ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 83 เป็นคนทรยศและเหี้ยมโหด
บทที่ 83 เป็นคนทรยศและเหี้ยมโหด
เธอรับโทรศัพท์ขึ้นมาโดยที่ไม่อยากจะพูดอะไรเสียด้วยซ้ำ
เมื่อโทรศัพท์ถูกยกขึ้นมาแนบหู เสียงสุภาพของผู้ชายปลายสายก็ดังขึ้นมา “สวัสดีครับ โทรมาจากฟาร์มชาในฟูเจี๋ยนตอนใต้ พวกเรามีชาดีๆ มากมายมานำเส…”
“ยังไม่สนใจค่ะ ขอบคุณค่ะ” ฝูเจิ้งเจิ้งกดวางสายพร้อมกับโยนโทรศัพท์ทิ้งไปไกลๆ ตัว แต่เมื่อเธอคิดย้อนและทบทวนเสียงนั้นใหม่ เมื่อตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง เธอก็รีบลุกขึ้นและหยิบโทรศัพท์มาเพื่อโทรกลับไปในทันที คราวนี้ปลายสายถูกรับแล้ว แต่ยังไม่มีเสียงใดตอบกลับมา
ด้วยความลังเล ฝูเจิ้งเจิ้งจึงถามออกไป “รุ่นพี่…เหรอคะ?”
ทันใดนั้นเสียงของหยางเต๋าก็ตอบกลับเธอมา “เธอสบายดีไหม เจิ้งเจิ้ง?”
การทักทายที่แสนจะเรียบง่ายเช่นนี้มันทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งแทบจะร้องไห้ออกมา แต่เธอก็แสร้งทำเป็นสบายดีขณะตอบคำถามนั้นไป “ฉันสบายดีค่ะ”
“ดีเลย” หยางเต๋าเองก็ดูจะโล่งใจมากขึ้นด้วย เขาพูดต่อ “เธอไม่ได้ติดต่อฉันมาเลย แถมฉันเองก็ไม่มีโอกาสที่จะเข้าใกล้เธอด้วย ก็เลยกังวลน่ะ”
“ฉันไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ” เขาพยายามปกป้องเธอและลูกอย่างลับๆ มาโดยตลอด คิดเหรอว่าเธอจะไม่รู้?
“ที่สถานีตำรวจตัดสินใจแล้วว่าจะยกเลิกแผนการสืบบริษัทเว่ยหาน เพราะงั้นเธอเองก็กลับมายังทีมได้แล้ว เดี๋ยวฉันจะจัดการให้เธอกลับมาเมือง A เอง”
ได้ยินเช่นนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็ลุกขึ้นมานั่งทันที “ไม่ได้นะคะ!”
“ทำไมล่ะ?”
“นั่นก็เพราะ…” ฝูเจิ้งเจิ้งไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดี หยางเต๋าน่ะเป็นคนฉลาด หากโกหกไปด้วยเหตุผลเดิมๆ เขาจะต้องจับโกหกเธอได้แน่ๆ
“เจิ้งเจิ้ง กลับมาซะ ฉันไม่อยากจะเห็นเธอต้องเจ็บปวดไปมากกว่านี้”
“ฉันจะพยายามดูแลตัวเองให้ได้ค่ะ!”
