ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 78 มันไม่ใช่อย่างที่คิดนะ
หญิงสาวรีบวิ่งไปที่ประตูห้องลับนั้น และมองออกไปด้านนอกด้วยความระมัดระวังโดยพึ่งแสงจากห้องลับนี้ช่วย
“เมี๊ยว” ยามเมื่อได้ยินเสียงแมวร้องมาจากด้านนอก เธอจึงค่อยคลายกังวล
เมื่อไม่มีอะไรต้องทำแล้ว เธอจึงค่อยๆ เดินปิดไฟทุกดวงที่เปิดไว้ แล้วจึงเดินออกไปจากห้องลับโดยไม่ลืมที่จะปิดประตูไว้ดังเดิม จากนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็ปีนกลับไปยังบานหน้าต่างที่เธอเข้ามาด้วยความระมัดระวังก่อนจะกลับไปยังโถงงานเลี้ยงที่เต็มไปด้วยผู้คนซึ่งกำลังขยับตัวไปมาภายใต้แสงสีของงานปาร์ตี้ในช่วงเทศกาลสำคัญเช่นนี้
ฝูเจิ้งเจิ้งพบว่าสวี่เหยียนและเพื่อนคนอื่นๆ กำลังสนุกสนานกันอยู่มุมหนึ่ง ในขณะที่ฝูซิงนั้นนอนหลับปุ๋ยอยู่บนโซฟาแถวๆ นั้นไปแล้ว ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจพาฝูซิงกลับมาที่ห้องของตนไปก่อน
ขณะที่นอนอยู่บนเตียง ฝูเจิ้งเจิ้งที่ไม่ได้หลับสนิท ยังคงนอนย้ำคิดเกี่ยวกับห้องลับนั้น ในหัวของเธอมันเฝ้าแต่คิดวนไปวนมาพยายามหาเหตุผลต่างๆ กระทั่งดวงตาเริ่มล้าจากนั้นมันจึงค่อยปิดและส่งให้เธอเข้าสู่ห้วงนิทราไป
คืนนี้ฝูเจิ้งเจิ้งหลับยาวจนกระทั่งแสงอาทิตย์ของเช้าวันใหม่สาดส่องเข้ามา เมื่อเธอหันมองนาฬิกา ก็พบว่ามันเป็นเวลากว่า 8 โมงเข้าไปแล้ว หญิงสาวดีดตัวขึ้นมาด้วยความตกใจก่อนจะรีบหันไปปลุกฝูซิง “ฝูซิง รีบตื่นเร็วเข้า ไม่งั้นลูกจะไปโรงเรียนสายนะ!”
ทว่าเมื่อหันไปมองลูกชายของเธอก็ไม่ได้อยู่ที่เตียงแล้ว หญิงสาวตะโกนเรียกอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ กลับมา เธอรีบโทรหาสวี่เหยียนในทันที จึงได้รับคำตอบว่าช่วงเช้าที่สวี่เหยียนมาทำงานนั้น ฝูซิงก็ไม่ได้อยู่ในห้องนั้นแล้ว การที่ฝูซิงหายไปโดยที่ไม่มีใครรู้เลยมันทำให้เธอเริ่มใจไม่ดี ฝูเจิ้งเจิ้งไม่รอช้าที่จะคว้าเสื้อโค้ทมาสวมทับแล้ววิ่งออกจากห้องไปทันที
ก่อนที่เธอจะวิ่งไปจนถึงประชาสัมพันธ์ด้านหน้า ฝูเจิ้งเจิ้งก็ถามแม่บ้านที่อยู่ละแวกนั้นไปด้วย “ขอโทษนะคะ พอจะเห็นเด็กผู้ชายตัวเท่านี้ อายุประมาณ 5-6 ขวบบ้างไหมคะ?”
“คุณผู้หญิงหมายถึงเด็กตัวเล็กๆ ที่สวมเสื้อโค้ทสีฟ้าหรือเปล่าคะ? ถ้าใช่ฉันเห็นเขาวิ่งออกไปตั้งแต่ประมาณครึ่งชั่วโมงที่แล้วเห็นจะได้ค่ะ”
เขาออกจากห้องมาครึ่งชั่วโมงแล้วเหรอ?
