ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 63 สืบหาข้อมูลที่รีสอร์ทฉืออิ๋งลี่หยาง
บทที่ 63 สืบหาข้อมูลที่รีสอร์ทฉืออิ๋งลี่หยาง
นี่มัน…จี้รูปหัวใจที่เจอพร้อมสร้อยเมื่อตอนนั้นเผอิญเก็บได้นี่นา?
ของพรรค์นี้มันกลายเป็นกุญแจไปได้ยังไงกันน่ะ?
ฝูเจิ้งเจิ้งนวดขมับตนเองอยู่หลายต่อหลายครั้ง เธอหลับตาและพยายามนึกถึงเหตุการณ์เมื่อ 6 ปีก่อนขึ้นมา
คืนนั้นเป็นคืนที่ดึกมากแล้ว เธอพยายามวิ่งเพื่อหาโรงแรมสำหรับค้างคืนนั้น ระหว่างนั้นก็เผลอชนเข้ากับชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งที่วิ่งอย่างรีบร้อยด้วยเช่นกัน หลังจากที่ชายคนนั้นไปแล้ว เธอก็พบสร้อยคอเส้นหนึ่งร่วงอยู่บนพื้น เพียงแค่เห็นก็เดาได้เลยว่าต้องเป็นสร้อยของชายคนนั้นที่ทำร่วงไว้แน่ๆ ฝูเจิ้งเจิ้งจึงหยิบมันขึ้นมาและไล่ตามเขาไปจนกระทั่งสุดปลายทางของถนน ภาพที่รอเธออยู่ ณ ที่ปลายทางนั้นมันทำให้เธอหวาดกลัวราวกับกำลังเผชิญหน้ากับความตายด้วยตนเอง นั่นจึงทำให้เธอรีบหันหลังแล้ววิ่งหนีแบบไม่คิดชีวิตทันที!
นอกจากนั้นเธอยังจำได้อีกว่า เมื่อตอนที่ออกมาจากบ้านของเหนียนซี่แล้ว ครั้งที่ถูกลูกน้องของหลี่หมิงจับตัวไป คนเหล่านั้นก็ค้นตัวเธออย่างละเอียดแถมยังขู่ให้เธอส่งของสิ่งนั้นคืนไปอีก ความกลัวในเหตุการณ์ครั้งนั้นมันทำให้หญิงแกร่งแบบเธอถึงกับทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน ในหัวมันตื้อไปหมด ไม่รู้แม้กระทั่งคนพวกนั้นพูดว่าอะไร สมองของฝูเจิ้งเจิ้งไม่รับรู้อะไรทั้งนั้นแม้พวกคนตรงหน้าจะตะโกนใส่เธอขนาดไหน สิ่งเดียวที่คิดออก นั่นก็คือ คนพวกนี้จะต้องฆ่าเธอแน่ๆ!
พระเจ้า นี่ฉันเข้าใจผิดมาตลอดหลายปีเลยเหรอ? ฉันคิดว่าพวกเขาพยายามจะฆ่าฉันมาโดยตลอด แต่แท้จริงแล้วพวกเขาก็แค่ต้องการสร้อยคอนั่นคืนเท่านั้น…
สร้อยคอ…กุญแจ…
ฝูเจิ้งเจิ้งทบทวนคีย์เวิร์ดนั้นซ้ำไปซ้ำมา
เหนียนซี่!