หยางเต๋าเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูด “ฉันรู้ว่าเธอน่ะชอบหานซือฉี แต่เขากำลังจะหมั้นกับคู่หมั้นของเขาเร็วๆ นี้แล้ว ดีไม่ดีวันแต่งงานเองก็ถูกกำหนดไว้แล้วด้วย เจิ้งเจิ้ง เธอกับเขาไม่เหมาะสมกันหรอก”
ขนาดหยางเต๋าเองก็รู้เรื่องนี้เหรอเนี่ย! ยิ่งได้กลับมาคิดเรื่องที่ไม่อยากคิด มันก็ทำให้แผลใจเก่าๆ ที่ยังไม่หายตอนนี้เหมือนถูกมีดเล่มเดิมกลับมาแทงซ้ำใหม่อีกรอบ แต่กระนั้นเธอก็ยังฝืนพูดราวกับไม่เป็นไรอยู่ “มันไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกค่ะ มันเป็นเพราะ…”
“จบงานของเธอที่บริษัทเว่ยหาน แล้วพรุ่งนี้ฉันจะจัดคนไปรับเธอ” หยางเต๋าเลือกที่จะไม่ฟังต่อ และน้ำเสียงของเขาในครั้งนี้มันก็จริงจังมากกว่าครั้งไหนๆ “ฝูเจิ้งเจิ้ง เธอจะต้องแบกรับผลที่ตามมาด้วยตัวเองหากไม่ยอมกลับมาในเวลาที่กำหนด ฉันเองก็หวังว่าเธอคงยังไม่ลืมว่าตัวเองเป็นตำรวจนะ”
“ฉั—” ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร สายก็ถูกตัดไป
เธอวางโทรศัพท์ลงช้าๆ และนั่งเงียบๆ อยู่บนเตียง
ไม่ใช่… ฉันไม่ได้ไม่อยากออกจากเมือง B เพราะหานซือฉี คิดว่าหมอนั่นเป็นใครกัน? ก็แค่คนหลอกลวง!
ที่ยังอยู่ที่นี่น่ะ ก็เพราะอยากจะหากุญแจไปให้รุ่นพี่ต่างหาก!
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูเบาๆ ช่วยขจัดความคิดที่อยู่ในหัวของเธอ ฝูเจิ้งเจิ้งพยายามปรับอารมณ์ตัวเองให้เป็นปกติก่อนจะเปิดประตูออกไป “ป้าเฉิน ฉันยังไม่อยากกินข้าวน่ะค่ะ ถ้ายังไงทั้งสองคนกินกันไปก่อนเลยก็ได้”
“คุณเจิ้งคะ…” เฉินเฉี่ยวหลานมองตรงไปยังหญิงสาวตรงหน้า เธออยากจะพูดแต่ก็ยังลังเล
ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ปกติ เธอจึงเหลือบไปมองยังห้องนั่งเล่นที่เธอควรจะอยู่ ร่างของหญิงสาวก็แข็งทื่อขึ้นมาทันทีราวกับถูกตรึงไว้ —- หานเถิงอวี้และจีหยาฉูกำลังนั่งอยู่ที่โซฟาและพูดคุยกับฝูซิงอยู่!
“นายท่านแล้วก็นายหญิงมีบางอย่างอยากจะพูดกับคุณน่ะค่ะ” เฉินเฉี่ยวหลานมองไปยังฝูเจิ้งเจิ้งด้วยความเป็นห่วง
พูดกับฉันงั้นเหรอ? หานซือฉีกับเฉียวเค่อเหรินจะหมั้นกันพรุ่งนี้แล้ว ยังต้องมีเรื่องบ้าเรื่องบออะไรที่ต้องคุยกันอีก?
แม้ในใจของเธอจะเต็มไปด้วยความสงสัย แต่เธอก็ทักทายทั้งสองด้วยความสุภาพ “สวัสดีค่ะ คุณท่านแล้วก็คุณหญิงด้วย”
จีหยาฉูส่งสายตาให้เฉินเฉี่ยวหลานเป็นนัยว่า ‘พาฝูซิงไปเล่นที่ห้องก่อน’
เห็นดังนั้นเฉินเฉี่ยวหลานก็รีบพาฝูซิงกลับไปในห้องและปิดประตูสนิททันที
หลังจากที่ทั้งสองไปแล้ว จีหยาฉูก็หยิบซองเอกสารออกมาจากกระเป๋าแล้วส่งมันให้ฝูเจิ้งเจิ้ง “คุณฝู ฉันจะพูดตรงๆ แบบไม่อ้อมค้อมเลยก็แล้วกันนะ”
ดวงตาของฝูเจิ้งเจิ้งเบิกกว้างหลังจากที่ได้เห็นเอกสารที่อยู่ภายใน มันคือ ใบรับรองผลการทดสอบความเป็นบิดา!