เมื่อรู้ดังนั้น ฝูเจิ้งเจิ้งจึงไล่ถามทุกคนที่เธอพบระหว่างทางจนกระทั่งไปถึงรีสอร์ทที่อยู่ทางเหนือภายในอาณาเขตของฉืออิ๋งลี่หยาง หญิงสาวร้องเรียกชื่อลูกชายของตน และดูเหมือนลางสังหรณ์เธอจะถูกต้อง ฝูซิงขานรับกลับมาในที่สุด!
ในขณะที่ฝูซิงวิ่งออกมา ฝูเจิ้งเจิ้งก็วิ่งเข้าไปหา ทันทีที่เจอหน้าก็เธอก็อบรมเจ้าตัวแสบยกใหญ่โทษฐานที่ทำให้เธอเป็นห่วง “ทำไมลูกถึงออกมาข้างนอกโดยไม่บอกหม่ามี๊อีกแล้ว! ทำไมถึงไม่ยอมเชื่อฟัง ฮะ!”
ฝูซิงรีบอธิบายทันที “ก็ฝูซิงเห็นหม่ามี๊หลับอยู่ ก็เลยไม่อยากจะปลุก เพราะงั้นฝูซิงเลยออกมาเล่นคนเดียว…”
“ต่อให้ลูกเบื่อ ลูกก็ห้ามออกมาวิ่งเล่นคนเดียว! ถ้ายังมีครั้งต่อไปอีก หม่ามี๊จะตีแล้วนะ!”
“หม่ามี๊ ฝูซิงขอโทษ…”
เมื่อเห็นว่าฝูซิงกำลังจะร้องไห้ ฝูเจิ้งเจิ้งเองก็พยายามใจแข็งไม่เข้าไปปลอบ อยากจะให้บทเรียนแก่เขาบ้าง ทว่าตอนนั้นเอง จีหยาฉูก็วิ่งเข้ามาพร้อมเด็กผู้หญิงตัวเล็กในอ้อมแขน เธอวางเด็กสาวลงแล้วเข้าไปกอดฝูซิงไว้ “โอ๋ๆๆ เธอจะสอนเขาด้วยวิธีรุนแรงไม่ได้นะจ๊ะ!”
ผู้หญิงคนนี้อีกแล้วงั้นเหรอ?
ฝูเจิ้งเจิ้งขมวดคิ้วและรีบคว้าตัวฝูซิงกลับมาไว้ด้านหลังของเธอ โดยที่ทุกการกระทำนั้นไม่ได้ละสายตาจากจีหยาฉูเลย เธอพยายามฝืนยิ้มจางๆ ออกมาแล้วทักทายอีกฝ่าย “อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณนายจี”
“อย่าเรียกฉันว่าคุณนายสิ! ซิงซิงยังเรียกฉันคุณย่าเลยนะจ๊ะ” จีหยาฉูยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะกวักมือเรียกให้ฝูซิงมาหา
เด็กน้อยเงยหน้ามองฝูเจิ้งเจิ้ง เขาไม่กล้าแม้จะขยับหรือพูดอะไรทั้งนั้น
ได้ยินดังนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็เหลียวมองฝูซิง แต่ก่อนจะได้พูดอะไรต่อ จีหยาฉูก็เป็นฝ่ายพูดต่อขึ้นมาก่อน “เจิ้งเจิ้ง ฉันเข้าใจเธอนะจ๊ะ ถึงเหตุผลที่ทำไมเธอถึงโกรธลูกชายคนรองของฉัน ตระกูลหานของเรารู้สึกเสียใจกับการที่ต้องปล่อยให้เธอต้องใช้ชีวิตด้วยความยากลำบากจริงๆ แต่ในเมื่อตอนนี้พวกเรารู้ถึงเรื่องที่เกิดแล้ว พวกเราจะคอยช่วยเหลือเธอเอง”
