ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 87 ไม่ต้องกลัว ฉันอยู่กับเธอแล้ว
ฝูเจิ้งเจิ้งพลาดสะดุดขาล้มลงไปเพราะตกใจที่เจ้าสุนัขตัวใหญ่ตัวนี้กระโจนเข้าใส่เธอ เธอกลัวมากๆ กลัวว่ามันจะเข้ามางับที่หัวของเธอ ระหว่างที่พยายามผลักร่างอันใหญ่โตของมันออก หญิงสาวก็ร้องตะโกนออกมาเพื่อขอให้ชายเจ้าของสุนัขช่วยเธอ “อ๊า—ช่วยด้วย!”
เธอไม่ได้ยินเสียงของชายคนนั้นบอกให้สุนัขของตนหยุดเลย จะมีก็แต่เสียงเห่าของมันที่ดังมาเรื่อยๆ ในทุกๆ ครั้งที่มันอ้าปากราวกับหมายจะฉีกกระชากเธอออกเป็นชิ้นๆ!
ด้วยความกลัวนั้นมันทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งต้องใช้มือหนึ่งเพื่อต่อยหน้าสุนัขตัวนั้น และอีกมือหนึ่งก็ผลักร่างของมันออกไปสุดแรง เมื่อเปิดโอกาสได้แล้วเธอก็พยายามคลานไปหาชายคนนั้นโดยหวังว่าเขาจะช่วยเธอได้ แต่แล้วสิ่งที่เธอได้ยินกลับเป็นเสียงของเขาที่กระซิบเรียกสัตว์ร้ายในคราบสัตว์เลี้ยงตัวนี้ “เสือดำ มานี่เร็ว!”
หญิงสาวช็อกไปในทันที แต่ก่อนที่เธอจะได้หันกลับไปมอง เธอก็รู้สึกได้ว่าสุนัขตนนั้นกำลังวกกลับมาหาเธออีกครั้งแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งตัดสินใจกลิ้งลงไปบนพื้นเพื่อหลบการโจมตี เขี้ยวคมของมันผ่านหน้าเธอไปอย่างฉิวเฉียด จะมีก็แต่คราบน้ำลายเหนียวเหนอะที่กระเซ็นมาเลอะหน้าตอนที่หลบเท่านั้น
ก่อนที่สุนัขตัวนั้นจะหันกลับมาเล่นงานเธอ ฝูเจิ้งเจิ้งก็กระโดดไปหาไม้เท้าของเธอ ชายเจ้าของสุนัขเห็นท่าไม่ดีเขาจึงวิ่งเข้าไปหมายจะเตะไม้ค้ำยันของเธอทิ้ง แต่โชคยังดีที่ฝูเจิ้งเจิ้งเร็วพอที่จะชิงเตะเข้าไปที่น่องของเขาเต็มแรงก่อนจนเขาต้องร้องโอดครวญออกมา
ทันทีที่สุนัขเห็นเจ้าของของตนโดนทำร้าย มันก็เห่าดังขึ้นอีกและพุ่งกลับเข้ามาหาฝูเจิ้งเจิ้งด้วยความดุร้ายที่มากกว่าเดิม
ในตอนนี้ฝูเจิ้งเจิ้งมีไม้ค้ำยันในมือแล้ว เธอจับปลายไม้ค้ำไว้ให้กระชับมือก่อนจะฟาดลงไปเต็มแรงที่หัวของสุนัขที่กำลังวิ่งเข้ามาหาเธอ มันลงไปร้องโอดครวญทุรนทุรายอยู่กับพื้นพร้อมกับหัวที่มีเลือดสาดกระเซ็นออกมา และเลือดที่ไหลออกมาจากแผลนั้นมันก็เลอะไปตามตัวของฝูเจิ้งเจิ้งด้วย
“เสือดำ—”
“ป๊ะป๋า หนูกลัว—”
ฝูเจิ้งเจิ้งไม่รับรู้อะไรแล้ว เธอไม่รู้สึกถึงมือที่สั่นเทาของตัวเองด้วยซ้ำ สมาธิทั้งหมดของเธอในตอนนี้ กำลังง่วนอยู่กับการระแวดระวังภัยที่กำลังจะเข้ามาหาตนจากรอบทิศทางเท่านั้น
