ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 61 ร้อนแรงดั่งพริก
บทที่ 61 ร้อนแรงดั่งพริก
ในทันทีที่ประตูถูกเปิดออก หานซือฉีก็เดินเข้ามาด้านใน
ทำไมเขาถึงกลับมาล่ะ? ไม่ใช่เขาบอกเองเหรอว่าจะไม่กลับบ้านใน 2 วันนี้? แล้วคืนนี้เขาจะไปไหนหรือเปล่า?
เธอจำเป็นต้องไปโรงน้ำชาฉีซิงเพื่อรับภาพกุญแจจากลิ่วหลินนะ!
สีหน้าของฝูเจิ้งเจิ้งนั้นดูซีดเผือดขณะมองตามหลังหานซือฉีไป
“ป๊ะป๋า! ฝูซิงกะไว้แล้วว่าป๊ะป๋าจะต้องกลับมา!” ฝูซิงกระโดดโลดเต้นอยู่บนเก้าอี้
“โอ๊ะๆๆ ระวังตกจ้ะ ซิงซิง” เฉินเฉี่ยวหลานรีบเข้ามาประคองและอุ้มฝูซิงลงจากเก้าอี้ไปนั่งดีๆ ก่อนจะเดินไปตักข้าวให้หานซือฉีต่ออย่างรวดเร็ว
“ฝูซิงตักให้ป๊ะป๋าเอง!” พูดจบฝูซิงก็ลุกออกจากเก้าอี้อีกครั้งแล้ววิ่งเข้าไปในครัว
เฉินเฉี่ยวหลานรีบเดินตามไปติดๆ “ช้าลงหน่อยสิซิงซิง ให้ย่าทำเองดีกว่า”
เมื่อเห็นว่าหานซือฉีลงไปนั่งที่เก้าอี้ข้างๆ เธอแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งจึงเดินกลับไปนั่งที่ของตนบ้างด้วยความทุกข์ใจ
หานซือฉีหันมองไปยังฝูเจิ้งเจิ้งที่ดูจะอึดอัดใจก่อนจะเอ่ยถามไปตรงๆ “เธอมีความสุขที่ได้เจอหน้าฉัน หรือกำลังดีใจที่ได้เจอหน้าฉันอยู่กันน่ะ?”
ฝูเจิ้งเจิ้งรีบพูดประชดเขาด้วยความหมั่นไส้ “คุณครูสอนภาษาของคุณหานสอนอะไรให้น่ะคะ? คุณต้องพูดว่า ‘เธอมีความสุขที่ได้เจอหน้าฉัน หรือกำลังเสียใจที่ได้เจอหน้าฉัน’ ต่างหาก แล้วก็แน่นอนค่ะว่าฉันเลือกอย่างหลัง”
“ไม่มีความสุขเหรอ? แต่เธอก็ดูกินของฉันอย่างเอร็ดอร่อยดีนี่?”
“หา? ฉันแค่ไม่ชอบคุณหาน ไม่ได้หมายความว่าฉันไม่ชอบรสชาติของอาหารนี่คะ”
เขาเชยคางเธอขึ้นก่อนจะเคลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ “งั้นไม่ลองรสชาติของฉันบ้างหรือ?”
มือเรียวรีบผละออกจากตะเกียบแล้วผลักเขาออกไปทันที “กลิ่นผู้หญิงบนตัวคุณหานมันทำฉันสะอิดสะเอียนไปหมดแล้ว”
ชายหนุ่มกลับไปนั่งเก้าอี้ของตนก่อนจะกระซิบเบาๆ “ฉันแค่แตะตัวเธอไปเมื่อวานแค่ครู่เดียวจนกระทั่งถึงวันนี้ ดูเหมือนว่ากลิ่นเธอจะติดแน่นทนนานเหมือนกันนะ”
“ค-คุณหาน! อ่ะ—” เมื่อเห็นว่าฝูซิงเดินกลับเข้ามาในห้องอาหารพร้อมกับชามข้าวด้วยสีหน้ามีความสุข ฝูเจิ้งเจิ้งก็หยุดปากไปก่อน
“ป๊ะป๋า ข้าวมาแล้ว~” ฝูซิงส่งชามข้าวให้หานซือฉีด้วยมารยาทอย่างดี
หานซือฉีรับชามข้าวมาจากมือเล็กๆ โดยไม่ได้พิธีรีตองอะไรนัก เขายกนิ้วโป้งให้และกล่าว “ซิงซิงนี่รักป๊ะป๋าจริงๆ”
ฝูซิงภูมิใจมากๆ จนตัวเขาต้องส่ายหน้าไปมาด้วยความเขินอาย แต่เมื่อเห็นว่าฝูเจิ้งเจิ้งกำลังมองมาที่ตน เจ้าตัวเล็กก็รีบใช้ตะเกียบคีบชิ้นเนื้อให้เธอบ้าง “หม่ามี๊ เนื้ออออออ”
“ซิงซิง อย่าแบ่งเนื้อให้หม่ามี๊มากนะ ดูสิ หม่ามี๊น่ะ อ้วนเป็น….”
