ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 69 คิดจะปัดความรับผิดชอบหรือไง
“หยุดนะ! บอกฉันมาเดี๋ยวนี้ว่าเธอจะทำอะไรฝูซิง!” ฝูเจิ้งเจิ้งที่หมายจะคว้าแขนของเฉียวเค่อเหรินไว้นั้นพลาดต่อระยะที่คำนวณผิด กระนั้นด้วยความที่ร่างกายของเธอมีความยืดหยุ่นที่มากกว่าคนปกติอยู่ในระดับหนึ่ง มันเลยทำให้เธอสามารถพุ่งตัวเพิ่มระยะได้อีกนิดหน่อยโดยไม่เสียการทรงตัวจนล้มลงไป ทว่าสิ่งที่เธอคว้ามาได้นั้นกลับไม่ใช่แขนของอีกฝ่าย หากแต่เป็นผมที่ยาวสลวยของเฉียวเค่อเหรินต่างหาก!
“กรี๊ด!? ปล่อยฉันนะ ฝูเจิ้งเจิ้ง!” เฉียวเค่อเหรินกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดทันที
“หยุดนะเว้ย!” ชายร่างใหญ่ 2 คนวิ่งมาจากห้องข้างๆ และจับตัวฝูเจิ้งเจิ้งไว้
มือที่กระชากผมเฉียวเค่อเหรินผ่อนแรงลง เธอมองไปยังชาย 2 คนที่เพิ่มเข้ามาด้วยความระมัดระวังก่อนจะเอ่ยถาม “พวกนายเป็นใคร!?”
*เพี๊ยะ!*
ขณะที่ฝูเจิ้งเจิ้งละสายตาจากเฉียวเค่อเหริน ใบหน้าสวยก็โดนฝ่ามือของอีกฝ่ายฟาดจนหน้าหัน แต่แทนที่ฝูเจิ้งเจิ้งจะยกมือขึ้นสัมผัสแก้มที่โดนตบ เธอกลับเลือกที่จะตบสวนกลับไปด้วยแรงที่มากกว่า
*เพี๊ยะ!*
แน่นอนว่าแรงปกติของฝูเจิ้งเจิ้งก็มากกว่าเฉียวเค่อเหรินอยู่แล้ว ยิ่งเสริมแรงด้วยความโกรธ มันก็มากพอที่จะทำให้ร่างของเฉียวเค่อเหรินหันไปทั้งตัวตามแรงที่ส่งมาผ่านใบหน้าในทันที ไม่เพียงเท่านั้น แก้มนวลๆ ของลูกสาวคนโปรดของเทศมนตรีก็เกิดเป็นรอยนิ้วมือทั้ง 5 นิ้วแดงชัดเจนขึ้นมาอย่างรวดเร็วอีกด้วย
1 ในชาย 2 คนนั้นรีบวิ่งเข้าไปเพื่อจะคอยปกป้องเฉียวเค่อเหรินไว้ ในขณะเดียวกัน คนที่เหลือก็ยกขาขึ้นเตะฝูเจิ้งเจิ้งด้วย
เธอเอี้ยวตัวหลบไปด้านข้างก่อนจะพุ่งเข้าไปสู้กับผู้ที่เปิดฉากทำร้ายเธอก่อน
“ไปจัดการนังแพศยานั่นซะสิ!” เฉียวเค่อเหรินตะโกนออกมาด้วยความโกรธ
ทั้งสองมองหน้ากันเองก่อนจะวิ่งเข้าไปพร้อมๆ กัน
แม้คู่ต่อสู้จะเป็นชายที่กำยำถึง 2 คน แต่ฝูเจิ้งเจิ้งก็ไม่ได้หวั่นเกรงแต่อย่างใด เธอทั้งเตะและถีบอีกฝ่ายในขณะเดียวกันก็คอยป้องกันการโจมตีจากพวกเขาด้วย
จากการเข้าโจมตีแบบไม่มีแบบแผนและไม่มีความชำนาญ มันแสดงให้เห็นว่าทั้งสองคนนี้มีเพียงร่างกายที่สูงใหญ่และพละกำลังที่ล้นเหลือเฉยๆ ยิ่งพวกเขาต้องประมือกับฝูเจิ้งเจิ้งนานเท่าไหร่ ความเสียเปรียบก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าคนของเธอทั้งสองคนนั้นไม่สามารถรับมือฝูเจิ้งเจิ้งได้ เฉียวเค่อเหรินก็สบถออกมา “พวกแกทั้งสองนี่มันเลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ! ถ้าเอาชนะนังนี่ไม่ได้ก็ไปตายให้หนอนจิกซะไป!”
