ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 73 ฉันไม่เห็นคุณเลย
เป็นบ้าไปแล้วหรือไงฮะ หานซือฉี!?
ฝูเจิ้งเจิ้งด่าทอเขาในใจขณะที่ตนเองก็รีบห่อร่างที่เปลือยเปล่าด้วยผ้าห่มและกระโดดออกจากเตียงตามเก็บเศษผ้าที่พื้นอย่างรวดเร็ว
ในระหว่างนั้น แข้งขาก็รู้สึกอ่อนล้าจนทำให้เธอทรุดล้มลงไปกับพื้น
บ้าเอ้ย เมื่อคืนอีตานั่นทำอะไรฉันไปบ้างน่ะ? ทำไมมันรู้สึกแย่แบบนี้!
ขณะที่ฝูเจิ้งเจิ้งพยายามตามเก็บเศษผ้าอย่างทุลักทุเล หานซือฉีก็เดินเข้ามาพร้อมกับถุงกระดาษใบหนึ่ง
เธอพยายามมองไปที่ด้านหลังของอีกฝ่ายด้วยความกังวลใจ เธอกลัวมากว่าจะมีใครเข้ามาเห็นเธอกับเขาในสภาพแบบนี้
เมื่อได้เห็นฝูเจิ้งเจิ้งมีท่าทีตกใจเช่นนี้ หานซือฉีก็อดขำไม่ได้ เขาย่อตัวลงไปตรงหน้าเธอก่อนจะชี้ไปตามเศษผ้าบนพื้นพลางหัวเราะไปด้วย “เธอคิดว่าเศษผ้าพวกนี้ยังจะใส่ได้อีกเหรอ?”
หญิงสาวทิ้งเศษผ้าที่รวบรวมมาเมื่อครู่ลงบนพื้นด้วยความอับอาย เสื้อผ้าของเธอนอกจากเสื้อโค้ทชั้นนอกแล้ว อย่างอื่นก็เละเทะไม่มีชิ้นดีเลย
“เอ้า นี่ชุดของเธอ หลิงหลงส่งมาให้” เขาส่งถุงกระดาษนั้นให้เธอ
ทันทีที่เธอเปิดถุงนั้นออก ฝูเจิ้งเจิ้งก็พบว่ามันมีทั้งชุดชั้นในและเสื้อผ้าที่เธอจำเป็นต้องใช้แถมยังมี…ผ้าพันคอผืนใหญ่ด้วย
มองไปยังป้ายบนเสื้อผ้า ฝูเจิ้งเจิ้งก็ยกนิ้วโป้งขึ้นภายในใจ เธอไม่คาดคิดเลยว่าจูหลิงหลงนั้นจะสามารถจำไซส์เสื้อผ้าที่เธอใส่ได้แม้จะไปซื้อเสื้อผ้าด้วยกันเพียงแค่ครั้งเดียวกเท่านั้น
เอ๊ะ…ถ้าคุณหลิงหลงรู้เรื่องนี้… หมายถึงผู้จัดการหมินก็ต้องรู้ด้วยหรือเปล่า?
ใบหน้าสวยนั้นดูมืดมนอีกครั้ง และยิ่งมีสายตาของหานซือฉีที่คอยจับจ้องตนอยู่ ฝูเจิ้งเจิ้งก็ยิ่งรู้สึกโกรธเคืองขึ้นมาอีก
“เธอจะอายอะไรอีก? รีบๆ ชินได้แล้ว เดี๋ยวไม่ช้าก็เร็วก็ต้องเจออยู่ดี” หานซือฉีไม่สนใจอารมณ์ขุ่นเคืองบนใบหน้าของอีกฝ่ายแม้แต่นิด
“ออกไปเลยนะ!”
“นี่ห้องของฉัน”
ฝูเจิ้งเจิ้งสะอึกคำพูดนั้นอีกครั้งก่อนจะเริ่มคิดหาเหตุผลใหม่ “ฉันต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า!”