ถึงแม้จะรู้อยู่แล้วว่าหานซือฉีน่ะชอบพูดแขวะตนเป็นเรื่องปกติ แต่ฝูเจิ้งเจิ้งก็ยังรู้สึกหงุดหงิดที่ได้ยินเช่นนั้นอยู่ดี และด้วยความหงุดหงิดนี้ เธอก็ซัดเนื้อที่ฝูซิงตักให้อย่างรวดเร็วจนมันเผลอติดคอ
“แค่ก—แค่กๆ !”
เฉินเฉี่ยวหลานรีบส่งน้ำให้เธอ “ใจเย็นๆ ค่ะคุณเจิ้ง ค่อยๆ ทาน นี่น้ำค่ะ”
ทางหานซือฉีเองก็ช่วยลูบหลังให้เธอ และฝูซิงเองก็พยายามทำตามด้วย แต่เพราะฝูซิงนั้นไม่รู้ว่าควรจะคุมแรงไว้ระดับไหน มันเลยทำให้เขาทุบไปเต็มแรงที่หลังของฝูเจิ้งเจิ้งจนน้ำที่เธอเพิ่งจะดื่มลงไปพุ่งออกมาจากปากจนเหมือนท่อประปาแตก
“ฝ-ฝูซิง—แค่กๆ ”
“หม่ามี๊ ฝูซิงจะช่วยหม่ามี๊เอง!”
ในหัวของฝูซิงนั้นคิดว่าหม่ามี๊คงจะต้องชื่นชมเขาแน่ๆ ดังนั้นเจ้าตัวจึงกำหมัดขึ้นมาและเตรียมจะทุบเข้าไปที่หลังอีกครั้ง คราวนี้ฝูเจิ้งเจิ้งรีบกระโจนออกจากที่นั่งอย่างรวดเร็ว เพื่อหลีกเลี่ยง “หายนะ” ที่กำลังจะตามมา เธอรีบเช็ดน้ำที่เลอะริมฝีปากก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อให้ลดอาการตกใจ
เมื่อเห็นว่าฝูเจิ้งเจิ้งอาการดีขึ้นแล้ว หานซือฉีก็ลูบหัวฝูซิงด้วยรอยยิ้มและกล่าวชื่นชม “ซิงซิงทำได้ดีมาก เพราะซิงซิงเลยหม่ามี๊ถึงได้รอดตาย”
ฝูซิงรู้สึกได้ถึงคำชม และมันทำให้เขามั่นใจในตนเองขึ้นมา เด็กน้อยเงยหน้าขึ้น “หม่ามี๊ ฝูซิงจะดูแลหม่ามี๊กับป๊ะป๋าเอง!”
“กินข้าวไปเลย เดี๋ยวอาหารเย็นหมด” หญิงสาวรับรู้ได้ว่าหากไม่มีคนหยุดบทสนทนานี้ก่อน มันคงได้กลายเป็นบทสนทนาที่ไม่มีจุดจบแน่ๆ ดังนั้นเธอจึงเป็นฝ่ายหยุดมันเองโดยการอุ้มฝูซิงกลับไปนั่งที่นั่งตามเดิม
หลังจากที่ทานอาหารเย็นร่วมกันเสร็จแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็เตรียมจะพาฝูซิงกลับไปที่ห้องของพวกเธอเร็วกว่าปกติ เธอคิดว่าถ้าทั้งเธอและลูกพากันรีบนอน หานซือฉีก็จะออกไป จากนั้นก็จะถือโอกาสพาฝูซิงไปฝากให้นอนกับป้าเฉิน และเธอก็จะหนีออกจากบ้านได้!
อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทันที่จะได้พาขึ้นห้อง ฝูซิงก็หยิบเอากระเป๋านักเรียนของตนออกมาเพื่อนำการบ้านมาให้หานซือฉีตรวจ ฝูเจิ้งเจิ้งจึงรีบเข้าไปหมายจะหยุดฝูซิงไว้ก่อนด้วยเหตุผลที่ว่า หานซือฉีคงจะเหนื่อยจากการทำงาน ทว่า หานซือฉีกลับยินยอมซะงั้น
สองพ่อลูกนั่งตรวจการบ้านกันจนเสร็จ ฝูซิงก็หยิบเอาหนังสือและร้องเพลงที่ฝึกไว้รวมถึงอ่านบทกวีเก่าๆ ที่เพิ่งได้เรียนมาให้ฟัง หานซือฉีคอยฟังเขาด้วยความใจเย็น พร้อมทั้งคอยยิงคำถามในฐานะผู้ฟังที่ดีหลังจากที่ได้ฟังไปแล้วด้วย
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ตอนนี้มันใกล้ถึงช่วงเวลากะกลางคืนของโรงน้ำชาฉีซิงแล้ว ซึ่งมันทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งกระวนกระวายขึ้นมามากขึ้นเรื่อยๆ เธอพยายามจะหยุดทั้งคู่เอาไว้ ทว่าก็โดนเมินใส่
ในท้ายที่สุด ฝูเจิ้งเจิ้งก็ยื่นมือออกไปและคว้าหนังสือจากมือฝูซิงเก็บลงกระเป๋าดังเดิม จากนั้นก็พูดให้เหตุผล “นี่มันดึกมากแล้ว ฝูซิงต้องพักผ่อน”
“แต่หม่ามี๊ ฝูซิงยังไม่ได้อ่าน…”
ฝูเจิ้งเจิ้งขัดเขาไว้อีก “นอนดึกเดี๋ยวก็ตื่นสาย คิดว่าตัวเองนอนน้อยแล้วจะตื่นเช้าได้เหรอ?”
เจ้าตัวเล็กหันมองหานซือฉีด้วยความเศร้าสร้อย ซึ่งหานซือฉีเองก็เพียงลูบหัวเขาเบาๆ ด้วยรอยยิ้ม “ไว้พรุ่งนี้ค่อยมาอ่านให้ป๊ะป๋าฟังก็ได้ ป๊ะป๋าเองก็จะไปนอนเหมือนกัน”
ได้ยินว่าหานซือฉีจะนอนที่นี่ ฝูเจิ้งเจิ้งก็หนักใจขึ้นมา ทว่าจู่ๆ เธอก็นึกอะไรขึ้นมาได้ หญิงสาวรีบยกมือกุมท้องไว้ และร้องเสียงอ่อน “อุ่ก…”
“หม่ามี๊เป็นอะไรไป?” ฝูซิงรีบไต่ลงมาจากโซฟาแล้ววิ่งมาดูอาการทันที
หานซือฉีเองก็หันมามองและถามด้วยความกังวลเช่นกัน “เกิดอะไรขึ้น?”
“บ-บางทีอาการท้องเสียมันอาจจะยังไม่หายดีน่ะ… ท้องก็เลยปวดไปหมดเลย…แต่ไม่เป็นไร ย-ยังทนได้อยู่” ถึงแม้จะพูดแบบนั้น แต่ทั้งสีหน้าและท่าทางของฝูเจิ้งเจิ้งก็ตีบทแตกอยู่
เมื่อเห็นว่าหานซือฉีเตรียมจะโทรศัพท์ เธอก็รีบหยุดเขาไว้ก่อน “บางทีอาจจะเป็นเพราะฉันนอนไม่เต็มอิ่มด้วยเมื่อคืน ถ้ายังไงอาจจะหายเป็นปกติก็ได้ถ้าคืนนี้รีบนอนน่ะค่ะ…”
เขายืนมองท่าทีของเธออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกวักมือเรียกฝูซิง “งั้นคืนนี้ให้ซิงซิงมานอนกับฉัน ส่วนเธอจะได้พักผ่อนให้เต็มอิ่ม”
ฝูซิงไม่มีคำว่ารีรอ เขารีบวิ่งเข้าหาหานซือฉีด้วยความตื่นเต้น “ได้เลย! หม่ามี๊ ดูแลตัวเองดีๆ ด้วยน๊า~”
ลึกๆ แล้วฝูเจิ้งเจิ้งกำลังตื่นเต้น แต่เธอก็แสร้งทำเป็นกังวล “ฝูซิงน่ะชอบเตะผ้าห่มทิ้งตอนดึกๆ แล้วก็ถ้าไม่มีใครอยู่ด้วยจะนอนไม่หลับ”