ถ้อยคำบาดแก้วหูเริ่มหลุดออกมามากขึ้นแล้ว ดูเหมือนว่าความโกรธของเฉียวเค่อเหรินจะเป็นตัวลั่นไกให้เธอเผยธาตุแท้ออกมามากขึ้นเรื่อยๆ
ในระหว่างที่เฉียวเค่อเหรินกำลังด่าทอพวกเขาอยู่นั้นเอง ชายทั้งสองก็หยุดการกระทำและถอยห่างออกจากฝูเจิ้งเจิ้งราวๆ 1 เมตร
“พวกแกจะหยุดทำไมน่ะ? ฉันไม่ได้จ้างพวกแกมายืนเฉยนะ! ไปจัดการนังนั่นสิ” ใบหน้าสวยเริ่มรับรู้ได้ถึงความไม่คาดฝันที่กำลังจะเกิดแล้ว แต่เธอก็พยายามใช้อำนาจบาตรใหญ่ของเธอสั่งชายทั้งสองนี้อยู่
“คุณฝู ขอบคุณในความเมตตาที่ไม่ได้จัดการเราครับ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ที่รบกวน พวกเราจะไม่มาอีกแล้ว” ทั้งสองยกมือขึ้นทุบอกแสดงความจริงใจ
ชายคนหนึ่งหยิบเอาบัตรเครดิตออกมาจากกระเป๋าและโยนมันลงไปที่พื้นตรงหน้าเฉียวเค่อเหริน พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “คุณเฉียวครับ พวกเราน่ะรับเงินมาและพยายามทำทุกอย่างตามที่คุณสั่งแล้ว แต่ยังไงพวกเราก็ยังมีศักดิ์ศรี”
“ฮ-เฮ้ๆๆ อย่าเพิ่งทำแบบนี้สิ เงินไม่พอเหรอ? เงินไม่ใช่ปัญหาหรอกนะ ฉ-ฉันให้เพิ่มได้สบายๆ อยู่แล้ว” เฉียวเค่อเหรินรีบต่อรองด้วยความวิตกกังวล ทว่าชายทั้งสองก็ไม่ได้สนใจคำต่อรองนั้นและเดินกลับเข้าลิฟต์ไปโดยไม่ได้หันกลับมามองอีก
เธอรู้ด้วยตัวเองแล้วว่าฝูเจิ้งเจิ้งไม่ใช่คนที่สามารถล้มได้ด้วยตัวคนเดียว ทว่าตอนนี้เธออยู่ในจุดที่ไม่เหลือใครให้เกาะหนีออกจากสถานการณ์เช่นนี้แล้ว เธอควรจะทำอย่างไรดี? พลันเมื่อคิดจะวิ่งกลับเข้าลิฟต์ไปด้วย ฝูเจิ้งเจิ้งก็จับแขนของตนเองไว้ก่อน
“เฉียวเค่อเหริน!”
เพียงแค่โดนเรียกชื่อเต็ม ร่างของเจ้าของชื่อก็สั่นเทาไปทั้งตัว กระนั้นแล้วเธอก็ยังกัดฟันสู้และแสร้งทำเป็นไม่เกรงกลัว “ธ-ธ-เธอจะทำอะไรฉันน่ะ!? อย่ามาแตะต้องตัวฉันนะ! ลืมแล้วหรือไงว่าพ่อของฉันคือเทศมนตรีเฉียวหยวนหานนะ! ถ้าเธอกล้าทำร้ายฉันแม้แต่นิดเดียวล่ะก็ ฉันจะให้พ่อของฉันไล่เธอออกจากเมืองนี้ทันทีเลย!”
ฝูเจิ้งเจิ้งพูดต่อด้วยความโกรธ “พ่อเธอจะเป็นเทศมนตรีหรือนกกระจอกเทศอะไรฉันก็ไม่สนทั้งนั้น! แต่ถ้าเธอกล้าทำร้ายฝูซิง ฉันก็กล้าที่จะทำร้ายเธอแม้จะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม!”