“เธอควรพูดว่า ‘ฉันต้องใส่เสื้อผ้า’ ถึงจะถูก” หานซือฉีหัวเราะออกมาอีกครั้งและเสียงหัวเราะนี่ก็ดังมาให้ได้ยินเรื่อยๆ แม้เขาจะกำลังเดินออกไปแล้วก็ตาม
หญิงสาวกำหมัดแน่น เธอลุกขึ้นไปหยิบหมอนบนเตียงและโยนใส่เขาเต็มแรง ทว่าประตูห้องนั้นปิดลงก่อน ทำให้หมอนมันเข้าไปปะทะประตูแทนที่จะเป็นเป้าหมายที่ยังหัวเราะไม่หยุดนั่น
นายคิดว่าการที่นายช่วยชีวิตฉันไว้แล้วจะทำตัวหยามเกียรติแบบนี้ได้งั้นเหรอ! หน็อยแน่ะ บุญคุณน่ะต้องทดแทน แต่ความแค้นที่นายทำไว้มันลบล้างกันไปหมดแล้วย่ะ! แล้วไอ้ที่บอกไม่ช้าก็เร็วนั่นหมายถึงอะไรอีกน่ะ? อย่าหวังเลยว่าฉันจะยอมนายง่ายๆ ฉันไม่ใช่อาหารข้างทางที่จะอยากกินเมื่อไหร่ก็ได้นะ
โธ่เว้ย! ทำไมกันนะ ทำไม!
ทำไมแผนโง่ๆ ของยัยเฉียวเค่อเหรินนั่นถึงต้องมาสำเร็จง่ายๆ เพราะความสะเพร่าของฉันด้วย!
ในหัวของเธอตอนนี้มันมีแต่เรื่องวุ่นๆให้ปวดหัว
และอารมณ์ที่ไม่มั่นคงนั้นดูจะเทให้ความโกรธไปในทันทีเมื่อคิดถึงเฉียวเค่อเหรินตัวร้ายนั่น
แต่เพื่อฝูซิงแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งคนนี้น่ะไม่ยอมโดนกลั่นแกล้งง่ายๆ อีกต่อไปแน่!
หันมองไปยังกระจกภายในห้องน้ำ เธอก็พบว่าเรือนร่างที่เคยขาวสะอาดราวหิมะของเธอนั้น เต็มไปด้วยรอยช้ำสีกุหลาบมากมาย ราวกับคนที่สร้างร่องรอยนี้ต้องการประทับตราความเป็นเจ้าของ พลันความอับอายเริ่มสะท้อนในจิตใจจนใบหน้าเนียนสวยแดงระเรื่อขึ้นอีกครั้ง ฝูเจิ้งเจิ้งรีบใส่เสื้อผ้าเหล่านั้นพยายามยกกระชับคอเสื้อให้สูงเข้าไว้เพื่อที่จะปกปิดรอยแดงบริเวณต้นคอ ที่ดูจะมีเยอะกว่าที่อื่นจนเห็นเด่นชัด แม้จะยืดคอเสื้อให้สูงเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล เพราะบางรอยมันก็อยู่สูงเกินกว่าที่คอเสื้อจะปกปิดได้ และการที่เธอยังสามารถมองเห็นมันได้ในกระจก นั่นก็หมายถึงคนอื่นก็จะสามารถเห็นมันได้เหมือนกัน
ทำยังไงดีนะ…