“เข้าใจแล้ว” รับปากเสร็จหานซือฉีก็ขึ้นห้องไปพร้อมกับฝูซิงในทันที
ฝูเจิ้งเจิ้งมองจนกระทั่งพวกเขาหายเข้าไปในประตูห้องของหานซือฉี เธอเองก็ปลีกตัวกลับไปยังห้องของตนตามจุดประสงค์ที่ได้วางไว้
เมื่อไหร่ที่ทั้งสองพ่อลูกห้องข้างๆ หลับไปแล้ว เธอก็จะสามารถไต่ออกไปทางระเบียงห้องได้ แต่ครั้งนี้ต้องระวัง ต้องห้ามทำให้เกิดเสียงใดๆ เด็ดขาดเพราะหานซือฉีอยู่ที่นี่ด้วย
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ฝูเจิ้งเจิ้งก็มั่นใจแล้วว่าห้องข้างๆ นั้นสงบมานานพอที่จะตีความว่าพวกเขาหลับไปแล้วได้ เธอข่มความตื่นเต้นเอาไว้ ปิดไฟ และเปิดประตูระเบียงออกมา ในขณะที่เธอกำลังจะไต่ออกไปทางเสาต้นเดิม เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น
ตำรวจสาวจำต้องรีบปิดประตูกลับมาดังเดิมและหันกลับไปเปิดไฟก่อนจะเดินไปเปิดประตูห้อง
อย่างไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น อย่างที่คิดเลย หานซือฉีจริงๆ ด้วย
“ยังปวดท้องอยู่หรือเปล่า?”
น้ำเสียงของชายตรงหน้าที่ฟังดูสุภาพและอ่อนโยนนั้นทำเอาหัวใจของฝูเจิ้งเจิ้งพลอยอ่อนลงตามไปด้วย แต่เพราะเธอมีบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญมากๆ ต้องไปทำ ดังนั้นจึงไม่สามารถคุยกับเขานานๆ ได้ “ไม่ปวดแล้วค่ะ แต่คิดว่าคงต้องพักผ่อนต่อ”
“อาการนั่นน่าจะมาจากลำไส้อักเสบ ถ้ายังไงก็กินยาแก้อักเสบไว้ด้วยก็แล้วกัน” หานซือฉีเดินเข้ามาตรงๆ และหยิบแก้วมาเทน้ำให้
“ยาเองก็เป็นพิษต่อร่างกายเหมือนกันนะคะ ปกติฉันก็ไม่ได้เป็นพวกกินยาบ่อยด้วย แถมตอนนี้อาการเจ็บปวดก็หายไปแล้ว คิดว่าพักต่ออีกนิดหน่อยก็คงจะดีขึ้นเอง” เธอน่ะอยากให้เขาออกไปเร็วๆ เพื่อที่เธอจะได้ออกไปบ้างเหมือนกัน
“ไม่ต้องห่วง ฉันเพิ่งจะโทรถามหมอไป เธอกินยานี่ได้” หานซือฉีส่งยาให้พร้อมแก้วน้ำ
ท้ายสุดฝูเจิ้งเจิ้งก็ยอมกินยาแต่โดยดีพร้อมกระดกน้ำตามไปอีกแก้วหนึ่ง เธอแหงนหน้าให้เขาเห็นว่าเธอกลืนยาลงไปหมดแล้ว “ฉันกินแล้วนะคะ เพราะงั้นขอตัวไปนอน ถ้ายังไงก็ฝากดูแลฝูซิงสำหรับคืนนี้ด้วยก็แล้วกัน”
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหา พักผ่อนเยอะๆ ถ้ามีอะไรก็เรียกฉันได้เลย” พูดจบหานซือฉีก็ลุกขึ้นและออกจากห้องของเธอไป
หลังจากที่ออกไปแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็ล็อกประตูอีกครั้ง เธอรอจนทุกสิ่งเงียบลงไปจึงค่อยๆ ย่องออกไปที่ระเบียง หญิงสาวเหลือบมองไปยังห้องที่มืดสนิทของหานซือฉีก่อนจะค่อยๆ ไต่ลงไปตามเสา เมื่อเห็นว่าข้างล่างทางสะดวก เธอก็ยกมือขึ้นภาวนาขอให้ทุกอย่างราบรื่นก่อนจะรีบวิ่งออกไปด้านนอก
