ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 77 คุณจะจูบฉันไม่ได้นะ!
ฝูเจิ้งเจิ้งรีบวิ่งตามบางสิ่งบางอย่างมา แต่ด้วยความที่เธอวิ่งเร็วเกินไป มันเลยทำให้เธอขาแพลงและเกือบจะล้มลงไปแล้ว โชคยังดีที่จีหมู่เซี่ยนรีบวิ่งตามมาช่วยเธอไว้ได้ทัน
เธอผลักเขาออกไปด้านข้างก่อนจะตะโกน “แม่ของคุณพาลูกชายของฉันไปแล้วนะคะ รีบไปตามเขากลับมาสิ!”
จีหมู่เซี่ยนช็อกมากๆ เพียงแค่เขาคลาดสายตาไปแว้บเดียว จีหยาฉูที่ดูจะไม่มีพิษมีภัยอะไรก็พาฝูซิงวิ่งลิ่วไปไกลแล้ว ชายหนุ่มรีบวิ่งตามแม่ของตนไป ตามด้วยฝูเจิ้งเจิ้งที่พยายามข่มอาการปวดที่ขาไว้และตามไปให้เร็วที่สุด
พวกเขาวิ่งมาจนถึงรีสอร์ทหลังหนึ่งที่อยู่ทางตอนเหนือของฉืออิ๋งลี่หยาง และในทันทีที่ฝูเจิ้งเจิ้งวิ่งเข้าไปด้านใน เธอก็พบว่าฝูซิงนั้นกำลังถูกห้อมล้อมไว้ด้วยผู้คนมากมาย
“ฝูซิง!”
สถานการณ์แบบนี้มันราวกับว่ามีคนมาแย่งลูกของเธอไปเลย ดังนั้นเธอจึงรีบไปคว้าตัวฝูซิงออกมาจากกลุ่มคนเหล่านั้นทันที
ชายคนหนึ่งที่มีอายุราวๆ 50 ปีหันมามองฝูซิงด้วยรอยยิ้ม แต่เมื่อฝูเจิ้งเจิ้งดึงตัวฝูซิงออกมา เขาก็ทำสีหน้าบึ้งตึงใส่
“อ๋า คนนี้เป็นแม่ของซิงซิง ชื่อ ฝูเจิ้งเจิ้ง ใช่ไหมคุณฝู?” จีหยาฉูรีบอธิบาย
ชายคนนั้นมองฝูเจิ้งเจิ้งตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนที่สีหน้าบึ้งตึงนั้นจะเปลี่ยนเป็นผ่อนคลาย เขาพูดกับเธอด้วยรอยยิ้ม “คุณฝู คุณเข้าใจพวกเราผิดแล้ว”
ฝูเจิ้งเจิ้งมองอีกฝ่ายด้วยความสับสน แต่ลึกๆ เธอก็แอบรู้สึกคุ้นเคยกับคนคนนี้ ราวกับเคยเห็นมาก่อน แต่จำไม่ได้ว่าเคยเห็นที่ไหน
“เถิงอวี้ พูดดีๆ นะ ไม่งั้นคุณจะทำให้เธอหวาดกลัว” จีหยาฉูดึงเสื้อของชายคนนั้นไว้เบาๆ
นี่คือพ่อของจีหมู่เซี่ยนเหรอ? ไม่แปลกใจเลยที่เธอจะรู้สึกคุ้นเคยแบบนี้!
ในตอนที่ฝูเจิ้งเจิ้งกำลังคิดอยู่นั้น เธอก็ได้ยินเถิงอวี้พูดขึ้นด้วยเสียงหนักแน่น “หมู่เซี่ยน! เข้ามา! มาอธิบายเรื่องนี้ให้ฉันฟังซิ!”
