ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 90 อย่าเพิ่งรีบได้ใจไป!
เมื่อเหล่าสาวๆ ได้ยินดังนั้น พวกเธอก็หน้าถอดสีกันหมดพร้อมๆ กับรีบพากันถอยและหยิบเอาทิชชู่ขึ้นมาเช็ดหน้าเช็ดตากันเองด้วย
ฝูเจิ้งเจิ้งพูดต่ออย่างไม่รีบร้อน “ทิชชู่น่ะมันไม่ช่วยอะไรหรอกนะ พวกเธอควรจะใช้ทิชชู่เปียกจะดีกว่า”
“อย่าไปฟังเธอนะ!” เฉียวเค่อเหรินพยายามห้ามปรามเพื่อนๆ ของเธอไว้ แต่พวกเขาก็ไม่ฟังแล้ว คนเหล่านี้โยนทิชชู่ธรรมดาทิ้งไปและต่างหยิบเอาทิชชู่เปียกขึ้นมาเช็ดหน้า มันทำให้เครื่องสำอางที่แต่งมาจนสวยผ่องต่างพากันหลุดร่อนไปตามแรงเช็ดจนไม่เหลือชิ้นดี
แม้ฝูเจิ้งเจิ้งจะสามารถกลั้นขำกับเรื่องแบบนี้ได้ แต่คนอื่นที่เห็นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
เฉียวเค่อเหรินรู้สึกอับอายขึ้นมากับพฤติกรรมของเพื่อนเธอเช่นนี้มาก เธอจึงรีบตะโกน “หยุดได้แล้วน่า! ไม่เห็นเหรอว่ามันไม่เป็นอะไรน่ะ?”
“ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่ามาเสียใจทีหลังนะเค่อเหริน มานี่ เธอเองก็ควรจะเช็ดหน้าเธอด้วยเหมือนกัน!” เพื่อนคนหนึ่งของเธอพยายามจะช่วยเฉียวเค่อเหรินเช็ดหน้าด้วยความหวังดี
ด้วยความรำคาญ เธอปัดมือเพื่อนคนนั้นออกก่อนจะต่อว่าอีกฝ่ายด้วยถ้อยคำรุนแรง “เธอซื่อบื้อหรือโง่กันแน่เนี่ย? ยัยนี่ไม่ได้เป็นพิษสุนัขบ้าซักหน่อย! มันก็แค่อยากจะแกล้งหลอกพวกเธอเล่น!”
หญิงสาวเหล่านั้นต่างพากันหยุดการกระทำแล้วหันมองหน้ากันด้วยความเขินอาย จากนั้นพวกเธอเหล่านั้นก็รีบปิดบังใบหน้าไว้และรีบหลบไปยังมุมหนึ่งเพื่อแต่งหน้าใหม่ในทันที
อะฮ่า! ถึงจะไม่ชัวร์แต่ยัยนี่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข่าวลือของฉันแน่ๆ!
เธอพยายามข่มความโกรธตนเองเอาไว้แล้วพูดด้วยรอยยิ้มหวาน “คุณเฉียว ขอบคุณนะคะที่ช่วยปกป้องฉัน”
“อะ—!?” เฉียวเค่อเหรินถึงกับพูดไม่ออก เธอหันไปมองเหล่าเพื่อนของตนที่กำลังหลบอยู่ที่มุมๆ หนึ่งเพื่อแต่งหน้าก่อนจะแสดงท่าทีเย้ยหยันออกมาและเตรียมจะเดินจากไป
ทว่าฝูเจิ้งเจิ้งก็หยุดเธอไว้อีก “คุณเฉียว เพื่อนของคุณบอกว่าฉันล้มเหลวในการล่อลวงหานซือฉีและกลายเป็นบ้า ถูกหรือเปล่าคะ? อ๋า พวกเขาพูดถูกแล้วล่ะ ฉันในตอนนี้น่ะ กลายเป็นคนโรคจิตไปแล้ว”
ได้ยินเช่นนั้นเฉียวเค่อเหรินก็มองไปยังฝูเจิ้งเจิ้งด้วยความตกใจ