ในเวลานั้น ความระแวดระวังของเธอมันเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากแล้ว หลังจากที่มั่นใจแล้วว่าไม่มีใครตามเธอมาแน่ๆ ฝูเจิ้งเจิ้งก็ยื่นมือไปโบกแท็กซี่
ไม่นานนักรถแท็กซี่ก็เลี้ยวเข้ามาและพาฝูเจิ้งเจิ้งไปยังถนนที่โรงน้ำชาฉีซิงตั้งอยู่ได้ ทันทีที่เธอก้าวลงจากรถ เธอก็เห็นว่าลิ่วหลินนั้นกำลังยืนรอตนอยู่ที่หน้าโรงน้ำชาอยู่แล้ว และเมื่อลิ่วหลินเห็นเธอวิ่งเข้าไปหา เขาก็พาเธอไปยังใต้ต้นไม้ใกล้ๆ บริเวณนั้น
“ทำไมเธอมาดึกขนาดนี้เนี่ย? ฉันล่ะใจหายแทบแย่” ลิ่วหลินพูดขณะที่ส่งกระดาษที่ถูกพับแล้วพับอีกให้อีกฝ่ายไปด้วย “นี่เป็นภาพของกุญแจที่ว่า เก็บมันไว้ให้ดีล่ะ”
ความตื่นเต้นของฝูเจิ้งเจิ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่ได้กระดาษแผ่นนั้นมา เธออยากจะเปิดมันดูซะเดี๋ยวนี้เลยแต่ลิ่วหลินก็หยุดไว้ก่อน “ไว้ค่อยเปิดตอนเธอกลับถึงบ้านแล้ว แถวนี้คนเยอะ อย่าให้ใครเห็นมันเด็ดขาด!”
ฝูเจิ้งเจิ้งคิดตามและเธอก็เห็นว่ามันเป็นเรื่องจริง ดังนั้นแล้วเธอจึงยอมเก็บกระดาษนี้ลงไปในกระเป๋าเสื้อก่อน
ลิ่วหลินหันมองไปรอบๆ ก่อนจะกระซิบ “ภาพนี้ต้องไม่มีบุคคลที่ 4 เห็นนะ!”
หญิงสาวหัวเราะด้วยความมั่นใจ “ไม่ต้องกังวลค่ะ ฉันรู้ดีว่าต้องทำอย่างไร”
“โอเค งั้นเธอกลับไปก่อน ฉันลางานให้แล้ว”
ครั้นเมื่อฝูเจิ้งเจิ้งเตรียมจะกลับ คุณนายหลี่ก็เดินออกมาจากโรงน้ำชาพร้อมทั้งหิ้วปีกเด็กสาวอีกคนหนึ่งออกมาด้วย เพียงแค่เห็นแว้บแรก ฝูเจิ้งเจิ้งก็จำได้เลยว่าเด็กผู้หญิงคนนี้เป็นเด็กเสิร์ฟภายในโรงน้ำชาแห่งนี้
ใบหน้าสวยจิ้มลิ้มของเธอนั้นกำลังซีดเผือด ไหนจะมีเหงื่อไหลซึมอย่างเห็นได้ชัด เมื่อร่างนั้นถูกยกผ่านฝูเจิ้งเจิ้งไป มันก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่าหญิงสาวคนนี้ดูอ่อนแรงไปทั้งตัว ทั้งเธอและลิ่วหลินไม่รอช้าที่จะเข้าไปช่วยประคองร่างนั้นไว้อีกแรง
การที่ได้ทั้งสองคนมาช่วย มันทำให้คุณนายหลี่เหมือนได้พบพระผู้มาโปรด เธอรีบพูดขึ้นมาด้วยความกังวล “อาลิ่ว หลี่อวิ๋นป่วย แต่แขกที่ร้านยังอยู่กันเต็มเลย นายช่วยพาหลี่อวิ๋นไปโรงพยาบาลทีนะ เดี๋ยวฉันจะกลับไปดูแลร้านแล้วก็จัดการปัญหายิบย่อยต่อ”
“โอ๊ะ ได้เลยครับ” ลิ่วหลินรีบรับตัวหลี่อวิ๋นมาและโบกแท็กซี่ในทันที
