ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 60 โทรศัพท์
บทที่ 60 โทรศัพท์
ฝูเจิ้งเจิ้งเก็บซ่อนความยินดีเอาไว้ภายใต้ใบหน้าที่สงบนิ่ง “ไม่มีปัญหาค่ะ ไว้เดี๋ยวฉันกลับบ้านแล้วจะไปบอกพวกเขาไว้ให้ แต่ฉันขอถามหน่อยได้ไหมคะ แบบว่ากุญแจที่ว่านั่นรูปร่างเป็นยังไง?”
ลิ่วหลินหันมองรอบตัว ทว่าเขากลับไม่สามารถหากระดาษและปากกามาเพื่อวาดเป็นรูปให้ได้เลย ชายหนุ่มลูบมือตัวเองเบาๆ แล้วพูด “ถ้ายังไงเดี๋ยวฉันกลับไปวาดแล้วเอามาให้ เธอพอจะว่างช่วงบ่ายๆ ของวันพรุ่งนี้หรือเปล่า?”
“ช่วงบ่ายเหรอ…” ฝูเจิ้งเจิ้งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้า “ฉันว่างแค่ช่วงกลางคืนน่ะค่ะ ถ้ายังไงเป็นคืนวันพรุ่งนี้ได้ไหมคะ?”
แม้จะไม่ได้เวลาที่หวัง แต่ลิ่วหลินก็ยังคงเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นจนเขาไม่สามารถปิดบังมันได้ “งั้นคืนพรุ่งนี้ เดี๋ยวฉันจะลางานให้เธอ เพราะงั้นเธอรีบมาให้เร็วขึ้น แล้วฉันจะรออยู่ที่ทางแยกก่อนถึงที่นี่ เธอจะได้เอาภาพไปให้ครอบครัวของเธอหาให้ได้”
ภาพนั้นมันเป็นความลับขนาดไหนกันน่ะ? มันจะเป็นภาพของกุญแจจริงๆ ใช่ไหม?
เมื่อเห็นฝูเจิ้งเจิ้งเกิดความลังเล ลิ่วหลินก็รีบยืดอกมั่นใจ “ไม่ต้องกังวล เธอไม่โดนหักเงินเดือนหรอก ถึงตัวฉันตอนนี้จะไม่มีอะไรดี แต่ฉันเองก็ยังอยากเป็นลูกกตัญญูอยู่ ได้โปรด ช่วยฉันเถอะนะ”
ครั้งนี้เธอพยักหน้า “โอเคค่ะ ฉันจะพยายามทำให้ดีที่สุด”
ลิ่วหลินมองเธอด้วยรอยยิ้มก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นสีหน้าจริงจังดังเดิม “คุณผู้หญิง เราไม่ควรเอาเวลางานมาทำเรื่องส่วนตัวนะ ถ้าหากคุณโจวรู้เข้า พวกเราจะโดนว่าเอาได้”
ฝูเจิ้งเจิ้งเข้าใจท่าทีของเขาได้ในทันที “เข้าใจแล้วค่ะ ฉันจะไม่บอกใครทั้งนั้น”
“ดี นี่มันก็ดึกมากแล้ว เธอกลับบ้านเลยก็ได้ เดี๋ยวฉันจะหาคนมาแทนที่ของเธอเอง”
“ขอบคุณสำหรับความห่วงใยค่ะ” หลังจากขอบคุณเขาเสร็จแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็เก็บของและเลิกงานไปตามคำแนะนำ
พักใหญ่ๆ หลังออกมาจากโรงน้ำชาฉีซิงแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็ไม่สามารถอดกลั้นความตื่นเต้นและความสุขที่เปี่ยมล้นได้ เธอหลบเข้าไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่งขณะเรียบเรียงหลักฐานและเบาะแสต่างๆ ในหัวด้วยตัวคนเดียว
แบบนี้หรือเปล่าที่เรียกว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” ? เอ หรือจะเป็น “ทุกปลายอุโมงค์ย่อมมีแสงสว่างอยู่เสมอ” กันนะ?