ระหว่างที่กำลังครุ่นคิดหาทางออก ทันใดนั้นสายตาเธอก็ไปหยุดอยู่ที่ผ้าพันคอผืนใหญ่ ไม่รอช้า เธอรีบคว้ามันขึ้นมาพันไปรอบๆ คอของตนอย่างระมัดระวัง แล้วเธอก็พบว่ามันเข้ากับชุดที่สวมอยู่เป็นอย่างดี อย่างน้อยๆ ก็เบาใจเรื่องร่องรอยที่คอได้เปราะหนึ่งแล้ว
เมื่อเดินออกมาจากห้องน้ำและมองไปยังเศษเสื้อผ้าที่ขาดเวิ่น เธอจัดการเก็บพวกมันทิ้งลงถังขยะใกล้ๆ ก่อนจะออกจากห้อง ฝูเจิ้งเจิ้งก็ไม่ลืมที่จะตรวจสอบสัมภาระของตน แล้วก็โล่งใจที่พบว่าโทรศัพท์ของเธอยังคงวางอยู่ข้างๆ เตียงนอน
ในทันทีที่เธอเปิดเครื่องขึ้นมา เสียงแจ้งเตือนสายไม่ได้รับก็ดังรัวๆ พร้อมกับปรากฏสายโทรเข้าของสวี่เหยียนที่ไม่สามารถติดต่อเธอได้มากมายตั้งแต่เมื่อคืน หญิงสาวรีบเก็บโทรศัพท์ลงไปในกระเป๋าแล้วจึงเดินไปแง้มประตูดูว่ามีใครอยู่ด้านนอกบ้าง เมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่มีใครเธอจึงรีบเดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว
เมื่อออกมาจากตัวรีสอร์ทหลังนั้นก็พบว่ามันคือหลังเดียวกับที่จีหมู่เซี่ยนพาเธอเข้ามาเมื่อคืน เมื่อพยายามจะปะติดปะต่อกับเหตุการณ์ที่หานซือฉีปรากฏตัวตรงหน้าเธอ แต่ไม่ว่าจะพยายามนึกแค่ไหนก็ไม่สามารถหาจุดเชื่อมโยงได้ว่าทำไมเขาถึงไปอยู่ในห้องนั้น ฝูเจิ้งเจิ้งส่ายหน้าเพื่อไล่ความคิดเรื่องนี้ออกไป สิ่งที่ควรทำตอนนี้คือต้องรีบกลับไปที่ห้องของเธอโดยเร็วที่สุด
ตามที่บริษัทได้จัดแจงไว้ให้ พวกเธอจะมีเวลาว่างช่วงครึ่งวันเช้านี้ก่อนจะต้องกลับไปทำงานช่วงบ่ายของวันตามปกติ
อาจจะเป็นเพราะเมื่อคืนพวกเขาทั้งหมดล้วนแต่สนุกสนานไปกับงานเลี้ยงจนดึกดื่น
วันนี้เหล่าพนักงานทั้งหลายจึงยังคงหลับสนิทกันอยู่ในห้อง ไม่เว้นแม้แต่สวี่เหยียนเองก็ด้วย
ก๊อกๆๆ
ฝูเจิ้งเจิ้งรีบเคาะทันทีที่มาถึงหน้าห้องแล้ว
“ใครคะ…” เสียงของสวี่เหยียนเอ่ยถามอย่างเหนื่อยล้าขณะเดินมาเปิดประตู และทันทีที่เธอเห็นว่าผู้ที่มาเคาะประตูนั้นคือฝูเจิ้งเจิ้ง แววตาที่อ่อนล้าก็กลับมาสดใสเหมือนเคย เธอรีบเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงทันที “เมื่อคืนเธอไปไหนมาน่ะ? ฉันตามหาเธอจนดึกดื่นเลยนะ แถมติดต่อก็ยังไม่ได้อีก!”