“ก็บอกไปแล้วไงว่าเข้าใจผิดกันไปหมดแล้ว!” จีหมู่เซี่ยนเดินเข้ามาพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะเหนื่อยหน่ายเล็กน้อย
“พวกเราเหรอเข้าใจผิด? ดูคิ้วกับตาของซิงซิงสิ แบบนี้แกยังพูดอย่างมั่นใจอีกเหรอว่าพวกฉันเข้าใจผิด?” เถิงอวี้ดูท่าจะโกรธมากๆ
เป็นคนเฒ่าคนแก่ที่ดูซีเรียสกับการมีหลานจังแฮะ…
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ตอนนี้พอจะปลีกตัวได้ ฝูเจิ้งเจิ้งก็ไม่นิ่งคิดให้เสียเวลา เธอรีบวิ่งออกมาจากที่นั่นพร้อมกับอุ้มฝูซิงกลับไปยังห้องสวีทในอึดใจเดียว หญิงสาวเคาะประตูห้องขณะที่ตนก็มองซ้ายมองขวาด้วยความหวาดระแวงว่าคนพวกนั้นจะวิ่งมาจับตัวพวกเธอไปอีกรอบด้วย
สวี่เหยียนผู้ที่กำลังจัดเค้กอยู่ในห้องนั้น สะดุ้งโหยงเพราะเสียงเคาะประตู ดังนั้นเธอจึงรีบวางมือก่อนและเดินไปเปิดประตูให้ในทันที
พลันเมื่อประตูเปิดออก ฝูเจิ้งเจิ้งก็วิ่งพรวดเข้าไปในห้องและใช้เท้าเตะประตูจนมันปิดเสียงดัง เธอวิ่งเข้าไปจนถึงเตียงก่อนจะวางฝูซิงลงและพักหายใจ
“ก-เกิดอะไรขึ้นกับเธอน่ะ?” สวี่เหยียนที่เห็นท่าว่าเพื่อนของตนดูจะไม่ปกติก็รีบวิ่งเข้ามาถามไถ่พร้อมกับน้ำแก้วหนึ่ง
ทางฝั่งฝูซิงเองก็ถามเธอด้วยแววตาสงสัยแบบสวี่เหยียนเช่นกัน “หม่ามี๊ คนที่อยู่ในบ้านคุณตำรวจดูจะใจดีจะตาย ทำไมไม่ให้ฝูซิงเล่นกับเขาอีกซักหน่อยล่ะ?”
“ห้ามไปเล่นตรงนั้นอีก!” สีหน้าของฝูเจิ้งเจิ้งแสดงให้เห็นว่าเธอโกรธมากๆ
ฝูซิงหันไปมองสวี่เหยียนด้วยแววตาเศร้าสร้อย เพราะแบบนี้สวี่เหยียนจึงรีบแยกตัวเด็กน้อยมาปลอบใจไว้ก่อน “เธอน่ะตอบฉันมาก่อนเลยว่าไปโกรธอะไรมา? ซิงซิง ไม่ต้องกลัวไปนะ เดี๋ยวเราไปกินข้าวเย็นกันเนอะ”
“ฝูซิงอยากกินเค้ก!” ชัดเจนเลยว่าเขาไม่ได้เศร้าไปซะทีเดียว เนื่องจากในห้องนี้มีสิ่งของล่อตาล่อใจอยู่
“ไม่ได้ เค้กต้องรอก่อนนะจ๊ะ เดี๋ยวพวกเราจะกินเค้กกันตอนกลางคืน” สวี่เหยียนรีบเข้าไปขวางทางระหว่างฝูซิงกับเค้กไว้ก่อน
ได้ยินเช่นนั้นฝูซิงก็เข้าใจได้ทันที “อ๊ะ วันนี้วันเกิดลุงเสี่ยวนี่นา งั้นเราต้องรอลุงเสี่ยวมากินเค้กด้วยกันสินะครับ”
“เก่งมากจ้า!” สวี่เหยียนเดินนำฝูซิงไปด้านนอก “เพราะงั้นตอนนี้พวกเราจะไปกินอาหารอร่อยๆ กันก่อนโดยทิ้งหม่ามี๊ไว้ที่นี่ดีกว่า เน้อ~”
