ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 62 ฉันจะทำอะไรมันก็เรื่องของฉัน!
เมื่อฝูเจิ้งเจิ้งแหงนหน้ามองตามเสียง เธอก็ต้องช็อก เพราะอีกฝ่ายที่เข้ามาก็คือ หานซือฉี!
พระเจ้า! ทำไมเขาถึงมาที่แบบนี้ได้น่ะ!?
สมองของเธอเหมือนมีเสียงระเบิดดังกึกก้องไปหมด ปัญหาทุกอย่างถาโถมเข้ามาพร้อมกันขนาดนี้เหงื่อเย็นๆ ไหลซึมออกมาผ่านผิวเนียนสวยนั้น
“แกเป็นใคร? ออกไปเลยไป!” ชายคนหนึ่งที่สวมชุดดำตะโกนออกมา
“ก็ออกไปเองสิวะ!” หานซือฉีขมวดคิ้วเช่นเดียวกับฟันที่ขบกันแน่น แววตาคมกริบของเขาจ้องกลับไปยังชายชุดดำคนนั้นราวกับจะกินเลือดกินเนื้อกันให้ได้
ทุกๆ คนภายในห้องต่างมองหน้ากันเอง พวกเขาไม่คาดคิดเลยว่าจะมีแขกเช่นนี้มาเยือนถึงถิ่น
“บอกให้ออกไป!” หานซือฉีย้ำอีกครั้งด้วยเสียงที่ดังหนักแน่น และคราวนี้พวกเขาทั้งหมดต่างก็ขาอ่อนหมดเรี่ยวแรงกันถ้วนหน้า
ในตอนนั้นเอง โจวปิงก็เดินเข้ามาตามหลังหานซือฉี “คุณหานบอกให้ออกไปแล้ว พวกแกยังกล้าเสนอหน้าอยู่ในนี้อีกเหรอ? ไม่รู้หรือไงว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไงน่ะฮะ?”
ทันทีที่คนเหล่านี้ได้ยินคำว่า “คุณหาน” พวกเขาต่างก็พากันวิ่งพล่านกันจนออกจากห้องไปกันหมด
ท้ายที่สุด ภายในห้องที่กว้างขวางนั้นก็เหลือเพียงคน 3 คน นั่นคือ หานซือฉี ฝูเจิ้งเจิ้ง และโจวปิง
ครั้นเมื่อโจวปิงเตรียมจะพูดอะไรสักอย่าง คำว่า “ออกไป” ของหานซือฉีก่อนหน้ามันก็ทำให้เขาต้องหยุดปากไปก่อนและเดินออกไปจากห้องนี้อย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน
ฝูเจิ้งโจ้งก้มหัวให้อีกฝ่ายและเตรียมจะเนียนออกไปพร้อมๆ กับโจวปิงด้วยความรู้สึกผิด ทว่าตัวเธอกลับถูกมือหนาคว้าไว้เสียก่อน
หญิงสาวค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามอง สายตาที่เปี่ยมด้วยความกลัวของเธอต้องสบกับดวงตาที่กำลังเปี่ยมไปด้วยไฟโกรธของเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ฝูเจิ้งเจิ้ง เธอแอบหนีออกมาจากบ้านกลางดึกเพื่อมาเดตกับผู้ชายงั้นเหรอ?”
ตลอดมาเธอเข้าใจว่าเขานั้นไม่รู้เรื่องที่เธอย่องเบาออกจากบ้านมาโดยตลอด
หากไม่ใช่เพราะคนที่เขาส่งมาแอบสังเกตการณ์เผอิญเจอว่าเธอไม่อยู่บ้านยามค่ำคืนเมื่อวาน เป็นไปได้เหรอที่คนอย่างหานซือฉีจะกลับมาประกบฝูเจิ้งเจิ้งด้วยตัวเองเช่นนี้?
การโดนไล่บี้ให้จนมุมเช่นนี้ มันทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งที่แต่เดิมหวาดหวั่นอยู่แล้วต้องรู้สึกหงุดหงิดไปกับคำพูดที่เขาพูดออกมา นี่เธอเป็นผู้หญิงแบบนั้นในสายตาเขางั้นเหรอ?
