ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 67 อย่าพาฝูซิงไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของคุณให้มากไปกว่านี้
บทที่ 67 อย่าพาฝูซิงไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของคุณให้มากไปกว่านี้
ฝูเจิ้งเจิ้งพุ่งเข้าบ้านไปด้วยความเร่งรีบ อันที่จริงเพราะเธอเห็นรถของหานซือฉีจอดอยู่ในโรงรถแล้วต่างหากถึงได้เร่งรีบเข้าบ้านไปเช่นนี้
ตลอดทางที่มุ่งตรงกลับมาจากร้านอาหารเซนส์บันด์ เธอพยายามโทรกลับมาที่บ้านอยู่หลายครั้ง จนกระทั่งฝูซิงเป็นฝ่ายรับสาย เสียงเจื้อยแจ้วของเจ้าตัวแสบนั้นทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งคลายความกังวลใจลงไปในทันที หัวใจที่เต้นรัวของเธอมันค่อยๆ ผ่อนคลายลง เมื่อกลับมาถึงบ้าน
ภายในห้องนั่งเล่นที่นั้นเงียบสงัดราวกับไม่มีคนอยู่ แม้แต่ป้าเฉินที่มักจะเดินไปเดินมาในบ้านเองก็ไม่อยู่เช่นกัน ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกประหลาดใจกับภาพที่เห็นนี้ เธอตั้งใจจะไปค้นหาชั้นบนต่อในทันที ทว่าร่างๆ หนึ่งก็พุ่งออกมาจากตู้เก็บรองเท้าพร้อมตะโกน “อย่าขยับ!”
ด้วยสัญชาตญาณที่ว่องไว ฝูเจิ้งเจิ้งหันขวับไปยังต้นเสียงแทบจะทันที และเธอก็พบว่า เจ้าของเสียงก็คือลูกชายตัวแสบของเธอที่กำลังทำมือเป็นปืนมาจ่อเธอไว้นั่นเอง!
“ฝูซิง!” ฝูเจิ้งเจิ้งอ้าแขนและดึงฝูซิงเข้ามากอดแน่นๆ เอาไว้
ฝูซิงลดมือลงและเปลี่ยนไปกอดคอผู้เป็นแม่ในทันที เขาหอมแก้มเธอด้วยความรู้สึกผิด “หม่ามี๊ หม่ามี๊กลัวเหรอ…ฝูซิงขอโทษ ฝูซิงไม่ได้ตั้งใจจะทำให้หม่ามี๊กลัว…”
หญิงสาวยิ้มพร้อมกับมองฝูซิงที่ดูจะยังร่าเริงเหมือนเดิม เธออดไม่ได้จนต้องหัวเราะออกมา เธอคิดมากเกินไปอีกแล้ว มือเรียวลูบไปตามใบหน้าที่กำลังหวาดหวั่นของเจ้าตัวเล็กไปพลางส่ายหน้าให้
“กะไว้แล้วว่าหม่ามี๊ต้องไม่กลัว นี่ ฝูซิงมีของขวัญมาให้ด้วย” ฝูซิงจับมือฝูเจิ้งเจิ้งไว้แล้วจูงเธอไปยังห้องนั่งเล่น
“ของขวัญอะไรกันน้า~” เธอเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น
เมื่อเธอเดินตามเข้ามาในห้องนั่งเล่นแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็พบว่าหานซือฉีกำลังนอนยืดหลังยาวไปกับโซฟา โดยหันหลังให้ประตู เขาใช้แขนแทนหมอนรองหัว ช่างดูผ่อนคลายเสียเหลือเกิน
แต่ยามเมื่อฝูเจิ้งเจิ้งนึกถึงเรื่องที่เธอกังวลมาตลอดทาง รวมถึงเรื่องที่เขาพาเฉียวเค่อเหรินและฝูซิงออกไปทานข้าวด้วยกัน ความสุขก็ละลายหายไปอย่างรวดเร็ว กลับกลายเป็นความโกรธเคืองที่เข้ามาแทนที เธอพูดถามเขาเสียงดังว่า “คุณหานคะ! ทำไมถึงปิดโทรศัพท์มือถือไม่ทราบคะ? ทำไมถึงพาฝูซิงออกมาจากโรงเรียนโดยไม่บอกอะไรฉันเลย? แถมยังไม่ยอมพาเขากลับไปส่งโรงเรียนรอบบ่ายอีก คุณไม่รู้หรือไงว่ามันทำให้ฉันเป็นห่วงขนาดไหน!”