สิ่งที่ได้มาล่าสุดเมื่อครู่ จากท่าทีของลิ่วหลินนั้นก็คือ ภาพของกุญแจที่ว่าต้องเป็นความลับมากแน่ๆ เมื่อไหร่ที่เธอได้ภาพนั้นมา ก็จะส่งมันให้หยางเต๋า เขาจะได้เห็นสักทีว่างานของเธอมันมีความคืบหน้า
นานมากแล้วตั้งแต่ที่เธอเข้ามาในเมือง B นี้ ถึงแม้ว่าการสืบข้อมูลภายในบริษัทเว่ยหานจะสำเร็จแล้ว แต่เธอกลับไม่ได้รู้สึกว่าได้ในสิ่งที่ตามหา และเหมือนว่างานมันยังไม่ลุล่วงมาโดยตลอด
ฝูเจิ้งเจิ้งนั่งคิดอยู่พักใหญ่ๆ จนกระทั่งลมหนาวเข้าปะทะผิวกายของเธออีกครั้งเพื่อเรียกสติ เธอรีบลุกขึ้นหลังความหนาวเริ่มมาเยือนก่อนจะปรี่ไปโบกแท็กซี่และกลับบ้านในที่สุด
หลังจากที่ฝูเจิ้งเจิ้งขึ้นรถแท็กซี่ไปแล้ว จีหมู่เซี่ยนก็ค่อยปรากฏตัวขึ้นมาจากเงามืด และหยุดรถอีกคันหนึ่งเพื่อสะกดรอยตามฝูเจิ้งเจิ้งไป
ตลอดทางที่สะกดรอยตามเธอ จีหมู่เซี่ยนก็เรียบเรียงข้อมูลเกี่ยวกับฝูเจิ้งเจิ้งที่ได้มาทั้งหมดไปด้วย
ฝูเจิ้งเจิ้ง หญิงสาวอายุ 24 ปี จบปริญญาตรีคณะเลขานุการวิทยาศาสตร์ ตอนนี้เป็นเลขานุการให้รองประธานบริษัทเว่ยหาน อาศัยอยู่กับเด็กผู้ชายอายุ 5 ขวบ ชื่อว่า ฝูซิง เรียนอยู่ที่โรงเรียนอนุบาลเสี่ยวหยาง เธอเรียกเด็กคนนี้ว่า ลูกชาย แต่ประวัติของเด็กไม่ปรากฏ อาศัยอยู่ห้อง 301 ยูนิท 2 อาคาร 5 ย่านไคว่เล่อ
แต่ที่อยู่ที่ระบุนั้นได้มาจากที่อยู่ของตัวเด็กที่ระบุไว้ในโรงเรียนอนุบาล เมื่อตอนที่เขาไปย่านไคว่เล่อ ที่อยู่ดังกล่าวถูกไฟไหม้ไปแล้ว ดูเหมือนเธอจะย้ายไปอยู่ที่อื่นกับชายปริศนาที่เข้าไปช่วยขณะเกิดไฟไหม้
นอกจากนี้เขายังรู้อีกดวยว่า ฝูเจิ้งเจิ้งยังไม่ได้ถูกไล่ออกจากบริษัทเว่ยหานอย่างที่ว่าไว้ ถึงแม้ว่าจะยังไม่รู้ถึงจุดประสงค์ที่เธอโกหกเช่นนั้น แต่ก็รู้สึกได้ว่าเธอคนนี้มีความลับซ่อนอยู่อีกมากกว่าที่คิด
วันนี้ที่เขามายังโรงน้ำชาฉีซิงก็เพียงเพื่อจุดประสงค์เดียว นั่นก็คือพยายามตามหาว่ากุญแจนั้นอยู่ที่ไหน
6 ปีที่แล้วเมื่อครั้งที่จีหมู่เซี่ยนยังเป็นคนดูแลคดีหลี่หมิงอยู่ หลังจากที่ลูกน้องของหลี่หมิงถูกจับ ใครสักคนก็สารภาพออกมาว่าหลี่หมิงนั้นมีห้องลับซ่อนไว้อยู่ ซึ่งภายในห้องลับนั้น คือทรัพย์สินที่หลี่หมิงสะสมมาตลอดหลายปี แต่ตัวหลี่หมิงยังไม่รู้เรื่องที่ว่ามีคนปากโป้งออกมาแล้ว ภายหลังจากที่หลี่หมิงถูกวิสามัญ ข่าวลือเรื่องห้องลับดังกล่าวก็ค่อยๆ จางหายไป
ทว่าไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ ข่าวลือมันก็กลับมาอีกครั้ง พร้อมชี้ชัดว่า กุญแจห้องลับปรากฏขึ้นในเมือง B แห่งนี้
เขาแอบตามสืบเรื่องนี้จนได้พบกับโจวปิงรวมไปถึงลูกน้องของโจวปิงด้วย หลังจากที่คอยตรวจสอบอยู่หลายครั้ง เขาจึงมั่นใจว่าการที่เขาได้เจอคนเหล่านี้ในเวลานี้ มันต้องเกี่ยวข้องกับห้องลับนั่นอย่างแน่นอน แต่ช่างน่าแปลก ที่ทุกๆ ครั้งเวลาเขาเข้ายุ่งเกี่ยวกับเรื่องห้องลับนี่ ฝูเจิ้งเจิ้งก็มักจะโผล่มาขัดจังหวะได้ตลอด นี่มันเรื่องบังเอิญอะไรกัน!