ร่างเล็กสะบัดมือออกจากอีกฝ่ายและเริ่มโต้เถียงกลับ “คุณหานคิดว่าผู้หญิงทุกคนต้องมีความสุขกับการได้จีบคนนู้นทีคนนี้ทีไม่ซ้ำหน้าเหมือนคุณเหรอคะ? นอกจากนี้แล้วฉันจะเดตกับใครหรือคบหากับใครมันเกี่ยวอะไรกับคุณหานด้วยเล่า!?”
“ดี ดีมาก ดูเหมือนฉันจะดูแลเธอไม่ดีพอ เธอถึงต้องย่องออกมาหาเหยื่อใหม่ทุกคืนๆ แบบนี้สินะ?”
“ผู้หญิงที่คุณหานต้องไปดูแลให้ดีน่ะ คือคู่หมั้นของคุณหาน! ไม่ใช่คนนอกแบบฉัน!”
ทันทีที่พูดออกไปเช่นนั้น เธอก็รู้สึกได้ทันทีว่าสีหน้าของหานซือฉีดูจะไม่สบอารมณ์มากขึ้น แถมยังหลบตาเธอด้วย ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกเสียใจที่พูดออกไปเช่นนั้น เธอเริ่มสังเกตได้ว่าหานซือฉีจะมีอาการแบบนี้ก็ต่อเมื่อเธอพูดถึง “คู่หมั้น” ไม่ว่าจะด้วยบริบทไหนก็ตาม เขาดูจะควบคุมตนเองไม่ได้เวลาได้ยินเช่นนี้
และชัดเจนที่สุด จากแต่เดิมที่หานซือฉีเพียงแค่จับเธอไว้ ตอนนี้เขาผลักหญิงสาวลงไปบนโซฟาและตามมาใช้ร่างสูงของตนกดเธอไว้ไม่ให้ขยับออกไปไหนได้ “คนนอกงั้นเหรอ? เธอน่ะเป็นผู้หญิงของฉันมาตลอดเพราะอยู่ในบ้านของฉัน เห็นทีฉันคงจะต้องทำให้เธอรู้ถึงความหมายของมันสักทีสินะ”
ฝูเจิ้งเจิ้งต้องช็อกอีกรอบกับการกระทำของเขา หญิงสาวรีบดิ้นรน ใช้เรี่ยวแรงที่มีอยู่น้อยนิดหลีกหนีจากคนตรงหน้า “จะทำอะไรน่ะ หานซือฉี! ออกไปนะ!”
อย่างไรก็ตาม แรงที่กดและตรึงเธอไว้มันหนักเกินกว่าแรงของหญิงสาวตัวเล็กๆ เพียงคนเดียวจะต่อต้านได้ เขาหายใจแรงก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฉันจะทำอะไรงั้นเหรอ? เดี๋ยวก็รู้”
“หานซือฉี! ปล่อยฉัน!” เธอพยายามทำทุกอย่าง ไม่ว่าจะบิดตัวไปมา เตะขาของเขา หรือแม้จะใช้แรงทั้งหมดเพื่อเหวี่ยงเขาออกไป แต่ไม่ว่าอย่างไร แรงที่โถมลงมายังร่างของเธอก็ไม่ต่างอะไรกับหินก้อนใหญ่ที่มีชีวิตเลย เสี้ยววินาทีนั้น เขาก้มหน้าลงมาและประกบจูบเข้ากับริมฝีปากของเธอได้ในที่สุด “อื้อ”
ใบหน้างามนั้นพยายามส่ายหนีเพื่อให้รอดพ้นจากริมฝีปากร้ายกาจของชายตรงหน้า แต่อีกฝ่ายก็ไม่ปล่อยให้เธอได้ทำตามใจหวัง เขาหันตามไปเพื่อมอบจุมพิตที่ร้อนแรงให้กับเธอ
เธอทั้งอายและโกรธกับการกระทำที่อุกอาจของเขามาก ขณะที่ยังพยายามออกแรงดิ้นเร่าให้หลุดจากอาณัติของหานซือฉี แม้จะรู้ว่ามันคือการฝืนที่มากเกินไป แต่ยังไงฝูเจิ้งเจิ้งก็จะไม่ยอมให้เขารังแกเธอเช่นนี้ แววตาที่จ้องมองไปยังชายหนุ่มนั้นแฝงไปด้วยความเกลียดชังอยู่จนล้น