ถ้อยคำที่สุภาพอ่อนหวานนั้นดังพอที่จะให้ได้ยินเพียงสองคน ฝูเจิ้งเจิ้งค่อยๆ เดินเข้าไปหาเฉียวเค่อเหรินช้าๆ “เมื่อตอนวันหมั้นของพวกคุณ พอดีฉันอาการกำเริบขึ้นมาน่ะค่ะ ซือฉีก็เลยต้องอยู่กับฉันที่โรงพยาบาลและปฏิเสธที่จะทิ้งฉันไป ฉันล่ะกลั๊วกลัวว่าถ้าหากเขาไม่ไปร่วมงานหมั้นล่ะก็ ครอบครัวของคุณเฉียวจะเสียหน้า รวมถึงตัวคุณเฉียวเองก็อาจจะอกแตกตายก็ได้ เพราะงั้นฉันเลยรีบให้เขาไปหาคุณ อย่างน้อยๆ ให้ไปโผล่หน้าซักนิดซักหน่อยก็ยังดี”
สีหน้าของเฉียวเค่อเหรินเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เธอยกมือขึ้นหมายจะตบฝูเจิ้งเจิ้ง แต่คิดเหรอว่าฝูเจิ้งเจิ้งจะเปิดโอกาสให้ทำเช่นนั้น? เธอชิงจับมือของเฉียวเค่อเหรินไว้ก่อนแล้วดึงกระชากให้ร่างตรงหน้านั้นพุ่งเข้ามาหาตัวเธอตามแรงดึง จากนั้นก็กระซิบข้างๆ หูเบาๆ “คุณเฉียว อย่ายั่วโมโหฉันจะดีกว่านะคะ ไม่เช่นนั้นแล้ว ถ้าหากอาการโรคจิตของฉันมันกำเริบขึ้นมาอีกล่ะก็ ซือฉีคงจะอยู่กับฉันตลอดทั้งวันทั้งคืนเพื่อระวังไม่ให้ฉันไปทำร้ายใครอีกแน่ๆ เลย”
หลังจากพูดจบ ฝูเจิ้งเจิ้งก็แสดงท่าทีราวกับไร้อำนาจออกมา เมื่อเธอเหวี่ยงมือของเฉียวเค่อเหรินออกไปแล้ว เธอก็จงใจหายใจแรงๆ ให้อีกฝ่ายได้ยินด้วย
เฉียวเค่อเหรินหน้าซีดแม้จะโกรธ เธอจับมือของตนเองที่เจ็บจากแรงบีบเมื่อครู่และจ้องไปยังฝูเจิ้งเจิ้งด้วยความเกลียดชัง หากแต่ก็ไม่ได้เปิดฉากลงไม้ลงมืออะไรอีก เฉียวเค่อเหรินรู้ดีว่าต่อให้เหล่าเพื่อนสาวของเธอมาช่วยกันรุม ยังไงเสียพวกเธอก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฝูเจิ้งเจิ้งอยู่ดี ดังนั้นเธอจึงทำได้แค่ชี้ไปที่อีกฝ่าย แล้วพูดด้วยถ้อยคำด่าทอ “ฝูเจิ้งเจิ้ง อย่าเพิ่งภูมิใจไปนักนะ! คนที่แต่งเข้าตระกูลหานได้เท่านั้น ถึงจะเป็นผู้ชนะ!”
“จริงเหรอ? แหม ฉันคิดว่าใครก็ตามที่ทำให้หานซือฉียอมเดินขึ้นเตียงได้จะเป็นผู้ชนะซะอีกนะเนี่ย” ฝูเจิ้งเจิ้งหัวเราะน้อยๆ และในขณะที่เธอเตรียมจะเดินกลับออกไปแล้ว เธอก็หันกลับไปหาเฉียวเค่อเหรินอีกรอบเพื่อกระซิบเพิ่มเติม “อ้อ ฉันลืมบอกไป ซือฉีน่ะ บอกฉันไว้ว่าเขาจะไม่กลับบ้านวันนี้ อืมมมม บางทีเขาอาจจะชอบใบหน้าที่มีบาดแผลแบบฉันน่าดูเหมือนกันนะคะ ถ้ายังไงคุณเฉียวจะลองทำตามดูก็ได้นะ”
จากนั้นเธอก็หันไปเหลือบมองเหล่าเพื่อนๆ ของเฉียวเค่อเหรินที่เพิ่งจะแต่งหน้าเสร็จ แล้วจึงเดินจากที่แห่งนี้ไปด้วยรอยยิ้มหยิ่งผยอง
เสียงของเฉียวเค่อเหรินที่เขวี้ยงกระเป๋าลงไปบนพื้นพร้อมทั้งตะโกนด่าไล่หลังฝูเจิ้งเจิ้งไปติดๆ “นังนี่! ฉันจะไม่ให้แกได้เชิดหน้าชูตาแบบนี้ไปได้นานนักหรอกนะ!”