ตระกูลหาน? มีตระกูลหานกี่ตระกูลภายในเมือง B แห่งนี้น่ะ? ที่แน่ๆ ก็มีตระกูลที่สร้างรีสอร์ทฉืออิ๋งลี่หยางแห่งนี้หนึ่งล่ะ
คำพูดของอีกฝ่ายมันทำเอาฝูเจิ้งเจิ้งช็อกไปพักใหญ่ๆ เธอกำลังสงสัยอยู่ว่า ทำไมจีหมู่เซี่ยนถึงเป็นสมาชิกตระกูลหานได้ทั้งๆ ที่เขาใช้นามสกุลจี
เมื่อเห็นว่าฝูเจิ้งเจิ้งไม่ได้พูดอะไรต่อ จีหยาฉูก็คิดไปว่าเธอน่าจะดึงความสนใจของฝูเจิ้งเจิ้งได้แล้ว ดังนั้นหญิงวัยกลางคนผู้นี้จึงเดินเนียนเข้าไปจับมือฝูซิงไว้ “พวกเราจะชดใช้ความทุกข์ยากที่ได้ก่อไว้ให้เธอมาตลอดหลายปีนี้ให้เอง มากันเถอะซิงซิง มากับย่า เดี๋ยวย่าจะพาซิงซิงกับเสี่ยวเสี่ยวไปเล่นด้วยกันนะ”
ลูกชายคนรอง…แสดงว่ามี 3 คนงั้นเหรอ? อืมมมม จีหยาฉู…จีหมู่เซี่ยน…
หรือว่าจีหมู่เซี่ยนจะเป็นพี่รองที่หานซือฉีเคยพูดเมื่อนานมาแล้ว!?
บ้าน่า โลกจะกลมเกินไปแล้วนะ!
“หม่ามี๊…” ฝูซิงกระตุกเสื้อของฝูเจิ้งเจิ้งเบาๆ ตัวเขายังคงไม่กล้าไปกับจีหยาฉูอยู่ แต่นั่นไม่ใช่เพราะกลัวอีกฝ่าย หากแต่กลัวฝูเจิ้งเจิ้งต่างหาก
แบบนี้มันถือเป็นโอกาสทองหรือเปล่านะ? ไหนๆ ก็เข้าตระกูลหานทางหานซือฉีไม่ได้แล้ว บางทีอาจจะเริ่มเข้าจากทางจีหมู่เซี่ยนได้ เออออตามไปก่อนเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการก็ได้ล่ะมั้ง
คิดได้ดังนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็พยักหน้า “ไปเล่นกับเสี่ยวเสี่ยวเถอะ แต่ลูกห้ามรังแกเธอนะ”
“เย้!” ฝูซิงส่งเสียงร้องดีใจราวกับนกน้อยที่ได้รับอิสรภาพให้โผบินออกจากกรงทอง เขาจับมือเสี่ยวเสี่ยวไว้ แล้วเจ้าตัวเล็กทั้งสองก็พากันวิ่งเข้าบ้านไป
“ช้าลงหน่อยเด็กๆ เดี๋ยวจะล้มเอานะ!” จีหยาฉูรีบตามทั้งสองไปทันทีพร้อมทั้งหันหน้าไปพูดกับใครบางคนที่กำลังเดินเข้ามาด้วย “หมู่เซี่ยน พาเจิ้งเจิ้งไปทานข้าวกลางวันกับพวกเราด้วยนะลูก”
สิ้นเสียง จีหยาฉูก็เดินเข้าบ้านไป
ฝูเจิ้งเจิ้งหันไปมองตามทิศทางที่อีกฝ่ายพูดทิ้งท้ายเอาไว้ และเธอก็พบว่า ณ จุดนั้น จีหมู่เซี่ยนกำลังยืนอยู่และมองเธอด้วยสายตาที่เหมือนจะเค้นหาคำตอบอะไรบางอย่าง
เธอชี้ไปยังจีหยาฉูในขณะที่เลี่ยงที่จะสบตาอีกฝ่าย แต่ในท้ายที่สุดก็ตัดสินใจเอ่ยถามออกไป “ทำไมถึงไม่อธิบายให้พวกเขาฟังล่ะคะ?”