ร่างใหญ่ของสุนัขที่มีเลือดอาบไปเกือบทั้งหัวนั้นค่อยๆ ลุกขึ้นมาอีกครั้ง มันดูดุร้ายมากขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่าหลังจากที่โดนฟาดเช่นนั้น แม้ว่าจะบาดเจ็บแต่มันก็พุ่งเข้ากัดฝูเจิ้งเจิ้งได้อย่างรวดเร็ว เสื้อผ้าชิ้นหนาที่ห่อคลุมร่างของฝูเจิ้งเจิ้งนั้นถูกสุนัขตัวนี้กัดขาดได้อย่างง่ายด้าย และมันยิ่งทำให้เธอกลัวมากขึ้นไปอีก เธอพยายามโบกไม้เท้าไปมาเพื่อไล่ให้มันออกไป
1…2…3…
กี่ครั้งไม่รู้ที่ไม้เท้าหวดโดนเจ้าสุนัขบ้าคลั่งตัวนี้ สิ่งเดียวที่เธอพอจะรู้ได้จากการหวดไม้นั่นก็คือเลือดปริมาณมหาศาลที่สาดกระจายเลอะร่างของเธอมากขึ้นๆ จนเต็มไปทั้งใบหน้าและลำตัว เลือดเหล่านี้เลอะจนเธอแทบจะลืมตาไม่ขึ้นแล้ว
“กลับมาเสือดำ!” ทันใดนั้น ชายคนดังกล่าวก็รีบสั่งให้หมาของเขากลับไปอย่างรวดเร็ว
“นังนี่ หมาของฉันก็แค่อยากจะทักทายเธอ! แต่เธอกลับลงไม้ลงมือกับมันถึงขั้นนี้! เธอมันไม่มีมนุษยธรรม!”
ขณะที่ชายคนนั้นต่อว่าเธอ ฝูเจิ้งเจิ้งเองก็ยังไม่จากอาการตื่นกลัว เธอปาดเลือดที่เลอะดวงตาและมองไปยังแขนเสื้อที่ขาดวิ่น จากนั้นก็พบว่าสุนัขที่ดุร้ายก่อนหน้านั้นกำลังลงไปนอนหอนอยู่ข้างๆ ผู้เป็นนายของมัน เลือดสีแดงที่เปียกโชกไปทั่วนั้นทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งเกิดหวั่นกลัวขึ้นมาอีก
นี่ฉันเป็นคนทำงั้นเหรอ?
หันมองไปยังไม้เท้าที่เต็มไปด้วยเลือด ฝูเจิ้งเจิ้งก็กรีดร้องออกมาและโยนไม้เท้าออกไปไกล
ถึงแม้ว่าเธอจะจบมาจากโรงเรียนตำรวจและได้รับการฝึกฝนอะไรต่อมิอะไรมากมายก็จริง แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เธอต้องสู้กับสัตว์ใหญ่ขนาดนี้ แถมยังทำร้ายมันถึงเพียงนี้ด้วย
“ฉันไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายมันนะ! มันกัดฉันก่อน!” ฝูเจิ้งเจิ้งพยายามเช็ดเลือดที่เลอะไปด้วยร่างกายของเธอ แต่ไม่ว่าจะเช็ดยังไงมันก็ออกไม่หมด เอาจริงๆ มันแทบจะเช็ดไม่ออกเลยด้วย
“อย่ามาโทษหมาฉัน! แกน่ะทำร้ายเสือดำสุดที่รักของฉัน! แถมนี่ยังจะไม่ยอมรับผิดชอบอีก! อย่าคิดนะว่าฉันจะปล่อยให้หนีไปได้ง่ายๆ น่ะ!” ด้วยสีหน้าที่ดูโกรธนั้น ชายวัยกลางคนลุกขึ้นแล้วค่อยๆ เข้าหาฝูเจิ้งเจิ้งในทันที เขาใช้มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปในช่วงหน้าอกของตนไปด้วย
“ฉันก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ตั้งใจ!” ฝูเจิ้งเจิ้งพยายามอธิบาย แต่เมื่อเห็นท่าทีของชายคนนั้นแล้ว เธอก็รู้ได้ทันทีว่าในตอนนี้อธิบายไปก็ไม่ได้ผลแล้ว และการที่เขาล้วงเข้าไปในเสื้อเช่นนั้น มันก็ทำให้เธอระแวงว่าเขาอาจจะมีมีดติดตัวมาด้วยก็ได้ ดังนั้นแล้วเธอจึงรีบหันหน้ากลับไปทางบ้านของหานซือฉีและพยายามพยุงตัวลุกแม้ร่างกายจะเจ็บปวดอยู่ก็ตาม
“หยุดนะเว้ย!”
ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ได้ว่าชายคนนั้นกำลังวิ่งไล่ตามเธอ ฝูเจิ้งเจิ้งจึงรีบดันตัวขึ้นแล้ววิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่ขาของตนจะสามารถทำได้
หานซือฉี!
ตรงหน้าเธอไม่ไกลนัก ปรากฏร่างของหานซือฉีที่กำลังมองซ้ายมองขวาอยู่ราวกับว่าเขาก็กำลังหาตัวเธออยู่เหมือนกัน เป็นอีกครั้งที่เขาเปรียบเสมือนผู้มาโปรด
“หาน—อ๊า!” ทางรอดอยู่ข้างหน้าแล้วแท้ๆ แต่ฝูเจิ้งเจิ้งกลับทนพิษความเจ็บปวดไม่ไหวและล้มลงไปก่อนในที่สุด เธอยังไม่ได้แม้แต่จะเรียกเขาเสียด้วยซ้ำไป
ทว่าหานซือฉีกลับได้ยินเสียงนั้น เขาหันกลับมาตามเสียงแล้วก็ต้องช็อกกับภาพที่เห็น ภาพคนคนหนึ่งที่สวมเสื้อผ้าขาดๆ และทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยคราบเลือด แถมคนคนนั้นยัง…พยายามวิ่งมาหาเขาด้วย!
หากไม่ได้สังเกตว่าร่างนั้นวิ่งด้วยขาที่กะเผลกอยู่ข้างหนึ่ง เขาคงจำไม่ได้ว่านั่นคือฝูเจิ้งเจิ้ง!
“เกิดอะไรขึ้นน่ะเจิ้งเจิ้ง!” หานซือฉีรีบวิ่งไปรับเธอพร้อมกับถามด้วยความร้อนใจ
“ม-หมา…หมา…” ฝูเจิ้งเจิ้งทำได้แค่เพียงชี้กลับไปด้านหลังก่อนจะสลบไปในที่สุด
“เจิ้งเจิ้ง! เจิ้งเจิ้ง!” ไม่มีเวลาที่จะได้ดูว่าเธอหนีอะไรมา หานซือฉีตัดสินใจรีบพาเธอไปโรงพยาบาลทันที
เขาไม่มั่นใจมากๆ ว่าเลือดบนตัวเธอเหล่านี้เป็นเลือดของเธอเองหรือของใคร เพราะงั้นทางที่ดีพาเธอไปโรงพยาบาลก่อนดีกว่า
————————————————————-
เมื่อฝูเจิ้งเจิ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอก็พบว่าตนเองนอนอยู่บนเตียงโรงพยาบาลแล้ว
“หมา!” เธอลุกขึ้นนั่งและกรีดร้องออกมา
“ไม่เป็นไรๆ!” หานซือฉีผู้ที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอนั้นรีบลุกขึ้นมาโอบกอดเธอไว้ในทันที และเขาสามารถรับรู้ได้เลยว่าเธอกำลังสั่นเทาไปทั้งตัว
ก่อนหน้านี้ที่เขาพาเธอมาส่งโรงพยาบาบล เมื่อแพทย์ทำการรักษาบาดแผลของเธอ แพทย์ก็ได้บอกหานซือฉีด้วยว่าบาดแผลเหล่านี้เกิดจากสุนัข รวมถึงเลือดนี้ก็ไม่ใช่ของเธอแต่เป็นเลือดของสุนัขเช่นกัน เหตุผลที่เธอสลบก็น่าจะเพราะความหวาดกลัวและเหนื่อยอ่อน ควรต้องให้พักผ่อนซักหน่อยร่างกายก็จะฟื้นตัวเอง
หลังจากที่ถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่เธอไม่ได้เป็นอะไรมาก ความสงสัยก็บังเกิดขึ้นในใจของหานซือฉี เขารีบสั่งให้ใครบางคนตามสืบเรื่องที่เกิดขึ้นในทันทีและตระหนักได้ว่าฝูเจิ้งเจิ้งดูเหมือนจะเจอปัญหาเข้าเสียแล้ว
ชายหนุ่มก้มมองรอยแผลของหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมแขน หัวใจของเขาก็เหมือนแตกสลาย
“ไม่ต้องกลัว ฉันอยู่กับเธอแล้ว” เขาพยายามปลอบเธอด้วยความอ่อนโยน
จนกระทั่งเธอได้สติและพบว่าตนเองมาอยู่ในโรงพยาบาลอีกแล้ว!