เจ้าตัวเล็กที่เห็นว่าแม่ของตนกำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟก็รีบวิ่งเข้ามาดึงมือของเธอไว้ก่อน “หม่ามี๊ อย่าว่าป๊ะป๋าเลย ฝูซิงขอให้ป๊ะป๋าพากลับบ้านเองงง”
ฝูเจิ้งเจิ้งหันไปและดีดหน้าผากลูกชายของตนเบาๆ “ลูกก็สมควรจะโดนด้วย! ทำไมถึงเป็นเด็กกะล่อนแบบนี้ฮะ? แบบนี้โตขึ้นไปจะเกเรขนาดไหน หือ?”
“ฝูเจิ้งเจิ้ง วันมามากหรือยังไงน่ะ?” หานซือฉีลุกขึ้นนั่งทันควันพร้อมกับดึงลูกชายตัวจ้อยที่กำลังร้องไห้มากอดไว้ “วันนี้โรงเรียนไม่มีคาบเรียน มีแค่ทำงานประดิษฐ์กันอย่างเดียว”
งานประดิษฐ์? อ๋อ ที่พ่อแม่ไปกันจนเต็มห้องเรียนนั่นคือไปทำงานประดิษฐ์กันงั้นเหรอ? แต่ฝูซิงกลับเลือกที่จะบอกหานซือฉีแทนที่จะบอกฉันเนี่ยนะ!?
ได้ยินเช่นนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็โกรธสุดๆ เธอดึงฝูซิงกลับมาไว้ที่ตนและส่งสายตาไม่พอใจให้เขา “ทำงานประดิษฐ์ก็ถือเป็นการเรียน มาอยู่บ้านแบบนี้จะได้เรียนอะไรกันน่ะ? แล้วก็ ช่วยอย่าเอาฝูซิงไปเกี่ยวข้องกับเรื่องของคุณหานให้มากนะคะ ยังไงซะแกก็เป็นลูกของฉัน! ส่วนฝูซิง หม่ามี๊เคยบอกลูกแล้วใช่ไหมว่าห้ามออกมาจากโรงเรียนถ้าหม่ามี๊ไม่ไปรับ ห้ามไปกับคนอื่นที่ไม่ใช่หม่ามี๊ ลูกลืมไปแล้วหรือไง?”
“ฝูซิงไม่ได้ลืมมมม” ฝูซิงทำแก้มป่องด้วยความไม่พอใจ “แต่ป๊ะป๋าก็ไม่ใช่คนอื่นซักหน่อย”
“ไม่ใช่คนอื่นแล้วเป็นใครฮะ!” ยิ่งฝูซิงพูดแก้ตัวให้หานซือฉี ก็ยิ่งเหมือนสุมไฟโกรธให้ฝูเจิ้งเจิ้ง
“เธอพูดจบหรือยังน่ะ? หึงเรื่องไม่เป็นเรื่อง” หานซือฉีลุกขึ้นและแย่งตัวฝูซิงมาจากอ้อมแขนของเธอพร้อมขยับถอยห่างไปจากเธอร่วมเมตร
หึง? ใครหึงกัน? ฮึ่ม!
ฝูเจิ้งเจิ้งจ้องตาเขม็งไปที่หานซือฉี “คุณหานคะ ช่วยอย่าคิดว่าทุกคนจะเหมือนกับใครบางคนที่รักคุณทุกลมหายใจได้ไหมคะ? พวกเราน่ะถูกบังคับให้อาศัยอยู่ในบ้านของคุณนะ คุณคิดว่าพวกเรามีความสุขนักหรือไงที่ต้องอยู่แบบนี้?”
“ฝูซิงมีความสุข” ฝูซิงรีบพูดขึ้นมาทันที และเมื่อเห็นว่าแม่ของเขาส่งสายตาพิฆาตกลับมา เด็กน้อยก็รีบมุดหัวไปซบไหล่หานซือฉีดังเดิม
“ฝูเจิ้งเจิ้ง บอกฉันมาซิ ว่าเธอต้องการอะไรกันแน่?” หานซือฉีขมวดคิ้วมองหญิงสาวขณะที่เอ่ยถาม
“ฉันอยากจะย้ายออกค่ะ! เพราะสัญญาที่จะอยู่ดูแลคุณหาน 1 เดือนนั้นมันจบลงแล้ว!”
