ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 89 อย่าลงมาที่นี่!
ฝูเจิ้งเจิ้งไม่ได้รับรู้ถึงปฏิกิริยาเช่นนี้ของคนรอบข้างเลย เธอยังคงนั่งดูเด็กๆ เล่นบอลกันอยู่ตรงหน้าอู่รถที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
หากวันนี้ที่ลงมามีฝูซิงมาด้วย เขาคงจะขอไปเล่นบอลกับเด็กๆ เหล่านั้นด้วยแล้ว
พลันเมื่อคิดถึงวิดีโอของลูกชายตน ฝูเจิ้งเจิ้งก็หลุดหัวเราะออกมา
ระหว่างนั้นเอง ลูกบอลก็กลิ้งมาสัมผัสที่ปลายเท้าของเธอ
ด้วยความที่คิดถึงฝูซิงนั้น ฝูเจิ้งเจิ้งก็ลุกขึ้นเก็บบอล เธอเตรียมที่จะให้เด็กผู้ชายตัวเล็กที่เข้ามาขอบอลคืนแล้ว ทว่าหญิงชราที่อยู่ละแวกนั้นก็รีบวิ่งเข้ามาเสียก่อนพร้อมกับดึงตัวเด็กคนนั้นไปหลบด้านหลังตนพลางขึ้นเสียงใส่เธอด้วย “อย่าเข้ามานะ! อย่ามาแตะหลานของฉัน!”
เธอตกใจมากๆ ขณะยืนมองหญิงชราผู้นั้น อีกฝ่ายมองเธอราวกับว่าเธอเป็นศัตรูตัวฉกาจ เมื่อเธอลองหันไปมองรอบๆ ก็ไม่พบใครที่น่าสงสัย เธอจึงส่งบอลคืนให้เด็กคนนั้นอีกรอบหนึ่งแม้จะยังงุนงงกับเหตุการณ์ตรงหน้านี้อยู่
เด็กน้อยอยากจะยื่นมือมารับบอลคืน ทว่าหญิงชราคนเดิมก็ปัดมือเขาลงและพูดด้วยเสียงหนักแน่น “ไม่ต้องไปรับ เดี๋ยวย่าซื้อให้ใหม่ทีหลัง”
พูดจบเธอคนนั้นก็พาเด็กชายวิ่งกลับขึ้นไปบนตึกของตนทันที
เริ่มไม่ปกติแล้ว แม้ฝูเจิ้งเจิ้งจะหันไปยื่นบอลให้เด็กคนอื่นแทน แต่เมื่อหันกลับไป เธอก็พบว่าเด็กคนอื่นๆ ที่กำลังเล่นบอลอยู่นั้น ต่างก็ถูกครอบครัวเรียกตัวกลับไปเช่นกัน
“มีอะไรบนหน้าฉันหรือไงน่ะ? หรือว่าเป็นเพราะแผลนี่คนก็เลยกลัวกัน? โอเคๆ กลับก็ได้จ้า” หญิงสาวสัมผัสตามใบหน้าของตนเองก่อนจะสรุปได้ว่าน่าจะเป็นเพราะแผลบนใบหน้านี้ที่ยังไม่หายดี คนเลยกลัวเธอกัน
ในตอนที่เธอถือบอลไว้แล้วเตรียมจะหันกลับไปยังทางขึ้นตึกของตนนั้นเอง หางตาของฝูเจิ้งเจิ้งก็เหลือบไปเห็นเด็กผู้หญิงอายุราวๆ 5-6 ปีที่กำลังยืนอยู่มุมหนึ่งของสวนและจ้องมายังบอลในมือเธออยู่
ฝูเจิ้งเจิ้งยิ้มให้เธอคนนั้นด้วยความใจดีก่อนจะค่อยๆ เดินช้าๆ เข้าไปหา “สาวน้อย เธออยากได้ลูกบอลลูกนี้เหรอ? อ่ะ นี่”
“ขอบคุณค่ะ” เด็กสาวพยักหน้ารับด้วยความใสซื่อ
“หนิ่วหนิว อย่าไปรับบอลจากเธอ! รีบกลับบ้านมาเร็ว!” ไม่ไกลจากเด็กสาวนัก หญิงชราอีกคนหนึ่งก็ตะโกนเรียกเธอ
