ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 75 หม่ามี๊ หน้าแดงไปหมดแล้วนะ
“มีเงินอยู่แล้ว จะใช้ลูกเล่นมันก็ไม่ใช่ปัญหาหรอกค่ะ แถมยิ่งทั้ง 2 ตระกูลยังมีฐานะทางสังคมเท่ากันอีก” ฝูเจิ้งเจิ้งยอมรับว่าตนนั้นรู้สึกอิจฉาขึ้นมาทุกทีที่พูดเรื่องนี้ แต่เรื่องที่พูดนั่นก็คือความจริงที่ต้องอยู่กับมันให้ได้
“นี่มันยุคไหนกันแล้ว? จ้องจะแต่งงานกับตระกูลที่มีระดับทัดเทียมกันอย่างเดียวเนี่ยนะ?” จูหลิงหลงทำสีหน้าเหยียด “ยังไงก็เถอะ ฉันมองว่ายัยนั่นเป็นพวกไม่จริงใจ และ ฉันไม่ชอบ”
ฝูเจิ้งเจิ้งคิดว่าจูหลิงหลงนั้นเป็นคนที่น่ารักมากๆ แต่เธอไม่ได้พูดเรื่องนี้ออกไป เพียงแค่ยิ้มจางๆ ให้เท่านั้น แต่เมื่อคิดถึงเรื่องที่เธอได้รับฝากมา เธอก็วางถุงเสื้อผ้าไว้บนโต๊ะก่อน “เอ้อ คุณหลิงหลงคะ ฉันขอรบกวนอะไรหน่อยได้ไหมคะ?”
“ได้สิ” จูหลิงหลงตอบโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ
ได้ยินเช่นนั้น ฝูเจิ้งเจิ้งก็ยิ้มกว้าง “พอดีว่ามีเพื่อนฉันที่มีวันเกิดพรุ่งนี้น่ะค่ะ แล้วพวกเราก็อยากจะไปฉลองกันที่รีสอร์ทฉืออิ๋งลี่หยาง แต่เพราะว่ามันตรงกับคริสมาสต์อีฟ แล้วก็ได้ยินมาอีกว่าที่นั่นจะจัดงานปาร์ตี้ พวกเรากังวลกันว่าจะมีห้องว่าหรือเปล่า คุณหลิงหลงพอจะ…”
“เรื่องนี้เองเหรอ? ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเอง!” ไม่พูดเปล่า เพราะทันทีที่บอกเช่นนั้น จูหลิงหลงก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาใครบางคน หลังจากที่พูดธุระของตนเสร็จ เธอก็วางสายไปพร้อมชูนิ้ว OK ให้ฝูเจิ้งเจิ้ง
“เร็วมาก!” ฝูเจิ้งเจิ้งได้แต่ตกตะลึงและยกนิ้วโป้งให้
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรอยู่แล้ว ฉันน่ะเฝ้าดูที่นี่มาตั้งแต่ตอนสร้างเลยนะ เจ้ารีสอร์ทฉืออิ๋งลี่หยางเนี่ย” จูหลิงหลงพูดด้วยท่าทีภาคภูมิใจอีกครั้ง
“ตั้งแต่ก่อสร้างตัวรีสอร์ทเลยเหรอคะ?” ประโยคนี้กระตุ้นต่อมความสงสัยของฝูเจิ้งเจิ้งเข้าให้แล้ว “แสดงว่าคุณหลิงหลงต้องคุ้นเคยกับรีสอร์ททุกหลังภายในนั้นหรือเปล่า?”