ได้ยินเช่นนั้นฝูซิงก็รีบตะโกนขัดอีก “ฝูซิงไม่อยากย้ายออก ฝูซิงอยากอยู่กับป๊ะป๋า!”
พฤติกรรมติดพ่อของฝูซิงนี้มันทำให้เธออารมณ์ขึ้นมากๆ “ฝูซิง! ป๊ะป๋าของลูกน่ะมีแฟนแล้ว! แล้วเดี๋ยวเค้าก็จะแต่งงานกัน จากนั้นก็จะมีลูก แล้วเขาก็จะไม่จดจำอะไรที่เกี่ยวกับฝูซิงที่ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของเขาแล้ว!” ใช่แล้วทั้งหมดคือความจริง
“ไม่! ป๊ะป๋าบอกฝูซิงแล้วว่าจะไม่แต่งงานกับน้าเฉียว!” ฝูซิงหันหน้ากลับไปมองหานซือฉี พร้อมถามอย่างจริงจัง “ป๊ะป๋า ฝูซิงพูดถูกไหม?”
“ถูกแล้ว” หานซือฉีพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ถึงเขาจะไม่แต่งงานกับน้าเฉียว เขาก็ยังมีคุณครูหลี่กับคุณหวังเป็นทางเลือกอยู่อีกนะ!” ฝูเจิ้งเจิ้งยังไม่ยอมแพ้ รีบหยิบยกชื่ออื่นมาพูดต่อ เธอพยายามจะไม่โวยวายและเก็บอาการมากกว่านี้ และเมื่อตระหนักได้ดังนั้น จึงรีบเปลี่ยนโทนเสียงและพูดกับฝูซิงดีๆ “ฝูซิง พวกเราต้องออกจากที่นี่และใช้ชีวิตของพวกเราเองนะ”
“ฝูซิงไม่อยากออกไปไหน ฝูซิงจะอยู่กับป๊ะป๋า!!” เด็กน้อยน้ำตาคลอหลังจากที่โดนตอกย้ำเรื่องเดิมซ้ำๆ
ในตอนนั้นเอง เฉินเฉี่ยวหลานก็กลับมาจากการไปซื้อผักพอดี เมื่อเธอได้ยินเสียงฝูซิงกำลังร้องไห้ สาวใหญ่วัยกลางคนที่ดูจะไม่แข็งแรงนั้นก็รีบวิ่งปรี่เข้ามาแทรกกลางทันที
“เกิดอะไรขึ้นลูก? อ้าว ทำไมซิงซิงของย่าถึงร้องไห้ล่ะ? มานี่เร็ว เดี๋ยวย่าโอ๋นะ” ฝูซิงหันไปมองเฉินเฉี่ยวหลานพร้อมกับสะอึกสะอื้น
ขาเล็กๆ กระโดดลงมาจากอ้อมกอดของหานซือฉีแล้ววิ่งเข้าหาเฉินเฉี่ยวหลาน “ย่าเฉิน ฝูซิงไม่อยากย้ายออกไป ฝูซิงอยากอยู่กับย่าเฉินแล้วก็ป๊ะป๋า”
“โอเคจ้ะ โอเค งั้นอยู่ด้วยกันเนอะ ไม่ต้องย้ายไปไหน” เฉินเฉี่ยวหลานกอดฝูซิงเอาไว้ เธอหันมามองทั้งหานซือฉีและฝูเจิ้งเจิ้งก่อนจะเมินหน้าหนีแล้วพาฝูซิงหลบออกไป
ความเงียบปกคลุมไปทั่วทั้งบ้านจนกระทั่งเสียงปิดประตูห้องดังขึ้น หานซือฉีจึงหยิบเอากล่องของขวัญเล็กๆ ออกมาจากใต้โต๊ะชาและส่งมันให้ฝูเจิ้งเจิ้งก่อนจะพูดอย่างเยือกเย็น “มีความสุขหรือยังที่ทำให้ซิงซิงร้องไห้?”