เมื่อแท็กซี่ที่ขับนำหน้าเขานั้นหยุดอยู่ไม่ไกลจากย่านชินหยวนหมิงหยวนมากนัก จีหมู่เซี่ยนก็รู้สึกแปลกใจ มองดูฝูเจิ้งเจิ้งคุยกับยามหน้าทางเข้าย่านนั้น เขาก็บอกให้คนขับแท็กซี่จอดรอก่อน และไม่ได้ออกจากรถไปจนกระทั่งเธอเข้าผ่านประตูไปแล้ว
ชายหนุ่มพยายามตามไปติดๆ ทว่าเมื่อถึงหน้าประตูทางเข้า เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็เข้ามาหยุดเขาไว้ก่อนเพื่อขอตรวจดูบัตรประชาชน แต่หลังจากที่ได้ตรวจสอบแล้ว ยามคนดังกล่าวก็รีบทำความเคารพและปล่อยให้จีหมู่เซี่ยนเข้าไปด้านในได้ในทันที
เขาเดินเข้ามาได้เพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น เสียงของฝูเจิ้งเจิ้งที่อยู่ไม่ไกลนักก็ดังขึ้นมา “นั่นใครน่ะ?”
ร่างใหญ่ที่กำลังเดินย่องเข้ามาจำเป็นต้องหยุดและหาที่หลบในทันที ตำรวจหนุ่มเฝ้ามองท่าทีของฝูเจิ้งเจิ้งที่เดินช้าลงเมื่อรู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของเขา มันก็ทำให้เขารู้ได้ทันทีว่าหญิงสาวคนนี้มีเซนส์ในการรับรู้เวลามีคนสะกดรอยตามอย่างแน่นอน ดังนั้นแล้วเขาไม่ควรตามไปมากกว่านี้ หลังจากที่ปล่อยให้เธอเดินไปไกลแล้วเขาจึงตัดสินใจกลับไปยังตู้ยามด้านหน้าอีกครั้งหนึ่ง
จีหมู่เซี่ยนโชว์บัตรประชาชนอีกครั้งและถามไถ่เกี่ยวกับฝูเจิ้งเจิ้งจากยามด้านหน้าจนได้ทราบถึงความจริงหนึ่งที่ทำให้ตัวเขาถึงกับช็อกไป นั่นคือเจ้าของบ้านที่เธออาศัยอยู่ในย่านนี้ ก็คือ หานซือฉี…
———————————-
หลังจากที่ลงมาจากแท็กซี่และเดินผ่านเข้าประตูมาแล้ว เสี่ยวหวัง ยามหน้าทางเข้าก็เรียกฝูเจิ้งเจิ้งให้เข้าไปหา
“คุณฝูครับ พวกเราเพิ่งจะจับโจรที่เข้ามาด้อมๆ มองๆ บ้านของคุณได้เมื่อไม่นานมานี้น่ะครับ หลังจากที่สอบปากคำแล้ว เจ้าตัวก็ยอมรับว่าเขาลักลอบเข้าไปในบ้านของคุณจริงๆ เพราะงั้นผมเลยสั่งเสริมกำลังในการเดินลาดตระเวนให้มากขึ้นไปแล้ว แต่ยังไงคุณฝูเองก็อย่าลืมล็อกบ้านให้แน่นหนาช่วงกลางคืนด้วยนะครับ”
“เอ๊ะ? มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นด้วยเหรอคะเนี่ย?” ฝูเจิ้งเจิ้งช็อก เธอคิดย้อนกลับไปถึงต้นตอของเรื่องนี้ บางทีโจรคนนี้อาจจะเห็นเธอย่องออกทางระเบียงก็ได้ โชคดีที่โจรถูกจับไปได้ก่อน เพราะในบ้านมีแค่ผู้สูงอายุกับเด็กเองด้วย คิดไม่ออกเลยว่าถ้าทั้งสองคนนั้นเจอเข้ากับโจรจะเป็นยังไง?
