ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 7 แกล้งทำเป็นเมางั้นเหรอ!
บทที่ 7 แกล้งทำเป็นเมางั้นเหรอ!?
ทว่า เพียงไม่นานนักมือที่จับข้อมือของเธอไว้ก็คลายออกพร้อมกับร่างของหานซือฉีที่ค่อย ๆ ขยับกลับไปนอนนิ่งดังเดิม
หลังจากที่นิ่งรอสักพักจนมั่นใจว่าอีกฝ่ายหลับแล้วจริง ๆ ฝูเจิ้งเจิ้งก็เริ่มลงมืออีกครั้ง
หญิงสาวกัดริมฝีปากแน่น ตอนนี้หน้าผากของเธอนั้นชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อมากมายราวกับว่าเธอเพิ่งไปอาบน้ำมาเสียอย่างนั้น หยาดเหงื่อไหลตามแรงโน้มถ่วงไปตามโครงหน้าสวย ลงไปที่ลำคอระหงครั้งแล้วครั้งเล่า บรรยากาศอย่างกับเธอเป็นโจรขโมยเข็มขัดเส้นนี้เสียอย่างนั้น! โชคดีที่หานซือฉีดูเหมือนจะกลับไปหลับสนิทไปแล้ว
สำเร็จ เธอปลดเข็มขัดได้แล้ว!
หัวใจของเธอเต้นแรงมากขึ้นเมื่อเห็นว่าความสำเร็จอยู่ใกล้แค่เอื้อม เธอค่อย ๆ กระตุกกางเกงของเขาลงช้า ๆ
ชั่วอึดใจหนึ่งก่อนที่กางเกงจะถูกดึงลงมา หานซือฉีก็ขยับและพลิกตัวกลับมาอีกครั้ง รอบนี้เขารวบตัวฝูเจิ้งเจิ้งเอาไว้ในอ้อมกอดและซุกใบหน้าเข้าหาคนตัวเล็กอย่างรวดเร็ว หวังจะได้ลิ้มชิมรสริมฝีปากบางที่แสนเย้ายวนนั้น
หมอนี่มันแกล้งเมางั้นเหรอ!? กับดัก ฉันติดกับดักเข้าให้แล้ว!
“คุณหานคะ จะทำอะไรน่ะคะ!” หญิงสาวตกใจกลัวเป็นอย่างมาก เธอพยายามดิ้นหาทางออกจากอ้อมกอดของคนตรงหน้า สภาพตอนนี้ฝูเจิ้งเจิ้งเหมือนหนูที่ติดจั่น ไม่สามารถหนีออกไปได้! เธอดิ้นสู้แต่ไม่ว่ายังไงก็ไม่เป็นผลเพราะเขาแข็งแรงกว่าเธอ ทางออกเดียวในตอนนี้คงไม่พ้นการใช้ไม้แข็ง!
…ง่ำ…
ฟันซี่เล็กกัดเข้าที่ไหล่ของชายหนุ่มอย่างแรงในตอนที่เขาไม่ทันตั้งตัว จนหานซือฉีต้องคลายอ้อมแขนลงด้วยความเจ็บ เปิดโอกาสให้ฝูเจิ้งเจิ้งสามารถผลักเขาออกแล้วกลิ้งลงมาจากเตียงได้สำเร็จ
ทันทีที่เธอรอดพ้นเงื้อมมือของคนเจ้าเล่ห์ได้ หญิงสาวก็รีบจัดการเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ยของตนเองอย่างรวดเร็ว พร้อมกับต่อว่าชายหนุ่มไปด้วยเพื่อกลบเกลื่อน “คุณหลอกฉันว่าเมางั้นเหรอ! ทำตัวไม่สมเป็นลูกผู้ชายสุด ๆ เลย!”