“สวี่เหยียน!” ฝูเจิ้งเจิ้งขึ้นเสียงก่อนจะรีบลุกขึ้นแล้วตามทั้งสองไป
“หม่ามี๊โดนความหิวโหยเข้าครอบงำแล้ว ฮ่าๆๆๆ” ฝูซิงหันไปพูดก่อนจะหันกลับมาหัวเราะกับสวี่เหยียน
หลังจากที่ทานข้าวเย็นกันหมดแล้ว ทั้งสามก็กลับห้องไปเพื่อจะพักผ่อน ซึ่งในตอนนี้เพื่อนอีกสองคนของสวี่เหยียนอย่าง หลิงหลิง และ เสี่ยวเย่ ก็มาถึงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้เสี่ยวอี้เฉิงก็โทรหาสวี่เหยียนพอดีด้วย
“มานี่เร็วเด็กดี เจ้าชายผู้ทรงเสน่ห์ของใครบางคนกำลังจะมาแล้ว” ฝูเจิ้งเจิ้งกวักมือเรียกฝูซิงไปที่ประตู
ฝูซิงที่เดินตามไปนั้นเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ตามประสาเด็ก “หม่ามี๊ เจ้าชายผู้ทรงเสน่ห์คืออะไรเหรอ?”
“อืม เป็นผู้ชายที่สาวคนหนึ่งชอบเขามากๆ เลยน่ะจ้ะ”
“โอ้ ฝูซิงเข้าใจแล้ว” ฝูซิงร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น “งั้นเจ้าชายผู้ทรงเสน่ห์ของหม่ามี๊ก็คือ ป๊ะป๋า!”
“ไร้สาระน่า!” ฝูเจิ้งเจิ้งเคาะหน้าผากลูกชายตัวแสบของเธอไปเสียทีหนึ่ง
“ก็มันจริงนี่นา!” ฝูซิงบ่นพึมพำ
“อ๊ะๆๆ ชู่วววว—-” ทันทีที่สวี่เหยียนให้สัญญาณ ทั่วทั้งห้องก็เงียบลงในทันใด
แสงไฟในห้องดับลงโดยพลัน
ในช่วงเวลาที่ทุกๆ คนต่างตั้งตารอ ทั้งฝูซิงและฝูเจิ้งเจิ้งต่างยืนเงียบราวกับหยุดหายใจกันไปแล้วทั้งคู่
ทันทีที่มีเสียงเคาะประตู สวี่เหยียนก็รีบเดินไปเปิด และเจ้าของเสียงเคาะประตูนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น เสี่ยวอี้เฉิง ที่มาในชุดสูทอย่างเป็นทางการพร้อมกับช่อกุหลาบช่อใหญ่ในมือนั่นเอง!
“สวัสดีตอนเย็นค่ะ” เมื่อได้เห็นดอกไม้ในมือของอีกฝ่าย สวี่เหยียนก็เกิดความเคอะเขินขึ้นมา
“เธออยู่ที่นี่เอง!”
จังหวะที่สวี่เหยียนกำลังจะรับช่อดอกไม้นั้นเอง เสี่ยวอี้เฉิงก็ยกมือหลบและเปลี่ยนไปกอดเธอไว้แทน พร้อมทั้งกระซิบข้างๆ หู “สวี่เหยียน ฉันมีบางอย่างจะพูดกับเธอด้วย”
“เรื่องคุยไว้ทีหลังก็ไ—” สวี่เหยียนพยายามจะสลัดตัวออกจากเขา แต่เพราะเสี่ยวอี้เฉิงคิดว่าเธอจะปฏิเสธที่จะรับฟัง เขาจึงไม่ปล่อยโอกาสให้เธอได้พูดอะไรต่อและบรรจงประกบริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากของเธอในทันที
“เห๊ะ….”