“พ-พอดีมีเรื่องที่ต้องทำเมื่อคืนน่ะ ฉันก็เลยต้องกลับบ้านไปก่อน แถมโทรศัพท์ยังแบตหมดอีก…” ฝูเจิ้งเจิ้งแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นขณะเดินเข้าไปในห้อง ระหว่างนั้นเธอก็คิดหาเรื่องแก้ตัวไปด้วย
“เธอยืมโทรศัพท์ใครมาโทรบอกฉันก่อนก็ได้นะ ไม่ควรปล่อยให้ฉันเป็นห่วงขนาดนี้” สวี่เหยียนทิ้งตัวไปบนเตียงอีกครั้ง เธอดูจะไม่ค่อยพอใจอีกฝ่ายเสียเท่าไหร่
“แต่ฉันก็กลับมาแล้วนี่ไง ไม่ต้องกังวลแล้วน่า นอกจากนี้นะ ฉันเองก็ไม่ใช่เด็กแล้วด้วย คิดมากไปได้เธอเนี่ย” ในขณะที่พูดออกไปเช่นนั้น ภาพที่เธอนอนอยู่กับหานซือฉีก็แว้บขึ้นมาในหัว ทำเอาใจของเธอเต้นไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง
สวี่เหยียนที่ไม่ได้รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับของฝูเจิ้งเจิ้ง เธอได้แต่ตัดพ้อพร้อมกับหรี่ตามองเพื่อนสนิทของเธอ “ถ้าเธอเกิดเมาแอ๋แล้วโดนหนุ่มหล่อลากไปจะทำยังไงล่ะ? แต่จริงๆ ถ้าเป็นแบบนั้นฉันคงสบายใจกว่า ปล่อยให้เขาลากเธอไปเลย เพราะยังไงซะเธอก็ไม่ได้เสียอะไรอยู่แล้วนี่ อย่างเดียวที่ฉันเป็นห่วงคงจะเป็น คนคนนั้นมีคุณสมบัติพอที่จะเป็นพ่อซิงซิงหรือเปล่า เพราะฉันเป็นคนชวนเธอให้มางานเลี้ยงนี่เอง ถ้าเกิดซิงซิงได้พ่อคุณภาพต่ำไปฉันคงต้องรับผิดชอบกับเรื่องนี้ด้วย”
“นี่เธอจะบอกว่าฉันไม่มีใครเอางั้นเหรอ!” ฝูเจิ้งเจิ้งกระโดดขึ้นไปบนเตียงและแกล้งทำเป็นจะหยิกสวี่เหยียน
“วันนี้หัวไวจังอ่ะ ฮะๆๆๆๆ” สวี่เหยียนเองก็เตรียมรับมือไว้แล้ว เธอพลิกตัวกลับแล้วเข้าไปจั๊กจี๋ฝูเจิ้งเจิ้งด้วยเช่นกัน
ทั้งสองเล่นและหัวเราะไปด้วยกันอย่างมีความสุขก่อนจะพลิกตัวนอนคุยกันเรื่อยเปื่อยบนเตียง
ระหว่างที่นอนอยู่ข้างๆ กันนั้น จู่ๆ สวี่เหยียนก็นึกถึงเรื่องเมื่อคืนได้ เธอจ้องไปยังฝูเจิ้งเจิ้งและพูดขึ้น “ยังไงก็เถอะ พฤติกรรมของเธอน่ะไม่น่ารักเอาซะเลย ฉันเป็นห่วงเธอแทบตายแต่เธอกลับบอกว่าฉันพูดมากซะงั้น เพราะงั้นต่อจากนี้ฉันจะไม่สนใจเธอแล้ว จะปล่อยให้เธอโดนหนุ่มหล่อล่อลวงแล้วเอาไปกินซะให้เข็ดเลย!”
“ทำไมคุณย่าสวี่พูดมากอย่างงี้ล่ะคะ?” ฝูเจิ้งเจิ้งหันไปมองทางอื่นและไม่สนใจสวี่เหยียน
“ฮึ่ม! เอาเถอะ ยังไงก็ขอบคุณสำหรับคำแนะนำก็แล้วกัน ฉันจะไม่พูดกับเธอเรื่องนี้แล้ว ไหนๆ นี่ก็ยังเช้า เพราะงั้นฉันจะนอนต่อ ส่วนเธอ…อากาศร้อนขนาดนี้ทำไมถึงยังสวมชุดผ้าไหมกับผ้าพันคอนั่นอยู่ได้ล่ะ? รีบๆ ถอดแล้วมานอนเป็นเพื่อนฉันเดี๋ยวนี้เลย”
ฝูเจิ้งเจิ้งหน้าซีดลงทันที เธอรีบลุกขึ้นมานั่งก่อนจะอธิบายอย่างร้อนรน “อ-อ้อ ฉันเป็นหวัดน่ะ แล้วก็ไม่อยากจะทำให้เธอติดหวัดไปด้วย เพราะงั้นเธอนอนนี่แหละ เดี๋ยวฉันจะไปหาข้าวเช้ากิน แล้วจะเอามาเผื่อเธอด้วย”