เด็กสาวที่ถูกเรียกกลับนั้นไม่ได้ขยับในทันที เธอเพียงหันมองไปยังหญิงชราที่เรียกเธอ ซึ่งในขณะนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็ค่อยๆ เดินเข้าหาอีกฝ่ายไปด้วย
“หนิ่วหนิว ห้ามรับบอลจากป้าคนนั้น! คุณย่าบอกไว้ว่าป้าเขาติดพิษสุนัขบ้า และมันแพร่เชื้อใส่เธอได้ ถ้าติดเชื่อเข้าล่ะก็ เธอก็จะต้องตายนะ!” เด็กผู้ชายอีกคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันเองก็ร้องออกมาเสียงดังด้วย
พิษสุนัขบ้า? คนพวกนั้นบอกว่าฉันติดพิษสุนัขบ้างั้นเหรอ? ฝูเจิ้งเจิ้งเหลือบมองไปยังเด็กผู้ชายที่เพิ่งพูดจบ
เมื่อเด็กชายคนนั้นรู้ว่าฝูเจิ้งเจิ้งกำลังมองมาที่เขา ร่างเล็กก็เกิดอาการสั่นกลัวขึ้นมาจนแม่ของเขาต้องรีบมาดึงตัวเขากลับไปพร้อมกับดุเขาไปด้วย “ทำไมถึงพูดออกไปแบบนั้น? ถ้าเกิดเธอโกรธแล้วกัดลูกขึ้นมาจะทำยังไงฮะ! แล้วถ้าเกิดลูกติดพิษสุนัขบ้าขึ้นมาอีกคน แม่จะเอาลูกไปทิ้งถังขยะแน่ๆ !”
หญิงสาวที่ถูกครหาว่าติดพิษสุนัขบ้านั้นหันมองรอบๆ ตัวด้วยความงุนงง และเธอก็เพิ่งจะสังเกตได้ว่าสวนเล็กๆ แห่งนี้มีคนยืนอยู่ไม่น้อยเลย พวกเขาทุกคนล้วนแต่กำลังจับจ้องมาที่เธอ และบางคนก็ถือเก้าอี้หรือไม่ก็ท่อนเหล็กไว้ในมือราวกับอาวุธด้วย ทุกๆ คนกำลังระวังตัวจากเธออยู่
“เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกำลังมาแล้ว!”
เสียงตะโกนดังขึ้นมาและทำให้คนเหล่านี้เริ่มหันมองซ้ายขวา จากนั้นไม่นานเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลายคนก็รีบวิ่งเข้ามาจากทางเดิน และพวกเขาทุกคนก็ถือไม้พลองยาวไว้ในมือด้วย
หนึ่งในเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยนั้นยกไม้ขึ้นชี้หน้าฝูเจิ้งเจิ้งและตะโกน “กลับไปอยู่ที่ห้องของคุณซะ! ถ้าหากคุณยังกล้าออกมาเดินสร้างความหวาดกลัวให้เพื่อนบ้านอีกล่ะก็ พวกผมจะไม่ออมมือแล้วนะ!”
“ทำไมฉันถึงออกมาเดินข้างนอกไม่ได้ล่ะ?” ฝูเจิ้งเจิ้งไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมคนพวกนี้ถึงมองเธอราวกับเจอสัตว์ประหลาดแบบนี้
และทันทีที่เธอเปิดปากถาม เสียงตอบจากฝั่งที่มาล้อมเธอก็ดังขึ้นมา “เพราะว่าพิษสุนัขบ้ามันแพร่กันผ่านน้ำลายได้ยังไงล่ะ!”
