอขึ้นเยอะ สาวใหญ่บอกแก่ฝูเจิ้งเจิ้งว่าต้องมีใครสักคนอยู่ที่นี่เพื่อคอยต้มน้ำเอาไว้ ดังนั้นหน้าที่ใหม่ของฝูเจิ้งเจิ้งจึงเป็นการต้มน้ำและคอยจัดจานผลไม้กับขนมรอที่ด้านหลังร้านนี้
ช่วงแรกนั้นที่นี่จะมีแขกที่มาเยือนเยอะมากๆ กว่าฝูเจิ้งเจิ้งจะได้มีเวลาพักจากการต้มน้ำและเตรียมผลไม้นั้นก็เป็นเวลา 5 ทุ่มไปแล้วนู่นเลย
เพราะการที่ต้องต้มน้ำให้เดือดตลอดนั้น มันทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งสามารถใช้น้ำส่วนที่ต้มแยกออกมาชงชาดีๆ มาให้ลิ่วหลินพร้อมกับขนมเล็กๆ น้อยๆ ได้
หลังจากที่จัดเค้กให้เสมียนแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็เข้าไปหาลิ่วหลินพร้อมกับกระซิบ “คุณลิ่วคะ ข้างนอกนี่มันหนาว ฉันเตรียมชาร้อนไว้ สนใจจะเข้ามาด้านในเพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่นหน่อยไหมคะ?”
ก่อนที่ลิ่วหลินจะได้พูดอะไร เสมียนร้านก็เหมือนจะเข้าใจสถานการณ์ เขาจึงขยิบตาให้ชายร่างใหญ่ก่อนจะพูด “เข้าไปเถอะคุณลิ่ว เดี๋ยวผมจัดการตรงนี้เอง”
ด้วยเหตุนั้น เขาจึงหันกลับมามองฝูเจิ้งเจิ้งพลางเกาหัวแกรกและเดินตามเธอเข้าไป
ในตอนนั้น ไม่มีใครอยู่ที่ด้านหลังร้านแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งจึงค่อยๆ รินชาลงไปในแก้วให้ลิ่วหลินอย่างอ่อนโยนก่อนจะยื่นชาแก้วนั้นไปพร้อมกับจานที่มีเค้กถูกจัดเตรียมไว้ เธอพูดพร้อมรอยยิ้มหวาน “คุณลิ่วไม่หนาวบ้างเหรอคะที่ต้องไปยืนด้านนอกในวันที่อากาศหนาวขนาดนี้?”
“ฉันชินแล้วน่ะ” ลิ่วหลินรับชามาดื่มพร้อมตอบไปอย่างไม่ใส่ใจ
“เยี่ยมไปเลย ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมย่าลิ่วถึงบอกว่าคุณน่ะสุดยอด”
“ยังไงก็เถอะ เธอไปรู้จักยัยป้าแก่นั่นได้ยังไงกัน?”
“ก่อนที่ฉันจะย้ายที่อยู่ พวกเราเป็นเพื่อนบ้านกันน่ะค่ะ” ฝูเจิ้งเจิ้งพูดตามที่เจ้าของร้านคนนั้นบอกเธอไว้ก่อน คนคนนั้นกำชับว่านี่เป็นทางเดียวที่จะทำให้หลานของตนยอมช่วยเหลือได้
ลิ่วหลินชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะถามด้วยความสนใจ “เธอเคยอยู่ที่ถนนหลิวอวิ๋นมาก่อนเหรอ?”
“ค่ะ” หญิงสาวตอบไปอย่างไม่ลังเลเพราะคิดไว้อยู่แล้วว่าต้องโดนถามเช่นนี้ “จนกระทั่งที่นั่นโดนสั่งทุบทิ้งน่ะค่ะ”
ร่างใหญ่พูดพึมพำกับตัวเองแล้วจึงถามต่อ “ก่อนหน้านี้ครอบครัวของเธอทำงานอะไร?”
“ครอบครัวฉันเคยยากจนมากๆ มาก่อนน่ะค่ะ ก็เลยต้องใช้ชีวิตอยู่กับการเก็บขยะมาขาย…เอาเป็นว่าอย่าพูดถึงมันเลยดีกว่า แหะๆๆ พวกเขาน่ะ วาดฝันไว้ว่าสักวันหนึ่งคงมีโอกาสที่จะเก็บได้ของมูลค่าสูงๆ เพื่อนำไปขายได้บ้าง แต่ก็ยังได้แค่ฝันน่ะค่ะ กลายเป็นว่าตอนนี้ก็มีขยะเต็มบ้านไปหมดเลย ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ของพวกนี้จะมีค่าขึ้นมาบ้าง”
แววตาของลิ่วหลินนั้นดูจะเปล่งประกายความหวังขึ้นมา เขารีบพูด “ฉันทำกุญแจทองคำหายไปเมื่อ 6 ปีที่แล้ว มันเป็นสิ่งที่ตกทอดมาจากย่าของฉันอีกทีหนึ่ง เอ่อ…ฉันแอบหวังนะว่าครอบครัวของเธออาจจะเคยเจอมัน ถ้าสมมุติว่ามันอยู่กับครอบครัวเธอ แล้วเธอนำมันกลับมาให้ฉัน ฉันจะให้ราคาสูงเลย”
———————————————————————————————————–
คุยกับผู้แปล
เมื่อคืนสัญญากับว่าที่สามีว่าจะไม่ไต่กำแพงอีกแล้ว ยังไม่ครบ 24 ชั่วโมงก็จัดเลยนะจ้ะ คุณเจิ้งเจิ้ง