สวี่เหยียนที่ไม่ได้เอะใจอะไรก็กลิ้งไปมาบนเตียงก่อนจะพูดทิ้งท้าย “งั้นฉันจะนอนต่ออีกหน่อยก็แล้วกัน ไว้เธอเอาอาหารเช้ามาแล้วก็ฝากปลุกด้วยนะ”
หญิงสาวพยักหน้ารับ เธอจัดชุดให้ดูเรียบร้อยก่อนจะเดินออกนอกประตูไป
เมื่อเดินออกมาข้างนอกแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็พบเพื่อนร่วมงานบางคนที่ตื่นเช้ากำลังเดินผ่านมาที่หน้าห้องพอดี เธอจึงทักทายพวกเขาด้วยรอยยิ้มและแสร้งทำเป็นง่วงเหงาหาวนอนเหมือนคนเพิ่งตื่นเพื่อให้พวกเขาปักใจเชื่อว่าเธออยู่ห้องนี้มาตลอดทั้งคืน และเมื่อผลลัพธ์มันออกมาดี ความขุ่นมัวภายในใจก็เบาลง
หลังจากที่ออกมาจากตัวรีสอร์ทแล้ว เพียงแค่ได้สูดอากาศบริสุทธ์ด้านนอกฝูเจิ้งเจิ้งก็รู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง อากาศวันนี้มันช่างดีเหลือเกิน
เธอหันมองไปรอบๆ และพบว่าในตอนนี้ยังมีคนไม่มากนัก พลันเมื่อคิดถึงเรื่องการสำรวจเมื่อคืนที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดี เธอจึงตัดสินใจเดินกลับไปยังบ้านเก่าหลังนั้นอีกครั้ง
ประตูรั้วด้านหน้ายังคงเปิดได้ดังเดิม ทว่าหน้าต่างที่มีช่องว่างแคบๆ เมื่อคืนนั้นปิดสนิทไปแล้ว แม้จะลองพยายามมองหาบานอื่นด้วยแต่ก็พบว่ามันปิดสนิททุกบาน ดังนั้นฝูเจิ้งเจิ้งจึงทำได้เพียงเดินกลับไปยังร้านอาหารด้วยความผิดหวัง
ในใจของเธอเองก็ยังคงสงสัยใจว่าใครกันที่เข้ามาปิดหน้าต่างบานนั้นกลางดึกกลางดื่น
—————————————————————-
ภายในห้องพักของหานซือฉีที่รีสอร์ทฉืออิ๋งลี่หยาง
จีหมู่เซี่ยนกำลังหลับอยู่ภายในห้องนั้นและส่งเสียงกรนดังออกมา ระหว่างนั้นเองเสียงของประตูที่เลื่อนเปิดเบาๆ ก็ทำให้เขาตื่นขึ้นมาแต่กลับไม่ตื่นตระหนก ร่างใหญ่ค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่งพิงหมอน ขณะรอให้ผู้ที่เปิดประตูเข้ามานั้นเผยกาย
“พี่รอง” และผู้ที่เข้ามานั่นก็คือ หานซือฉี
“อรุณสวัสดิ์” จีหมู่เซี่ยนกล่าวตอบอย่างไม่ตกใจอะไร เขามองไปยังน้องชายของตนด้วยแววตาสงสัย “เมื่อคืน…”
หานซือฉีกลับกลายเป็นฝ่ายที่ต้องประหลาดใจกับแววตาของพี่ชายของตนแทน ทว่าเขาก็ไม่ได้อยากจะใส่ใจกับสายตานั่นนักจึงตอบไปด้วยเสียงเรียบ “ก็ตามนั้น”
เพียงคำตอบสั้นๆ จีหมู่เซี่ยนก็เข้าใจได้ทันที เขาถามต่อ “นายกับฝูเจิ้งเจิ้งมีความสัมพันธ์กันแบบไหน?”
“ก็แบบที่พี่รองคิดนั่นแหละ”
คราวนี้จีหมู่เซี่ยนเงียบไปพักใหญ่ๆ ก่อนจะพูดต่อ “นายรู้เรื่องเกี่ยวกับตัวเธอมากขนาดไหน?”
“มันสำคัญด้วยเหรอ?”