“ถ้านายยังไม่ปล่อยฉันล่ะก็ ฉันจะตะโกนเรียกให้คนอื่นช่วยจริงๆ ด้วย!” ฝูเจิ้งเจิ้งเอ่ยขึ้นด้วยความโกรธผ่านน้ำเสียง
หานซือฉีหยุดการกระทำของเขาไปครู่หนึ่ง ก่อนจะแสยะยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย “เอาสิ ให้คนข้างนอกได้ยินเสียงของเธอดังๆ ไปเลย บางทียิ่งเธอร้องดังเท่าไหร่ พวกเขาอาจจะยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้นก็ได้นะ”
เมื่อเห็นว่าวิธีของเธอมันไม่ได้ผล ฝูเจิ้งเจิ้งจึงต่อว่าคนตัวโตอย่างเหลืออด “นายมันหน้าไม่อาย! หน้าด้าน! ไร้ยางอายที่สุด หานซือฉี!”
“ใช่! ฉันมันไร้ยางอาย เพราะงั้นฉันก็จะทำในสิ่งที่พวกไร้ยางอายทำกันด้วย!”
แววตาที่จ้องมองมายังฝูเจิ้งเจิ้งนั้นดูบ้าระห่ำมากขึ้นไปเรื่อยๆ ดวงตาของเขาแดงก่ำจนเธอหวาดกลัว ไม่เคยคาดคิดเลยว่าหานซือฉีที่ปกติแสนจะเยือกเย็นนั้น พอถึงจุดหนึ่งจะน่ากลัวได้ถึงเพียงนี้ นี่มัน…ราวกับเป็นคนละคนเลย
ฝูเจิ้งเจิ้งนั้นยังไม่รู้ว่าหานซือฉีเห็นเธอกับลิ่วหลินที่กำลัง “จ้องมองกันด้วยแววตาหวานหยาดเยิ้มซึ่งกันและกัน” ก่อนหน้านี้ นอกจากนั้น ตลอดทางจนกว่าจะมาถึงห้องนี้ เขาก็รับรู้ถึงบรรยากาศโรแมนติกที่ปกคลุมที่แห่งนี้อย่างหนาแน่นจนความอดทนมันขาดไม่เหลือชิ้นดีแล้วด้วย ยามที่ความหึงและความโกรธมันปะทุขึ้นมาพร้อมกัน เช่นนี้จะไม่ให้เขาสติแตกไปได้อย่างไร?
ในตอนนี้ถึงเธออยากจะร้องไห้เพียงใด แต่น้ำตาก็ไม่ยอมไหลออกมา เขาจับไหล่เธอและประคองให้ลุกมานั่งพิงโซฟาช้าๆ ด้วยความกลัวที่ยังไม่จางหายไป เธอก็ยังคงพยายามปัดแขนของอีกฝ่ายออกรวมถึงพยายามทุบตีไปที่หน้าอกของอีกฝ่ายอย่างรุนแรงด้วยสองมือของเธอ
หญิงสาวหันมองไปรอบๆ ตัวและพบว่ามันมีเก้าอี้วางอยู่ไม่ไกลจากเธอนัก มือข้างนึงก็ค่อยๆ เอื้อมไปและคว้าขาข้างหนึ่งของเก้าอี้ตัวดังกล่าวมาไว้ในมือ พร้อมที่จะยกและฟาดลงไปที่หัวของเขาในทันที
มันเป็นเพราะนายเริ่มก่อน เพราะนายเลือกทำแบบนี้ ดังนั้นก็จงรับผลกรรมของตัวเองซะเถอะ!
ในจังหวะที่ฝูเจิ้งเจิ้งเตรียมจะยกเก้าอี้ขึ้นฟาดพร้อมๆ กับที่หานซือฉีที่กำลังรุกไล้เธอด้วยความบ้าคลั่ง เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นมา
มันเป็นสายเรียกเข้าจากโทรศัพท์บ้านที่ติดตั้งไว้ ณ ที่พักส่วนตัวของเขาที่ให้ฝูเจิ้งเจิ้งอาศัยอยู่นั่นแหละ!