ถึงเธอจะไม่เข้าใจถึงค่าตัวเลขมากมายที่อยู่บนกระดาษแผ่นนี้ แต่ด้านล่างของกระดาษก็มีสรุปไว้ให้
การทดสอบครั้งที่ 1 เป็นบิดาผู้ให้กำเนิด
การทดสอบครั้งที่ 2 มีความคล้ายคลึงกันมากกว่า 99.999%
“ใบทดสอบนี่…ของใครกันเหรอคะ?” จริงๆ เธอเองก็คาดเดาคำตอบไว้อยู่แล้ว แต่เธอก็ยังตัดสินใจถามออกไปเผื่อว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
“ของซือฉีแล้วก็ซิงซิงน่ะจ้ะ”
แม้จะได้ยินคำตอบเช่นนั้น ฝูเจิ้งเจิ้งก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใด กลับกันเธอกลับรู้สึกแย่เสียมากกว่า ควบคู่ไปกับความรู้สึกโกรธ เรื่องมันกลายเป็นว่าสองคู่รักสูงวัยคู่นี้พาตัวฝูซิงไปก็เพื่อจะตรวจ DNA ซะอย่างนั้น!
ฝูเจิ้งเจิ้งไม่ได้พูดอะไรต่อ เธอนั่งรอเงียบๆ เพื่อดูว่าทั้งสองคนตรงหน้านั้นจะทำอะไรอีก
“คุณฝู เรามายื่นข้อเสนอกันดีกว่า” หานเถิงอวี้ที่เงียบมาโดยตลอดเป็นฝ่ายพูดด้วยเสียงเข้ม
“ยื่นข้อเสนอ?”
“ซิงซิงน่ะ เป็นลูกหลานของตระกูลหานอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว ดังนั้นยังไงซะพวกเราก็ต้องรับผิดชอบที่จะพาเขากลับไปอยู่ในจุดที่เขาควรอยู่และเลี้ยงเขาให้เติบโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพที่คู่ควรแก่วงศ์ตระกูล คุณฝู ฉันเองก็เชื่อว่าเธอน่าจะรู้อยู่แล้วเกี่ยวกับเรื่องที่ซือฉีกำลังจะเข้าพิธีหมั้นในวันพรุ่งนี้ แต่พวกเราไม่ได้จะทอดทิ้งเธอหรอกนะ เรามาก็เพื่อให้เธอยื่นข้อเสนอและพวกเราจะไม่ต่อรองอะไรทั้งนั้น”
จุดประสงค์ของทั้งสองคนนี้มันชัดเจนแล้วว่าไม่ได้อยากจะมาเชิญเธอเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลหาน หากแต่คนที่พวกเขาต้องการจริงๆ คือ ฝูซิง ต่างหาก!
ยังไงเสียชายที่เธอรักก็คือ เหนียนซี่ เพราะงั้นตระกูลหานจะเป็นยังไงก็เรื่องของมันสิ!
หญิงสาวยิ้มจางๆ แล้วพูด “ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ แต่ฝูซิงน่ะถือเป็นสมบัติที่ไม่มีอะไรมาเทียบเท่าได้ของฉันค่ะ”
หานเถิงอวี้หยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “คุณฝู ได้โปรดเข้าใจด้วยเถอะ ต่อให้เอาซิงซิงมาข่มขู่ ซือฉีก็แต่งงานกับเธอไม่ได้หรอก! แต่ในสายตาพวกเราน่ะ ซิงซิงจำเป็นต้องกลับบ้าน! เพราะเขาเป็นหลานของตระกูลหาน!”