คราวนี้เฉียวเค่อเหรินเริ่มกลัวฝูเจิ้งเจิ้งขึ้นมาจริงๆ แล้ว ถ้อยคำเหล่านั้นมันขู่เธอได้อยู่หมัดจนเธอไม่กล้าที่จะทำตัวหยาบคายใส่ฝูเจิ้งเจิ้งได้อีก “ป-ปล่อยฉันไปเถอะ! รีบๆ ปล่อยฉันไปได้แล้ว!”
ได้ยินเช่นนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็สะบัดมือที่จับแขนของอีกฝ่ายไว้แรงจนร่างเพรียวบางตรงหน้านั้นล้มลงไปบนพื้นทางเดินด้วยขาที่อ่อนแรง หญิงสาวเหลือบกลับมามองผู้ที่ทำให้เธอลงมานอนกองเช่นนี้ด้วยแววตาที่หวาดระแวง
เมื่อประตูของลิฟต์เปิดออกอีกครั้ง ฝูเจิ้งเจิ้งก็เตรียมจะเดินเข้าไป แต่ก่อนที่จะเข้าไปเธอก็หันกลับมามองเฉียวเค่อเหรินด้วยสายตาที่เหยียดหยามก่อน “เฉียวเค่อเหริน จำคำฉันเอาไว้ว่า หานซือฉีไม่เคยขาดสาวๆ อยู่รอบตัวเขาตั้งแต่ก่อนที่เขาจะพบฉันแล้ว เธอเจียมกะลาหัวกลับบ้านไปแล้วสำรวจตัวเองว่าจะทำยังไงให้เขาสนใจเธอ ไม่ใช่หันเขี้ยวเล็บใส่ฉันแบบนี้!”
พูดจบร่างของฝูเจิ้งเจิ้งก็หายเข้าไปในลิฟต์เพื่อลงไปด้านล่างตามแผนที่เธอวางไว้ตั้งแต่ต้น
ฝูเจิ้งเจิ้งเดินออกมาจากลิฟต์และเดินไปยืนหลบอยู่ที่ตึกอื่นๆ เพื่อจับตาดูบริเวณทางขึ้นลงบันไดด้านล่างตึกที่เธออาศัยอยู่ พักหนึ่งเธอถึงได้เห็นเฉียวเค่อเหรินเดินออกมาด้วยผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง เธอคนนั้นรีบขึ้นรถสปอร์ตคันงามของตนและขับออกจากเจี่ยเย่ฮัวหยานไปอย่างรวดเร็ว
มองตามรถที่วิ่งจนหายลับตาไปนั้น ในแววตาของฝูเจิ้งเจิ้งก็ยังแฝงไปด้วยความรู้สึกต่างๆ ปนกันไปหมด
คนที่คนอื่นหยิบยื่นความช่วยเหลือตลอดอย่างเฉียวเค่อเหรินน่ะ ไม่มีทางที่จะหยุดแค่นี้แน่ ยิ่งตนเองโดนกระทำตอบโต้แบบนี้ด้วย
คิดถึงคำพูดที่เฉียวเค่อเหรินบอกไว้ว่าจะสั่งสอนบทเรียนให้ฝูซิง ฝูเจิ้งเจิ้งก็รู้สึกกังวลขึ้นมาอีกครั้ง เธอไม่ได้กังวลหากฝูซิงยังอยู่ในโรงเรียน นั่นเพราะว่าชื่อเสียงของเฉียวเค่อเหรินในโรงเรียนนั้นเป็นไปในทางที่ดี การกระทำที่จะเป็นการทำลายชื่อเสียงน่ะ คนๆ นั้นไม่ทำหรอก จะน่าห่วงก็ตอนที่ไม่อยู่มากกว่า บางทีเฉียวเค่อเหรินอาจจะลงมือลับๆ ได้
ปัญหานั้นน่ากังวลมากขึ้นเมื่อคิดได้อีกว่าจะถึงช่วงหยุดยาวของฝูซิงแล้ว ดังนั้นแล้วเธอจำเป็นต้องพาฝูซิงไปนู่นไปนี่กับเธอตลอดเสียแล้ว
หญิงสาวรีบเดินออกจากประตูทางเข้าย่านที่อยู่อาศัยและตรงไปยังซูเปอร์มาร์เก็ตที่อยู่ไม่ไกลจากย่านของเธอนัก
“หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ! พูดให้มันเคลียร์ก่อนสิ!”