ฝูเจิ้งเจิ้งแหงนมองหานซือฉีผู้ที่กำลังเป็นห่วงเธออย่างมาก ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ และพยายามสงบสติอารมณ์ลง
เธอไม่คาดคิดเลยว่าตลอดชีวิตนี้จะได้เข้าโรงพยาบาลถึง 3 ครั้งในเวลาไม่ถึง 2 วันเช่นนี้!
นี่มันปีชงของเธอรึไง?
“เจิ้งเจิ้ง พอจะบอกฉันได้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้นวันนี้?” เมื่อเห็นว่าเธอดูจะใจเย็นลงแล้ว หานซือฉีก็ถามด้วยเสียงที่อ่อนนุ่ม
ภาพของการต่อสู้กับสุนัขตัวใหญ่นั้นทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งเกิดสั่นกลัวขึ้นมาอีกครั้ง แม้จะผ่านมาแล้ว แต่ความกลัวก็ไม่ได้จางหายไปเลยแม้แต่นิดเดยีว
ขนาดเธอไม่ใช่คนอ่อนแอหรือขี้กลัวอะไร โดยเฉพาะความตาย แต่มันก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัวทุกครั้งที่คิดถึงภาพเหล่านี้!
เธอจะตายไม่ได้! ฝูซิงจะอยู่อย่างไรถ้าเธอมาตายก่อนแบบนี้?
เขายังเด็กมากๆ! หากสูญเสียแม่ไปล่ะก็ เขาคงอยู่ไม่ได้แน่ๆ!
ทั้งหมดเป็นความผิดของหานซือฉี! หากเขาไม่พาเธอมาที่นี่ เธอก็ไม่ต้องมาเจอกับสุนัขที่ดุร้ายตัวนั้น!
“เจิ้งเจิ้ง?” หานซือฉีคิดว่าฝูเจิ้งเจิ้งคงจะกลัวมากๆ จนไม่สามารถเล่าได้ เขาจึงกอดเธอให้แน่นขึ้นและพูดปลอบใจ “ไม่เป็นไร ไม่ต้องคิดถึงเรื่องนั้นก็ได้ ให้มันผ่านไปนั่นแหละดีแล้ว”
ไว้เดี๋ยวเธอหายจากอาการวิตกเช่นนี้แล้วค่อยหาโอกาสถามก็ได้
หญิงสาวรู้สึกเจ็บปวดและอ่อนแอในเวลาเดียวกัน แต่เธอก็ยังพยายามผลักเขาออกไปเบาๆ หลังจากที่หยุดนิ่งมาพักหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นช้าๆ “หานซือฉี…ปล่อยฉันกับฝูซิงไปเถอะ…”
“ไม่” เขาปฏิเสธในทันที
แทนที่เธอจะตะโกนด่าทอเขาเหมือนปกติที่ทำ แต่ครั้งนี้เธอกลับพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่อ่อนล้า “ฉันเหนื่อยกับปัญหาที่เกิดขึ้นมาเรื่อยๆ แบบไม่รู้จบนี่แล้ว…”
“เธอกำลังพูดอะไรน่ะ?”
“ฉันบอกว่าฉันเหนื่อย”
จากการที่โดนสุนัขตัวนั้นเข้าทำร้ายในวันนี้และได้ยินชายเจ้าของสุนัขกระซิบว่า ‘เสือดำ มานี่เร็ว!’ มันจะไม่ให้เธอคิดได้อย่างไรว่าชีวิตเธอไม่ได้ถูกเพ่งเล็งโดยคนอื่นอยู่?
ถึงตัวเธอจะยังไม่ได้ออกสืบหาว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ แต่คนที่มีปัญหากับเธอนั้นก็ไม่ได้มีมากขนาดที่เดาไม่ถูกหรอก
ฝูเจิ้งเจิ้งไม่อยากจะเข้าไปเป็นเหยื่อในเกมของใครบางคนหรอก เพราะต่อให้เธอสละชีวิตตัวเองลงไป มันก็ไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงอยู่ดี
สิ่งที่เธอต้องการที่สุดนั้นก็คือการปกป้องตัวเองและฝูซิงเท่านั้น
ในตอนนี้เป็นเธอที่ต้องได้รับบาดเจ็บ แล้วถ้าเกิดในอนาคตมันไม่ใช่ล่ะ? ฝูซิงน่ะยังเด็กเกินไปที่จะรับเรื่องพวกนี้ไหวนะ!