คำพูดของหานเถิงอวี้มันเสียดแทงใจเจิ้งเจิ้งมากๆ กระนั้นแล้วเธอก็ยังคงข่มใจนิ่งระงับความโกรธเอาไว้และตอบกลับด้วยเสียงที่หนักแน่นไม่แพ้กัน “ฝูซิงเป็นลูกของฉันค่ะ นามสกุลของเขาคือ ฝู ฉันจะไม่ยอมให้เขาอยู่ห่างจากฉันแม้เพียงนิดเดียว”
ทันใดนั้นหานเถิงอวี้ที่หมดความอดทนก็ลุกขึ้นและพูดด้วยความโมโหว่า “คุณฝู! ฉันแนะนำให้เธอตัดสินใจดีๆ อย่าใช้อารมณ์มาตัดสินเรื่องนี้ ตอนนี้ฉันกำลังพูดกับเธอ และมันสำคัญมากๆ ถ้าหากเธอยืนยันว่าสิ่งที่พูดไปเมื่อครู่เป็นคำตอบของเธอ เราคงต้องไปเจอกันในศาล แล้วอย่ามาหาว่าฉันใจร้าย สุดท้ายแล้วยังไงฝูซิงก็จะอยู่กับฉัน ส่วนเธอก็จะไม่ได้อะไรเลย!”
ฝูเจิ้งเจิ้งเองเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัวเช่นกัน “มั่นใจจังเลยนะคะว่าศาลจะตัดสินให้คุณเป็นผู้ชนะน่ะ? คุณหานนี่ดูเหมือนจะคิดอะไรตื้นๆ กว่าดิฉันอีกนะคะ!”
“พอแล้วๆ ใจเย็นๆ ก่อนทั้งคู่เลย” จีหยาฉูรีบดึงเสื้อของหานเถิงอวี้ที่กำลังโมโหให้นั่งลงมาก่อน จากนั้นเธอก็หันไปพูดปลอบฝูเจิ้งเจิ้ง “เจิ้งเจิ้ง ฉันหวังว่าเธอจะเข้าใจถึงความปรารถนาดีต่อหลานของพวกเรานะจ๊ะ พวกเราก็แค่ไม่อยากให้หลานของตระกูลต้องทุกข์ยากกับการถูกเลี้ยงดูอยู่ข้างนอกก็เท่านั้น เธอเข้าใจใช่ไหม?”
เป็นคู่สามีภรรยาที่ทำให้เธอต้องหนักใจจริงๆ การข่มอารมณ์ให้เย็นอยู่ตลอดไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเธอเลย ฝูเจิ้งเจิ้งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูด “ฉันเข้าใจความปรารถนาดีเหล่านั้นนะคะ แต่ในเมื่อหานซือฉีกำลังจะหมั้นกับคุณเฉียวแล้ว ฉันเกรงว่าคุณเฉียวจะไม่ยอมรับในตัวฝูซิงน่ะค่ะ อย่าเอาเด็กไปเป็นตัวทำลายความหวานชื่นของพวกเขาเลยนะคะ”
จีหยาฉูยิ้มออกมาทันทีหลังจากที่ได้ยินเช่นนั้น “เธอไว้ใจพวกเราได้เลย ซือฉีเป็นคนบอกให้พวกเราทำแบบนี้เอง เขาคงจะเตรียมโน้มน้าวใจเค่อเหรินไว้แล้วล่ะ”
คราวนี้สีหน้าของฝูเจิ้งเจิ้งเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เธอไม่คิดเลยว่าหานซือฉีจะโหดร้ายถึงเพียงนี้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าฝูซิงนั้นคือโลกทั้งใบของเธอ เธอรักและหวงแหนฝูซิงขนาดไหนแม้ชีวิตเธอก็แลกให้ได้ แต่เขากลับเลือกที่จะพรากฝูซิงไปแบบนี้ ถ้าจะทำกันขนาดนี้ก็ฆ่ากันเลยดีกว่า!
ในตอนแรกเธอคิดว่าเขาแค่ต้องแต่งงานกับเฉียวเค่อเหรินเพื่อให้ครอบครัวสบายใจ ไม่ได้รักเฉียวเค่อเหรินแต่อย่างใด แต่ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าคนที่แพ้ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ มันคือ เธอ!
ความหลงใหลที่เธอและเขาเคยมอบให้กันก่อนหน้านี้มันก็แค่สีสันในชีวิตของเขาเท่านั้น!