ดูเหมือนว่าต่อจากนี้หนีออกทางระเบียงจะไม่ใช่ทางออกที่ดีซะแล้ว!
เมื่อกล่าวขอบคุณยามหน้าทางเข้าเสร็จแล้ว เธอก็รีบกลับไปยังที่บ้านทันที
แต่อาจจะเป็นเพราะเธอนั้นเดินเร็วเกินไป ปมเชือกรองเท้ามันจึงเกิดขยับและคลายหลุดออกมา เป็นเหตุให้หญิงสาวต้องหยุดลงในตอนนั้นและก้มลงเพื่อมัดเชือกรองเท้าใหม่ ในระหว่างที่ก้มมัดเชือกรองเท้านั้นเอง หางตาของเธอมันก็เหลือบไปเห็นเงาของใครบางคนที่เดินเข้ามา ด้วยความระมัดระวังตัว ร่างบางนั้นก็รีบลุกขึ้นและหันกลับไปมองพร้อมถามด้วยเสียงเบา “นั่นใครน่ะ?”
ทว่าเมื่อมองดีๆ แล้ว ที่สุดทางนั้นก็ไม่มีวี่แววของใครที่ตามมาเลย ด้วยเหตุนี้เธอจึงตระหนักได้ถึงเรื่องที่ยามหน้าทางเข้าบอกไว้ก่อนหน้า และจงใจเดินช้าลงเพื่อตั้งสติขณะที่ฟังเสียงฝีเท้าที่อาจจะตามมาด้านหลังไปด้วย แต่จนแล้วจนรอด มันก็ไม่มีเสียงอะไรดังที่เธอคาดหวังจนกระทั่งเธอเดินมาจนถึงหน้าประตูบ้าน หรือบางทีเธออาจจะหูแว่วไปเอง?
หลังจากที่เข้าบ้านไปแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็เดินไปตรวจดูประตูและหน้าต่างทุกๆ บาน แต่นั่นก็ยังไม่ทำให้เธอสบายใจขึ้นได้ เธอจึงเลือกเข้าไปเช็คดูเฉินเฉี่ยวหลานที่ห้องต่อ
เฉินเฉี่ยวหลานตื่นขึ้นมาทันใด ฝูเจิ้งเจิ้งเลยรีบอธิบายไปก่อนว่า เธอกังวลว่าฝูซิงจะเตะผ้าห่มเฉยๆ เลยลงมาดู เมื่อเห็นว่าทุกอย่างดูจะไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เธอจึงรีบกลับขึ้นไปด้านบนดังเดิม
ฝูเจิ้งเจิ้งทิ้งตัวลงนอนบนที่นอนหลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วพลางคิดถึงภาพของกุญแจที่กำลังจะได้รับในวันพรุ่งนี้ด้วยความตื่นเต้นไปทั้งเนื้อทั้งตัว ในตอนที่เธอเตรียมจะปิดไฟนอนแล้วนั้น จู่ๆ เธอก็นึกขึ้นได้ว่าตนยังไม่ได้เปิดโทรศัพท์เครื่องเล็กประจำวันเลย ดังนั้นหญิงสาวจึงลุกพรวดขึ้นมาเพื่อทำมันซะ หยางเต๋าส่งข้อความมาให้จริงๆ ด้วย
“ฉันมาที่บ้านของเธอนะ”
“มีใครบางคนกำลังด้อมๆ มองๆ เธออยู่ที่ด้านล่าง”
มีมาแอบมองด้วยเหรอ?
“รุ่นพี่รู้หรือยังคะว่าเขาเป็นใคร?”