“เยส!! ลุงเสี่ยวจูบน้าสวี่แล้ว! ลุงเสี่ยวเป็นของน้าสวี่แล้ว!” เมื่อเห็นดังนั้นฝูซิงก็ส่งเสียงร้องเชียร์ออกมาพร้อมกับปรบมือเสียงดังท่ามกลางความมืดมิดด้วย
เสี่ยวอี้เฉิงตกใจจนต้องรีบปล่อยสวี่เหยียนออกจากอ้อมแขน และเมื่อไฟในห้องสว่างขึ้น เขาก็พบว่าภายในห้องนี้มีคนอยู่หลายที่ได้เห็นฉากอันเร่าร้อนเมื่อครู่
“ฝูซิง!” เป็นเพราะฝูเจิ้งเจิ้งด้วยที่ตกใจกับภาพที่เห็นเหมือนกันจนเธอปิดตาของฝูซิงไม่ทัน “บ-แบบว่ามันกะทันหันไปหน่อย…ฉันเลยปิดตาฝูซิงไม่ทันน่ะ…”
ตอนนี้สวี่เหยียนดูจะโกรธเสี่ยวอี้เฉิงเอามากๆ ในขณะเดียวกันใบหน้าของเธอมันก็เห่อแดงเป็นลูกตำลึงไปแล้ว
ชายหนุ่มยิ้มเขินขณะที่พูด “ฉ-ฉันนึกว่าในห้องนี้มีแค่เธอซะอีก…แหะๆ….”
เสี่ยวเย่ที่อยู่ใกล้ๆ เองก็ยิ้มกว้าง “คุณอี้เฉิงคิดซะว่าพวกเราเป็นอากาศก็ได้นะคะ พวกเรายังอยากได้ยินน่ะค่ะว่าคุณอี้เฉิงจะพูดอะไรกับสวี่เหยียน”
“ห้ามบอกพวกนั้นนะ!” สวี่เหยียนจ้องเขม็ง
“ใช่แล้ว จะให้คำบอกรักหวานๆ ของพ่อยอดยาหยีถูกคนอื่นได้ยินได้ยังไงกัน จริงไหม?” หลังจากที่ฝูเจิ้งเจิ้งพูดดังนั้น ทุกๆ คนก็หลุดหัวเราะกันออกมา
เมื่อเห็นว่าสวี่เหยียนกลายมาเป็นตัวตลกในสายตาคนอื่น เสี่ยวอี้เฉิงก็รีบเปลี่ยนหัวข้อเรื่องในทันที “จะว่าไปแล้ววันนี้วันเกิดใครกันเหรอ? ฉันเห็นมีเค้กก้อนใหญ่อยู่ตรงนั้นด้วย วันเกิดซิงซิงหรือเปล่าเนี่ย?”