ทันใดนั้นร่างบางก็ดีดตัวพรวดขึ้นมาทันที
ตั้งแต่ออกจากบ้านเหนียนซี่แล้วโดนไล่ล่ามาจนถึงที่จีหมู่เซี่ยนช่วยชีวิตเธอไว้ได้และเป็นพยานให้คดีหลี่หมิง เธอลืมไปเลยเกี่ยวกับเรื่องสร้อยคอนั่น
“อาฝู ขอดูสร้อยนี่หน่อยได้ไหม?” เสียงทุ้มลึกของชายหนุ่มเอ่ยขึ้นกับเธอ พร้อมกับจ้องมองไปที่สร้อยเส้นนั้น
“อื้อ เอาสิ ฉันเจอมันระหว่างทางน่ะ”
“อะไรที่เธอเจอมันต้องเป็นของเธอนะ”
“งั้นฉันยกให้ นายจะใส่มันก็ได้นะถ้าชอบ”
“งั้นเหรอ”
ภาพของเหนียนซี่ที่กำลังสวมสร้อยคอที่ว่านั่นด้วยสีหน้ามีความสุขมันปรากฏขึ้นตรงหน้าฝูเจิ้งเจิ้งอีกครั้งหนึ่ง
ในตอนนั้น เธอยังไม่ได้ใช้ชื่อ ฝูเจิ้งเจิ้ง เสียด้วยซ้ำ ยังคงเป็น เจิ้นฝู อยู่
มีเหตุผล 2 ข้อที่ทำให้เธอจำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อและนามสกุล ข้อแรกคือเธอโดนขับไล่ออกจากตระกูล ทำให้พวกเขาไม่ยอมรับให้เธอใช้สกุล “เจิ้น” ในชื่อ นั่นเพราะการที่เธอท้องก่อนแต่งนั้นคือเป็นการทำให้ตระกูลเสื่อมเสียชื่อเสียง และพวกเขาทั้งหมดเองก็ปฏิเสธเด็กที่จะเกิดมาอีกด้วย อย่างที่สอง พี่ชายของเธอนั้นกลัวว่าตัวเธอจะถูกต้นตระกูลตามล่า เพราะงั้นเลยลาออกจากโรงเรียนรวมไปถึงลบประวัติต่างๆ ก่อนหน้าให้จนหมด และพาเธอมาสอบเข้ามหาลัยด้วยชื่ออื่นแทน
ถึงแม้ว่าตอนนี้จะยังไม่รู้ว่าหลี่เสี่ยวเมิ่งนั้นกลับมาที่เมือง B เพราะกุญแจหรือเปล่า แต่อย่างน้อยๆ ก็รู้แล้วว่าโจวปิงกลับมาเพราะกุญแจแน่ๆ ในเมื่อคนเหล่านี้ยังคงหากุญแจอยู่ แสดงว่าพวกเขาเองก็ยังไม่รู้ว่ากุญแจอยู่ไหนเหมือนกัน
เหนียนซี่…
มันจะเป็นไปได้ไหมนะ ว่าถ้าหากเธอหาตัวเหนียนซี่เจอ เธอก็จะได้สร้อยคอที่เป็นกุญแจสำหรับเปิดห้องลับนั้นมาด้วย?