ยิ่งได้ฟังเช่นนั้น ทุกคนที่อยู่รอบๆ ก็ยิ่งพากันถอยหลังออกไปอีก บางคนที่อยู่ท้ายๆ ฝูงชนที่ไม่ได้ยินและไม่รู้ว่าข้างหน้ากำลังถอยกันก็พลอยโดนชนล้มไปด้วย
“แล้วใครบอกว่าฉันเป็นพิษสุนัขบ้าน่ะ?” ฝูเจิ้งเจิ้งดูเหมือนจะเจออะไรสนุกๆ ให้ทำแล้ว แม้มันจะพ่วงมาด้วยความน่ารำคาญก็ตาม
จริงๆ เธอก็สุ่มเสี่ยงที่จะติดเชื้อพิษสุนัขบ้านั่นแหละเพราะถูกสุนัขข่วนมา แต่ที่เธอกล้าพูดเช่นนี้ก็เพราะเธอฉีดวัคซีนไปแล้ว!
นอกจากนี้ถ้าเกิดเธอจะติดเชื้อจริงๆ โดนสุนัขข่วนตอนเช้า มาถึงตอนนี้เชื้อก็ยังไม่ออกฤทธิ์หรอก!
“ยังกล้าปฏิเสธอีกเหรอ! ถ้าไม่ติดเชื้อพิษสุนัขบ้าแล้วเธอจะไปฟัดกับหมามันทำไมเล่า? ฉันเห็นภาพที่เธอลงไปกัดกับหมาในอินเตอร์เน็ตนะเว้ย!”
“ใช่ๆ ฉันก็เห็นเหมือนกัน! กัดจนหมาจริงๆ ยังเจ็บขนาดนั้น ฉันคิดว่ายัยนี่คงไม่ได้แค่ติดเชื้อพิษสุนัขบ้าแล้ว แต่น่าจะมีปัญหากับสมองด้วย!”
“ใช่เลย เมื่อกี้พวกเราเห็นเธอนั่งหัวเราะกับตัวเองด้วยล่ะ ใช่ไหมพวกเรา? เธอคนนี้เป็นคนบ้าแน่ๆ!”
“พวกเราลงมติเป็นเอกฉันท์แล้วว่ายัยผู้หญิงบ้านี่ต้องถูกขับไล่ออกจากคอมมูนิตี้ของพวกเรา!”
ในขณะที่ทุกๆ คนกำลังตะโกนเป็นเสียงเดียวกันนั้น ฝูเจิ้งเจิ้งก็เหมือนจะเข้าใจแล้วว่าสาเหตุมันมาจากที่เธอเข้าไปสู้กับสุนัขตัวนั้นเมื่อเช้า และมันถูกนำไปโพสต์ลงไปบนอินเตอร์เน็ต เนื้อหาข่าวนั่นต้องใส่สีตีไข่เพิ่มแน่ๆ ไม่งั้นคนพวกนี้คงไม่มีท่าทีเช่นนี้หรอก
ฝูเจิ้งเจิ้งยิ้มอย่างขมขื่น ทั้งๆ ที่แต่ก่อนเธอได้ขึ้นชื่อว่าเป็นตำรวจสาวที่สวยที่สุดในสถานีตำรวจแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นยัยบ้าสติไม่ดีไปแล้ว!
อย่างที่คิด ฉันนี่มันโชคร้ายจริงๆ !
เธอรู้ดีว่าอธิบายไปก็เปล่าประโยชน์ เพราะงั้นเธอจึงหันหน้าออกแล้วเดินกลับขึ้นห้องไป แต่แล้วในขณะที่ยืนอยู่หน้าตึก จู่ๆ เธอก็นึกอะไรได้ขึ้นมา
ใครกันนะที่เป็นคนโพสต์ข่าวนั้นได้เร็วขนาดนี้
ย้อนกลับไปหลายเดือนก่อน ครั้งที่เธอถูกเข้าใจผิดว่าเป็นขโมยในซูเปอร์มาร์เก็ต ข่าวนั้นก็โพสต์ลงอินเตอร์เน็ตเร็วเหมือนกัน หรือว่านี่จะเป็นฝีมือคนคนเดียวกันอีกนะ?
เฉียวเค่อเหรินเหรอ?