ทันทีที่ได้ยินเรื่อง “วันเกิด” ฝูซิงก็ร้องเพลงออกมา “แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู…”
ทุกๆ คนเริ่มร้องเพลงด้วยกัน มีเพียงเสี่ยวอี้เฉิงเท่านั้นที่ยังคงมองสวี่เหยียนด้วยความประหลาดใจ
“ส-สุขสันต์วันเกิดค่ะ!” สวี่เหยียนมอบกล่องของขวัญที่ถูกห่อไว้อย่างสวยงามให้กับเสี่ยวอี้เฉิง โดยที่ตัวเธอเองก็ยังมีอาการเขินอายให้เห็นเรื่อยๆ ด้วย
“เอ๊ะ? นี่วันเกิดฉันเหรอ?” เสี่ยวอี้เฉิงช็อก ก่อนจะหลุดยิ้มออกมา “ดูเหมือนว่าฉันจะไม่ได้ฉลองวันเกิดมาตั้งแต่เรียนมัธยมแล้วล่ะ ฮ่าๆๆ”
“งั้นต่อจากนี้ ใครบางคนคงจะฉลองวันเกิดให้คุณอี้เฉิงทุกๆ ปีแน่เลยล่ะค่ะ” เสี่ยวเย่พูดแล้วหัวเราะเบาๆ
เสี่ยวอี้เฉิงเข้าใจแล้วว่าทำไมสวี่เหยียนถึงอยากจะให้เขาสลับเวรแล้วมาฉลองคริสมาสต์อีฟกับเธอเสียเหลือเกิน แววตาที่อ่อนโยนมองไปยังสวี่เหยียนผู้ที่กำลังจุดเทียนอยู่ เสี่ยวอี้เฉิงก็พูดขึ้นอย่างนุ่มนวล “ขอบคุณนะ อาเหยียน”
ใบหน้าที่เพิ่งจะหายแดงได้แว้บเดียวของสวี่เหยียนแดงขึ้นมาอีกครั้ง เธอยิ้มก่อนจะชี้ไปทางเทียนที่จุดครบแล้ว “อธิษฐานแล้วเป่าเทียนก่อนสิคะ”
เจ้าตัวเล็กฝูซิงไต่ขึ้นไปบนเก้าอี้มาช่วยเสี่ยวอี้เฉิงเป่าเทียนจากไกลๆ พลางปรบมือเชียร์ “หลังจากเป่าเทียบเสร็จแล้วก็จูบเลย!”
ฝูเจิ้งเจิ้งที่ยืนอยู่ข้างๆ ตีหัวเจ้าเด็กช่างยุไปเสียทีหนึ่งเบาๆ ก่อนจะมองค้อนเขาไปด้วย “ไปจำคำพูดแปลกๆ พวกนั้นมาจากไหนน่ะ? ลูกยังเป็นเด็กอยู่เลยไม่ใช่หรือไง?”
“ก็ในทีวีเค้าก็ทำกันแบบนี้! ฝูซิงรู้นะว่าเรื่องที่พูดมันไม่เหมาะกับเด็กน่ะ แต่ฝูซิงเป็นผู้ใหญ่แล้ว!” ฝูซิงบุ้ยปากก่อนจะหันไปเร่งเร้าเสี่ยวอี้เฉิงด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ลุงเสี่ยว ขออะไรไปเหรอครับ? พูดออกมาดังๆ เลยแล้วคำขอจะเป็นจริงนะครับ!”
“คำอธิษฐานบ้านไหนเค้าพูดให้คนอื่นได้ยินกันน่ะ? ลูกนี่ช่างจ้อจริงๆ ไหนดูซิว่าเค้กก้อนนี้จะช่วยหยุดปากเล็กๆ ที่พูดมากตลอดเวลานี่ได้หรือเปล่า” เธอรับเค้กมาจากเสี่ยวอี้เฉิงก่อนจะวางมันไว้ตรงหน้าฝูซิง
หลังจากที่แบ่งเค้กเป็นส่วนๆ ให้ทุกๆ คนแล้ว เสี่ยวอี้เฉิงก็ขยิบตาให้ฝูซิงก่อนจะเอ่ยขึ้น “จริงๆ ฉันว่าซิงซิงก็พูดถูก คำอธิษฐานของฉัน จะเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อพูดมันออกไปเท่านั้น”
เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่งและหยิบเอากุญแจที่พกใส่กระเป๋าไว้ออกมายื่นให้สวี่เหยียน “อาเหยียน จริงๆ แล้วสิ่งที่ฉันจะพูดกับเธอตั้งแต่แรก ก็คือ…ได้โปรด มาเป็นสะใภ้ตระกูลฉันด้วยเถอะนะ”
“เอ๊ะ!?”
“เยส!”
“หู้ววววว! ตอบตกลงเลย!”