เขาไม่เคยรักเธอเลยแม้แต่นิดเดียว!
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันก็แค่ความหวังลมๆ แล้งๆ ของเธอที่เผอิญไปสะดุดตาเขาแค่ช่วงเวลาหนึ่ง!
จริงๆ เธอก็ควรจะรู้อยู่แล้วว่าหานซือฉีน่ะไม่ใช่ชายที่เธอเคยรู้จักมาตั้งแต่แรก เขาเปลี่ยนไปมาก แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะเลวได้ถึงขนาดนี้!
จีหยาฉูรู้สึกเสียใจที่เห็นฝูเจิ้งเจิ้งต้องเจ็บปวดทรมาณในหลายๆ เรื่อง เธอสงสารหญิงสาวตรงหน้าจับใจ แต่ก็จำเป็นต้องพูดต่อไป “ซือฉีน่ะเป็นห่วงเธอมากๆ เลยนะจ๊ะ เขาบอกให้พวกเราให้เงินก้อนใหญ่แก่เธอ โดยหวังว่าเธอจะไปแต่งงานกับชายคนอื่นที่จะดูแลเธอได้ คุณฝู เธอน่ะยังสาวนะ แถมยัง…”
ฝูเจิ้งเจิ้งกัดฟันแน่นด้วยความเหลืออดและพูดตัดบทจีหยาฉูไปในทันที “ไม่ต้องมาเดือดร้อนแทนฉันหรอกค่ะ! ฝูซิงเป็นลูกของฉัน! และฉันจะไม่ยอมยกเขาให้ใครเด็ดขาด!”
“ฝูเจิ้งเจิ้ง!” ความโกรธของหานเถิงอวี้ถูกกระตุ้นขึ้นมาอีกครั้ง “ถ้างั้นพวกเราจะรอเจอเธอที่ศาลก็แล้วกัน!”
“เชิญเลยค่ะ! แล้วก็ลาก่อน!” ฝูเจิ้งเจิ้งรู้ดีว่าตนไม่สามารถคุยกับคนพวกนี้ได้อีกแล้ว จึงขอให้เขากลับไปแต่โดยดี
คิดว่าตระกูลตัวเองยิ่งใหญ่และมีอิทธิพลมากแล้วจะทำอะไรก็ได้หรอ? ฉันไม่เชื่อหรอกนะว่าศาลจะยอมลดศักดิ์ศรีมาช่วยพวกเขาน่ะ!
เมื่อเห็นว่าตนเองไม่สามารถโน้มน้าวให้ทั้งสองฝ่ายใจเย็นลงได้แล้ว จีหยาฉูก็เขียนเบอร์โทรศัพท์ลงไปในกระดาษและวางลงไปบนโต๊ะ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่หมดหนทาง “คุณฝู พวกเราไม่เร่งให้เธอตัดสินใจตอนนี้หรอก ลองคิดทบทวนเรื่องนี้ใหม่อีกครั้ง โทรมาที่เบอร์นี้ได้ทุกเมื่อเลยที่เธอพร้อมจะยื่นข้อเสนอ”
จากนั้นพวกเขาทั้งสองก็จากไป
แต่ก่อนที่ทั้งสองจะจากไป จีหยาฉูก็พูดทิ้งท้ายเอาไว้ “คุณฝู อย่ากังวลเรื่องจำนวนเงินเลยนะจ๊ะ สิ่งนั้นไม่ใช่ปัญหาสำหรับพวกเราอยู่แล้ว”
หลังจากที่ภายในห้องนั้นไม่เหลือใครนอกจากเธอแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็ทิ้งตัวลงไปบนโซฟาด้วยความอ่อนแรง ความแข็งแกร่งเมื่อครู่นั้นละลายหายไปหมดสิ้น ตัวเธอจริงๆ ในตอนนี้มีแต่เหงื่อไหลซึมด้วยปัญหาที่ประดังเข้ามา
“เจิ้งเจิ้ง…”
หญิงสาวหันมองตามเสียงแล้วก็พบว่าเฉินเฉี่ยวหลานนั้นกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเธอพร้อมกับฝูซิงในอ้อมแขน
เธอฝืนยิ้มให้ทั้งสองก่อนจะรีบลุกแล้วเดินกลับไปในห้องของตน ฝูเจิ้งเจิ้งหาซิมการ์ดเก่าที่เคยถอดเก็บไว้ก่อนจะใส่มันลงไปในโทรศัพท์ เมื่อเปิดเครื่องได้แล้วเธอก็ไม่รอช้าที่จะพิมพ์ข้อความให้หยางเต๋า “จัดการให้ฉันออกจากเมือง B ให้เร็วที่สุด”
ต้องรีบออกจากที่นี่กับฝูซิงให้เร็วที่สุด ถ้าชักช้าอาจไม่ทันการณ์ เธอจะต้องเสียลูกชายไปแน่ๆ ! กุญแจนั่นก็ช่างหัวมันปะไร!