“สำคัญมาก”
เขามองไปยังพี่ชายของตนและคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม “เธอก็เป็นคนฉลาด ดื้อรั้น บางครั้งก็…”
จีหมู่เซี่ยนลุกขึ้นมานั่งดีๆ และเอ่ยขัดเขาไว้ก่อนเมื่อรู้สึกว่าหานซือฉีจะเข้าใจผิดประเด็น “ฉันไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้น ที่จะถามน่ะ หมายถึงประวัติของเธอต่างหาก”
“ประวัติของเธอมีให้อ่านในบริษัท ไว้พี่รองไปขอฝ่ายบุคคลดูก็แล้วกัน ส่วนฝูซิง เขาคือความผิดพลาดที่เธอพลาดพลั้งไปเมื่อตอนอายุ 18” หานซือฉีสรุปเรื่องให้แบบรวบรัด
“มีอะไรอีก?”
“จะให้มีอะไรอีกล่ะ? ไม่มีแล้ว”
“นายไม่คิดว่าเธอ…”
ได้ยินเช่นนั้นหานซือฉีก็กลายเป็นฝ่ายตัดบทบ้าง “ฉันไม่ต้องการรู้อดีตของเธอซักเท่าไหร่ เพราะยังไงซะสิ่งที่ฉันใส่ใจก็มีแค่ปัจจุบันเท่านั้น”
การโดนขัดเช่นนี้มันทำให้จีหมู่เซี่ยนช็อกไปนิดหน่อย “นายจะยอมเธอไปหมดทุกอย่างตอนนี้ไม่ได้นะ”
“ฉันรู้แล้ว เพราะงั้นขอเวลาให้ฉันหน่อยก็แล้วกัน”
“ฝูเจิ้งเจิ้งคนนั้นทำให้นายหลงรักหัวปักหัวปำเลยหรือไง?”
“ใช่” หานซือฉีตอบอย่างมั่นใจ
ชายหนุ่มผู้พี่ทำได้แค่ยืนมองด้วยความสับสนในแววตากับคำตอบที่น้องชายของตนพูดออกมา เขาดูมั่นใจมากๆ จนจีหมู่เซี่ยนไม่ได้พูดอะไรต่อ หลังจากที่สวมเสื้อผ้าแล้ว เขาจึงเดินออกจากห้องไปเงียบๆ
ยืนฟังจนกระทั่งเสียงของประตูปิดลง หานซือฉีก็หันไปมองเพื่อความมั่นใจว่าอีกฝ่ายออกไปแล้วถึงค่อยทิ้งตัวลงไปนอนบนเตียง
จริงๆ แล้วหานซือฉีก็ยังไม่เข้าใจในตัวจีหมู่เซี่ยนตอนนี้เท่าไหร่ แต่ตัวเขาน่ะค่อนข้างมั่นใจเลยว่าพี่รองของเขานั้นเป็นห่วงฝูเจิ้งเจิ้งเอามากๆ แต่เพราะแบบนี้ ภายในใจเขาจึงยังคงสงสัยว่าทำไมพี่รองถึงปล่อยโอกาสนี้ให้เขาแล้วมาทำหน้ากังวลใส่เขาในวันนี้
ที่ฝูเจิ้งเจิ้งเข้าหาเขาน่ะก็เพียงเพื่ออยากจะแต่งเข้าตระกูลรวยๆ เท่านั้นแหละ
หานซือฉียิ้มกับความคิดนั้น ถ้าเธอหวังแบบนั้นจริงๆ ทำไมเขาจะให้ไม่ได้ล่ะ?