ฝูเจิ้งเจิ้งไม่สนใจอะไรอีกฝ่ายอีกต่อไป เธอทำเป็นหูหนวกแล้วโบกแท็กซี่ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ในทันทีที่เธอกลับมาถึงห้อง หลี่หงก็รีบเดินเข้ามาหาเธอพร้อมกับพูด “คุณฝู ในที่สุดก็กลับมาเสียที! ไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ? คุณหานน่ะสั่งให้ป้าไปตามหาคุณทุกที่เลย!”
“เขาจะตามหาฉันไปทำไมน่ะคะ? ยังไงก็เถอะ ฉันกลับมาแล้วค่ะ” ฝูเจิ้งเจิ้งพูดอย่างไม่แยแส
จะมาเป็นเดือดเป็นร้อนแทนฉันทำไมนักหนาน่ะ?
ตอนนั้นเอง โทรศัพท์บ้านก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง หลี่หงรีบเดินไปรับโทรศัพท์ “คุณหาน คุณฝูกลับมาแล้วค่ะ ค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ”
วางโทรศัพท์ลงไป หลี่หงก็พูดกับเธอ “คุณฝูคะ คุณหานบอกให้คุณนอนพักผ่อนไปก่อนค่ะ เขากำลังกลับมา”
เธอไม่ได้สนใจในสิ่งที่หลี่หงพูดแล้วเดินกลับเข้าห้องของตัวเองไป
ความเหนื่อยล้าเริ่มกัดกินไปทั้งตัวหลังจากที่ต้องผ่านเรื่องพิลึกมาตลอดทั้งวัน
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะเป็นวันสุดท้ายที่ต้องเจอกับเรื่องพวกนี้เสียที
เมื่อได้ผละตัวออกจากความวุ่นวายภายนอกแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็กลับมาเปิดคอมพิวเตอร์และเข้าชมเว็บไซต์ท้องถิ่น ข่าวล่าสุดที่ปรากฏขึ้นนั้นเป็นข่าวที่เธอกำลังเผชิญหน้ากับยามรักษาความปลอดภัยของเจี่ยเย่ฮัวหยวน โดยมีพาดหัวข่าวว่า “หญิงบ้าคลั่งพยายามวิ่งออกจากที่พักแม้จะถูกสะกัดกั้นโดยทุกคนในคอมมูนิตี้แล้วก็ตาม” ด้านล่างก็มีความคิดเห็นมากมายที่หลายๆ คนร่วมแสดงกันถึงเรื่องนี้ โดยจะสามารถแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ได้คือ กลุ่มที่บอกว่าครอบครัวของผู้ป่วยทางจิตควรส่งตัวผู้ป่วยเหล่านี้ไปยังโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษา พวกเขาจะได้ไม่ออกมาทำร้ายคนอื่นอีก กับอีกส่วนที่หนักแน่นในความคิดที่ว่า ผู้ป่วยทางจิตเองก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ดังนั้นควรปฏิบัติกับเขาเหมือนกับคนปกติเพื่อความเท่าเทียม
ยามเมื่อเธอลองค้นหาข่าวเกี่ยวกับที่เธอกัดกับสุนัขเมื่อเช้านี้ ข่าวเหล่านั้นก็หายไปจนหมด ไม่เหลือให้ตามเลยจนเป็นที่น่าประหลาดใจ
ดูเหมือนว่าข่าวที่ถูกปล่อยออกมาเมื่อเช้าจะถูกลบไปแล้วสินะ? จะเหลือก็แต่ข่าวเมื่อกลางวันที่ยังไม่ถูกลบไป
ฝูเจิ้งเจิ้งหัวเราะออกมา
นี่มันอะไรกันน่ะ? การต่อสู้ระหว่างหานซือฉีกับเฉียวเค่อเหรินเหรอ?