“นี่เธอจะโกรธอะไรอีกเนี่ย!”
“นายได้ฉันไปแล้วนายคิดจะปัดความรับผิดชอบหรือยังไงกันน่ะ ฮะ!?”
“ใครบอกเธอน่ะว่าฉันจะปัดความรับผิดชอบ? เลิกมโนเรื่องแปลกๆ แล้วโวยวายไปทั่วซักทีจะได้ไหม?”
“นายหาว่าฉันมโนงั้นเหรอ!?”
ไม่ไกลจากหน้าซูเปอร์มาร์เก็ตนัก ชายหญิงคู่หนึ่งกำลังมีปากเสียงกันด้วยเรื่องบางอย่าง และเป็นฝ่ายหญิงที่หลั่งน้ำตาออกมาขณะขึ้นเสียง ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกคุ้นเคยกับเสียงของทั้งสองมากๆ เธอจึงเดินไปดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ มันกลับกลายเป็นว่าเจ้าของเสียงนั้นก็คือลิ่วหลินกับหลี่อวิ๋นนั่นเอง
ฝูเจิ้งเจิ้งรีบวิ่งเข้าไปแยกทั้งสองออกจากกัน “พวกคุณสองคนมาทะเลาะอะไรกันคะเนี่ย?”
เมื่อเห็นฝูเจิ้งเจิ้ง หลี่อวิ๋นก็พูดขึ้นมาด้วยความทุกข์ใจ “เจิ้งเจิ้ง มาก็ดีเลย ช่วยตัดสินทีสิว่าใครถูกใครผิด! เขาทำกับฉันแบบนี้ได้ยังไงกัน!”
“ฉันทำอะไรไม่ดีตรงไหนกันน่ะ?” ชัดเจนเลยว่าลิ่วหลินก็ยังรู้สึกผิดแบบงงๆ อยู่
“ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากันก่อนสิคะ” ฝูเจิ้งเจิ้งลากทั้งสองไปนั่งบริเวณม้านั่งที่อยู่ในสวนเล็กๆ ระแวกนั้นก่อน
“เจิ้งเจิ้ง ฉันไม่ได้มองเธอเป็นคนนอกนะ ฟังแล้วก็อย่าหัวเราะหลี่อวิ๋นล่ะ” ลิ่วหลินพูดก่อน
“แล้วทำไมเจิ้งเจิ้งต้องหัวเราะฉันด้วย?”
ครั้นเมื่อเห็นว่าเรื่องวิวาทรอบใหม่กำลังจะเริ่ม ฝูเจิ้งเจิ้งก็กดหลี่อวิ๋นให้นั่งลงมาก่อน “ฉันจะไม่หัวเราะก็แล้วกันนะคะ เพราะงั้นเล่ามาได้เลย”
“ก่อนที่พวกเราจะลุกออกจากเตียงน่ะ ฉันกำลังนอนเฉยๆ แล้วคิดถึงเรื่องที่คาใจ จู่ๆ หลี่อวิ๋นก็หันมาถามว่าฉันกำลังคิดถึงอะไรอยู่ ฉันก็บอกไปเหมือนเดิมว่า คิดถึงความสงบสุขเหมือนเมื่อตอนนั้น จากนั้นจู่ๆ เธอก็หันมาตีฉันแล้วบอกว่า ‘ทำไมถึงไม่คิดจะทำตัวสงบๆ บ้าง? นี่คิดจะเยาะเย้ยฉันหรือไง?’ ”
“นั่นฉันก็ขอโทษไปแล้วไม่ใช่หรือไงน่ะ!” หลี่อวิ๋นโกรธขึ้นมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น
ในหัวของฝูเจิ้งเจิ้งนั้นกำลังนึกถึงเมื่อครั้งที่ลิ่วหลินบอกเธอเกี่ยวกับเรื่องที่เขาบอกว่า กำลังนึกถึงความสงบสุข เมื่อนานมาแล้ว แล้วทำให้หลี่อวิ๋นโกรธ เมื่อคิดได้ดังนั้น ฝูเจิ้งเจิ้งก็พยายามกลั้นขำเอาไว้และปลอบใจหลี่อวิ๋น “เอาเป็นว่าเรื่องความสงบสุขนั่นจบไปแล้ว อย่าไปพูดถึงมันอีกเลยก็ได้”
ดังนั้นแล้วลิ่วหลินจึงพูดต่อ “โอเค เรื่องนั้นจบแล้ว ตอนนั้นฉันจะลุกจากเตียงแล้ว แต่เธอก็มาดึงฉันไว้และไม่ยอมให้ฉันลุก ฉันที่กำลังคิดถึงสิ่งๆ หนึ่งก็เลยบอกเธอไปว่า ‘ฉันคิดถึงเรื่องสำคัญอยู่ ก็บอกเธอไปบ่อยๆ แบบนี้แล้วเธอยังคิดว่าฉันคิดถึงสาวที่อื่นอีกเหรอ?’ พอพูดจบ เธอก็ดันถามฉันต่อว่า ‘นังคนสำคัญที่พูดหมายถึงใคร!’ เจิ้งเจิ้ง! บอกเธอทีสิว่า ‘เรื่องสำคัญ’ คืออะไร!”