เสียงเชียร์ดังขึ้นมาจากทุกๆ คนอีกครั้ง ยกเว้นเสี่ยวอี้เฉิงและสวี่เหยียน โดยเฉพาะสวี่เหยียนที่กำลังหน้าแดงเป็นรอบที่ 3 หลังจากที่มันเพิ่งจะจางลงไปเมื่อครู่แท้ๆ
ตัวฝูซิงเองถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าคำพูดของเสี่ยวอี้เฉิงหมายถึงอะไร แต่เมื่อเขาเห็นว่าทุกๆ คนดูมีความสุข ร่างเล็กก็ขึ้นไปยืนบนเก้าอี้พร้อมส่งเสียงเชียร์ไปด้วย
สวี่เหยียนไม่ได้ลังเลที่จะรับกุญแจดอกนั้นมาแต่อย่างใด เธอเพียงแค่อายที่จะรับมันเท่านั้น จึงต้องใช้เวลานิดหน่อยกว่ามือที่สั่นเทาจะเข้าไปคว้ากุญแจดอกนั้นไว้ในที่สุดท่ามกลางเสียงปรบมือดีใจของเพื่อนพ้อง
ฝูซิงหันไปมองรอบๆ เขาปิดตาตัวเองก่อนจะเอ่ยถาม “ลุงเสี่ยวจะจูบน้าสวี่หรือยัง? ฝูซิงปิดตารอแล้วนะ!”
“ห้ามจูบนะ!” สวี่เหยียนรีบผลักเสี่ยวอี้เฉิงออกไปก่อน ทว่าเมื่อเห็นว่าเสี่ยวอี้เฉิงไม่ได้จะจูบเธอต่อหน้าเพื่อนๆ ตั้งแต่แรกแล้ว หญิงสาวก็เขินขึ้นมาอีกทำเอาคนอื่นๆ หัวเราะไปพร้อมๆ กัน
หลังจากที่ร่วมทานเค้กกันเสร็จแล้ว สวี่เหยียนก็หันมองเวลาก่อนจะลุกขึ้น “3 ทุ่มแล้วล่ะ งานเลี้ยงกำลังจะเริ่มแล้วนะ”
เสี่ยวอี้เฉิงโอบฝูซิงไว้ในอ้อมแขน เขาพร้อมแล้วที่จะไปงานเลี้ยงที่ว่าพร้อมกับคนอื่นๆ
แต่ทางฝูเจิ้งเจิ้งกลับเป็นฝ่ายปฏิเสธที่จะไปพร้อมกัน “ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องเต้นรำซักเท่าไหร่ ถ้ายังไงเธอพาฝูซิงไปกันก่อนเลย เดี๋ยวฉันจะทำความสะอาดที่นี่ไว้ให้ก่อนแล้วจะรีบตามไปทีหลัง”
“เจิ้งเจิ้ง ฉัน…”
“พูดมาก เธอน่ะ รีบๆ ไปเลย ฉันได้ยินว่าในงานจะมีจับรางวัลด้วยนะ เกิดไปถึงช้าแล้วไม่ได้รางวัลมันจะน่าเสียดายเอานา”
พลันเมื่อได้ยินว่ามีของขวัญ ฝูซิงก็เป็นฝ่ายคึกคักขึ้นมาก่อน “งั้นไปกันเลย! ฝูซิงอยากได้ของขวัญ!”