ดังนั้นแล้วเสียงเรียกเข้าจึงถูกตั้งไว้แบบพิเศษเพื่อให้รับรู้ได้ทันทีว่าเป็นสายจากที่ไหนแม้จะไม่ได้มองจอ
หานซือฉีคลายมือที่จับหญิงสาวไว้และรีบมาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับ
ทางฝูเจิ้งเจิ้งเองก็อาศัยจังหวะนี้รีบผลักเขาออกไป เธอพยายามจับเสื้อผ้าให้ไม่หลุดรุ่ยก่อนจะรีบก้มหน้าก้มตาวิ่งออกจากที่แห่งนี้
แต่ทั้งๆ ที่คิดว่าด้านนอกนั้นจะต้องมีคนอยู่เต็มไปหมดแท้ๆ มันกลับกลายเป็นว่าไม่มีใครอยู่เลยที่ด้านนอกนี้ ความเงียบงันเข้าครอบงำจนโถงทางเดินยังดูน่ากลัว แม้จะสงสัยว่าทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ แต่เธอก็ไม่มีเวลามาคิดอะไรทั้งนั้น วินาทีนี้ เธอต้องวิ่งออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
ครั้นเมื่อตนวิ่งมาจนถึงประตู คุณนายหลี่ผู้ที่ถือกระเป๋าและเสื้อโค้ทก็เข้ามาจับแขนของเธอไว้ก่อนจะพูดกับเธอด้วยความเห็นอกเห็นใจ “เจิ้งเจิ้ง นี่กระเป๋าเธอ แล้วก็สวมเสื้อโค้ทนี่ด้วย เร็วๆ เลย”
ทันทีที่เธอตระหนักได้ว่าชุดยูนิฟอร์มของตัวเองมันถูกฉีกโดยฝีมือของหานซือฉี เธอก็รีบคว้าเสื้อโค้ทมาสวมทันที พร้อมกับรับเอากระเป๋าของตนก่อนจะวิ่งออกจากร้านไปอย่างเร่งรีบด้วย
ในขณะเดียวกัน เมื่อหานซือฉีรับโทรศัพท์ เสียงจากปลายสายก็คือฝูซิงที่กำลังร้องไห้อยู่ “ป๊ะป๋า หม่ามี๊ อยู่ไหนกันหมด? ฝูซิงกลัว!”
“ไม่ต้องกลัวนะซิงซิง ป๊ะป๋าอยู่นี่แล้ว”
เมื่อได้ยินเสียงหานซือฉี ฝูซิงก็ร้องไห้หนักกว่าเดิม “ป๊ะป๋า รีบกลับบ้านเลย หม่ามี๊หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ฝูซิงกลัวววว ฮืออออ!”
จากนั้นผู้ที่มาคว้าโทรศัพท์ไปก็คือเฉินเฉี่ยวหลาน “ท่านซือฉีคะ รีบกลับมาเถอะค่ะ ซิงซิงหวาดกลัวใหญ่แล้ว”
หลังวางโทรศัพท์ หานซือฉีก็จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้ววิ่งออกจากห้องไปด้วยความร้อนใจด้วยเช่นกัน
เขาคว้าตัวฝูเจิ้งเจิ้งได้ที่ด้านนอกร้านไม่ไกลนัก ชายหนุ่มพาเธอขึ้นรถไปโดยไม่เปิดโอกาสให้พูดอะไรทั้งสิ้น แต่เพราะคำพูดต่อจากนั้นของเขา มันทำให้อีกฝ่ายช็อกจนพูดไม่ออกด้วย เพราะงั้นฝูเจิ้งเจิ้งจึงไม่กล้าจะขัดขืนอะไร “มีบางอย่างเกิดขึ้นกับซิงซิง”
ใจของฝูเจิ้งเจิ้งมันดิ่งฮวบไปในทันที เช่นเดียวกับน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปจากเดิม “เกิดอะไรขึ้นกับฝูซิงงั้นเหรอคะ?”