“เธอเองก็รู้เรื่องนัง ‘คนสำคัญ’ ด้วยเหรอเจิ้งเจิ้ง!?” หลี่อวิ๋นหันไปมองฝูเจิ้งเจิ้งด้วยความงุนงง
ในที่สุด ฝูเจิ้งเจิ้งก็ไม่สามารถกลั้นหัวเราะได้ เธอพูดไปหัวเราะไป “หลี่อวิ๋น เธอนี่ช่างน่ารักจริงๆ เลย ‘เรื่องสำคัญ’ ของพี่ลิ่วน่ะ หมายถึง ‘ของสำคัญ’ ไม่ใช่คนสำคัญอย่างที่เธอเข้าใจหรอกจ้ะ”
ทันใดนั้น หลี่อวิ๋นก็เข้าใจได้ทันทีว่าเธอเข้าใจผิดและหัวร้อนไปเอง หญิงสาวหันไปหยิกลิ่วหลินด้วยความเขินอาย “แล้วทำไมนายไม่บอกฉันให้ชัดเจนเล่า! นายน่ะ ชอบพูดอะไรที่มันยากเกินความเข้าใจฉันอยู่เรื่อยเลย! มันทำให้ฉันกลายเป็นตัวตลกต่อหน้าเจิ้งเจิ้งเห็นไหม!”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันน่ะขี้ลืมจะตายไป เดี๋ยวอีกไม่นานก็ลืมแล้ว” เธอพยายามอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็หยุดหัวเราะไป
ลิ่วหลินมองหลี่อวิ๋นด้วยความรู้สึกเศร้า “เธอเปิดโอกาสให้ฉันอธิบายหรือไงกันน่ะ? พอหัวร้อนขึ้นมาก็โวยวายเป็นเด็กเลย”
“งั้นฉันขอโทษ โอเคหรือเปล่า?” หลี่อวิ๋นก้มหน้าสำนึกผิดเบาๆ
“พี่ลิ่ว หลี่อวิ๋นน่ะเขาเป็นห่วงทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับพี่มากเลยนะ มันก็ดีไม่ใช่หรือไงที่มีคนมาเป็นห่วงเราขนาดนี้?” ฝูเจิ้งเจิ้งหันไปมองหลี่อวิ๋นก่อนจะถามเสริม “เนอะ?”
หลี่อวิ๋นพยักหน้าและพูดเสริมเพราะเธอยังไม่สบายใจนัก “ผู้ชายน่ะจะใจดีกับผู้หญิงมากๆ หากเขายังไม่ได้ผู้หญิงคนนั้น แต่หลังจากนั้นแล้ว พวกเขาก็จะโยนคนที่ได้แล้วทิ้งๆ ขว้างๆ ยิ่งทิ้งไกลได้ยิ่งดี ผู้ชายน่ะก็เป็นแบบนี้มาตลอด… เพราะงั้นในเมื่อตอนนี้ฉันเป็นผู้หญิงของเขา ฉันเองก็กลัวว่าเขาคิดจะทิ้งฉัน ฉันถึงต้องถามแบบนั้น..”