ด้วยเวลาเพียงแค่ครึ่งวัน ขนาดคนเฒ่าคนแก่ในคอมมูนิตี้ยังรู้ ถ้าหากไม่รีบจัดการข่าวลือแปลกๆ นี่ให้หายไปเร็วๆ ล่ะก็ มีหวังเธอได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมือง B ยากแน่ๆ
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหลิงหลงถึงอยากให้เธออยู่แต่ในห้องหลังจากที่เจ้าตัวจากไปแล้ว ไหนจะหานซือฉีที่ขอให้หลี่หงคอยจับตาดูเธอไว้อีก ดูเหมือนพวกเขาจะรู้เรื่องนี้กันอยู่แล้วสินะ
พระเจ้า แล้วข่าวลือนี้จะกระทบฝูซิงหรือเปล่า?
เธอเริ่มจะเป็นกังวลขึ้นมาอีกแล้ว เธอตัดสินใจหันหน้ากลับไปยังประตูทางเข้าคอมมูนิตี้แล้ววิ่งไปตามทางในทันที
ผู้คนที่เฝ้าดูการกระทำของเธออยู่นั้นต่างพากันวิ่งหนีไปคนละทิศละทางเมื่อเห็นว่าฝูเจิ้งเจิ้งเริ่มออกวิ่ง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเองก็เริ่มทำหน้าที่ด้วยเช่นกัน พวกเขาใช้ไม้พลองที่ถือมาด้วยนั้นคอยขัดขวางฝูเจิ้งเจิ้งไม่ให้ไปไหนอยู่ตลอดทาง
“ห้ามออกไปไหนทั้งนั้น! กลับไปที่ห้องของคุณซะ!”
มองไปยังเหล่าคนที่หลงเชื่อไปกับข่าวลือง่ายๆ เหล่านี้แล้วฝูเจิ้งเจิ้งก็พูดขึ้นมาด้วยความโกรธ “ฉันไม่ได้ติดพิษสุนัขบ้า! แล้วก็ฉันไม่ได้เป็นโรคจิตด้วย! หลีกทางไปซะ ฉันจะไปหาลูก!”
“ได้ยินหรือเปล่า? ขนาดลูกชายของเธอยังต้องถูกจับแยกเลย แล้วนี่เธอยังมีหน้ามาบอกว่าตัวเองปกติดีอีกเหรอ!?”
“ใช่แล้ว รีบๆ จับเธอไว้แล้วส่งโรงพยาบาลบ้าเร็ว!”
เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่ยอมเปิดทางให้ ฝูเจิ้งเจิ้งก็หมดความอดทนและพุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็ว
แต่ไม่คาดคิดเลยว่ายามเหล่านั้นจะยกไม้ขึ้นเพื่อสะกัดเธอ
ฝูเจิ้งเจิ้งใช้ความได้เปรียบเรื่องประสบการณ์เตะไม้พวกนั้นออก เมื่อพวกเขาไร้อาวุธ แม้แต่ยามก็ยังต้องรีบวิ่งหนีไปก่อน ความวุ่นวายเกิดขึ้นอีกครั้งและฝูเจิ้งเจิ้งก็ใช้โอกาสนี้ในการวิ่งออกจากความวุ่นวายเพื่อไปโบกแท็กซี่หน้าคอมมูนิตี้เพื่อที่จะไปรีสอร์ทฉืออิ๋งลี่หยาง
ขณะที่รอไฟสัญญาณจราจรอยู่นั้น แท็กซี่ที่เธอนั่งมาก็พูดคุยกับฝูเจิ้งเจิ้งไปด้วย “คุณผู้หญิง ระวังตัวด้วยนะถ้าคุณอยู่แถวนี้ ผมเพิ่งได้ยินมาว่ามีผู้หญิงโรคจิตติดพิษสุนัขบ้ากำลังป้วนเปี้ยนอยู่ในเมืองนี้ ยัยนั่นน่ะจะไล่กัดทุกคนเลยที่บังอาจไปวิ่งไล่”
“จริงเหรอคะ?” ฝูเจิ้งเจิ้งถามอีกฝ่ายโดยแสร้งทำเป็นใจเย็น
ก่อนที่เธอจะขึ้นแท็กซี่ เธอกระชับหมวกให้ปิดหน้าลงมาเยอะๆ ดังนั้นแท็กซี่จึงไม่สามารถสังเกตเห็นหน้าเธอได้ชัดเจน
“จริงสิครับ ผมได้ยินมาว่าเล็งผู้หญิงและเด็กเป็นพิเศษ เพราะงั้นใครก็ตามที่มีลูกเด็กเล็กแดงอยู่ในครอบครัวต่างก็พากันหวาดกลัวและรีบเก็บเด็กๆ ของเขาไปกันหมด”
ช่างเป็นสถานการณ์ที่น่ารำคาญจริงๆ!