เมื่อทั้งสองหายลับไปแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งเองก็เตรียมจะไปเช่นกัน แต่เธอก็ถูกคุณนายหลี่หยุดไว้ก่อน “เจิ้งเจิ้ง ไหนๆ เธอก็อยู่ที่นี่แล้ว เธอช่วยเข้าไปทำหน้าที่แทนหลี่อวิ๋นหน่อยได้ไหม? พวกเรายุ่งกันมากๆ เลย”
ภาพจำของเมื่อวันก่อนมันยังคงติดตา แต่พลันเมื่อเห็นว่าคุณนายหลี่นั้นดูจะเป็นกังวลมากกว่า เธอก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เต็มปากเต็มคำ เพราะเอาเข้าจริง คุณนายหลี่เองก็ใจดีกับเธอไม่น้อยเลย ดังนั้น ท้ายสุดฝูเจิ้งเจิ้งก็เดินตามเธอเข้าไปในร้าน
หลังจากที่เปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว คุณนายหลี่ก็ส่งจานผลไม้ให้เธอ “เธอช่วยเอาผลไม้จานนี้ไปห้องหมายเลข 5 ทีนะเจิ้งเจิ้ง”
เธอพยักหน้าก่อนจะเดินตรงไปยังห้องหมายเลข 5 ตามคำบอก
ห้องหมายเลข 5 นี้เป็นห้องที่ใหญ่กว่าห้องอื่นๆ อยู่อย่างเห็นได้ชัด แถมยังมีเสียงเอะอะดังออกมานอกห้องอีกด้วย ผู้คนภายในนั้นแบ่งเป็นกลุ่มๆ บางคนก็เล่นไพ่ บางคนก็นั่งอยู่บนโซฟาและดูทีวี แต่ทุกๆ คนล้วนมีผู้หญิงอยู่ในอ้อมแขนกันหมด มือหนึ่งของพวกเขาบางคนก็กำลังล้วงเล่นสนุกไปกับอกฟูของสาวๆ หรือลูบไปตามเรียวขางามของพวกเธอ ยิ่งหญิงสาวเหล่านี้ไม่สามารถปฏิเสธได้ พวกเขาก็ยิ่งล้วงลึกขึ้นกว่าเดิม
พฤติกรรมเหล่านี้เปรียบเสมือนฝันร้ายของฝูเจิ้งเจิ้งที่เพิ่งเดินเข้ามาเป็นอย่างมาก เธอพยายามหลบตาเพื่อไม่เผลอไปสบตากับใครในห้องนี้
ทว่าในทันทีที่เธอเข้าไป สายตาของเหล่าชายฉกรรจ์ที่อยู่ด้านในก็ลุกโชนขึ้นด้วยไฟหื่น “โอ้ สมเป็นโรงน้ำชาฉีซิงจริงๆ มีสาวๆ ที่ยังบริสุทธ์ผุดผ่องให้จับจองเต็มไปหมดเลย ฮ่าๆๆๆ”
“ใช่เลย เฮ้ๆ แต่คนนี้ยังไม่เคยเห็นมาก่อน แบบนี้แสดงว่าเธอก็ยังซิงล่ะสิ!”
“คนสวย มาให้พี่จูจุ๊บหน่อยมา ว่าไง?”
ฝูเจิ้งเจิ้งแสร้งทำเป็นไม่ได้เห็นหรือได้ยินถ้อยคำเหล่านั้น เธอเพียงแค่ก้มลงไปวางจานผลไม้บนโต๊ะชา และเตรียมที่จะออกทันที แต่แล้วชายร่างสูงคนหนึ่งก็จับตัวเธอไว้ได้ “จะรีบไปไหนเล่าคนดี? มาสนุกกับฉันไหมล่ะ?”
“ปล่อยฉันออกไปนะคะ! ฉันจะออกจากที่นี่!” เธอรีบปฏิเสธด้วยเสียงหนักแน่น
“โฮ่ ยัยนี่ร้อนแรงใช้ได้เลยว่ะ ดี อย่างชอบเลย!”
เสียงภายในห้องเริ่มเอะอะโวยวายมากขึ้นแล้ว
ในขณะที่ฝูเจิ้งเจิ้งกัดฟันและเตรียมจะโต้กลับนั้นเอง ประตูก็ถูกถีบจนเปิดออก พร้อมกับชายคนหนึ่งที่เดินเข้ามาด้วยท่าทีเย้ยหยัน “จริงเหรอ? ฉันเองก็ชอบเหมือนกัน!”
——————————————————————————————————-
คุยกับผู้แปล
หานซือฉีที่อยู่ในห้องมืดที่บ้าน : เหลาไม้เรียว เตรียมฟาดคนป่วยเก๊ที่ผิดสัญญาพร้อมๆ กันหลายๆ ข้อ
-ทีมงานผู้แปล Enjoybook-