“อธิบายอะไรน่ะ? แบบนี้ก็ดีแล้วนี่นา? ไปเปลี่ยนชุดได้แล้ว เดี๋ยวพวกเราจะไปกินข้าวกลางวันด้วยกัน ฉันจะรออยู่ตรงนี้แหละ” จีหมู่เซี่ยนพูดด้วยท่าทีเอื่อยเฉื่อย ซึ่งมันทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งได้แต่งุนงงไปตลอดทาง
ไม่รู้ว่าทำไมจีหมู่เซี่ยนถึงไม่ยอมอธิบายครอบครัวของเขาให้ชัดเจน รวมไปถึงไม่รู้ด้วยว่าทำไมเขาไม่ถามถึงเหตุผลที่เธอเองก็ไม่ยอมอธิบายเช่นกัน
หลังจากที่เปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็เห็นจีหมู่เซี่ยนยืนรออยู่ที่เดิมจริงๆ
เท่าที่คิดได้ตอนนี้ บางทีจีหมู่เซี่ยนเองก็คงจะถูกครอบครัวบังคับให้แต่งงานเหมือนกัน ดังนั้นแล้วเธอจึงตัดสินใจที่จะมองข้ามความเข้าใจผิดนี้ไปก่อนเพื่อให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุขชั่วคราว
‘พี่รองของฉันน่ะไม่เหมาะสมกับเธอหรอก!’ ทันใดนั้น คำพูดของหานซือฉีก็ลั่นขึ้นมาในหัวของเธออีกครั้ง จนทั่วทั้งร่างมันเกิดความสั่นไหวไปหมด
หานซือฉีเคยเข้าใจผิดระหว่างเธอกับพี่รองของเขามาก่อนหน้าแล้วงั้นเหรอ?
แล้วถ้าเจ้าตัวมารู้เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้…เธอจะเป็นยังไงบ้างนะ?
แต่ไม่ว่ายังไง ตอนนี้เธอต้องรีบทำงานของตนเองให้เรียบร้อยเสียก่อน
ฝูเจิ้งเจิ้งกัดฟันข่มความลังเลแล้วเดินเข้าไปหาจีหมู่เซี่ยน เขาเพียงยิ้มน้อยๆ ให้เธอก่อนจะเดินเข้าไปพร้อมกัน
เมื่อเข้ามาในตัวบ้านแล้ว เธอก็พบว่าฝูซิงและเสี่ยวเสี่ยวไม่ได้อยู่ภายในนั้น จะมีก็แต่จีหยาฉูที่นั่งดื่มชาอยู่คนเดียว
“เจิ้งเจิ้ง มานั่งตรงนี้ก่อนสิจ๊ะ” ใบหน้าที่อ่อนโยนนั้นพยักหน้าให้เบาๆ เพื่อบอกให้ฝูเจิ้งเจิ้งไปนั่งข้างๆ ในขณะที่มือก็วางชาลงไปบนโต๊ะด้วย
หญิงสาวหันมองจีหมู่เซี่ยนที่ยืนอยู่ข้างๆ โดยที่ในหัวกำลังคิดว่าวิธีขอให้เขาออกไปก่อน เพื่อที่เธอจะได้สืบถามเรื่องบ้านหลังเก่านั้นกับจีหยาฉูได้สะดวกหน่อย
ทว่าดูเหมือนจีหยาฉูจะเข้าใจในสิ่งที่ฝูเจิ้งเจิ้งต้องการ ดังนั้นเธอจึงบอกให้จีหมู่เซี่ยนออกไปก่อน “หมู่เซี่ยน ลูกขึ้นไปชั้นบนก่อนนะ คอยดูแลซิงซิงกับเสี่ยวเสี่ยวที ไปคอยระวังเด็กๆ ไม่ให้ทะเลาะกันทีนะจ๊ะ”
จีหมู่เซี่ยนหันมองฝูเจิ้งเจิ้งโดยที่ไม่ได้พูดอะไรก่อนจะเดินขึ้นไปข้างบนตามที่แม่เขาพูด
ในทันทีที่ฝูเจิ้งเจิ้งนั่งลงไป จีหยาฉูก็ถามขึ้นมา “เจิ้งเจิ้ง บอกฉันทีว่าเธอรู้จักกับลูกชายคนรองของฉันได้ยังไง แล้วทำไมถึงมีซิงซิงออกมา”
อ๊า! นี่คนๆ นี้เข้าใจว่าฝูซิงเป็นลูกของจีหมู่เซี่ยนจริงๆ ไปแล้วงั้นเหรอ!?