หานซือฉีไม่ได้ตอบอะไรเธอกลับไป อันที่จริงตัวเขาก็ยังไม่รู้ว่าจะตอบอะไรดีเหมือนกัน รถที่ขับอยู่นั้นถูกเหยียบคันเร่งราวกับไม่คิดจะเบรคอีกเป็นครั้งที่สองเพื่อมุ่งตรงกลับบ้านไปให้เร็วที่สุด
ทันทีที่รถเข้าสู่เขตบ้าน พวกเขาก็ได้ยินเสียงร้องของฝูซิงดังออกมา “ป๊ะป๋า หม่ามี๊ เมื่อไหร่จะกลับมา ฝูซิงกลัว! ฮือออออออออออ”
ตามด้วยเสียงของเฉินเฉี่ยวหลานที่กำลังปลอบเขาอยู่ “ไม่ต้องกลัวนะลูก ย่าอยู่นี้แล้ว ไม่ต้องกลัว ซิงซิงเป็นเด็กกล้าหาญนะจ๊ะ”
รถของหานซือฉีจอดคาไว้กลางสวนด้านหน้า เมื่อรถหยุด ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบลงไปจากรถและตรงเข้าบ้านไปอย่างรวดเร็ว เธอเห็นฝูซิงกำลังร้องไห้จริงๆ อยู่ด้านหลังประตูหลังจากเปิดประตูเข้าไปแล้ว หญิงสาวไม่รอช้าและเข้าไปโอบกอดเขาเอาไว้แน่นๆ “เกิดอะไรขึ้นเหรอคะป้าเฉิน? ไม่ต้องกลัวนะฝูซิง หม่ามี๊อยู่นี่แล้ว”
ด้านหลังของฝูเจิ้งเจิ้ง หานซือฉีก็รีบตามเธอเข้ามาติดๆ เขามองไปยังเฉินเฉี่ยวหลานและถามเช่นเดียวกัน “เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอครับ?”
เฉินเฉี่ยวหลานปาดเหงื่อก่อนจะเริ่มอธิบาย “ดูเหมือนว่าจะมีคฤหาสน์ละแวกนี้ถูกโจรขึ้นบ้านน่ะค่ะ พวกตำรวจก็เลยมากัน เสียงของไซเรนรถตำรวจปลุกซิงซิงตื่นกลางดึก เขาเลยขึ้นไปชั้นบนเพื่อจะหาท่านซือฉี ทว่าเพราะท่านซือฉีไม่อยู่ เขาก็เลยร้องไห้ไม่หยุดแล้วรีบโทรหาให้ท่านซือฉีกลับมานั่นแหละค่ะ”
เมื่อฝูซิงเห็นว่าทั้งพ่อและแม่ของตนกลับมาแล้ว อาการร้องไห้ก็เริ่มลดระดับลงไปเหลือเพียงสะอึกสะอื้นเท่านั้น “ป๊ะป๋ากับหม่ามี๊ไปไหนกันมา? ทำไมถึงทิ้งฝูซิงเอาไว้? ฝูซิงกลัวมากเลยนะ”
ฝูเจิ้งเจิ้งค่อยผ่อนคลายขึ้นมาหลังจากได้ยินเช่นนั้น เธอทำใจให้สงบลงแล้วจึงอธิบายเพิ่มด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หม่ามี๊ออกไปทำธุระมาแปปนึงน่ะจ้ะ”
“ป๊ะป๋าก็ออกไปตามหม่ามี๊กลับมา”
ทั้งสองเสียงเอ่ยขึ้นมาพร้อมกัน ฝูซิงจ้องมองไปยังฝูเจิ้งเจิ้งด้วยความไม่เชื่อซะทีเดียวก่อนจะผลักเธอออกไป “ฝูซิงไม่อยากให้หม่ามี๊กอดแล้ว หม่ามี๊นิสัยไม่ดี หม่ามี๊ทิ้งฝูซิงเอาไว้ข้างหลัง”
“ฝูซิง หม่ามี๊ไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้นนะ…เอ่อ… เอาเป็นว่าหม่ามี๊จะไม่ทำให้รู้สึกแบบนั้นอีก โอเคไหม? มานี่เร็ว ให้หม่ามี๊กอดนะ”
ทว่าฝูซิงก็ทำเป็นไม่สนใจเธอ ในขณะที่หานซือฉีค่อยๆ เดินเข้าไปและเป็นฝ่ายกอดและปลอบเขาแทน “เด็กดี งั้นป๊ะป๋าจะช่วยดูแลซิงซิงเอง ป๊ะป๋าจะไม่ทิ้งซิงซิงไว้อย่างแน่นอน”
“โอเค ป๊ะป๋ายังดีกว่าเยอะ” ฝูซิงหันมองตามเสียงด้วยแก้มที่กำลังมุ่ย สีหน้าของเขาเหมือนเตรียมจะร้องไห้อีกรอบ
“เด็กดี ไม่ร้องนะ เดี๋ยวป๊ะป๋าพาไปนอนเหมือนเดิม ดีไหม?”