เอาเถอะ ยังไงซะนี่มันก็เรื่องของพวกเขา เธอเองก็ไม่ได้อยากจะข้องเกี่ยวนักหรอก จริงๆ ต่อให้ทั้งสองคนจะสู้กันให้ดุเดือดกว่านี้มันก็ยังไม่เกี่ยวอะไรกับเธออยู่ดี เพราะสิ่งเดียวที่เธอต้องการตอนนี้ก็คือ ฝูซิง ต้องไม่เป็นอะไร ไม่ว่าจะเป็นทั้งการกินและการนอน
ภาพของฝูซิงที่กำลังเล่นสนุกอยู่กับเสี่ยวเสี่ยวเมื่อกลางวันนั้นมันหวนกลับมาอีกครั้ง และมันทำให้เธอรู้สึกอิจฉา
ทำไมฝูซิงถึงยังดูมีความสุขได้แม้จะไม่มีเธออยู่ใกล้ๆ นะ?
ฝูเจิ้งเจิ้ง เธอบ้าไปจริงๆ แล้วเหรือไง? เธออยากจะให้ฝูซิงร้องไห้ตลอดเวลาเหรอ?
จิตใจทั้งสองฝั่งของฝูเจิ้งเจิ้งดูเหมือนจะตีกันเองเสียแล้ว
ทันใดนั้นเอง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น “คุณฝูคะ มีคนที่ชื่อ สวี่เหยียน มาขอพบน่ะค่ะ อยากจะให้เธอเข้ามาไหม?”
สวี่เหยียนเหรอ….อ๋าาาา
ฝูเจิ้งเจิ้งรีบลุกพรวดขึ้นมาอย่างไม่รอช้าพร้อมกับตอบรับ “ค่ะๆ ให้เธอเข้ามาได้เลย!”
ในทันทีที่เธอเดินไปเปิดประตูห้อง สวี่เหยียนก็พุ่งพรวดเข้ามาทันที
“เจิ้งเจิ้ง เธอเป็นยังไงบ้าง? ดูเธอสิ บาดเจ็บเต็มไปหมดทั้งตัวเลย! เกิดอะไรขึ้นน่ะ? เธอหายไปโดยไม่บอกฉันเลย ไม่รู้หรือไงว่าฉันเป็นห่วงเธอมากขนาดไหน? ทำอะไรไม่คิดเลยให้ตายสิ!” ทันทีที่สวี่เหยียนเข้ามาในห้อง เธอก็บ่นฝูเจิ้งเจิ้งชุดใหญ่ก่อนจะหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความโล่งอกที่เห็นเพื่อนสาวยังไม่เป็นไร
การที่ต้องมาเห็นคนอื่นร้องไห้เพราะเธอเช่นนี้ มันก็ทำเอาฝูเจิ้งเจิ้งแอบรู้สึกผิดขึ้นมาเหมือนกัน “ขอโทษจริงๆ อาเหยียน หลายสิ่งหลายอย่างมันเกิดขึ้นมาต่อเนื่องในช่วงหลายวันมานี้น่ะ ฉันก็ไม่ได้โทรหาเธอเลยจนกระทั่งถึงวันนี้”
“เจิ้งเจิ้ง แล้วเธอไปทำอะไรมาจนบาดเจ็บแบบนี้น่ะ? สวี่เหยียนมองหน้าฝูเจิ้งเจิ้งด้วยความเศร้าสร้อยและสะอึกสะอื้น “ฉันเห็นข่าวในอินเตอร์เน็ตเมื่อเช้าแล้ว แล้วก็รู้ได้ทันทีเลยว่าเธอจะต้องเจอปัญหาใหญ่แน่ๆ”
จากนั้นสวี่เหยียนก็หยิบซองขาวซองหนึ่งออกมาจากกระเป๋าแล้วส่งให้ฝูเจิ้งเจิ้งไปด้วย “บริษัทไล่เธอออกแล้ว ส่วนนี่เงินเดือนของเธอ พวกเขาขอให้ฉันนำมันมาให้เธอ คนที่บริษัทน่ะพูดถึงเธอด้วยนะ ฉันเองก็พยายามพูดอธิบายแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่ยอมเชื่อฉัน เจิ้งเจิ้ง ฉันขอโทษจริงๆ ฉันไม่สามารถช่วยอะไรเธอได้เลย”