“ผมยังได้ยินมาด้วยนะว่ายัยบ้าคนนั้นน่ะมีลูกชายอยู่คนนึง บางทีลูกชายของเธอก็อาจจะเป็นไอ้เปี๊ยกสติไม่ดีที่มีเชื้อพิษสุนัขบ้าก็ได้ ฮ่าๆๆๆ” คนขับแท็กซี่หัวเราะออกมาเสียงดังหลังจากพูดถึงตรงนี้
“นายนั่นแหละสติไม่ดี!” ฝูเจิ้งเจิ้งก่นด่า
“หือ? ว่าอะไรนะครับคุณผู้หญิง” เพราะเมื่อครู่เขามัวแต่หัวเราะ ก็เลยได้ยินที่หณิงสาวพูดไม่ชัด
“อ๋อ ฉันบอกว่าไฟเขียวแล้วน่ะค่ะ” ฝูเจิ้งเจิ้งไม่อยากจะมีเรื่องกับเขาไปด้วยอีกคน เธอแค่ต้องการเห็นหน้าฝูซิงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เท่านั้น ทั้งนี้ก็เพื่อทำให้ตนเองมั่นใจว่าฝูซิงจะอยู่ดีมีสุขจริงๆ!
ไม่นานนักรถแท็กซี่ก็มาจอดหน้าทางเข้ารีสอร์ทฉืออิ๋งลี่หยาง หลังจากที่จ่ายเงินไปเรียบร้อยแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบลงจากรถ ซึ่งประจวบเหมาะกับการที่มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินเข้าไปภายในพอดี เธอจึงใช้จังหวะนี้แทรกตัวเข้าไปเนียนด้วย
ครั้งก่อนนู้นเธอเคยถามจูหลิงหลงแล้วว่า ฝูซิงถูกพาไปที่รีสอร์ทฉืออิ๋งลี่หยางหรือเปล่า หากแต่อีกฝ่ายกลับไม่สามารถบอกเธอได้ แต่ในวันนี้ภาพที่ปรากฏอยู่ในพื้นหลังวิดีโอที่จูหลิงหลงเปิดให้ดูนั้นมันชัดเจนว่าฝูซิงจะต้องอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน
เธอดึงปีกหมวกให้ลงมาปิดหน้าเอาไว้ขณะมุ่งตรงไปยังบ้านที่พวกคนตระกูลหานอาศัยอยู่กัน
ฝูซิงจะต้องไม่ได้อยู่ในบ้านอย่างสงบแน่ๆ เธอเดาได้เลยว่าเขาจะต้องถูกจีหยาฉูพาตัวไปเล่นกับเสี่ยวเสี่ยวแน่
ขณะที่เธอกำลังเดินผ่านสนามเด็กเล่นเล็กๆ เธอก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย “เสี่ยวเสี่ยว อย่ากระโดดลงมาจากที่สูงๆ เหมือนที่ฝูซิงทำสิ!”