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ขนาดเธอใช้เวลาในการหาเหนียนซี่มาถึง 6 ปี เธอยังไม่ได้ข่าวคราวของเขาเลย อย่างกับว่าหลังจากที่เราพรากจากกัน เหนียนซี่ก็หายไปจากโลกนี้แล้วเสียอย่างนั้นแหละ
พลันเมื่อความคิดจบลงที่ตรงนั้น ความเศร้าก่อตัวขึ้นมาในใจของฝูเจิ้งเจิ้งทันที
เซลล์ความอยากรู้อยากเห็นในตัวของเธอมันเริ่มทำงานอีกครั้ง
ถ้าหากบ้านเก่าๆ ที่อยู่ท่ามกลางรีสอร์ทนั่นเป็นบ้านที่เหนียนซี่เคยอยู่จริงๆ ที่นั่นน่าจะเป็นที่เดียวที่เธอสามารถไปหาเบาะแสได้
ใช่แล้ว เธอต้องไปรีสอร์ทฉืออิ๋งลี่หยางอีกครั้งเมื่อมีโอกาส และถ้าเป้าหมายของเธอถูกต้อง เธอจะได้คิดหาแผนการณ์ขั้นต่อไปได้
หญิงสาวทิ้งตัวลงไปบนเตียงอีกครั้ง ระหว่างนั้นก็คิดถึงวิธีที่จะหาโอกาสให้ตนสามารถไปสำรวจบ้านเก่านั้นได้ ในตอนนี้ เธอลืมความโกรธที่มีต่อหานซือฉีไปหมดสิ้น
—————————
สายลมที่โหมกระหน่ำมาทั้งคืนนั้นหยุดลงแล้ว แต่อุณหภูมิก็ยังไม่สูงขึ้นเลย ฝูเจิ้งเจิ้งผู้ที่หลับไม่เต็มอิ่มเท่าไหร่ลุกขึ้นมาแต่เช้า บนใบหน้านั้นมีถุงใต้ตาดำคล้ำเผยให้เห็นชัดอยู่ เธอเดินไปยังห้องของหานซือฉีพร้อมกับเสื้อไหมพรมของฝูซิงในมือ
ทั้งสองยังคงหลับปุ๋ยกันอยู่บนเตียง พวกเขานอนตะแคงข้างเหมือนกัน… นอนท่าแปลกๆ เหมือนกัน… ขนาดมือยังวางในตำแหน่งเดียวกันเลย
ฝูเจิ้งเจิ้งที่ยืนดูอยู่เงียบๆ นั้นก็อดส่ายหน้าเบาๆ ในความเหมือนที่แทบจะถอดแบบกันมาแบบนี้
ถ้าหากคนนอกเข้ามาเห็นภาพนี้ล่ะก็ คงได้คิดว่าทั้ง 2 คนนี้เป็นพ่อลูกกันจริงๆ แน่ๆเลย
ในระหว่างนั้นเอง ฝูซิงก็พลิกตัวมานอนหงายจนห้อยมือออกมานอกผ้าห่มด้วย
หานซือฉีที่เหมือนจะรับรู้ได้แม้จะยังไม่ลืมตาก็ขยับตัวของเขามาเพื่อจับฝูซิงตะแคงข้างหันไปทางเขา เพื่อที่มือเล็กๆ นั้นได้กลับไปในผ้าห่มดังเดิมพร้อมกับลูบหลังเด็กน้อยที่กำลังหลับสบายนี้เบาๆ สองพ่อลูกค่อยๆ นิ่งไปดังเดิมโดยที่หานซือฉียังกอดฝูซิงขณะหลับอยู่ตลอดเวลา
มันเป็นภาพที่อบอุ่นในสายตาฝูเจิ้งเจิ้ง เธอค่อยๆ ลอบมองไปยังใบหน้าของหานซือฉี นี่เป็นครั้แรกเลยที่ใบหน้าคมเข้มที่เธอเหม็นขี้หน้าอยู่ตลอดนั้นดูหล่อเหลาไร้ที่ติ เขาดูสงบ สุขุม และใจเย็น…ต่างกับสัตว์ร้ายเมื่อคืนลิบลับ
ถ้าเขาคือเหนียนซี่ และถ้าไม่มีเฉียวเค่อเหรินและหลี่เสี่ยวเมิ่งเข้ามายุ่งเกี่ยว เป็นไปได้ไหมว่าเธอ เขา และฝูซิง จะสามารถอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขในบ้านหลังนี้?