“แน่นอน”
“อ๋า พอดีก่อนหน้านี้ฉันพบบางสิ่งบางอย่างที่แปลกประหลาดภายในรีสอร์ทฉืออิ๋งลี่หยางด้วยล่ะค่ะ”
“เห? อะไรกันน่ะ?” คำพูดของฝูเจิ้งเจิ้งช่วยปลุกความสนใจของจูหลิงหลงขึ้นมาเช่นกัน
“ก็แบบว่า ในขณะที่รีสอร์ททุกๆ หลังภายในฉืออิ๋งลี่หยางเนี่ย ล้วนแต่สร้างขึ้นมาใหม่ถูกไหมล่ะคะ? แต่มันมีบ้านหลังเก่าๆ อยู่หลังหนึ่งที่ดูจะมีดีไซน์ไม่เหมือนกับรีสอร์ทหลังอื่นเลย จะว่าไงดี ฉันว่ามันดูค่อนข้างน่าเกลียดแล้วก็บดบังทัศนียภาพที่สวยงามของตัวรีสอร์ทน่ะค่ะ”
“บ้านเก่าๆ เหรอ?” จูหลิงหลงหยุดนิ่งไป
“ทำไมบ้านหลังนั้นถึงไม่ได้ถูกทุบทิ้งไปล่ะคะ?” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูจะให้คำตอบเธอได้แน่ๆ ฝูเจิ้งเจิ้งจึงถามต่อด้วยความรุกเร้า
จูหลิงหลงยักไหล่ในจังหวะต่อมาและพูดเสริม “ดูเหมือนมันจะเกี่ยวข้องกับซือฉีนะ ฉันเองก็ไม่เคยถามถึงสาเหตุที่แท้จริงเหมือนกัน”
“มันเกี่ยวข้องอะไรบางอย่างกับคุณหานจริงๆ สินะคะ?” หญิงสาวรู้สึกตื่นเต้นกว่าเดิม
เห็นดังนั้นแล้วจูหลิงหลงก็นึกสนุก แหย่อีกฝ่ายไป “เจิ้งเจิ้ง เธอสนใจบ้านเก่าๆ หลังนั้นจริงๆ หรือว่ากำลังสนใจในตัวซือฉีอยู่กันแน่น่ะ?”
ฝูเจิ้งเจิ้งสะดุ้งเฮือก ดูเหมือนว่าเธอคงจะถามมากไปหน่อยจนลืมตัว เพราะงั้นเธอจึงรีบยิ้มกลบเกลื่อน “แหม ฉันก็แค่อยากรู้น่ะค่ะ”
เมื่อเห็นว่าฝูเจิ้งเจิ้งพูดออกมาแบบนั้น จูหลิงหลงก็จงใจพูดขึ้นมา “ฉันก็เคยอยากรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับจงจู่เหมือนกัน”
จากนั้นเธอก็หัวเราะออกมา
ใบหน้าของฝูเจิ้งเจิ้งนั้นแสดงความเขินออกมาเล็กน้อย แต่เธอก็แทนที่มันด้วยความจริงจังแทน “คุณหลิงหลงพอจะเคยได้ยินที่เขาบอกว่าภายในบ้านหลังนั้นมีห้องลับหรือเปล่าคะ?”
“ห้องลับเหรอ? เอ ไม่แน่ใจแฮะ อาจจะมีล่ะมั้ง” จูหลิงหลงเกาหัวแล้วขยิบตาให้สาวสวยตรงหน้า
ก่อนที่ฝูเจิ้งเจิ้งจะได้ถามอะไรเพิ่มมาไปกว่านี้ เธอก็เห็นว่าจูหลิงหลงตะโกนตอบใครไปและหันกลับมาขอโทษเธอ “อ๋า ดูเหมือนฉันจะคุยต่อไม่ได้แล้ว งานมาแล้วล่ะ”
สถานการณ์ที่ดูจะไม่เป็นใจเช่นนี้ทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่เธอก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแค่พยักหน้าแล้วเตรียมจะออกจากที่นี่
จังหวะที่จูหลิงหลงส่งถุงเสื้อผ้าให้ เจ้าตัวก็ถามคำถามพร้อมรอยยิ้มมาด้วย “ซือฉีจะไม่อยู่ช่วงคริสมาสต์อีฟพรุ่งนี้นะ เธอวางแผนจะไปไหนหรือยัง?”