“ฉันเห็นเขาสารภาพว่าจะมาขโมยของอย่างเดียว แต่คิดว่าเรื่องนี้มันน่าจะมีเงื่อนงำมากกว่านี้”
“โอ้ เข้าใจแล้วค่ะ ฉันจะคอยระวังไว้ให้ดี”
“เจิ้งเจิ้ง อีก 10 วันก็หมดเดือนแล้วนะ…”
“งั้นอีก 10 วันจะติดต่อไปค่ะ ฝันดี”
หลังจากที่ลบข้อความทั้งหมดแล้ว เธอก็เก็บโทรศัพท์เครื่องเล็กนี้กลับลงไปดังเดิม และหันไปหยิบโทรศัพท์อีกเครื่องขึ้นมาแทน เนื่องจากเสียงมันถูกปิดเอาไว้ ฝูเจิ้งเจิ้งจึงไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น ในทันทีที่จอสว่าง เธอก็พบว่ามีสายที่ไม่ได้รับมากกว่า 10 สายปรากฏขึ้นมาจนแทบจะไม่ทันตั้งตัว และทุกสายนั้นล้วนมาจากหานซือฉี!
นั่นสินะ… ก็ก่อนที่จะออกจากบ้าน เธอปิดเสียงมันไว้นี่นา
แต่พลันเมื่อเธอกดปุ่มโทรกลับ สายนั้นก็ถูกตัดในทันที
หรือว่าจะอยู่กับเฉียวเค่อเหริน?
เธอรู้สึกหึงขึ้นมาอีกเสียแล้ว และด้วยความรู้สึกงอนที่ก่อเกิดขึ้นมานี้ ฝูเจิ้งเจิ้งก็ปิดโทรศัพท์แล้วโยนไปไว้ในกระเป๋าดังเดิมทันที
—————————————–
ลมหนาวจากทางเหนือพัดผ่านเข้ามาแล้ว ฝูซิงกำลังยืนอยู่บนขอบหน้าต่าง และมองไปยังกิ่งไม้ที่ไหวตามลมที่พันผ่าน เด็กน้อยหันกลับมามองฝูเจิ้งเจิ้งด้วยความเป็นกังวล “หม่ามี๊ ทำไมลมแรงจังเลย?”
“อืม” ฝูเจิ้งเจิ้งผู้ที่กำลังอ่านนิตยสารอยู่นั้นไม่ได้แม้แต่จะเงยหน้ามามองเสียด้วยซ้ำ
“ข้างนอกต้องหนาวแน่ๆ!”
“อ่าฮะ”
“เมื่อคืนป๊ะป๋าเพิ่งออกไป ป๊ะป๋าไม่ได้เอาเสื้อกันหนาวไปด้วย…”
“งั้นเหรอ”
“หม่ามี๊ ฝูซิงจะโทรหาป๊ะป๋า!” ทันทีที่พูดจบ ฝูซิงก็ไต่ลงมาจากขอบหน้าต่างแล้ววิ่งเข้าหาโทรศัพท์บ้านทันที
คราวนี้ฝูเจิ้งเจิ้งวางนิตยสารลงแล้วคว้าตัวฝูซิงไว้อย่างทันท่วงที “โทรหาป๊ะป๋า? นี่ลูกคิดว่าป๊ะป๋าอายุเท่าลูกหรือยังไง? เขาไม่เหมือนลูกที่ต้องให้หม่ามี๊คอยใส่เสื้อให้หรอกนะ”
“แต่ฝูซิงคิดถึงป๊ะป๋า”
“คิดถึงหม่ามี๊แทนก็ได้”
“ไม่” เจ้าตัวเล็กปฏิเสธทันที
“ว่าอะไรนะ?” ฝูเจิ้งเจิ้งจ้องไปยังแววตาของเด็กน้อย
ฝูซิงเลิ่กลั่กที่โดนมองแบบนั้น เขาจึงต้องรีบอธิบาย “ก็หม่ามี๊อยู่ที่นี่ ฝูซิงก็อยู่กับหม่ามี๊อยู่แล้ว แต่ป๊ะป๋าไม่อยู่ ฝูซิงไม่ได้อยู่กับป๊ะป๋า เพราะงั้นฝูซิงเลยอยากโทรไง”
ในขณะที่ทั้งสองกำลังจะเริ่มทะเลาะกันอยู่นั้นเอง โทรศัพท์บ้านก็เกิดดังขึ้นมาจนทั้งสองต้องหันมามองด้วยความประหลาดใจ
ฝูซิงพุ่งออกจากมือของฝูเจิ้งเจิ้งทันที เขาวิ่งตรงไปด้วยความสุขเต็มใบหน้า “ต้องเป็นป๊ะป๋าแน่ๆ!”