หานซือฉี…
ตั้งแต่ครั้งแรกที่เธอได้เห็นเขาแล้ว ความรู้สึกที่คุ้นเคยในแบบที่คาดไม่ถึง มันก็ยังคงไม่จางหาย ต่อให้เขาจะกลั่นแกล้งหรือมองว่าเธอเป็นตัวตลกขนาดไหน เธอก็มักจะให้อภัยและหาโอกาสเข้าใกล้เขาอยู่เสมอ แม้ลึกๆ แล้วตนเองจะปฏิเสธที่จะยอมรับก็เถอะ
เธอคิดมาตลอดว่าเขากับเหนียนซี่น่ะ จะต้องเป็นคนเดียวกันแน่ๆ
ทว่าถึงจะมั่นใจแล้วว่าเขาไม่ใช่เหนียนซี่ จากการที่ได้เห็นต้นขาของเขา แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม เธอถึงยังสนใจเขาอยู่
อย่างเช่น เมื่อคืนที่เขานั้นทำร้ายจิตใจเธอเป็นอย่างมาก เธอตัดสินใจแล้วว่าถึงคราวที่เธอจะต้องต่อต้านเขาให้ถึงที่สุด แต่นี่เวลาผ่านไปไม่ทันข้ามวัน สมองของเธอกลับคิดถึงรสจูบที่ยังติดประทับอยู่ที่ริมฝีปากของตนอยู่เรื่อยๆ แม้กระทั่ง…สัมผัสที่หยาบคายป่าเถื่อนราวกับสัตว์ป่านั่นด้วย ความสุขใจมันแผ่ฟุ้งไปทั่วร่างกายจนเธอลืมที่จะคิดถึงเรื่อง “ต่อต้าน” ไปเสียสนิท
ทั้งๆ ที่คิดว่าจะไม่หวั่นไหวให้เขาอีก แต่สุดท้ายสายตาก็ยังแอบไปมองใบหน้าและริมฝีปากของเขาอยู่ดี
นี่ฉันหิวกระหายแบบที่อีตานี่พูดจริงๆ เหรอ? … บ้าน่า คนที่หิวน่ะมันเขาต่างหาก!
ฝูเจิ้งเจิ้งกัดฟันกรอดพยายามปัดไล่ความคิดแปลกๆ และด่าทอหานซือฉีอยู่ในใจ
ในขณะที่เธอเหลือบไปมองยังดวงตาของเขาอีกครั้ง หญิงสาวก็ต้องตกใจเมื่อหากมองดีๆ จะเห็นว่าดวงตาที่เหมือนจะหลับสนิทนั้น มันเปิดขึ้นนิดๆ ชัวร์เลยว่าแม้จะเป็นแค่เส้นโค้งเล็กๆ เขาก็ต้องเห็นเธออย่างแน่นอน!
ใบหน้าของฝูเจิ้งเจิ้งเห่อแดงขึ้นมาในทันที เธอรีบหันหน้าหนีแล้วเอาเสื้อของฝูซิงไปวางที่โซฟาแทน
ชายหนุ่มยังคงไม่ได้ลุกขึ้นมา เขาขยับหมอนแล้วเอนตัวนอนลงไปใหม่โดยที่แววตายังคงมองฝูเจิ้งเจิ้งอยู่ตลอด
ภาพจำที่เขาเกือบจะปล้ำเธอในที่ “สาธารณะ” นั้นมันคอยย้ำเตือนให้เธอตระหนักได้ว่า เขาไม่ได้สนใจสิ่งที่ทำลงไปเลยสักนิด
คนคนนี้ก็แค่หาความสนุก ความตื่นเต้นไปวันๆ ตัวเธอน่ะไม่ได้มีค่าอะไรในความคิดเขาหรอก!