หานซือฉีไม่มีวันเข้าใจความกังวลนี้ของเธอแน่ๆ !
ระหว่างนั้นโทรศัพท์ของหานซือฉีก็ดังขึ้น หลังจากที่เขาดูเบอร์ที่ปรากฏแล้วเขาก็หันมามองฝูเจิ้งเจิ้งอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
โทรศัพท์นั่น มาจากเฉียวเค่อเหรินเหรอ? พอคิดดังนั้นแล้วเธอก็หัวเราะตัวเองในใจ
ทว่าไม่นานนัก หานซือฉีก็กลับมาอีกพร้อมพูด “หมอบอกว่าเธอแค่มีแผลฟกช้ำเฉยๆ เพราะงั้นกลับไปรักษาตัวที่บ้านก็ได้”
“กลับบ้านได้เหรอ?” ภาพของเลือดที่เลอะไปทั่วนั้นมันปรากฏขึ้นมาในหัวของฝูเจิ้งเจิ้งอีกครั้งจนเธอชะงักไป
“ใช่ อีกอย่างเธอฉีดวัคซีนกันพิษสุนัขบ้าแล้วด้วย ไว้เดี๋ยวครบกำหนดแล้วฉันจะพาเธอมาฉีดเรื่อยๆ ” ขณะที่พูดเช่นนั้น หานซือฉีก็ประคองฝูเจิ้งเจิ้งเข้ามาไว้ในอ้อมแขนของเขาด้วย “ขาพลิกเมื่อวันก่อนยังไม่หายดี วันนี้ก็ยังมาเกิดเรื่องขึ้นอีก เพราะงั้นเธอควรจะอยู่แต่ในบ้านตลอดอีกหลายวันได้แล้ว อย่าไปไหนอีก”
หญิงสาวไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้นและปล่อยให้เขาพยุงเธอออกไป
เธอรู้ดีว่าเขานั้นเป็นห่วงเธอมากขนาดไหน นั่นเพราะก่อนที่เธอจะสลบไป เธอเห็นแววตาของเขาที่มองมายังเธอ
แต่เพราะความเป็นห่วงของเขานั่นแหละที่ทำให้เรื่องต่างๆ มันเกิดขึ้นกับเธอแบบนี้! ดังนั้นอะไรก็ตามที่ทำให้เธอต้องตกระกำลำบากน่ะ เธอไม่ต้องการมันหรอก!
ฝูเจิ้งเจิ้งคิดว่าเขาคงจะพาเธอกลับไปยังคฤหาสน์ของเขาแน่ๆ แต่ผิดคาด เขากลับพาเธอมาส่งยังบ้านที่เจี่ยเย่ฮัวหยวนซะงั้น
เมื่อเห็นใครบางคนกำลังทำอาหารอยู่ในครัว เธอก็รู้สึกดีขึ้นและกล่าวทักทาย “ป้าเฉิน!”
“ป้าเฉินกลับไปแล้ว คนนี้ชื่อ หลี่หง” หานซือฉีค่อยๆ วางเธอลงไปบนโซฟาพร้อมกับบอกกล่าวไปด้วย
กลับไป? ทันทีทันใด ฝูเจิ้งเจิ้งก็ตระหนักได้ว่า ป้าเฉินนั้นต้องถูกหานซือฉีพาตัวกลับไปดูแลฝูซิงแน่ๆ เพราะทั้งสองย่าหลานนี้สนิทกันเป็นพิเศษอยู่แล้ว และน่าจะเป็นเพียงไม่กี่คนด้วยที่ฝูซิงยอมเข้าใกล้นอกจากหานซือฉี
คิดได้ดังนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็เริ่มโล่งใจขึ้นหน่อย อย่างน้อยๆ เธอก็สามารถวางใจได้ว่าเฉินเฉี่ยวหลานจะดูแลฝูซิงได้เป็นอย่างดี
“ถ้าหากเธอจะกินอะไรก็บอกป้าหลี่ก็แล้วกัน เดี๋ยวเขาจะทำให้เธอกินเอง” ในทันทีที่เขาพูดจบ โทรศัพท์ของหานซือฉีก็ดังขึ้นอีกครั้ง เขาขมวดคิ้วก่อนจะรับโทรศัพท์ และหลังจากที่พูด “ไว้คุยเรื่องนี้กันทีหลัง” เขาก็วางสายไป
หญิงสาวนั่งดูทีวีไปเรื่อยเปื่อย แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไร
ระหว่างนั้นชายหนุ่มก็เดินเอาถุงยามาวางไว้บนโต๊ะชาก่อนจะเอายาออกมากองเรียงตรงหน้าฝูเจิ้งเจิ้ง “นี่เป็นยาฆ่าเชื้อที่เธอต้องกินให้ตรงเวลา 3 ครั้งต่อวัน…”
พลันเมื่อสังเกตได้ว่าเธอไม่สนใจฟัง เขาก็หยุดพูดและหาปากกามาเขียนปริมาณยาที่ต้องกินไว้บนกล่องยาแต่ละอย่าง เมื่อเขียนเสร็จแล้วเขาก็ลุกขึ้นเดินไปยังห้องครัว กระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับหลี่หงและกลับมายังฝูเจิ้งเจิ้งอีกครั้งพร้อมกับวางโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ให้ตรงหน้าเธอ “ฉันจะออกไปทำธุระ โทรเรียกฉันได้ทุกเมื่อถ้าต้องการ”
พูดจบเขาก็เดินออกไปเลย
หลังจากที่เข้ามาในลิฟต์แล้ว หานซือฉีก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและโทรกลับไปสายเดิมที่เขาวางไปก่อนหน้า
“เป็นยังไงบ้าง?”