ฟังเพียงเท่านั้นลิ่วหลินก็รีบพูดตัดบทเสียก่อน “ไม่ใช่ว่าฉันบอกไปแล้วเหรอว่าจะพาเธอกลับบ้านไปพบครอบครัวของฉันช่วงฤดูใบไม้ผลิน่ะ? ยังจะกลัวว่าฉันจะทิ้งอีกทำไมเนี่ย?”
“ง-งั้นก็ช่วยทำตามที่พูดให้ได้หน่อยสิยะ!”
“แล้วฉันไม่ทำตามที่พูดตอนไหนน่ะ?”
“อย่ามาผิดสัญญาตอนหลังซะล่ะ” หลี่อวิ๋นค่อยๆ ผลิยิ้มออกมาผ่านรอยน้ำตาที่ยังไม่แห้งไปเสียทีเดียว
เมื่อเห็นว่าปัญหาคงจะคลี่คลายลงแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งเองก็ผลิยิ้มออกมาเหมือนกัน ทันใดนั้นลิ่วหลินก็หันมากระซิบถามเบาๆ “เจิ้งเจิ้ง เป็นไงบ้าง? เรื่องนั้นน่ะ”
เธอส่ายหน้า “เหมือนเดิมเลยค่ะ ยังไม่มีอะไรคืบหน้า แถมพวกเขายังมั่นใจด้วยว่าไม่เคยเห็นกุญแจดอกนี้”
ได้ยินเช่นนั้นลิ่วหลินก็รู้สึกหมดหวัง แต่เขาก็ยังเผื่อใจไว้ว่ามันจะยังมีหวังหลงเหลือ “ถ้ายังไงช่วยบอกให้เขาหาให้อีกทีได้ไหม?”
“เรื่องนั้นฉันบอกให้แล้วค่ะ เขาพยายามหาให้แล้ว แต่ขนาดมีเงินจูงใจมาล่อก็ยังไม่รู้จะหาที่ไหนเลย” ฝูเจิ้งเจิ้งก้มหน้าก้มตาด้วยความรู้สึกผิด
“อา…เฮ้อ” ด้วยการถอนหายใจยาว ลิ่วหลินก็เตือนฝูเจิ้งเจิ้งขึ้นมา “เธอต้องห้ามเอาเรื่องนี้ไปบอกใครนะ รวมไปถึงภาพของกุญแจนั่น เป็นไปได้รีบๆ ทำลายทิ้งไปดีกว่า ไม่งั้นแล้วมันอาจจะนำหายนะมาให้เธอในอนาคตก็ได้”
“อ๊ะ ถ้ายังไงเดี๋ยวฉันจะบอกให้ครอบครัวฉีกมันทิ้งนะคะ” ฝูเจิ้งเจิ้งแสร้งทำเป็นประหลาดใจ
“ถึงเวลาที่พวกเราจะต้องไปกันแล้วล่ะ” ลิ่วหลินจับมือของหลี่อวิ๋นไว้และเตรียมจะเดินออกไป
“รอก่อนค่ะ พี่ลิ่ว!” ทันใดนั้น ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบหยุดพวกเขาไว้ก่อน “ฉันคิดว่าฉันไม่เหมาะกับงานที่โรงน้ำชาซักเท่าไหร่…แถมฉันเองก็ได้งานใหม่แล้วด้วย…”
“เข้าใจแล้ว เดี๋ยวจะช่วยลาออกให้ก็แล้วกัน” พูดจบลิ่วหลินก็เดินจากไปพร้อมหลี่อวิ๋นทันที
มองคู่รักที่พากันจับมือและเดินออกไปทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังทะเลาะกันอยู่เลย ฝูเจิ้งเจิ้งก็หลุดยิ้มออกมา เธอเดินเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ตก่อนจะกลับออกมาพร้อมของเต็มสองมือ
———————————————–
“ป้าเฉินคะ พอดีฉันได้ยินจากที่ป้าเฉินคุยโทรศัพท์เมื่อครู่น่ะค่ะ…เย็นนี้จะมีแขกมาทานข้าวกับเราด้วยเหรอคะ? ทำไมถึงมีแขกได้ล่ะ?” ฝูเจิ้งเจิ้งถามด้วยความอยากรู้ขณะที่มือก็ล้างผักไปด้วย
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ท่านซือฉีบอกมาอย่างนั้น แถมเขาก็ไม่ได้บอกฉันด้วยว่าแขกที่ว่านั้นมีกี่คน” เฉินเฉี่ยวหลานตอบกลับด้วยรอยยิ้มขณะที่หั่นเนื้อ “บางทีอาจจะเป็นเพื่อนสนิทของท่านซือฉีก็ได้นะคะ”
เพื่อนสนิทของตานั่นงั้นเหรอ?