ฝูเจิ้งเจิ้งเองก็ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นชาโดยไม่มองกล่องของขวัญนั้นด้วยซ้ำ “ขอโทษนะคะคุณหาน เก็บของขวัญนั่นไว้ให้แฟนของคุณเถอะ”
“นี่เป็นของขวัญคริสมาสต์ที่ซิงซิงใช้เวลาช่วงเช้าทำให้เธอ ถ้าเธอไม่ต้องการ ฉันก็จะเก็บไว้เอง”
และเมื่อนึกย้อนกลับไป เธอก็นึกขึ้นได้ว่าฝูซิงพูดเรื่องมีของขวัญจะให้เมื่อเป็นดังนั้นฝูเจิ้งเจิ้งจึงรับกล่องของขวัญนั้นไว้ “ในเมื่อลูกชายของฉันทำให้ฉัน ทำไมฉันต้องให้คุณหานเก็บไว้ด้วยล่ะค่ะ?”
มือเรียวรีบเปิดกล่องนั้นออกอย่างรวดเร็ว และภายในกล่องนั้นก็มีการ์ดกระดาษทำมือถูกใส่ไว้อยู่
การ์ดใบนั้นถูกตัดเป็นรูปหัวใจด้วยกระดาษแข็งสีชมพูด มีภาพครอบครัวที่มีคน 3 คนยืนอยู่ด้วยกัน พวกเขาเล่นว่าวกันอยู่บนทุ่งหญ้ากว้าง และด้านหลังการ์ดนั้น ก็มีถ้อยคำอวยพรถูกเขียนไว้ด้วยลายมือของฝูซิง “สุขสันต์วันคริสมาสต์หม่ามี๊ ฝูซิงหวังว่าครอบครัวของเราจะมีความสุขทุกวันเลย~”
ตัวอักษรพวกนั้น บางตัวก็เขียนสวย บางตัวก็ถูกเขียนอย่างลวกๆ ชัดเลยว่ามีบางตัวที่ผู้ใหญ่ช่วยเขียน
ครอบครัวที่มี 3 คนงั้นเหรอ…
ความอบอุ่นที่แทรกซึมอยู่ภายในการ์ดรูปหัวใจนั้นมันค่อยๆ ซึมผ่านเข้ามาอยู่ในใจของฝูเจิ้งเจิ้ง ความโกรธที่มีอยู่มันถูกผลักดันออกไปอย่างช้าๆ จนเธอรู้สึกอยากจะร้องไห้
ลูกชายของเธอ…อยากมีครอบครัวแบบนี้งั้นเหรอ?
“ฝูเจิ้งเจิ้ง เธอจะตะโกนใส่ฉันก็ได้ถ้าเธออารมณ์ไม่ดี แต่อย่าไปทำตัวก้าวร้าวต่อหน้าซิงซิงจะดีกว่า เธอไม่กลัวว่าเด็กจะโตมาแล้วหวาดกลัวเธอหรือไง?”
ร่างบางของฝูเจิ้งเจิ้งสั่นเทาจากการร้องไห้ เธอพูดขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา “ได้โปรด…อย่าพาฝูซิงไปส่งที่โรงเรียนอีกเลย แล้วก็ ช่วยอย่าพาลูกชายของฉันไปกับคุณตอนที่คุณไปเดตกับผู้หญิงคนอื่นด้วย… ฝูซิงน่ะ ไม่รู้หรอกว่าทำอะไรลงไป คนที่รู้น่ะ คือคุณ…คุณหานเป็นผู้ใหญ่แล้วนะคะ… คิดว่าจะทำอะไรตามใจตัวเองก็ได้เหรอ? หรือว่าคุณหานอยากจะให้คนอื่นเกลียดพวกเราไปมากกว่านี้? พวกฉันน่ะ…รับมือความเกลียดชังพวกนั้นไม่ไหวหรอกนะคะ…”
“ฉันรู้? ฮ่าๆๆๆ ” หานซือฉีหัวเราะ แต่ภายใต้เสียงหัวเราะนั้นคือคำปฏิเสธ “ฉันบอกแล้วว่าซิงซิงน่ะยังเป็นเด็ก เขาก็แค่อยากสนุกไปกับชีวิต ฉันก็แค่ช่วยทำให้ฝันเขาเป็นจริง”