ชายหนุ่มค่อยๆ เอนหัวพิงลงไปบนแขนที่ซ้อนทับกันอยู่หลังหัวและหลับตาลง ภายในหัวพยายามเลิกคิดเรื่องของเฉียวเค่อเหริน และเมื่อคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างฝูเจิ้งเจิ้งและตนเมื่อคืนนี้ รอยยิ้มน้อยๆ ก็ค่อยๆ เกิดขึ้นบนหน้าได้ทุกครั้งเมื่อคิดถึงเรื่องดังกล่าว
————————————————————————–
ฝูเจิ้งเจิ้งและสวี่เหยียนเก็บของลงกระเป๋ากันเรียบร้อยแล้ว เมื่อทั้งสองกลับมาถึงที่บริษัท มันก็เป็นเวลาเกือบจะเที่ยงพอดี ดังนั้นแล้วสองสาวจึงพากันไปร้านอาหารก่อนแล้วค่อยกลับไปยังออฟฟิศของพวกตนอีกครั้ง
“เจิ้งเจิ้ง เย็นนี้พาซิงซิงมากินข้าวเย็นห้องฉันนะ ฉันจะชวนอี้เฉิงมาด้วย” สวี่เหยียนพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มขณะเดินเข้าประตูไป
“นี่เป็นครั้งแรกเลยหรือเปล่าที่เธอชวนแฟนมาที่ห้องน่ะ?” ฝูเจิ้งเจิ้งแซว
สวี่เหยียนเหลือบมองก่อนจะพูด “ฮึ่ม! ในเมื่อหล่อนป่วยนักก็ไม่ต้องพูดมาก! เฝ้าห้องไปเลย เดี๋ยวฉันไปรับซิงซิงเอง! เชอะ!”
ฝูเจิ้งเจิ้งขยิบตาท้าทายอีกฝ่าย “โอ๊ะๆ ไม่ได้ๆ มันหายากมากที่เธอจะพาแฟนมาห้องแบบนี้ เพราะงั้นไว้ใจได้เลย ฉันจะซัดอาการป่วยให้หมอบแล้วจะไปหาถึงห้องเลย!”
“โอ้ยยยยยยย เลิกตอกย้ำฉันได้แล้วย่ะ! ฮึ่ยย ได้ทีเอาใหญ่เลยนะ!” สวี่เหยียนเตรียมจะหยิกเพื่อนสาวที่แซวเธอจนอายม้วน ทว่าเมื่อเธอยกมือขึ้น มือนั้นก็หาได้เข้าหาฝูเจิ้งเจิ้งไม่ กลับกัน มันกลับถูกชักลงไปดังเดิมพร้อมกับจับแขนฝูเจิ้งเจิ้งไว้ด้วย ใบหน้าที่กำลังเขินนั้นเปลี่ยนเป็นใบหน้ายิ้มแย้ม “สวัสดีค่ะ คุณเฉียว ผู้จัดการหมิน”
ได้ยินเช่นนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็หันไปมองด้านหลัง และเธอก็พบเฉียวเค่อเหรินกำลังเดินมาพร้อมกับหมินจงจู่โดยที่คุยนู่นคุยนี่หัวเราะกันมาแต่ไกล ด้านหลังทั้งสองก็ตามมาด้วยพนักงานบริษัทอีกหลายคน เธอและสวี่เหยียนจึงขยับหลบไปข้างทางเพื่อให้คนเหล่านั้นได้เดินสะดวก
ทว่าเฉียวเค่อเหรินนั้นกลับไม่ได้เดินตรงเข้าไปในออฟฟิศของหานซือฉีในทันที เธอหันมามองฝูเจิ้งเจิ้งก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง “คุณเจิ้ง เมื่อคืนฉันเห็นคุณรีบออกจากงานเลี้ยงไป รู้สึกไม่ดีอะไรหรือเปล่าคะ? ตอนฉันไปหาที่ห้องคุณก็ไม่อยู่ ไปอยู่ไหนมาเหรอ?”
ฝูเจิ้งเจิ้งไม่คาดคิดเลยว่าเฉียวเค่อเหรินจะกล้าถามคำถามเช่นนี้ออกมา เธอชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “อ้อ พอดีฉันมีบางอย่างต้องกลับไปทำที่บ้านน่ะค่ะ ก็เลยกลับไปก่อน”
“กลับบ้านเหรอ? เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ ก็ฉันเห็นว่ามีชายที่ไหนไม่รู้พาคุณเข้าห้องเขาไปนี่”
—————————————————————————————
คุยกับผู้แปล
พูดงี้แสดงว่าเป็นคนวางแผนชัวร์ ความเจ็บที่แก้มหายแล้วเหรอแม่คุณ น่าโดนอีกซักเพี๊ยะจริงๆ