ฝูเจิ้งเจิ้งหันขวับไปตามทิศทางที่ได้ยินเสียงทันที แล้วเธอก็ได้เห็นว่าฝูซิงนั้นกำลังเล่นกับหานเสี่ยวอยู่
“ฝู—-” ก่อนที่เธอจะได้ตะโกนเรียก เธอก็ถูกดึงออกไปจากจุดนั้นเสียก่อน
ด้วยความตกใจ ฝูเจิ้งเจิ้งรีบพลิกตัวและเป็นฝ่ายจัดการอีกฝ่ายให้ลงไปนอนกับพื้นแทน
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ! เธอคิดว่าเธอกำลังทำอะไรน่ะ!?” หานเถิงอวี้ตะโกนจากจุดที่ฝูเจิ้งเจิ้งอยู่ไม่ไกลนักด้วยสีหน้าเข้มงวด
เห็นดังนั้นเธอจึงรีบก้มลงมามองแล้วก็พบว่าคนที่เธอเพิ่งจับกดลงไปบนพื้นนั้นคือ หวานเจิ้งฮั่ว นั่นเอง
ความประทับใจในครั้งแรกที่เจอของฝูเจิ้งเจิ้งและหานเถิงอวี้นั้นไม่ดีเอามากๆ ดังนั้นครั้งนี้เธอจึงไม่รู้สึกว่าต้องสุภาพกับเขา “ฉันมาดูลูกของฉัน!”
“เธอยังมีหน้ามาดูซิงซิงอีกงั้นเหรอ? ไม่รู้หรือไงว่าตัวเองดังไปทั่วเมือง B แล้วน่ะ!?”
น้ำเสียงประชดประชันของหานเถิงอวี้นั้นทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกไม่สบายใจมากๆ ดังนั้นเธอจึงตอบไปอย่างไม่แยแส “นั่นมันก็แค่ข่าวลือที่คนอื่นปั้นขึ้นมา”
“ฉันไม่สนว่ามันจะเป็นข่าวลือหรือไม่ ในเมื่อเราอยู่กันแบบสังคม ฉันก็จะให้สังคมเป็นคนตัดสินทุกๆ เรื่องว่าถูกหรือผิด! ฉันแนะนำนะว่าเธออย่ามาให้ซิงซิงเห็นหน้าจะดีกว่า หรือไม่ก็อย่าเที่ยวไปบอกใครเขาว่าเธอเป็นแม่ของซิงซิง อย่างน้อยๆ ก็เพื่อช่วยไม่ให้เกิดปัญหาอะไรกับเขาในอนาคต ซิงซิงน่ะยังเด็กมากนะ และฉันก็ไม่ต้องการให้เขาต้องทุกข์ทรมานเพราะมีแม่แบบเธอด้วย”
“หน็อย!” ฝูเจิ้งเจิ้งโกรธขึ้นมาเพราะคำพูดเหล่านี้
ฝูเจิ้งเจิ้งเมินหานเถิงอวี้และหันกลับไปหมายจะดูฝูซิงต่อ ทว่าเธอก็ต้องประหลาดใจ เพราะเมื่อหันกลับไป ทั้งฝูซิงและหานเสี่ยวก็ไม่ได้อยู่ที่สนามเด็กเล่นนั้นแล้ว
หญิงสาวพยายามข่มอารมณ์โกรธก่อนจะตัดสินใจอ้อนวอน “ฉันไม่ได้จะมาพาฝูซิงไป ฉันแค่ต้องการจะเห็นหน้าเขา ฉันจะยอมกลับไปในทันทีถ้าได้เห็นหน้าฝูซิง และได้รู้ว่าเขามีความสุขดี”
“เมื่อกี้เธอก็เห็นไปแล้ว เพราะงั้นเชิญกลับไปได้แล้ว”
“แต่…”
หานเถิงอวี้ไม่ฟัง เขาพูดแทรกขึ้นมาโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น “คุณฝู ในฐานะที่เธอเป็นแม่คนแล้ว เธอไม่ควรเห็นแก่ตัวนะ!”