“ดี~”
เห็นดังนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็รู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมา เธอจ้องมองหานซือฉีด้วยความเกลียดชังและอยากจะคว้าตัวลูกชายของเธอคืนมา
แต่อย่างไรก็ตาม ฝูซิงต่างหากที่เป็นฝ่ายปัดมือเธอออกพร้อมทั้งตะโกนก้องด้วย “ไม่ต้องมาจับตัวฝูซิงเลย! ฝูซิงไม่อยากนอนกับหม่ามี๊แล้ว!”
“ฝูซิง!” ทั้งสองพ่อลูกพากันเดินขึ้นชั้นบนไป ทิ้งให้ฝูเจิ้งเจิ้งมองตามด้วยแววตาเศร้าสร้อย เธอไม่คาดคิดเลยว่าลูกชายของตนจะโกรธได้ขนาดนี้เพราะรู้ว่าเธอหนีออกจากบ้านยามดึก
เฉินเฉี่ยวหลานที่ยืนอยู่ด้านข้างส่งขวดนมของฝูซิงให้ฝูเจิ้งเจิ้งและพูดปลอบเธอ “คุณเจิ้งกลับมาก็ดีแล้วล่ะค่ะ ซิงซิงน่ะยังเป็นเด็ก อารมณ์เขาขึ้นๆ ลงๆ บ้างเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้แกก็ลืม”
มองไปยังนมในขวดที่ถูกเตรียมเอาไว้ ฝูเจิ้งเจิ้งก็หันไปยิ้มเชิงขอบคุณให้เฉินเฉี่ยวหลานก่อนจะรีบขึ้นไปยังห้องของหานซือฉีอย่างรวดเร็ว
“ฝูซิง หม่ามี๊เอานมมาให้จ้ะ” ฝูเจิ้งเจิ้งเดินเข้าไปในห้องนั้นและยิ้มให้ลูกชายของตนด้วย น้ำเสียงที่ใช้พูดเองก็อ่อนหวานราวน้ำผึ้งเดือนห้าก็มิปาน
อย่างไรก็ตามฝูซิงที่นั่งอยู่บนเตียงกลับหันหน้าหนีไม่สนใจเธอเสียได้
ใกล้ๆ ฝูซิงนั้น มีหานซือฉีกำลังยืนทำหน้าทำตาภูมิอกภูมิใจในตนเองอยู่ มันทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งโกรธขึ้นมา แต่เธอก็ยังแสร้งยิ้มสดใสขณะเดินไปหาฝูซิงที่เตียงและพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงหวานนุ่มดังเดิม “ฝูซิง ดื่มนมหน่อยนะ ลูกจะได้หลับสบายไง หรือว่าอยากให้หม่ามี๊ร้องเพลงกล่อมด้วยดีไหมน้า~?”