คิดได้ดังนั้น สีหน้าของฝูเจิ้งเจิ้งก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็นราวกับมีก้อนน้ำแข็งหนาถูกวางไว้บนใบหน้า
“อรุณสวัสดิ์ป๊ะป๋า จุ๊บๆ ยามเช้า”
ฝูซิงตื่นแล้ว เขาไต่ขึ้นไปบนตัวของหานซือฉีก่อนจะจุ๊บอีกฝ่ายไปครั้งหนึ่งแบบหนักๆ
หานซือฉีบีบแก้มของฝูซิงไว้ก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มคลุมตัวเขาไว้แน่นหนา
ฝูเจิ้งเจิ้งที่เห็นฝูซิงตื่นมาด้วยความสดใส เธอก็ดีใจที่ลูกชายของตนเลิกหวาดกลัวเหมือนเมื่อคืนแล้ว เพราะงั้นเธอจึงเดินกลับเข้าไปหาพร้อมกับชุดไหมพรมของเขา “ตื่นได้แล้วจ้ะฝูซิง”
เด็กน้อยรับเสื้อของเขาไว้และโยนมันไปที่ข้างหมอน จากนั้นเขาก็กอดคอหานซือฉีไว้พลางพูด “ป๊ะป๋า ฝูซิงอยากให้ป๊ะป๋าแต่งตัวให้ ฝูซิงไม่อยากให้หม่ามี๊แต่งตัวให้แล้ว”
“ฝูซิง…” คำพูดเหล่านั้นทำเอาฝูเจิ้งเจิ้งเจ็บปวดหัวใจไม่น้อย
ทางด้านหานซือฉีเองที่ได้ยินเช่นนั้นก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่ง เขาจับฝูซิงมาวางไว้บนเตียงและหยิบเอาชุดไหมพรมของฝูซิงมาวางตรงหน้าเจ้าตัว “ซิงซิงเองก็จะ 6 ขวบแล้ว ลูกต้องเรียนรู้ที่จะแต่งตัวด้วยตนเองได้แล้วนะ”
อาจด้วยความขี้เกียจของหานซือฉี ฝูเจิ้งเจิ้งได้แต่กระหยิ่มในใจ เพราะฝูซิงน่ะจะต้องหันกลับมาอ้อนวอนขอให้เธอช่วยแต่งตัวให้แน่ๆ ดังนั้นหญิงสาวจึงยืดอกรอลูกชายตัวน้อยอย่างผ่าเผยเพื่อรอให้เขาเอ่ยขอให้ช่วย
ทว่าฝูซิงกลับนั่งคุกเข่าลงไปบนเตียง ก่อนจะเริ่มสวมชุดดังกล่าวด้วยตนเอง แม้จะทำด้วยความทุลักทุเลมีใส่ผิดบ้างถูกบ้าง แต่เจ้าตัวน้อยก็ไม่ยอมละความพยายาม
ในขณะที่ฝูซิงกำลังงุนงงกับด้านในและด้านนอกของเสื้อ ฝูเจิ้งเจิ้งก็เตรียมที่จะเข้าไปช่วยอีก แต่หานซือฉีก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน “อันนั้นเป็นด้านหลัง ด้านหน้าจะเป็นด้านที่คอเสื้อย้อยลงมานะ”
ได้ยินเช่นนั้นฝูซิงก็ถอดออกมาและเทียบดูคอเสื้อตามที่หานซือฉีบอกก่อนจะสวมลงไปใหม่อีกครั้ง นี่มันเป็นเรื่องที่น่าตกใจมากๆ สำหรับฝูเจิ้งเจิ้งที่ได้แต่ยืนมองฝูซิงสวมเสื้อด้วยตนเองจนเสร็จเช่นนี้
“ป๊ะป๋า ดูนี่!” ฝูซิงหมุนตัวไปมาเพื่อให้อีกฝ่ายได้เห็นว่าตนสวมเสื้อได้ถูกด้าน ราวกับกำลังยืนอยู่บนแท่นหมุนสำหรับอวดโล่รางวัลก็มิปาน
“เก่งมากซิงซิง ไปล้างหน้ากันดีกว่า แล้วเดี๋ยวพวกเราจะได้ออกไปวิ่งกัน” หานซือฉีจับแก้มของฝูซิงไว้และหอมหน้าผากไปเบาๆ จากนั้นเขาก็กระซิบอะไรบางอย่างไปที่ใบหูเล็กๆ และพาเจ้าตัวเล็กกระโดดลงจากเตียง