หยางเต๋าตอบกลับแทบจะทันที “โอเค พรุ่งนี้เช้าจะไปรับที่หน้าประตูคอมมูนิตี้ตอนตี 5 ครึ่ง”
เห็นเช่นนั้นหญิงสาวก็ทิ้งตัวลงนอนไปอีกรอบ ภายในหัวมันฟุ้งซ่านไปหมด เสียงของหานซือฉียังคงดังวนเวียนอยู่ภายในหัวของเธอเรื่อยๆ จนตัวเธอต้องพยายามกลั้นไม่ให้ร้องไห้อยู่ร่ำไป
หลังจากที่กลับไปเมือง A ได้แล้ว เธอคงจะไม่ต้องติดต่อกับหานซือฉีอีกต่อไป บางทีก็อาจจะลืมเขาได้และจดจำไว้เพียงเหนียนซี่ก็พอ…ยังไงซะ หานซือฉีก็ไม่เคยแทนที่เหนียนซี่ในใจเธอได้อยู่แล้ว…
“หม่ามี๊ ไม่ต้องร้องไห้ พวกเราไม่ต้องไปคุยกับป๊ะป๋าอีกต่อไปแล้ว ฝูซิงจะดูแลหม่ามี๊เอง!” ฝูซิงเข้ามาภายในห้อง และเมื่อเขาเห็นว่าฝูเจิ้งเจิ้งกำลังร้องไห้ มือเล็กๆ นั้นก็เข้ามาช่วยเช็ดน้ำตาให้เธออย่างอ่อนโยน
ฝูเจิ้งเจิ้งกอดลูกชายของเธอเอาไว้ เธอพยักหน้าและพูดกับเขาว่าเธอจะไม่ร้องไห้ แต่ทันทีที่พูดออกไปเช่นนั้น น้ำตามันก็ไหลออกมาอีก
“ฝูซิง…หม่ามี๊จะพาลูกกลับไปอยู่ในที่ที่พวกเราเคยอยู่ โอเคหรือเปล่า?”
“โอเค” ฝูซิงยังคงเช็ดน้ำตาให้เธออยู่ขณะที่พยักหน้าอย่างไม่ขัดข้อง
———————————————–
ก่อนตี 4 ฝูเจิ้งเจิ้งผู้ที่ไม่ได้นอนทั้งคืนลุกขึ้นและเริ่มจัดของ เธอมองไปยังห้องที่ครั้งหนึ่งเคยมีบรรยากาศที่อบอุ่นก่อนจะนั่งลงไปบนเตียงและหลุดเข้าไปในห้วงภวังค์แห่งความหลัง ขณะเดียวกันก็หยิบโทรศัพท์ของตนขึ้นมาดูและพบว่ามันไม่มีทั้งสายโทรเข้าและข้อความใดๆ จากหานซือฉีตลอดทั้งคืน
ฮะๆ เธอมันโง่ที่เอาแต่เพ้อฝันกับความหวังที่ไม่เคยอยากจะช่วยเธอมาตั้งแต่ต้นแล้ว! เป็นแค่ยัยโง่ที่หลงไปตามอารมณ์ของเขาไปเรื่อย!