“เอ๊ะ เขาจะไม่อยู่บ้านเหรอคะ?” แววตาของฝูเจิ้งเจิ้งเป็นประกายอีกครั้ง
“เขายังไม่ได้บอกเธอเหรอ? ซือฉีน่าจะไปประมูลอะไรบางอย่างที่สำคัญมากๆ กับพี่ใหญ่นั่นแหละ บางทีอาจจะหายไปวันถึงสองวันเลย”
ภายในใจของฝูเจิ้งเจิ้งนั้นแทบจะจุดพลุฉลองแล้ว ตอนแรกเธอก็คิดมาตลอดว่าจะบอกเขาเรื่องที่จะออกไปคืนพรุ่งนี้อย่างไรดี แต่ตอนนี้เหมือนจะตัดเรื่องนั้นทิ้งไปได้เสียที
“บางทีเขาอาจจะบอกแล้วแต่ฉันไม่ได้ใส่ใจน่ะค่ะ” อารมณ์ของฝูเจิ้งเจิ้งดีขึ้นทันตา เธอยิ้มหวานให้จูหลิงหลงก่อนจะหิ้วถุงกระดาษขึ้นมาและจากไป
————————————————-
ย่านเจี่ยเย่ฮัวหยวน
ฝูเจิ้งเจิ้งกลับมาถึงด้านล่างของตัวอาคารที่เธออยู่อาศัยแล้ว แต่เธอยังไม่เห็นรถของหมินจงจู่เลย ความสงสัยบังเกิดขึ้นภายในใจ นั่นเพราะหากเป็นตามปกติแล้ว หานซือฉีกับหมินจงจู่จะพาฝูซิงกลับมาในเวลานี้ และจะอยู่เล่นกับเขาด้วย บางครั้งก็อยู่จนทานข้าวด้วยกันเลย ทว่าวันนี้กลับไม่เห็นกระทั่งรถจอด
หรือว่าพอส่งฝูซิงเสร็จแล้วจะออกไปพร้อมหมินจงจู่เลยนะ?
เพื่อคลายความสงสัยนั้น ฝูเจิ้งเจิ้งไม่รอช้าที่จะวิ่งขึ้นไปด้านบนอย่างรวดเร็วทันที
และเมื่อประตูห้องถูกเปิด ฝูซิงก็วิ่งพรวดพราดออกมาจากห้องของหานซือฉีและวิ่งตรงเข้าห้องของเธอไป
“ฝูซิง อย่าวิ่งเร็วนักสิลูก เดี๋ยวก็ล้มหรอก”
“หม่ามี๊กลับมาแล้ว!” เมื่อได้ยินเสียงของฝูเจิ้งเจิ้ง ฝูซิงก็วิ่งออกมาจากห้องของเธออีกครั้งพร้อมมากอดขาของผู้เป็นแม่ไว้ “หม่ามี๊ ฝูซิงเตรียมของขวัญไว้ให้หม่ามี๊แล้วนะ หม่ามี๊เตรียมของขวัญไว้ให้ฝูซิงหรือยัง?”
ของขวัญ? เวรล่ะ ยังไม่ได้ซื้อเลย!
ด้วยสมองที่ทำงานอย่างหนักหน่วง ฝูเจิ้งเจิ้งรีบเบี่ยงประเด็นทันที “แน่นอน แต่คริสมาสต์ยังมาไม่ถึงเลยไม่ใช่เหรอจ๊ะ?”
“แต่พรุ่งนี้ก็คริสมาสต์อีฟแล้วนะหม่ามี๊ ฝูซิงก็เลยมาเตือนก่อนที่หม่ามี๊จะลืม” ฝูซิงยิ้มหน้าระรื่นเมื่อแม่ของเขาบอกว่าเตรียมของขวัญไว้ให้แล้ว เด็กน้อยเขย่าถุงเท้าในมือพลางเอ่ยถาม “หม่ามี๊ ถุงเท้าคู่นี้จะใส่ของขวัญของหม่ามี๊ได้ไหม?”