เธอน่ะแค่ต้องการจะใช้ความที่จีหยาฉูหลงไหลในตัวฝูซิงในการสืบหาข้อมูลของบ้านหลังเก่านั้นแท้ๆ ไม่ได้คิดเลยว่าเรื่องจะบานปลายมาถึงเพียงนี้ แล้วถ้าเกิดหานซือฉีรู้เรื่องนี้ด้วย เธอจะต้องโดนอะไรบ้างเนี่ย?
ความกังวลและความกลัวเกิดขึ้นมาพร้อมกัน มันทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งจึงต้องรีบอธิบายไป “คุณเข้าใจผิดแล้วล่ะค่ะ ฝูซิงน่ะไม่ใช่…”
“ซิงซิงกับลูกชายคนรองของฉันน่ะหน้าตาเหมือนกันอย่างกับแกะ แบบนี้แล้วยังจะให้เรามองว่าไม่ใช่พ่อลูกกันได้ยังไง?” จีหยาฉูรู้ดีว่าฝูเจิ้งเจิ้งจะปฏิเสธเธอ ดังนั้นเธอจึงรีบหยุดอีกฝ่ายไว้ก่อนด้วยรอยยิ้ม
“เหมือนกันตรงไหนน่ะคะ? พวกคุณกำลังเข้าใจผิดจริงๆ นะคะ!” ฝูเจิ้งเจิ้งรีบพูดต่อด้วยความร้อนใจ
อย่างไรก็ตาม จีหยาฉูไม่สนใจฟังในสิ่งที่เธออธิบายเลย กลับกันอีกฝ่ายยังเข้ามาจับมือเธอไว้พร้อมกับส่งยิ้มที่สุดแสนจะใจดีมาให้อีก “ย้ายมาอยู่ที่รีสอร์ทฉืออิ๋งลี่หยางนี่เถอะ มาอยู่กับพวกเรา มีรีสอร์ทหลังไหนที่เธอชอบหรือเปล่า? เลือกได้ตามสะดวกเลยนะ”
ตอนแรกฝูเจิ้งเจิ้งตัดสินใจที่จะบอกความจริงให้เธอได้รู้ แต่เมื่อหญิงตรงหน้าพูดมาเช่นนั้น เธอก็ถือโอกาสถามออกไปเสียเลย “อ-เอ่อ…ฉันเห็นมีบ้านหลังเก่าๆ อยู่หลังหนึ่งน่ะค่ะ ดูแล้วน่าจะเงียบสงบดู…ฉันอยู่ที่นั่นได้ไหมคะ?”
ทันทีทันใด จีหยาฉูก็รีบคว้ามือของเธอไว้และพูดว่า “ไม่ได้จ้ะ เธอจะอยู่หลังไหนก็ได้ยกเว้นหลังนั้นนะ”
“ทำไมล่ะคะ?” ฝูเจิ้งเจิ้งถาม
“บ้านหลังเก่านั้นเป็นของลูกชายคนเล็กของฉัน มันมีความหมายที่พิเศษสำหรับเขามากๆ เพราะฉะนั้นฉันจึงไม่สามารถตัดสินใจยกให้ใครได้น่ะจ้ะ”
“ขนาดนั้นเลยเหรอคะ?”
“ก็เพราะ…” ยังไม่ทันที่เธอจะได้พูดอะไร
“คุณย่าคะ ขึ้นมาด้านบนเร็ว ซิงซิงปวดอึ!”