สิ่งที่ฝูเจิ้งเจิ้งพูดขึ้นมานั้น หมายถึงเรื่องเมื่อตอนที่พวกเขาไปทานสเต็กกันที่ร้านเซนส์บันด์ จู่ๆ ฝูซิงก็ดึงมือเฉียวเค่อเหรินขณะที่เห็นประตูร้านอยู่ไม่ไกลแล้ว เขาอยากจะวิ่งแข่งกับเธอเพื่อที่ใครถึงร้านก่อนจะได้นั่งข้างป๊ะป๋าของเขา
แน่นอนว่าหานซือฉีไม่ได้ปฏิเสธ
ฝูซิงจึงพาเฉียวเค่อเหรินไปที่ฟากหนึ่งของถนนก่อนจะเริ่มออกวิ่งด้วยกัน อย่างไรก็ตาม เพราะบนถนนนั้นมีท่อน้ำอยู่ และท่อน้ำเหล่านั้นก็ถูกปิดด้วยฝาท่อระบายน้ำเหล็กด้วย ยามที่เฉียวเค่อเหรินออกวิ่งบ้าง ส้นสูงของเธอก็ดันพลาดตกลงไปในรูท่อนั้นจนปลายแหลมของมันติดสนิทกับรูท่อ ร่างของหญิงสาวกระเด็นหลุดไปไม่รอรองเท้าจนหน้าเกือบคะมำ ครั้นเมื่อกลับมาพยายามดึงรองเท้าออกจากฝาท่อ ด้วยความแน่นของส้นที่ติดพอดีกับรู มันทำให้เธอต้องออกแรงกระชากมากขึ้นจนส้นและตัวรองเท้าแตกออกจากกันส่งผลให้เธอกระเด็นไปตามแรงดึงอีกรอบสร้างความอึดอัดและละอายใจเป็นอย่างมาก
เมื่อเห็นว่าเฉียวเค่อเหรินต้องเดินเท้าเปล่า แถมยังเลอะเทอะไปทั้งตัว หานซือฉีและฝูซิงก็พาเธอกลับบ้านไปก่อนแล้วพวกเขาทั้งสองค่อยกลับไปกินสเต็กด้วยกันเป็นมื้อกลางวันดังเดิม
เสียงหัวเราะของหานซือฉีมันทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งโกรธเขาขึ้นมาอีก “คุณหานรู้อยู่แล้วเหรอคะว่าฝูซิงจงใจจะทำอะไรน่ะ!?”
“บอกแล้วไงว่าซิงซิงน่ะยังเด็ก”
“ยังเด็กเหรอคะ? เฮอะ นี่คุณหานลืมไปแล้วหรือไงคะ? ว่าฝูซิงตกลงไปในคลองนั่นได้ยังไง? คุณหานคิดว่าคนอื่นจะให้อภัยคนที่จงใจกลั่นแกล้งเพียงเพราะว่าเขาเป็นเด็กเหรอคะ? ต่อให้เป็นเด็กทารกเขาก็ไม่ยกเว้นหรอกค่ะ! แล้วถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับฝูซิงล่ะก็ ฉันจะไม่ให้อภัยคุณแน่ๆ !”
ตลอดเวลาที่ฝูเจิ้งเจิ้งระบายความรู้สึกที่มีอยู่นั้น หานซือฉีก็นิ่งฟังจนกระทั่งเธอพูดจบ “งั้นฉันจะหาที่อยู่ใหม่ให้ก็แล้วกันนะ”
“ไม่ค่ะ! ได้โปรด อย่ายื่นมือมาช่วยเรื่องนี้เลยค่ะ ฉันขอให้สวี่เหยียนช่วยหาบ้านให้พวกเราแล้วด้วย” ฝูเจิ้งเจิ้งรีบปฏิเสธความช่วยเหลือของเขาทันที
มันจะต่างอะไรจากเดิมหากเธอย้ายไปอยู่ ณ สถานที่ที่เขาจัดให้? ยังไงก็ต้องกลายเป็นเป้าสายตาของคนอื่นอยู่ดี พูดไม่คิดเลยหรือไงน่ะ?