รอยฟันชัดเจนปรากฏขึ้นบนหัวไหล่ของเขา กระนั้นแล้วใบหน้าที่ควรจะโกรธกลับกลายเป็นยกยิ้มชอบอกชอบใจพลางตอบอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงยียวน “อยากให้ทำตัวสมเป็นผู้ชายมากกว่านี้หรือไง?” เขาพูดพร้อมกับตั้งท่าจะเข้ามาหาเธออีกครั้ง
“หยุด! ให้ตายเถอะ น่าอายที่สุด!” ฝูเจิ้งเจิ้งรีบกระชับเสื้อนอกของเธอให้มิดชิดก่อนจะวิ่งปรี่ไปยังประตูอย่างรวดเร็ว
หานซือฉีไม่ได้ลุกตามหญิงสาวไปแต่อย่างใด ชายหนุ่มทิ้งตัวลงบนเตียงผุดยิ้มร้ายและหันไปพูดกับเธอว่า “ไม่อยากเห็นไฝแล้วหรือไง?”
ได้ยินเช่นนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็ถึงกับชะงักและรีบหันกลับมาทันที “คุณหานน่ะ ไม่ใช่เหนียนซี่แน่ ๆ! เพราะงั้นไฝอะไรนั่นน่ะไม่มีหรอก!”
“ต่อให้คุณหานจะหลอกล่อฉัน ฉันก็จะไม่หลงกลอีก!”
“รอบ ๆ ตัวคุณหานเองก็มีสาว ๆ คอยปรนนิบัติตั้งเยอะตั้งแยะ เพราะงั้นก็ช่วยใช้พวกหล่อนให้เป็นประโยชน์ด้วยนะคะ” หญิงสาวเย้ยหยันทิ้งท้าย
“นี่เธอน่ะ รู้หรือเปล่าว่า ‘เป็นผู้หญิงต้องไว้เชิง’ ยิ่งใช้บ่อยมันยิ่งหมดค่านะ” เมื่อเห็นว่าหญิงสาวดูจะไม่ยอมหยุดแน่ ๆ หานซือฉีก็ตะโกนรั้งไว้อีกครั้ง “ถ้าไม่กลับมาดี ๆ ล่ะก็ หลังจากนี้ฉันจะไม่มาพูดให้เปลืองน้ำลายแล้วนะ”
“ฉันแค่อยากจะเห็นไฝนั่นเท่านั้น ไม่ได้สนใจส่วนอื่นของคุณหานเลยแม้แต่นิดเดียว! เพราะงั้นแล้ว ไม่ช้าก็เร็วเดี๋ยวฉันก็ได้เห็นมันเองนั่นแหละ!” เธอพูดกับคนตรงหน้าอย่างถือไพ่เหนือกว่า
“เอ๋ แบบนี้ฉันสามารถสรุปได้ว่าเธอกำลังจะมานอนกับฉันไม่ช้าก็เร็วหรือเปล่าน่ะ?” เขาจงใจพูดยั่วโมโหเธออีกครั้ง
“ฮึ่ม! จะใช่หรือไม่ เดี๋ยวคุณหานจะได้รู้!”
เสียงปิดประตูทิ้งท้ายประโยคนั้นเป็นการตัดบทสนทนาที่น่าเจ็บปวดใจไม่น้อย แต่เพราะหานซือฉีมัวแต่คิดถึงสิ่งที่หญิงสาวพูดทิ้งท้าย เขาจึงไม่ได้ใส่ใจเสียงปิดประตูที่ดังสนั่นเสียเท่าไหร่
ภายในข้อมูลที่ได้มาจากฝ่ายบุคคลนั้นมีระบุไว้เพียง ‘ฝูเจิ้งเจิ้ง เพศหญิง อายุ 24 ปี จบปริญญาตรี’ ไม่ได้พูดถึงฝูซิงแม้แต่น้อย
เขายังจำได้ดีอีกด้วยว่าเมื่อครั้งหมินจงจู่ถามเขาเมื่อวันนั้นว่า “ทำไมคุณซือฉีถึงตัดสินใจรับฝูเจิ้งเจิ้งเข้ามาเป็นเลขาล่ะครับ? เธอคนนั้นไม่มีคุณสมบัติอะไรเทียบเท่าผู้คัดเลือกที่เราได้ทำการคัดกรองมาอย่างดีแล้วแม้แต่นิดเดียวเลยนะครับ”
คำตอบที่เขาให้กลับไปมันก็เป็นเพียงประโยคสั้น ๆ ว่า “เธอน่าสนใจกว่าคนอื่น”
สิ่งเดียวที่สามารถอธิบายได้ดีที่สุดว่าทำไมหญิงสาวคนนี้จึงอยากจะทำงานกับเขานัก คงไม่พ้นการที่จะมาเพื่อจับชายหนุ่มที่ร่ำรวยเพื่อให้ไปรับผิดชอบลูกของตนเอง โดยใช้ชื่อ เหนียนซี่ เป็นตัวกลางในการเข้าหา
ทว่าเมื่อหานซือฉีเริ่มเป็นฝ่ายรุกเข้าไปหาเธอ เธอกลับปฏิเสธเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
อุตส่าห์เป็นหมูในอวยมานอนรอให้เชือดถึงขนาดนี้ ทำไมหล่อนถึงไม่ทำอะไรเลยล่ะ?