คนแรกที่ฝูเจิ้งเจิ้งคิดออกก็คือ หมินจงจู่ เพราะว่าหมินจงจู่ต้องไปรับฝูซิงกลับมาด้วย
ในตอนที่อาหารเริ่มถูกจัดวางบนโต๊ะแล้ว เสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้นมา และเมื่อประตูถูกเปิดออก ฝูซิงก็วิ่งพรวดเข้ามาพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงสดใส “สวัสดีครับคุณย่า หม่ามี๊ ฝูซิงได้กลิ่นอาหารแสนอร่อย นั่นใช่เนื้อตุ๋นหม้อไฟฝีมือหม่ามี๊นี่นา!”
ฝูเจิ้งเจิ้งที่กำลังเตรียมชามและตะเกียบโยกหัวไปมอง และเธอก็พบว่าที่เดินเข้ามานั้นไม่ได้มีเพียงหานซือฉีแต่ยังมีหมินจงจู่เดินตามหลังฝูซิงมาด้วย ไม่เพียงเท่านั้น ด้านหลังหมินจงจู่ก็ยังมีจูหลิงหลงตามมาติดๆ อีก เพราะงั้นฝูเจิ้งเจิ้งจึงรีบละมือจากสิ่งที่ทำแล้วหันมาทักทายพวกเขาด้วยรอยยิ้ม
“สวัสดีตอนเย็นค่ะผู้จัดการหมิน หลิงหลง”
ตอนแรกนั้นจูหลิงหลงก็แอบประหม่าอยู่เหมือนกัน “ว้าว~~แค่กลิ่นก็น่าอร่อยจริงๆ ด้วยแฮะ! ซือฉีน่ะบอกฉันว่าเนื้อตุ๋นหม้อไฟฝีมือเธออร่อยมากๆ เลยนะ ตอนแรกฉันคิดว่าเขาน่ะขี้โม้ จนมาได้เจอของจริง ดูท่าจะเริ่มมีมูลความจริงขึ้นมาแล้วล่ะสิ”
“เนื้อตุ๋นหม้อไฟฝีมือหม่ามี๊ของฝูซิงน่ะ อร่อยกว่าฝีมือของเชฟในโรงแรม 10 ดาวซะอีก!” ฝูซิงยืดอกอย่างภาคภูมิใจ
หมินจงจู่ย่อตัวลงมาลูบหน้าฝูซิงเบาๆ ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “งั้นลุงกับแฟนสาวของลุงมาทานบ่อยๆ ได้ไหมนี่?”
“ให้มันน้อยๆ หน่อย ใครอยากจะมากับนายกันน่ะ?” จูหลิงหลงทำท่าหยิ่งผยองใส่
“แล้วฉันพูดเหรอว่าแฟนสาวที่ว่าหมายถึงเธอ?”
“อยากโดนต่อยก่อนกินข้าวมะ?”
ขณะที่จูหลิงหลงกำลังกำหมัดแน่นนั้นเอง หมินจงจู่ก็รีบวิ่งไปหลบหลังหานซือฉีพร้อมกับร้องขอความเมตตา “โอ้ แม่คนสวย ฉันผิดไปแล้ว อย่าทำอะไรฉันเลย”
เห็นดังนั้นฝูซิงก็ชอบอกชอบใจ เขาปรบมือและหัวเราะ “ลุงหมินกลัวน้าจู ในขณะที่ป๊ะป๋าเองก็กลัวหม่ามี๊ด้วย!”
“ฝูซิง!” ฝูเจิ้งเจิ้งเขินหน้าแดงขึ้นมา ในตอนที่เธอหันไปดุเจ้าตัวเล็ก สายตาของเธอก็สบเข้ากับหานซือฉีโดยไม่ได้ตั้งใจ
—————————————————————————————————————–
คุยกับผู้แปล
ฝูเจิ้งเจิ้ง MVP สุดในตอนนี้แล้ว สปิริตความเป็นแม่หวงลูกมันแรง
-ทีมงานผู้แปล Enjoybook-