“เรื่องนั้นฉันคิดไว้แล้ว” หานซือฉีไม่สนใจสิ่งที่เธอขอ เขาดูจริงจังในสิ่งที่พูดมากก่อนจะเบือนหน้าหนีแล้วเดินออกไปข้างนอก
เมื่อมองแผ่นหลังของเขา ฝูเจิ้งเจิ้งก็รู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ขึ้นมา
ตั้งแต่ที่ร้องขอจะย้ายออกมาตั้งนานแล้ว เธอโดนปฏิเสธและดึงตัวไว้ตลอด แต่ครั้งนี้ ครั้งที่เขายอมสัญญาว่าจะให้ออก มันกลับทำให้เธอรู้สึกสูญเสียบางสิ่งบางอย่างที่เธอเองก็อธิบายไม่ได้เหมือนกัน
“ป๊ะป๋า อย่าไป!” เสียงของฝูซิงที่กำลังร้องไห้ดังมาจากทางสวนด้านนหน้า
“ซิงซิง ป๊ะป๋าต้องไปทำธุระน่ะ ถ้ายังไงคืนนี้คงไม่ได้อยู่ด้วยนะ ไว้เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าจะไปโรงเรียน เชื่อฟังหม่ามี๊แล้วก็คุณย่าด้วยล่ะ”
น้ำเสียงที่สุภาพนุ่มนวลของหานซือฉีนั้นทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกอบอุ่นเสมอ ไม่เว้นแม้แต่ตอนนี้
ในความคิดของเธอนั้น เขารักฝูซิงจากใจจริงๆ
เสียงของเครื่องยนต์ค่อยๆ ห่างออกไปจากตัวบ้าน จนเสียงนั้นหายไปพักใหญ่เฉินเฉี่ยวหลานจึงพาฝูซิงกลับเข้าบ้านมา
ฝูซิงเดินก้มหน้าเข้าไปหาฝูเจิ้งเจิ้ง เขาดึงเสื้อของอีกฝ่ายเบาๆ และพูดด้วยเสียงค่อย “หม่ามี๊ ฝูซิงขอโทษ ฝูซิงจะไม่เอาแต่เล่นอีกแล้ว ฝูซิงจะตั้งใจเรียน”
ฝูเจิ้งเจิ้งค่อยๆ ย่อตัวลงไปนั่งคุกเข่าและมองไปยังใบหน้าน้อยๆ ของลูกชายที่กำลังสำนึกผิด
ตัวเธอนั้นไม่ได้อยากจะมาทะเลาะกับเขาเลย ความรู้สึกที่มีตอนนี้มันค่อนไปทางเป็นห่วงและกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่เขาทำลงไปที่ร้านอาหารเซนส์บันด์นั่นมากกว่า เหล่าเด็กเสิร์ฟเล่าให้เธอฟังแล้วว่าฝูซิงทำอะไรเฉียวเค่อเหรินไปบ้าง เพียงแค่ฟังก็รู้แล้วว่ามันไม่ใช่อุบัติเหตุ ฝูซิงตั้งใจจะทำแบบนั้น เขาต้องการให้อีกฝ่ายเป็นตัวตลกด้วยเหตุผลที่เขาพูดไว้ตลอด แบบนี้จะไม่ให้เป็นห่วงพฤติกรรมได้อย่างไร?
เฉียวเค่อเหรินน่ะ จะทำอะไรฝูซิงเมื่อไหร่ก็ได้ โดยที่ไม่ต้องลงมือเองเลยด้วยซ้ำ และนั่นคือสิ่งที่เธอกลัวที่สุด
ครั้นจะให้ถอนตัวออกจากงานแล้วกลับไปอย่างที่หยางเต๋าพูดมันก็ยากที่จะทำใจ เพราะเธอเดินมากว่าครึ่งทางแล้ว หากกุญแจที่ว่าเป็นเพียงข่าวลือไร้ซึ่งมวลความจริง เธอคงจะไม่ต้องหนักใจขนาดนี้ แต่เพราะเบาะแสของมันแน่นพอที่จะดึงมันออกจากข่าวลือและกลายเป็นตัวแปรสำคัญให้รูปคดีไปแล้วเนี่ยสิ
ดังนั้น หากเป็นไปได้ บางทีการอยู่ให้ห่างจากหานซือฉีก็อาจจะทำให้เธอและลูกปลอดภัยจากเฉียวเค่อเหรินก็เป็นได้
ฝูเจิ้งเจิ้งลูบไปตามใบหน้าของฝูซิงเบาๆ ก่อนจะกอดเขาเอาไว้ ในขณะเดียวกันก็พูดอย่างจริงจัง “ซิงซิง ลูกห้ามแกล้งน้าเฉียวแบบนั้นอีกนะ ไม่งั้นแล้วลูกอาจจะโดนน้าเขาโกรธขึ้นมาจริงๆ ก็ได้”
“แต่ฝูซิงไม่ชอบ…” เมื่อแหงนหน้าไปและสบตากับแววตาที่ดูจริงจังของผู้เป็นแม่ ฝูซิงก็เลือกที่จะหยุดพูดและพยักหน้าเงียบๆ
“หม่ามี๊ชอบของขวัญคริสมาสต์ของฝูซิงนะจ้ะ” ในท้ายที่สุด น้ำเสียงของฝูเจิ้งเจิ้งก็กลับมานุ่มนวลอีกครั้ง
ประโยคนี้มันทำให้เด็กน้อยยิ้มกว้าง เขาวิ่งไปหยิบการ์ดมาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง “หม่ามี๊ ดูนี่! ฝูซิงเขียนคำนี้ แล้วก็ป๊ะป๋าเขียนคำนี้ แถมป๊ะป๋ายังบอกด้วยว่าฝูซิงน่ะวาดรูปสวยมากๆ เลย แล้วก็ๆๆ เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึงป๊ะป๋าก็จะพาฝูซิงไปเล่นว่าวด้วยล่ะ!”