ประโยคนี้ทำเอาเธอถึงกับสะอึก
“ซิงซิงเป็นหลานของพวกเรา และพวกเราจะไม่ยอมให้หลานของเราต้องโศกเศร้าหรือได้รับบาดเจ็บหรอก” หานเถิงอวี้เดินจากไปหลังจากพูดออกมาเช่นนั้นแล้ว
อย่างน้อยๆ คำพูดนั้นก็ทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง หลังจากที่เธอปล่อยสายตาให้ทอดมองไปไกลสุดลูกหูลูกตาพักใหญ่ๆ เธอก็ตัดสินใจหันหน้ากลับไปยังทางเข้ารีสอร์ทอย่างไม่เต็มใจนัก และเธอก็ไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่าไม่ใกล้ไม่ไกลตัวเธอ จีหมู่เซี่ยนกำลังยืนจับตามองเธออยู่
ในทันทีที่เธอเดินมาถึงหน้าประตูทางเข้า เธอก็พบเฉียวเค่อเหรินและกลุ่มคนอีกนิดๆ หน่อยๆ กำลังเดินตรงมาทางเธอพอดี พวกเขากำลังพูดคุยกันสนุกสนานพลางหัวเราะ
เห็นเช่นนั้นเธอก็รีบดึงหมวกลงมาปิดใบหน้าในทันที แต่ดูเหมือนมันจะช้าไป เพราะเฉียวเค่อเหรินดันเห็นเธอเสียก่อน “โอ๊ะ? นั่นคุณฝูไม่ใช่เหรอ? เอ๋ หน้าของคุณไปโดนอะไรมาน่ะคะ?”
ก่อนที่ฝูเจิ้งเจิ้งจะได้พูดอะไร หญิงสาวข้างๆ เฉียวเค่อเหรินก็ชิงพูดขึ้นมา “อ๊า เค่อเหริน คนนี้มันผู้หญิงบ้าที่เป็นข่าวว่ากัดกับหมาในอินเตอร์เน็ตไม่ใช่เหรอ?”
เมื่อมีคนจุดประเด็นนั้นขึ้นมา สาวๆ ที่เหลือต่างก็พากันหยุดเดินและพากันจ้องมองฝูเจิ้งเจิ้งราวกับเป็นสัตว์ประหลาดกันซะอย่างนั้น
เฉียวเค่อเหรินแสร้งทำเป็นประหลาดใจ “อย่ามาพูดไร้สาระน่า คุณฝูสวยออกขนาดนี้ จะให้เธอเป็นหญิงบ้าอะไรนั่นได้ยังไง?”
ยามที่ทุกคนได้ยินคำว่า ‘สวย’ พวกเธอต่างก็หันมามองหน้าฝูเจิ้งเจิ้งที่ซึ่งมีรอยแผลปรากฏอยู่ก่อนจะพากันหัวเราะ
“เค่อเหริน ไม่ใช่ว่าเธอคนนี้เป็นเลขาเก่าของคู่หมั้นเธอเหรอ? ฉันได้ยินมาว่านังนี่พยายามล่อลวงคู่หมั้นของเธอด้วยไม่ใช่หรือไง? ดูสภาพตอนนี้สิ ฉันว่าแม้แต่คนเปิดประตูก็ยังไม่สนใจเลยมั้ง ฮ่าๆๆ”
“เป็นไปได้ไหมว่าเธอคนนี้กลายเป็นบ้าเพราะเค่อเหรินกำลังจะหมั้นกับคุณหานน่ะ?”
เธอกลายเป็นตัวตลกในสายตาคนพวกนี้ไปเสียแล้ว
ฝูเจิ้งเจิ้งที่พยายามอดทนอดกลั้นมาโดยตลอด ในตอนนี้ความอดทนเธอขาดสะบั้นลง
หญิงสาวก้าวเดินไปข้างหน้าพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ในเมื่อพวกเธอได้ยินเรื่องของฉันมามากขนาดนี้แล้ว พวกเธอเคยได้ยินหรือเปล่าว่าฉันเป็นพาหะนำโรคพิษสุนัขบ้าน่ะ?”
ไม่พูดเปล่า เพราะฝูเจิ้งเจิ้งยังคงเดินดิ่งไปหาเฉียวเค่อเหรินในทันทีอีกด้วย “แล้วพวกเธอรู้ไหมว่ามนุษย์สามารถติดเชื้อพิษสุนัขบ้าได้ผ่านทางน้ำลายด้วยเหมือนกัน?
——————————————————————————————————————–
คุยกับผู้แปล
สงสารฝูเจิ้งเจิ้งนะ สงสารแบบ สงสารอ่ะ คนอะไรจะค่าโชคติดลบขนาดนี้