เมื่อเห็นถุงเท้าคู่ใหญ่นั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็แทบจะเข้าไปหยิบมาโยนลงตะกร้าผ้าทันที “นี่ลูกไปเอาถุงเท้าเน่านี่มาจากไหนน่ะ? เอาไปเก็บที่เดิมเลย!”
ฝูซิงรีบซ่อนถุงเท้าคู่นั้นไปไว้ด้านหลังพร้อมกับส่ายหน้ารัวๆ ด้วย “มันยังไม่เน่านะ! ถุงเท้าของป๊ะป๋าน่ะไม่เหม็นซักคู่เลย ป๊ะป๋าบอกฝูซิงไว้ว่า ไม่ว่าจะใช้ถุงเท้าคู่ใหญ่ขนาดไหน ป๊ะป๋าก็จะใส่ให้เต็มถุงเท้าให้ได้เลย เพราะงั้นฝูซิงก็เลยหาถุงเท้าที่ใหญ่ที่สุดมา หม่ามี๊ หม่ามี๊คิดว่าถุงเท้าคู่นี้ใหญ่ที่สุดหรือยัง?”
เธอไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีที่ลูกชายของเธอหวงแหนถุงเท้าของหานซือฉีราวกับเป็นสมบัติล้ำค่าเช่นนี้
พลันเมื่อคิดถึงคำพูดของจูหลิงหลงเมื่อเย็น ที่บอกว่าหานซือฉีจะไปประมูลอะไรซักอย่าง เธอจึงย่อตัวลงและพูดกับลูกชายของตนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ฝูซิง ฟังหม่ามี๊นะ ป๊ะป๋าของลูกน่ะยุ่งมากๆ เพราะงั้นแล้วเขาคงไม่มีเวลามาฉลองคริสมาสต์กับลูกหรอก ถ้ายังไงเดี๋ยวหม่ามี๊จะพาลู—”
“ใครบอกเธอน่ะว่าฉันไม่มีเวลามาฉลองคริสมาสต์กับซิงซิง?” เสียงหานซือฉีดังขึ้นมาขัดในทันใดจนฝูเจิ้งเจิ้งสะดุ้งโหยง
หญิงสาวหันกลับไปทันที แล้วก็พบว่าเจ้าของเสียงเองก็กำลังยืนกอดอกพิงประตูยิ้มให้เธอและลูกอยู่
นี่ยังไม่ไปอีกเหรอ!
“ท-ทำไมถึงกลับบ้านล่ะคะ?” ไม่รู้ว่าอะไรดลใจ ในทันทีที่ได้เห็นแววตาที่กำลังยิ้มแย้มให้เธอแทนคำทักทายของหานซือฉี หัวใจของเธอมันก็เต้นแรงขึ้นมาทุกที และด้วยความรู้สึกนี้มันก็พลอยทำให้คำถาม ‘ทำไมถึงกลับบ้าน?’ ที่ถามออกไปนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรพูดไปเสียอย่างนั้น แถมเธอยัง…รู้สึกอายมากอีกด้วย
“คุณลุงหมินพาฝูซิงกับป๊ะป๋ากลับมาตั้งนานแล้ว ไม่งั้นฝูซิงจะไปห้อยถุงเท้าได้เหรอ?”