ได้ยินเสียงเสี่ยวเสี่ยวเรียก จีหยาฉูก็รีบบอกกับเธอ “เดี๋ยวฉันเล่าให้ฟังนะ” จากนั้นก็ปลีกตัวขึ้นไปด้านบนทันที
ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกไม่สบอารมณ์นักที่เห็นว่าจีหยาฉูวิ่งขึ้นไปในจังหวะสำคัญเช่นนี้
หลังจากที่จีหยาฉูขึ้นไป จีหมู่เซี่ยนก็เดินลงมา ฝูเจิ้งเจิ้งมองไปรอบๆ ก็พบว่าภายในห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่นี้มีเพียงเธอและเขาเท่านั้น เมื่อคิดถึงเรื่องที่จีหยาฉูเข้าใจผิด จู่ๆ เธอก็รู้สึกเขินอายขึ้นมาก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “ฝูซิงไม่ได้ทะเลาะอะไรกับเสี่ยวเสี่ยวใช่ไหมคะ?”
“ไม่”
“โอเค…”
จากนั้นภายในห้องก็อยู่ในความเงียบขึ้นมาอีกครั้ง
ไม่นานนักหลังจากที่ความเงียบเข้าครอบงำห้องนั่งเล่นแห่งนี้ เสียงฝีเท้าก็เป็นตัวทำลายความเงียบนั้นลง
เมื่อฝูเจิ้งเจิ้งหันไปมองต้นเสียง สีหน้าของเธอก็ซีดเผือดในทันที
ท-ทำไมเขามาอยู่ที่นี่ล่ะ!?
“กลับมาแล้วเหรอซือฉี?” จีหมู่เซี่ยนโอบแขนข้างหนึ่งไว้บนไหล่ของฝูเจิ้งเจิ้งในขณะที่พูดกับน้องชายของตนด้วยรอยยิ้ม “ขอแนะนำให้รู้จัก นี่ ฝูเจิ้งเจิ้ง”
หญิงสาวผู้ถูกโอบไหล่ไว้ช็อกไปทั้งตัว เธอรู้สึกได้โดยที่ไม่ต้องมอง ว่าเขากำลังโกรธเกรี้ยวขนาดไหนเมื่อเห็นการกระทำของผู้เป็นพี่เช่นนี้ เธอตั้งใจจะผลักจีหมู่เซี่ยนออกแล้วรีบขึ้นไปรับตัวฝูซิงออกมาเพื่อจะได้วิ่งหนีออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ทว่าจีหมู่เซี่ยนนั้นเหมือนจะรู้และจงใจจะให้น้องชายของตนรู้สึกเช่นนั้น เขาโอบไหล่เธอไว้ด้วยแรงที่เหนือกว่า มันเลยทำให้คนตัวเล็กอย่างฝูเจิ้งเจิ้งไม่สามารถหนีออกมาได้
“เจิ้งเจิ้ง?”
ยามที่หานซือฉีเรียกชื่อเธอราวกับกำลังครุ่นคิดนั้น ฝูเจิ้งเจิ้งก็รู้ได้ทันทีว่านั่นเป็นประโยคคำถาม…ถึงเรื่องที่เธอไม่ยอมเชื่อฟังเขา กระนั้นเธอก็ไม่เข้าใจถึงจุดประสงค์ของจีหมู่เซี่ยนจริงๆ มันทำให้เธอได้แต่หงุดหงิดอยู่ภายในใจ
“ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่? สมองเลอะเลือนจำสิ่งที่ฉันสั่งไว้ไม่ได้อีกแล้วหรือไง?”