“ถ้างั้นก็เธอก็ตามไปทีหลังด้วยล่ะ” สวี่เหยียนพูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกไปพร้อมคนอื่น
เมื่อเห็นว่าทุกคนไปหมดแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็เริ่มทำความสะอาดห้องตามที่ได้บอกไว้ จากนั้นเธอก็นั่งพักอยู่ครู่หนึ่ง รอจนคิดว่างานปาร์ตี้เต้นรำน่าจะเริ่มแล้ว เธอถึงจะหยิบกระเป๋าแล้วเดิมออกจากห้องไปด้านนอก
ภายใต้แสงจันทร์ที่ริบหรี่นี้ เงาของต้นไม้ที่ถูกสายลมพัดให้พริ้วสไวมันก็ทำให้รู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมาเล็กน้อย แต่ด้วยแสงไฟที่ปรากฏอยู่เป็นแนวตลอดทางเดิน มันก็ช่วยทำให้ความรู้สึกหนาวนั้นไม่ได้มากมายเกินกว่าจะรับไหว
ฝูเจิ้งเจิ้งได้ยินเสียงเพลงดังมาจากโถงงานเลี้ยงเบาๆ เธอยิ้มออกมาและมองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าละแวกนั้นไม่มีใครอยู่ หญิงสาวก็ตรงดิ่งเข้าไปยังบ้านหลังเก่าและเปิดประตูรั้วเข้าไปในทันที
ขณะที่เดินวนรอบตัวบ้านแล้ว เธอก็พบหน้าต่างบานใหม่ที่ถูกปิดไว้ แต่คราวนี้มันไม่ได้ปิดสนิทซะทีเดียว!
เธอมองมันอย่าชั่งใจพร้อมกับเกิดคำถามขึ้นมาในใจ… ทำไมหน้าต่างพวกนี้ถึงแง้มออกเฉพาะกลางคืนนะ?
ตำรวจสาวซ่อนตัวภายในเงามืดและคอยมองรอบๆ ตัวด้วยความระมัดระวัง แต่รอบๆ นั้นก็ยังคงไม่มีใครดังเดิม
บางทีเธออาจจะคิดมากไปเองหรือเปล่า? หรือมันแค่บังเอิญ?
แต่เรื่องนี้เห็นทีคงต้องปล่อยไปก่อน ฝูเจิ้งเจิ้งเริ่มเปิดหน้าต่างนั้นออกเบาๆ ยัดตัวเข้าไปก่อนจะปิดหน้าต่างกลับไว้ดังเดิม
ด้วยแสงไฟสลัวที่มาจากทางเดิน เธอค่อยๆ มองไปตามเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ภายในห้องที่เธอเข้ามา จากนั้นหัวใจของเธอก็เริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความตื่นเต้น
ชัดเลย ทุกอย่างภายในนี้เหมือนกับบ้านของเหนียนซี่ในความทรงจำเธอทุกประการ!
ฝูเจิ้งเจิ้งพยายามจะข่มความตื่นเต้นไว้ และรีบเดินไปสำรวจอีกห้องหนึ่งที่อยู่ข้างๆ กัน เธอหยิบไฟฉายเล็กๆ ขึ้นมาเปิดส่องทาง ไม่นานนักก็พบว่ามันมีปุ่มลับถูกซ่อนไว้ในชั้นหนังสือด้วย
ที่นี่มีห้องลับจริงๆ สินะ!
หัวใจที่เต้นเร็วและแรงนั้น มันชัดเจนระดับที่ไม่ต้องสัมผัสที่อกก็รู้ได้ว่ากำลังเต้นแรงขนาดไหน หลังจากพยายามสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเรียกสติ เธอก็เริ่มจะใจเย็นลงมาบ้างแล้ว มือเรียวงามที่สั่นเทาเอื้อมไปกดปุ่มนั้นช้าๆ และทันทีที่กดลงไป ชั้นหนังสือก็ขยับออกไปข้างๆ ปรากฏเป็นทางเข้าห้องที่อยู่ด้านหลังขึ้นมาต่อหน้าเธอ
หญิงสาวรีบเดินเข้าไปในห้องลับดังกล่าว ในขณะที่มือข้างที่ยังว่างก็ควานหาสวิทช์ไฟและเปิดมันไปด้วย
พลันเมื่อแสงไฟสว่างขึ้นมา ดวงตาที่ชินกับความมืดไปแล้วก็รู้สึกแสบพร่าไปหมดจนเธอต้องหลับตาไว้ครู่หนึ่ง ก่อนจะลืมตามาอีกครั้ง ยามที่ดวงตาของเธอได้เห็นภาพที่อยู่เบื้องหน้า ในใจมันก็อดอุทานออกมาไม่ได้
หากไม่มีฝุ่น ห้องๆ นี้ก็คือห้องที่เหนียนซี่อาศัยอยู่ไม่มีผิดเพี้ยนเลย
เหนียนซี่! เหนียนซี่!