“แต่คริสมาสต์น่ะมันมะรืนนี้นะ—” ก่อนที่ฝูเจิ้งเจิ้งจะได้พูดจบ ฝูซิงก็วิ่งกลับไปยังห้องนอนเพื่อจะแขวนถุงเท้าต่อแล้ว
“นกที่เหนื่อยล้าจะบินกลับรังในยามราตรี ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับคนที่ยุ่งไปทั้งวันแบบฉัน ในเมื่อฉันเหนื่อย ทำไมฉันจะกลับมานอนที่บ้านไม่ได้ล่ะ?” หานซือฉีตอบคำถามฝูเจิ้งเจิ้ง
ทว่าฝูเจิ้งเจิ้งกลับรู้สึกตะหงิดกับคำว่า “นอนที่บ้าน” ของเขามากๆ มันทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจนัก
น่ากลัว!
ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ก็ตาม หากหานซือฉีพูดด้วยรอยยิ้มแบบนั้นล่ะก็ เขาต้องกำลังคิดแกล้งอะไรเธออยู่แน่ๆ! และเพราะต้องคอยระวัง เธอถึงรู้สึกว่าตนเองไม่เป็นตัวของตัวเองซักเท่าไหร่
เธอและเขาก็แค่มีสัมพันธ์กันเพียงคืนเดียวเท่านั้น ยุคสมัยนี้แล้วมันจะสำคัญอะไร? แถมนั่นยังไม่ใช่ความผิดเธอด้วย มันเป็นความผิดของเฉียวเค่อเหรินเต็มๆ เลย!
ระหว่างที่กำลังคิดเรื่องนั้นอยู่ ฝูเจิ้งเจิ้งก็ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตนเองนั้นเผลอกุมหน้าอกของตนไว้อยู่ตลอด
“มันก็ไม่ได้ใหญ่อะไรนี่” จู่ๆ หานซือฉีก็พูดขึ้นมาลอยๆ
หือ? อะไรของเขาน่ะ? ไปเจออะไรมาหรือไง?
“ต่อให้เธอจะทั้งจับทั้งบีบ อกเธอมันก็ไม่ได้ใหญ่ขึ้นมาจากเดิมหรอกนะ” เมื่อเห็นว่าหญิงสาวงุนงง หานซือฉีก็พูดต่อและเหลือบมองไปยังหน้าอกของเธอด้วย
คราวนี้ฝูเจิ้งเจิ้งเข้าใจแล้วว่าเขากำลังแซะเรื่องสัดส่วนของเธอที่ไม่ได้ใหญ่เว่อวังเหมือนสาวๆ ที่ห้อมล้อมเขาอยู่!
แววตาที่อาฆาตแค้นของหญิงสาวหันมองชายที่ดูถูกตนอย่างทันควัน “หยาบคายที่สุดเลย!”
หานซือฉีไม่ได้มีท่าทีโกรธอะไร กลับกันเขากลับเดินเข้ามาหาเธอใกล้ๆ มองซ้ายทีขวาทีก่อนจะกระซิบข้างๆ หู “เธอก็รู้ว่าฉันน่ะไม่ได้หยาบกับเธอเลยซักนิด”
น้ำเสียงที่เย้าแหย่นั้นทำเอาฝูเจิ้งเจิ้งหน้าแดงขึ้นมาในทันที เธอโกรธมากๆ และรีบยกกระเป๋าของตนมาตีเขาอย่างแรง
ตอนนั้นเอง ฝูซิงที่หายไปในห้องพักหนึ่งก็วิ่งออกมา “หม่ามี๊ ฝูซิงวางถุงเท้าของฝูซิงไว้ข้างๆ หมอน ห้ามยุ่งเชียวนะ”
ฝูเจิ้งเจิ้งรีบเก็บมือที่ถือกระเป๋าเตรียมฟาดนั้นลงไปและแกล้งทำเป็นดูทีวีอยู่ เธอหันไปมองที่ห้องและพลิกตัวลุกเพื่อจะเข้าห้องไป แต่ขณะที่หันหน้าผ่านหานซือฉี หญิงสาวก็กลอกตาไปมองเขาราวกับจะหวังหาคำขอโทษด้วย
ทว่าหานซือฉีกับยักไหล่และทำเหมือนว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิด
หน็อยแน่! ไม่คิดว่าตัวเองผิดเลยงั้นเหรอ? ฉันเป็นผู้เสียหายนะ!