เด็กน้อยคว้าแก้วนมมาแต่ยังคงไม่มองหน้าเธอ “ฝูซิงไม่อยากฟังหม่ามี๊ร้องเพลงกล่อมแล้ว ป๊ะป๋าจะเป็นคนส่งฝูซิงเข้านอนเอง”
ได้ยินแบบนั้นหานซือฉีก็รีบลงมานั่งข้างๆ ฝูซิงและช่วยให้เขากินนมดีๆ อย่างรวดเร็ว มือหนึ่งก็คอยลูบหลังและเล่านิทานให้เจ้าตัวเล็กฟังไปด้วย
ฝูเจิ้งเจิ้งที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักก็ได้เพียงแค่มองลูกชายของตนด้วยความรู้สึกผิดบนใบหน้า
การได้โดนโอ๋จากหานซือฉีเช่นนี้มันทำให้ฝูซิงรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก เพราะงั้นเขาจึงว่านอนสอนง่ายและนอนหลับลงไปช้าๆ
หญิงสาวยืนรอจนกระทั่งเห็นว่าลูกชายของตนหลับไปแล้วจึงเตรียมจะเข้าไปช่วยให้เขาลงไปนอนกับเตียงดีๆ ทว่าหานซือฉีกลับปัดมือเธอออกและเป็นฝ่ายอุ้มฝูซิงไปนอนดีๆ แทน เขาลุกออกไปล้างหน้าล้างตาให้เรียบร้อยก่อนจะกลับมานอนข้างๆ ฝูซิงพร้อมกับปิดไฟราวกับไม่มีฝูเจิ้งเจิ้งอยู่ในห้องนี้
ท้ายสุดแล้วฝูเจิ้งเจิ้งก็ยอมกลับห้องของตนไปด้วยความเศร้าและโกรธพร้อมๆ กัน
เธอนั่งลงไปที่เตียงอยู่พักใหญ่ก่อนจะถอดเสื้อโค้ทออก ชุดยูนิฟอร์มร้านที่ขาดไปแทบทั้งชุดนั้นหวนให้เห็นภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ได้เสมอเพียงแค่ได้มอง เช่นเดียวกับความขมขื่นที่ไม่สามารถลืมเลือนได้
หานซือฉีมองเธอเป็นอะไรกันแน่? กระต่ายน้อยที่ต้องเก็บตัวอยู่ในบ้านอย่างเดียวเหรอ?
จริงๆ ตอนนั้นน่าจะจับเก้าอี้ฟาดหัวไปสักทีเพื่อสั่งสอนให้รู้ว่าอย่ามาดูถูกเธอให้มากซะก็ดี!
ชุดยูนิฟอร์มที่ขาดวิ่นถูกถอดออกด้วยความโกรธ ทว่าตอนนั้นเองเธอก็สัมผัสกับแผ่นกระดาษที่ถูกเก็บไว้ในกระเป๋าของชุดอีกทีหนึ่ง ฝูเจิ้งเจิ้งตระหนักได้ทันทีถึงเหตุผลที่ทำให้เธอต้องแอบหนีออกจากบ้านยามค่ำคืนจนเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เธอข่มความตื่นเต้นเอาไว้ก่อนจะหยิบกระดาษแผ่นนั้นออกมาและคลี่ดูอย่างระมัดระวัง
ในแผ่นกระดาษที่พับมานั้นไม่ได้มีเพียงแผ่นเดียว ที่เห็นเหมือนเป็นกระดาษพับแท้จริงคือซองกระดาษเล็กๆ ที่แกะซองแรกออกก็ยังเจอซองด้านในอีกร่วม 3 ชั้นเลยจึงจะเจอกระดาษที่ซ่อนอยู่ด้านในสุดอีกที
แม้ภาพที่ถูกซ่อนไว้ด้านในสุดนั้นจะไม่ใช่ภาพที่สวยอะไร หากแต่มันก็แสดงให้เห็นรูปแบบของกุญแจที่ว่านั้นได้อย่างชัดเจน
ฝูเจิ้งเจิ้งถึงกับช็อกเมื่อเธอเห็นรูปทรงของกุญแจนี่ชัดๆ
ป-เป็นไปไม่ได้!?
————————————————————————————————————–
คุยกับผู้แปล
ถ้าเฉลยมาเป็นกุญแจบ้านหลังเก่าที่ไหม้ไปพร้อมบ้านแล้วนี่ฮาเลยนะ ปรับอารมณ์ไม่ทัน