ว่าวงั้นเหรอ…
“เสี่ยวฝู ต่อไปนี้เธอคือ ฝูเจิ้งเจิ้ง นะ พี่หวังว่าเธอจะสามารถใช้ชีวิตได้อิสระเหมือนว่าวที่ลอยสูงอยู่บนอากาศโดยไม่สูญเสียเส้นทางที่ตนเองได้เลือกไว้…ขออย่าได้โกรธเคืองครอบครัวของพวกเราเลย นั่นเพราะว่าพวกเขาเองก็จะรักเธอตลอดเหมือนกัน บางที เป็นเพราะพวกเขาคาดหวังในตัวเธอสูงมากเกินไป พวกเขาจึงไม่สามารถยอมรับความผิดพลาดได้ ไว้เมื่อไหร่ที่พวกเขาใจเย็นลงแล้ว พี่จะเกลี้ยกล่อมพวกเขาให้อีกทีหนึ่ง”
ผ่านมา 6 ปีแล้วแท้ๆ แต่คำพูดของพี่ชายเธอนั้นก็ยังคงชัดเจนอยู่ในหูเหมือนกับเขาเพิ่งจะพูดกับเธอเมื่อวานเลย
เด็กน่ะ เป็นที่รักของพ่อและแม่เสมอนั่นแหละ แถมยังรักเป็นที่สุดด้วย ในตอนนี้ที่เธอกังวลเกี่ยวกับฝูซิงมากๆ มันถึงทำให้เธอนึกขึ้นได้ ว่าครอบครัวของเธอจะต้องเจ็บปวดขนาดไหนกับสิ่งที่เธอทำเอาไว้ ไม่อย่างงั้นแล้ว พวกเขาคงไม่ลั่นคำขาดขับไล่เธอออกจากตระกูลแบบนั้นหรอก จริงไหม?
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ถูกขับไล่ออกจากตระกูลแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งเองก็ไม่ได้กลับไปหาพวกเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว นั่นเพราะเธอเอาแต่ต่อว่าพวกเขาถึงเรื่องที่ไม่มีใครเข้าใจและปฏิเสธที่จะช่วยเธอ ในที่สุดก็ได้เข้าใจ…ว่าตัวเองนั้นเห็นแก่ตัวขนาดไหน
เธอต้องหาเหนียนซี่ให้เจอ จากนั้นเธอจะพาทั้งฝูซิงทั้งเหนียนซี่กลับไปหาพวกเขา
ฝูเจิ้งเจิ้งถอนหายใจยาวๆ เธอมองไปยังฝูซิงที่อยู่ตรงหน้า แต่ความสับสนมันตีกันอยู่ในหัวจนไม่รู้ว่าควรจะมีความสุขหรือเศร้าใจดี
————————————————————————————————————
คุยกับผู้แปล
จริงๆ แล้วฝูเจิ้งเจิ้งนี่ก็ยังเด็กนะ อายุ 24 ต้องมาเป็นแม่คน หากพูดตรงๆ ถ้าจะควบคุมอารมณ์หรือดูไม่ค่อยห่วงฝูซิงในบางครั้งก็เข้าใจได้แหละ ไหนจะต้องแบกเรื่องหนักๆ ไว้เบื้องหลังอีก
-ทีมงานผู้แปล Enjoybook-