เธอรีบก้าวเท้าลงไปด้านล่างและสัมผัสทุกสิ่งอย่างที่หลับไหลอยู่ภายใต้บ้านหลังนี้ ในดวงตาของเธอมันก็มีน้ำใสๆเอ่อคลอขึ้นมาโดยที่ไม่สามารถควบคุมได้
ทว่าแม้จะเจอทุกสิ่งทุกอย่างที่คุ้นเคย แต่ความรู้สึกผิดหวังมันก็ยังมีอยู่ นั่นเพราะเธอไม่สามารถหาหลักฐานหรือเบาะแสที่จะช่วยเธอสืบหาตัวเหนียนซี่ได้เลย เว้นแต่หนังสือที่ถูกวางอยู่ในชั้น
มองไปรอบๆ ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยฝุ่นแห่งนี้ และจากความหนาของฝุ่นที่เกาะให้เห็นชัด เธอสรุปได้ว่าที่แห่งนี้ไม่มีใครอยู่มาเป็นเวลานานแล้ว
เหนียนซี่ย้ายออกจากที่นี่หลังจากที่เธอหนีไปงั้นเหรอ?
แล้วเขาไปไหนล่ะ? บ้านหลังนี้ถูกตระกูลหานซื้อต่อหรือยังไง? ทำไมไม่ถูกทำลาย?
นอกจากนี้ ทำไมเก้าอี้กับโต๊ะด้านนอกถึงยังสะอาดสะอ้านอยู่ แตกต่างกับในห้องลับนี่ คนที่มาทำความสะอาดบ้านหลังนี้ไม่รู้ถึงการมีอยู่ของห้องลับนี่งั้นเหรอ? เป็นไปได้ไหมนะว่าตระกูลหานก็ยังไม่รู้เรื่องห้องลับนี้เช่นกัน?
ที่ที่คิดว่าจะหาเบาะแสของเหนียนซี่อย่างบ้านหลังเก่านี้ก็ต้องถูกปัดตกไปอีกที่แล้ว…
ฝูเจิ้งเจิ้งที่นั่งอยู่บนเตียงค่อยๆ ลุกขึ้นมาด้วยความผิดหวังอีกครั้ง
ไม่…ฉันจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แน่!
เธอกัดฟันและพูดเตือนตัวเอง
ในเมื่อตอนนี้บ้านหลังนี้อยู่ภายใต้ชื่อของบริษัทเว่ยหาน มันจะต้องมีอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับตระกูลหานแน่ๆ !
แต่การที่จะสืบหาจากตระกูลหานนั้น เธอคงต้องเข้าทางหานซือฉี… แล้วหานซือฉีในตอนนี้ก็มีเฉียวเค่อเหรินตามติดแจเป็นวิญญาณอาฆาตเลย เห็นทีคงจะไม่เวิร์ค
มันจะพอมีหนทางอื่นที่เธอจะสามารถเข้าไปในตระกูลหานเพื่อสืบเรื่องบ้านหลังเก่านี้ได้ไหมนะ?
ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว
*เคร้ง!*
เสียงอะไรบางอย่างดังเข้ามาจากด้านนอก และมันทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งเงยหน้าขึ้นไปมองตามเสียงทันที
————————————————————————————————————–
คุยกับผู้แปล
เหนียนซี่นี่โคตรแห่งความตัวละครลับเลยนะ จุดที่เหมือนจะเจอก็ไม่เจอซักที แถมเบาะแสก็ไม่มีอีกด้วย แต่กลับกันดันกลายเป็นชื่อที่จำได้ตลอดซะงั้น 555555