คอยดูเถอะ ฉันจะหาโอกาส แล้วจะเช็กบิลเขาให้หมดเลย!
เธอกลับเข้าห้องไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
ในตอนที่ฝูเจิ้งเจิ้งเดินผ่านฝูซิงไปนั้น หางตาที่เฉียบคมของเจ้าตัวเล็กก็สังเกตได้ว่าใบหน้าของเธอนั้นกำลังแดงอยู่ ด้วยเหตุนี้เขาจึงเอ่ยถามด้วยความกังวล “หม่ามี๊ หน้าแดงไปหมดเลย…เป็นไข้เหรอ? ย่าเฉ—!”
ได้ยินเช่นนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็ตกใจและรีบคว้าตัวฝูซิงเอาไว้ก่อนที่เขาจะพูดจบ “ย่าเฉินทำกับข้าวอยู่ อย่ารบกวนเธอเลยจ้ะ หม่ามี๊ก็แค่รู้สึกร้อนเฉยๆ!”
“งั้นก็หม่ามี๊ก็ถอดผ้าพันคอออกซี่! ถ้าหม่ามี๊ถอดออกแล้วอาจจะหายร้อนก็ได้นะ” ฝูซิงเขย่งเท้าและพยายามจะดึงผ้าพันคอออกให้
เมื่อเห็นท่าไม่ดี ฝูเจิ้งเจิ้งก็จับผ้าพันคอของตนไว้แน่นก่อนจะพูดกับลูกชาย “หม่ามี๊ยังมีไข้อยู่ เพราะงั้นสวมไว้แบบนี้ดีแล้ว ไม่งั้นไข้จะไม่หายซักทีนะ”
“อ๊ะ…” เมื่อแม่ของตนบอกเช่นนั้น ฝูซิงจึงยอมละมือออกจากการจับผ้าพันคอ
ภายในใจของเธอเต้นรัวแทบไม่เป็นจังหวะเลยทีเดียว โชคดีจริงๆ ที่ฝูซิงยังตัวเล็กเกินไปที่จะดึงผ้าพันคอของเธอได้ ไม่งั้นแล้วล่ะก็ เขาต้องเห็นร่องรอยที่ถูกประทับไว้บนคอเธอแน่ๆ และด้วยวัยของเจ้าตัวเล็ก เขาคงได้มองเธอเป็นนักเลงหัวไม้ที่ไปมีเรื่องกับคนอื่นมาแหงๆ
ทั้งหมดนี่มันเป็นความผิดของหานซือฉี!
ฝูเจิ้งเจิ้งกัดฟันและไม่ได้หันกลับไปมองตัวการที่ทำให้มันกลายเป็นเรื่องยุ่งยากเช่นนี้ เธอเดินก้มหน้าแล้วตรงเข้าห้องของตนไป
เสื้อโค้ทที่ใส่มาทั้งวันถูกถอดออกและเดินเข้าห้องน้ำไปก่อนจะปิดประตูให้สนิท กระจกบานใหญ่ตรงหน้าของเธอนั้นฉายให้เห็นใบหน้าที่กลายเป็นสีแดงของตนเอง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมฝูซิงถึงคิดว่าเธอป่วยแบบนั้น
หญิงสาววักน้ำเย็นขึ้นล้างหน้าและไม่ลืมที่จะถอดผ้าพันคอออกด้วย เมื่อเธอเห็นรอยแดงที่เกิดจากการตีตรา ผ้าพันคอก็ถูกยกขึ้นมาพันคอดังเดิมอย่างร้อนใจ ฝูเจิ้งเจิ้งพยายามจะสลัดความเขินอายทิ้ง และมันใช้เวลานานมากๆ กว่าจะทำได้ เธอไม่ยอมแม้แต่จะเปิดประตูห้องน้ำจนกระทั่งใบหน้านั้นหายแดงจนหมด