ต่อให้เขาจะกลับมา ก็เพื่อแค่ต้องการจะแย่งลูกชายไปจากเธอเท่านั้นแหละ! แบบนี้แล้วเธอยังอยากจะให้เขากลับมาอีกงั้นเหรอ?
น้ำตาที่แห้งไปหลายชั่วโมงมันกลับไหลออกมาอีกครั้ง เธอรีบเช็ดน้ำตาแล้วปิดโทรศัพท์ไป เมื่อใกล้จะถึงเวลานัดหมาย ฝูเจิ้งเจิ้งก็ลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็อุ้มฝูซิงที่หลับอยู่ไปด้วย พวกเธอจากห้องๆ นี้ไปโดยที่ไม่เหลือไว้ซึ่งความอาลัยใดๆ เสียด้วยซ้ำ
เมื่อมาถึงด้านหน้าคอมมูนิตี้ หยางเต๋ารอพวกเธอสองแม่ลูกอยู่แล้ว เขาพาทั้งสองขึ้นรถและตรงไปยังโรงแรมที่อยู่ใกล้สนามบินอย่างรวดเร็ว
“เครื่องบินจะเทคออฟช่วงเที่ยง ถ้ายังไงเดี๋ยวเธอกับฝูซิงก็ไปพักผ่อนที่นั่นก่อน ไว้เดี๋ยวซัก 11 โมงฉันจะไปรับ” หลังจากวางกระเป๋าไว้ให้ในห้องแล้ว หยางเต๋าก็อยากจะอยู่กับเธอต่ออีกหน่อย แต่เมื่อเห็นท่าทีเหนื่อยอ่อนนั้นแล้ว เขาก็คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจออกจากห้องไป
ฝูเจิ้งเจิ้งยืนอยู่ริมหน้าต่าง เธอเปิดม่านและทอดมองออกไปสุดลูกหูลูกตาถึงเมืองที่เธอเคยอยู่มาหลายเดือน ใจจริงเธอก็ไม่ได้อยากจะจากเมืองนี้ไปนักหรอก เพราะเธอ ได้ทิ้งหัวใจไว้ในเมืองๆ นี้ไปเรียบร้อยแล้ว
หันกลับไปมองฝูซิงที่กำลังหลับสนิทอยู่บนเตียง เธอก็ค่อยๆ กลับไปนอนลงข้างๆ เขา สัมผัสแก้มนุ่มนั้นเบาๆ ก่อนจะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง
บางทีอาจจะเพราะเธอเหนื่อยเกินไป ในที่สุดหญิงสาวก็ผล็อยหลับและตื่นอีกทีเมื่อได้ยินเสียงคนเคาะประตู
“หม่ามี๊ มีใครมาเคาะประตูไม่รู้!” ฝูซิงพูดขณะที่ตัวเขากำลังอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่บนที่นอน วันนี้เขาเชื่อฟังและสงบเสงี่ยมเป็นพิเศษ
เธอเหลือบมองนาฬิกา และเมื่อเห็นว่ามันเพิ่งจะ 10 โมงเท่านั้น ความประหลาดใจก็เกิดขึ้นมานิดหน่อย หากแต่ไม่ได้สำคัญมากนัก บางทีหยางเต๋าอาจจะอยากรีบพาเธอออกไปก่อนก็ได้
ใบหน้าที่สะลึมสะลือนั้นรีบสงบสติอารมณ์และจัดการผมเผ้าให้เรียบร้อย เธอเดินไปยังประตูด้วยรอยยิ้มฝืนๆ ระหว่างที่เปิดประตูนั้นก็พูดทักทายอีกฝ่ายไปด้วย “ไหนบอกจะมา 11 โมง…”
ทว่า เมื่อสายตาเริ่มปรับสภาพได้ ภาพของชายที่อยู่หน้าประตูก็ทำให้เธอชะงักไปทันที
——————————————————————————————————
คุยกับผู้แปล
เจ็บแทนเจิ้งเจิ้งไปทั้งใจแล้ว ฮืออออออออ