ฝูซิงสวมรองเท้าแตะแล้วหันไปพูดกับฝูเจิ้งเจิ้ง “หม่ามี๊ ป๊ะป๋าบอกว่า หม่ามี๊ได้รับอนุญาตให้ไปวิ่งกับพวกเรานะ เพราะงั้นรีบๆ ไปเปลี่ยนชุดได้แล้ว”
หากเป็นวันอื่นล่ะก็ ฝูเจิ้งเจิ้งคงจะถามกลับไปแล้วว่า “ใครอยากจะไปวิ่งกัน?” แต่เพราะความผิดเมื่อคืนที่ทำให้ฝูซิงต้องหวาดกลัวมันค้ำคออยู่ ความรู้สึกที่โดนชวนในวันนี้จึงกลายเป็นตื่นเต้นดีใจซะมากกว่า เพราะในที่สุดลูกชายของเธอก็ยอมพูดด้วยแล้ว
นี่เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ฝูเจิ้งเจิ้งกังวลมาตลอดทั้งคืน นั่นก็คือ ฝูซิงอาจจะไม่ยอมให้อภัยที่เธอแอบทิ้งเขาไว้และหนีออกไปยามค่ำคืนแบบนั้น ว่าแต่การที่เขายอมมาชวนไปวิ่งนี่หมายความว่ายกโทษให้แล้วหรือเปล่านะ?
————————————————————————-
หลังจากที่กลับมาจากการวิ่ง ฝูซิงก็ยังคงไฟแรงได้อีกหลายชั่วโมง นอกจากจะพักมาทานข้าวแล้ว เขาก็ใช้เวลาแทบจะทั้งวันอยู่ในบ้านและเล่นกับหานซือฉีตลอดเลย
และการที่หานซือฉีมีทีท่าว่าจะไม่ไปไหนเลยทั้งวันนั้นก็ทำเอาฝูเจิ้งเจิ้งแอบกระวนกระวายอยู่ลึกๆ
ถึงแม้ว่าเธอจะรู้ว่าไม่ควรหนีออกไปตอนกลางคืนอีก แต่เพราะความกังวลมันเลยทำให้เธอต้องคิดเรื่องนี้อีกครั้ง บ้านเก่าที่อยู่ภายในรีสอร์ทฉืออิ๋งลี่หยางนั้นมันรบกวนความคิดเธออยู่ทุกวินาที
ถ้าให้หยางเต๋าไปลองหาเบาะแสดูก่อนได้ไหมนะ?
คิดได้ดังนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบกลับไปหยิบโทรศัพท์เครื่องเล็กของตนออกมาจากกระเป๋า ทันทีที่เครื่องถูกเปิด ข้อความที่ยังไม่ได้อ่านมากมาย รวมถึงสายที่ไม่ได้รับก็ปรากฏขึ้นมารัวๆ และทั้งหมดล้วนมาจากลิ่วหลิน
เมื่อตอนที่เธอไปทำธุระกับอีกฝ่าย เพื่อเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาอันไม่พึงประสงค์ตามมา เธอจึงตัดสินใจให้เบอร์ของโทรศัพท์เครื่องเล็กนี้ให้เขาแทน
หญิงสาวรีบอ่านจับใจความสำคัญของข้อความมากมายเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว และเมื่อพบว่าทั้งหมดล้วนเกี่ยวกับการถามถึงความคืบหน้า ฝูเจิ้งเจิ้งจึงพิมพ์ตอบกลับ “ยังหาอยู่เลยค่ะ”
หลังจากที่พิมพ์ข้อความตอบกลับไปเรียบร้อยแล้ว เธอก็ลบข้อความเก่าทิ้งไปจนหมดก่อนจะเริ่มคิดต่อว่าจะพิมพ์ข้อความให้หยางเต๋าแบบไหนดี
“กำลังแอบส่งจดหมายรักหาผู้ชายคนไหนอีกล่ะ?” เสียงของหานซือฉีดังเข้ามาในหู พร้อมกับใบหน้าของเขาที่ยื่นมาจากด้านหลังหมายแอบอ่านข้อความบนจอโทรศัพท์ของเธอ ด้วยความตกใจฝูเจิ้งเจิ้งแทบอยู่ไม่ติด แต่ด้วยสติที่ยังพอมีมันเลยทำให้เธอรีบเก็บโทรศัพท์ลงไปในกระเป๋าเสียก่อน
“น-นี่มันห้องของฉันนะคะ! ถ้าจะเข้ามาก็ช่วยเคาะประตูก่อนด้วยสิ!”