ในตอนที่เธอเดินออกมาจากห้องของตนแล้ว เธอก็เห็นว่าหานซือฉีกำลังมองโทรศัพท์เครื่องเล็กของฝูซิงอย่างละเอียด ในขณะที่ฝูซิงเองก็กำลังเล่นโทรศัพท์ของเขาอยู่ “ป๊ะป๋า โทรศัพท์ของป๊ะป๋าใหญ่จัง ฝูซิงไม่อยากใช้โทรศัพท์เครื่องเล็กๆ ที่หม่ามี๊เอามาให้แล้ว ไม่เห็นมีอะไรให้เล่นเลย”
เธอทำเป็นไม่เห็นว่าทั้งสองพ่อลูกกำลังทำอะไรอยู่และเดินตรงไปยังห้องครัวทันที
จากท่าทีของหานซือฉี เดาได้เลยว่าเขาคงจะต้องเชื่อแน่ๆ ว่าโทรศัพท์เครื่องเล็กในมือเขานั้นเป็นเครื่องเดียวกับที่เห็นเมื่อครั้งก่อน เพียงเท่านี้ก็ตัดปัญหาเรื่องโทรศัพท์เครื่องเล็กได้อีกเรื่องแล้ว
หลังจากที่ทานข้าวเย็นกันเสร็จ ฝูเจิ้งเจิ้งที่รู้สึกเขินและอึดอัดตลอดเวลาที่ต้องอยู่กับหานซือฉี เธออยากจะไปพักผ่อนกับฝูซิงให้เร็วขึ้นเพราะรู้สึกว่าตนเองมีไข้อยู่หน่อยๆ แต่ฝูซิงกลับปฏิเสธที่จะนอนกับเธอและหนีไปนอนกับหานซือฉีแทนเพราะกลัวติดหวัด ด้วยเหตุนี้ฝูเจิ้งเจิ้งจึงไม่มีทางเลือกและกลับไปนอนที่ห้องคนเดียว
เมื่ออาบน้ำเสร็จ หญิงสาวก็ทิ้งตัวลงไปบนเตียงพลางคิดแผนต่างๆ ที่จะทำในคืนพรุ่งนี้ด้วย ทว่าครู่เดียวหัวของเธอก็จะวกกลับไปยังคืนที่ตนนั้นอยู่กับหานซือฉีอยู่ร่ำไป และด้วยความคิดกับภาพเหตุการณ์ที่หลั่งไหลกลับมานั้น มันก็ทำให้เธอต้องเคาะหัวตัวเองอยู่หลายทีเพื่อให้ไปคิดเรื่องอื่นบ้าง
จนแล้วจนรอด ดูเหมือนว่ายังไงคืนนี้เธอก็คงจะเลิกคิดเรื่องนั้นไม่ได้ บางทีคงจะดีกว่าถ้าเอาเวลาตบตีกับร่างกายตัวเองไปนอนหลับพักผ่อนเพื่อเก็บพลังงานไว้ทำตามแผนที่เตรียมไว้สำหรับพรุ่งนี้!
ฝูเจิ้งเจิ้งดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัวไว้
ทว่าแม้จะมุดลงไปใต้ผ้าห่ม ฝูเจิ้งเจิ้งก็ยังหลับไม่ลง ความหงุดหงิดมันยังคุกรุ่นอยู่ภายในใจจนเธอยกขาขึ้นถีบเตียงไปอีกหลายที
“เตียงน่ะไม่รู้เรื่องกับเธอด้วยหรอกนะ” ทันใดนั้นเสียงเข้มของผู้ชายก็ดังมาจากนอกผ้าห่มของเธอ
———————————————————————————————————–
คุยกับผู้แปล
ภาพจำ – ป็อป ปองกูล