เป็นไปไม่ได้หรอกน่า มันต้องเป็นพวกขายบ้าน ไม่ก็ประกันชีวิตอยู่แล้ว
ฝูเจิ้งเจิ้งแอบหัวเราะในใจแล้วทิ้งตัวลงนอนอ่านนิตยสารต่อ
ยังไงเสีย ถ้าหานซือฉีจะโทรมา เขาก็ต้องโทรเข้าหาเธอก่อนอยู่แล้ว
เอ๊ะ…แต่ฉันปิดเครื่องไปนี่…
คิดได้ดังนั้น เธอจึงค่อยๆ แอบฟังฝูซิงที่กำลังพูดเจื้อยแจ้ว แล้วก็พบว่ามันเป็นสายโทรเข้าจากหานซือฉีจริงๆ เจ้าตัวเล็กกระโดดขึ้นไปนั่งบนพนักพิงหลังของโซฟาขณะคุยโทรศัพท์ไปด้วย
“ป๊ะป๋า หนาวไหม?”
“หม่ามี๊ไม่ได้ไปไหนเลย หม่ามี๊อ่านหนังสืออยู่”
“ได้เลย ฝูซิงจะดูแลหม่ามี๊เอง ป๊ะป๋า คิดถึงหม่ามี๊ไหม?”
“ฝูซิง! ลูกพูดอะไรน่ะ?” ฝูเจิ้งเจิ้งรีบทักขึ้นมาทันทีพร้อมกับหรี่ตามองฝูซิงด้วยมือที่กำแน่นเตรียมเขกหัวเขาด้วย
ฝูซิงไม่สนใจท่าทีเกรี้ยวกราดของเธอ แววตาใสซื่อนั้นกำลังแอบหัวเราะอยู่ภายในก่อนจะพูดขึ้น “หม่ามี๊ ป๊ะป๋าบอกว่าคิดถึงหม่ามี๊มากๆ เลย หม่ามี๊คิดถึงป๊ะป๋าไหม?”
ฝูเจิ้งเจิ้งถลึงตาและพูดด้วยความโกรธ “แล้วทำไมหม่ามี๊ต้องคิดถึงเขาด้วย?”
“ป๊ะป๋า หม่ามี๊บอกว่า ทำไมจะไม่คิดถึงล่ะ”
เสียงหัวเราะคิกคักดังมาจากฝูซิงและปลายสาย เมื่อเธอเห็นว่าทั้งสองกำลังสนุกสนานกับเรื่องเมื่อครู่ หญิงสาวก็หงุดหงิดมากขึ้นไปอีก
ทว่าจู่ๆ ฝูซิงก็หันมาบอกกับเธอ “หม่ามี๊ ป๊ะป๋าบอกว่า ทำไมฉันจะไม่คิดถึงเธอเหมือนกัน”
มองท่าทีของลูกชายตนที่พยายามเก๊กหน้าให้เหมือนหานซือฉีเวลาพูดแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
“ป๊ะป๋า หม่ามี๊หัวเราะตอนที่ได้ยินป๊ะป๋าบอกว่า ทำไมจะไม่คิดถึง ล่ะ”
หา?
ฝูเจิ้งเจิ้งรีบลุกไปแล้ววางสายทันที “โทรศัพท์นานๆ มันเปลืองเงินรู้ไหม? เพราะงั้นพอ!”
“แต่หม่ามี๊ ฝูซิงยังคุยไม่เสร็จเลย!” ฝูซิงไต่ขึ้นไปตามตัวเธอเพื่อประท้วง
ฝูเจิ้งเจิ้งหิ้วเจ้าตัวแสบลงไปวางพื้นดีๆ “หม่ามี๊จะไม่คอยดูแลถ้าลูกขาหักนะ แล้วก็จะทิ้งไว้ให้เป็นขอทานข้างถนนด้วย”
“ป๊ะป๋าจะดูแลฝูซิงเอง!”