“แต่ดูเหมือนจะเป็นบ้านของฉันนะ”
“ใช่ค่ะ นี่มันบ้านของคุณหาน เพราะงั้นถ้าไม่อยากให้อยู่ก็ช่วยรบกวนอนุญาตให้ฉันย้ายออกไปอยู่ที่อื่นด้วยค่ะ!”
“ผู้ชายคนใหม่ของเธอหาที่อยู่ให้แล้วหรือไง? คงอยากจะเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของเขาจนตัวสั่นเลยสิ?”
“ ‘อยากเข้าไปอยู่ในอ้อมแขน’ ที่ว่าหมายถึงอะไรกันคะ? ฉันไม่เคยคิดที่จะโยนตัวเองลงไปในอ้อมแขนใครอยู่แล้ว!” หญิงสาวคว้าเสื้อผ้าชุดใหม่ก่อนจะเดินปรี่เข้าห้องน้ำเพื่อที่จะแสร้งทำเป็นเปลี่ยนชุดและไม่สนใจเขา
ทว่าหานซือฉีกลับไม่ปล่อยให้เธอได้ทำแบบนั้น เขารีบคว้ามือนุ่มของอีกฝ่ายเอาไว้และใช้มืออีกข้างเอื้อมไปค้นกระเป๋าที่เธอเพิ่งเก็บโทรศัพท์ลงไป
ฝูเจิ้งเจิ้งรีบปัดมือด้วยความรวดเร็ว เธอสะบัดมือออกและกุมกระเป๋ากางเกงไว้แน่นขณะที่ถอยห่างออกจากเขา “จะทำอะไรของคุณหานน่ะคะ!”
“ส่งมาให้ฉัน”
“ส่งอะไร?” เธอแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ
“โทรศัพท์”
บ้าเอ๊ย เห็นทันงั้นเหรอ!
เธอจะให้เขาเห็นมันไม่ได้! ไม่งั้นแล้วเขาจะต้องรู้เรื่องที่เธอติดต่อหยางเต๋ากับเรื่องที่เธอคุยกับลิ่วหลินแบบลับๆ แน่ๆ!
หญิงสาวชี้ไปยังกระเป๋าถือที่แขวนอยู่ที่กำแพง “จะเอาโทรศัพท์ฉันไปทำไมน่ะคะ? ม-มันอยู่ในนั้น…”
หานซือฉีก้าวเข้าประชิดตัวเธอมากขึ้นพร้อมกับพูดด้วยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “เธอเองก็รู้ดีว่าฉันหมายถึงโทรศัพท์เครื่องไหน หรือว่าอยากจะให้ฉันถอดเสื้อผ้าเธอทีละชิ้นแล้วหาแบบเมื่อคืนดีล่ะ?”
“อย่าคิดว่าตัวเองจะทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการนะคะ! คุณหานไม่มีสิทธิ์!”
ร่างตรงหน้ายังคงไม่หยุด เขายังคงเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ “จะลองดูก็ได้นะว่าฉันจะทำอย่างที่พูดได้หรือเปล่า”
——————————————————————————————————
คุยกับผู้แปล
เมื่อคืนหล่อนยังรู้สึกดีอยู่เลย
-ทีมงานผู้แปล Enjoybook-