เป็นผู้หญิงที่น่าสนใจจริง ๆ น่าสนใจขึ้นทุกทีที่ได้เจอ
——————-
เที่ยงวันเสาร์ ภายในร้านอาหารบริเวณชั้น 3 ของอาคารเว่ยหาน
ฝูซิงนั้นกำลังสนุกอยู่กับการเล่นกล้องส่องทางไกลจนฝูเจิ้งเจิ้งต้องเคาะเข้าไปที่หัวเล็ก ๆ ของเจ้าหนุ่มน้อยคนนี้เพื่อเร่งให้เขารีบ ๆ กินข้าว “ฝูซิง กินเร็ว ๆ สิลูก ถ้าลูกเอาแต่เล่นหม่ามี๊จะไม่รอแล้วนะ”
ทุกคนที่ทำงานอยู่ภายในอาคารเว่ยหานนี้ต่างรู้กันดีว่าวันหยุดของที่นี่ก็มีแค่ในนาม ไม่มีใครได้หยุดจริง ๆ หรอก เพราะงั้นแล้วหานซือฉีจึงอนุญาตให้ฝูเจิ้งเจิ้งสามารถนำฝูซิงมาเลี้ยงในที่ทำงานได้ในวันหยุดแบบนี้
เด็กน้อยเหลือบมองไปยังอาคารฝั่งตรงข้าม ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใส “หม่ามี๊ ฝูซิงอยากไปที่นู่นแล้วกินสเต็กกับป๊ะป๋า”
“ป๊ะป๋าของลูกกำลังยุ่งนะ เขาไม่ว่างมากินข้าวกลางวันกับลูกหรอก”
ได้ยินเช่นนั้นฝูซิงก็บุ้ยปาก เขาส่งกล้องส่องทางไกลให้ฝูเจิ้งเจิ้งแล้วจึงเอ่ยต่อ “แล้วทำไมป๊ะป๋าถึงมีเวลาไปกินข้าวกับผู้หญิงคนอื่นล่ะ?”
เมื่อเห็นลูกชายของเธอส่งกล้องส่องทางไกลมา ฝูเจิ้งเจิ้งจึงใช้มันส่องไปยังตึกฝั่งตรงข้ามที่ฝูชิงส่องก่อนหน้านี้ แล้วเธอก็พบว่าหานซือฉีกำลังกินสเต็กอยู่ภายในร้านอาหารตะวันตกที่อยู่ฝั่งตรงข้ามนั้นจริง ๆ พร้อมด้วยหญิงสาวผมยาวสลวยที่กำลังหันหลังให้เธอและลูกอยู่
ความรู้สึกจุกอกค่อย ๆ เกิดขึ้นมาในใจ
แต่เพียงไม่นานนัก ความสงสัยของเธอมันก็พุ่งทะยานแซงขึ้นมาแทน “ผู้หญิงคนนั้นคือใครน่ะ?”
——————————————————————————————————————
คุยกับนักแปล
ฝูซิง = Orphan
-ทีมงานนักแปล Enjoybook-