ก่อนที่ฝูเจิ้งเจิ้งจะได้พูดอะไร หานซือฉีก็ยิงคำถามใส่เธอด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว นั้นทำให้เธอไม่สบอารมณ์มากขึ้นไปอีก เธอจึงเชิดหน้าไม่จะอธิบายอะไรแล้วและเปลี่ยนความกลัวกลายเป็นความโกรธในการโต้เถียงทันที “ที่นี่มันรีสอร์ทนะคะ ฉันจะมาเมื่อไหร่ก็ได้”
ตอนนั้นเอง หานเถิงอวี้ก็กลับเข้ามาจากด้านนอกด้วย เมื่อเขาเห็นหานซือฉียืนอยู่ที่ห้องนั่งเล่น เขาก็พูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ซือฉี มาก็ดี พวกเรากำลังจะทานข้าวกลางวันด้วยกันหลังจากห่างหายกันไปนาน แกก็มาร่วมโต๊ะด้วยสิ จะได้ทำความรู้จักกับพี่สะใภ้แล้วก็หลานของแกไว้ ซิงซิงน่ารักมากเลยนะ”
“พี่สะใภ้? หลาน?” หานซือฉีพูดเชิงเยาะเย้ยขณะที่เหลือบมองฝูเจิ้งเจิ้ง
“ใช่แล้ว พี่สะใภ้ของแกกับหลาน” จีหมู่เซี่ยนพูดย้ำด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“อ-เอ่อ…มันไม่ใช่อย่างที่คิดนะคะ…” ฝูเจิ้งเจิ้งพูดออกมาอย่างตะกุกตะกัก
พูดกันตามตรงเลยนะ ฝูเจิ้งเจิ้งไม่ได้คิดแผนทางหนีทีไล่ไว้เผื่อสถานการณ์เช่นนี้เลย เธอน่ะอธิบายให้จีหยาฉูฟังไปแล้วว่าฝูซิงไม่ใช่ลูกของจีหมู่เซี่ยน แต่พวกเขาก็ไม่ยอมเชื่อแล้วยังดึงดันจะเอาฝูซิงไปเป็นหลานให้ได้ แบบนี้จะให้ทำยังไง?
แบบนี้เธอจะยังอธิบายได้อยู่เหรอ?
ท่าทีเลิ่กลั่กของฝูเจิ้งเจิ้งนั้นมันทำให้หานซือฉีหงุดหงิดขึ้นมา “งั้นก็พูดความจริงออกมาสิ!”
“ซือฉี นั่นพี่สะใภ้ของแกนะ! สุภาพหน่อย!” หานเถิงอวี้ตะโกน
“พี่สะใภ้งั้นเหรอ?” หานซือฉีเดินเข้าไปเพื่อดึงตัวฝูเจิ้งเจิ้งเข้ามาพร้อมกับพูดกับเธอด้วยเสียงที่ดังไม่แพ้เสียงตะโกนของหานเถิงอวี้ “ทำไมเธอไม่บอกพวกเขาไปว่าฝูซิงเป็นลูกชายของฉัน!?”
คำพูดของหานซือฉีทำเอาทุกคนในบ้านตกตะลึงไปตามๆ กัน รวมไปถึงหานซือเซียนและภรรยาอย่างหนี่หวานผู้ที่เพิ่งจะเดินเข้ามาด้วย ในขณะเดียวกัน ฝูเจิ้งเจิ้งก็รู้สึกได้ชัดเจนว่ามือของจีหมู่เซี่ยนที่โอบเธอไว้นั้นก็ยังแอบสั่นอยู่น้อยๆ
จีหมู่เซี่ยนรีบพูดตัดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “เขาแค่ล้อเล่นน่ะ ไปทานข้าวกันดีกว่า”
“ฉันไม่ได้ล้อเล่นนะ! ฝูซิงเป็นลูกชายของฉัน!” หานซือฉีหันไปมองผู้เป็นพี่ด้วยแววตาจริงจัง
“ป๊ะป๋า!” ในตอนนั้นเอง ฝูซิงที่ลงมาจากด้านบนก็วิ่งปรี่เข้าหาหานซือฉีในทันที
เขาก้มตัวลงไปและอุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นมา ทำให้ทุกๆ คนในห้องนั้นต้องตกใจอีกครั้ง
ฝูเจิ้งเจิ้งเองก็ยังต้องตกใจไปกับหานซือฉีด้วย นี่เขา…
——————————————————————————————————-
คุยกับผู้แปล
มีความสุขได้แว้บเดียว ดราม่าใหญ่ประเคนมาถึงที่เลย ขอพักหายใจหน๊อยยยยยยย