“ต่อให้เขาดูแลลูกจริง แต่ผู้หญิงที่เขาแต่งงานด้วยก็จะมาเป็นแม่บุญธรรมของลูกอยู่ดี”
“ใครคือแม่บุญธรรม?” ฝูซิงถาม
“อย่าถามเยอะ ทำการบ้านได้แล้ว!” ฝูเจิ้งเจิ้งตีก้นฝูซิงเบาๆ จากนั้นก็เอากระเป๋านักเรียนของเขามาตั้งไว้ตรงหน้า
เจ้าตัวน้อยมองไปยังกระเป๋าด้านหน้าด้วยความไม่เต็มใจที่จะเปิด
“ป๊ะป๋าของลูกบอกไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าถ้าเขากลับมา เขาจะตรวจการบ้านลูก ลูกก็รู้ว่าป๊ะป๋าของลูกไม่ชอบเด็กที่ไม่ทำการบ้านไม่ใช่เหรอ?”
ได้ยินเช่นนั้นฝูซิงก็เริ่มทำการบ้านอย่างขยันขันแข็งทันที
ลูกชายของฉันเชื่อฟังขนาดนี้เพียงแค่พูดชื่อของหานซือฉีเนี่ยนะ? เมื่อไหร่จะยอมเชื่อฟังฉันเหมือนที่เชื่อฟังคนอื่นบ้างล่ะเนี่ย? ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกเสียใจอยู่ลึกๆ
ฤดูหนาวทำให้ท้องฟ้าด้านนอกนั้นมืดเร็วกว่าปกติ เมื่อไร้ซึ่งแสงตะวัน เสียงของเฉินเฉี่ยวหลานก็ลอยขึ้นมาจากห้องรับประทานอาหาร “ซิงซิง ลงมากินข้าวได้แล้วลูก”
“โอ้ กินข้าว!” ฝูซิงละทิ้งการบ้านแล้ววิ่งปรี่ลงไปห้องรับประทานอาหารทันที “ย่าเฉินนนน ฝูซิงหิวมากกกกก”
“ได้เลย ถ้าซิงซิงหิว เดี๋ยวย่าตักให้เยอะๆ เลย!” เฉินเฉี่ยวหลานได้ยินดังนั้นก็ตักข้าวให้ฝูซิงด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุขทันที
ฝูเจิ้งเจิ้งที่เดินตามลงมารับชามข้าวฝูซิงมาถือต่อ รวมถึงชามข้าวของเฉินเฉี่ยวหลานด้วย “ให้ฉันทำให้ก็ได้ค่ะ ป้าเฉินนั่งลงเถอะ เดี๋ยวฉันจะตักข้าวให้ด้วย”
ระหว่างนั้นเอง เสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้นมา
ฝูซิงไม่รอช้าที่จะกระโดดลงจากเก้าอี้แล้ววิ่งตรงไปยังประตูทันที “ป๊ะป๋าต้องกลับมาแล้วแน่ๆ ฝูซิงจะไปเปิดประตูเอง!”
หญิงสาวรีบวางชามข้าวลงแล้ววิ่งไปขวางหน้าฝูซิงไว้อย่างรวดเร็ว “กลับไปนั่งดีๆ เดี๋ยวหม่ามี๊เปิดประตูเอง”
ถึงแม้ว่าระบบรักษาความปลอดภัยในชินหยวนหมิงหยวนนั้นจะเป็นที่รู้จักกันดี แต่ยังไงเธอก็ต้องระวังตัวเองไว้ด้วย เพราะนอกจากหานซือฉี ที่นี่ก็เคยมีหานซือเซียนที่ปรากฏตัวขึ้นแล้วครั้งหนึ่ง แล้วในเวลาที่ทั้งสองพี่น้องกำลังไปทำงานต่างเมืองเช่นนี้ จะมีใครมาบ้านได้อีก?
เธอค่อยๆ ส่องเข้าไปในตาแมวและพบกับความประหลาดใจ ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้!?
—————————————————————————————————-
คุยกับผู้แปล
เป็นตำรวจสาวอยู่ดีๆ ถูกอัพขั้นกลายเป็นผู้ต้องสงสัยซะงั้น
-ทีมงานผู้แปล Enjoybook-