“ไม่ดีเท่าไหร่ครับ ยามโทรเรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว และเจ้าของหมาก็ถูกพาตัวไปสถานีตำรวจเพื่อสอบปากคำแล้วเช่นกัน เขาบอกว่าคุณฝูน่ะมีปัญหาทางจิต ตอนนี้ยึดเอาจากหลักฐานที่เป็นคำพูดของเขานะครับ เขาบอกว่าคุณฝูพยายามจะกอดลูกสาวของเขา และเขาไม่ต้องการให้เธอทำแบบนั้น จากนั้นคุณฝูก็หันมาทำร้ายเขา หมาของเขาที่เห็นแบบนั้นก็จะเข้ามาปกป้องเจ้านาย แต่ก็กลายเป็นว่าเกือบจะโดนคุณฝูฆ่าไปอีก ด้วยเหตุนี้เขาจึงคิดว่าคุณฝูต้องมีอาการทางประสาทแน่นอน”
“ไร้สาระ!”
“ผมเองก็คิดว่ามันไร้สาระครับ ผมเกรงว่าคุณฝูอาจจะไม่ปลอดภัยได้หากต้องไปเดินคนเดียวตามริมถนนอีก เลยเสนอให้จบเรื่องด้วยการที่เราจะจ่ายเงินให้เขาน่ะครับ แต่เขาก็ปฏิเสธไม่รับเงินไป”
“แล้วใครบอกว่าเราจะจบเรื่องด้วยการให้เงินเจ้านั่นน่ะ?” หานซือฉีพูดพร้อมแสยะยิ้ม “พวกเราจะเล่นกับมันเอง”
คิดว่าจะยอมให้ทำร้ายผู้หญิงของฉันได้ง่ายๆ งั้นเหรอ?
ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับเสือตัวใหญ่ เขาก็ต้องหาทางกำจัดมันด้วยวิธีที่เจ็บแสบมากกว่าให้ได้!
เมื่อวางโทรศัพท์ไปแล้ว หานซือฉีก็ยังคงแสยะยิ้มน้อยๆ อยู่ จากนั้นเขาก็เดินออกจากลิฟต์และขับรถออกไป
หลังจากที่หานซือฉีขับรถออกไปแล้ว ชายคนหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ต้นไม้ละแวกนั้นก็รีบเดินเข้าลิฟต์ไป
ซึ่งในตอนนั้นเอง ฝูเจิ้งเจิ้งกำลังดูไปที่ยาที่ต้องกินกับโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ที่วางอยู่บนโต๊ะด้วยความรู้สึกที่สับสน ในท้ายสุดเธอก็เอนตัวพิงไปกับโซฟาและถอนหายใจช้าๆ
“คุณฝูคะ อยากจะทานอะไรไหมคะ? เดี๋ยวป้าทำให้” หลี่หงเดินมายืนข้างๆ และถามเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“อะไรก็ได้ค่ะ”
“ถ้างั้น…” ทันใดนั้น กริ่งประตูก็ดังขึ้น
——————————————————————————————————-
คุยกับผู้แปล
เจ้าของหมานี่ร้ายเกิ๊นนนนนนน ขนาดคนแปลยังคาดไม่ถึงเลยว่ามีวิธีนี้อยู่ด้วย—