“ฉันโดนไล่ออกก็ดีแล้วนี่นา เธอก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าการที่ไม่ต้องทำงานมันสบายขนาดไหน?” ฝูเจิ้งเจิ้งรับซองขาวนั้นมาแล้วปั้นยิ้มจางๆ ไว้บนหน้า “มันก็แค่แผลฟกช้ำ นอกจากนี้ไอ้สิ่งที่เจ็บจริงๆ ก็ไม่ใช่ฉันซะด้วยสิ”
“ก็แหงอยู่แล้ว ข่าวออกมาว่าเธอกัดซะหมาสู้ไม่ได้เลยนี่!” สวี่เหยียนยังคงมองไปที่เพื่อนสาวอยู่ตลอด “เธอรู้ไหม ไม่ว่าฉันจะไปที่ไหนนะ ฉันก็ได้ยินคนพูดถึงเรื่องของเธอตลอดเลย เธอดังแล้วนะ! บอกฉันหน่อยสิว่าไปทำยังไงถึงได้เป็นดาวเด่นแบบนี้ได้?”
เมื่ออีกฝ่ายอยากรู้ ฝูเจิ้งเจิ้งก็ไม่ขัดข้องและเล่าเรื่องทั้งหมดให้สวี่เหยียนฟังรวมไปถึงเรื่องที่เธอไปพบกับเฉียวเค่อเหรินที่รีสอร์ทฉืออิ๋งลี่หยางด้วย
สวี่เหยียนรู้สึกโกรธจนทุบเตียงแรงๆ หลายที “เจิ้งเจิ้ง ฉันเดาได้เลยว่าเรื่องนี้เฉียวเค่อเหรินต้องเป็นคนบงการแน่ๆ! คนแบบนั้นน่ะถนัดอยู่แล้วที่จะใช้แผนสกปรกแบบนี้! ยัยคนโหดเหี้ยม!”
แต่หลังจากพูดออกมาเช่นนั้นแล้ว สวี่เหยียนก็กลับมากังวลอีกครั้ง “จะว่าไป การที่เธอไปยั่วยุเฉียวเค่อเหรินวันนี้น่ะ ฉันกลัวจังเลยว่าเธอจะโดนยัยนั่นเล่นงานหนักขึ้น! เพราะงั้นเธอต้องระวังตัวให้มากขึ้นด้วยนะ ตระกูลของหล่อนเองก็มีอิทธิพลกับเมืองนี้ไม่น้อยเลยด้วย”
ฝูเจิ้งเจิ้งยิ้มอย่างไม่แยแสใดๆ “จะต่อหน้าหรือลับหลังก็มาเถอะ ยังไงก็อยากจะมีเรื่องกับฉันอยู่แล้วนี่ ถ้าไหนๆ จะมีเรื่องแล้วก็จัดหนักๆ มาเลย! ขอแบบข่าวลือเบิ้มๆ เลยนะ!”
ตัวเธอชินกับการที่ต้องตื่นตัวตลอดเพื่อคอยดูแลฝูซิงกับทำงานที่ได้รับมอบหมายอยู่แล้ว ยิ่งตอนนี้เธอไม่ต้องกังวลเรื่องฝูซิง รวมไปถึงงานก็ไม่มีต้องทำ เช่นนี้แล้วเธอยังจำเป็นที่จะต้องกลัวเฉียวเค่อเหรินและตระกูลเฉียวอีกงั้นเหรอ?
ยังไงกลัวไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรอยู่แล้วนี่
อยากมาก็มา ฉันไม่เคยกลัว
“เจิ้งเจิ้ง ตรงนี้เจ็บหรือเปล่า?” สวี่เหยียนเอ่ยถามขึ้นมาขณะที่สัมผัสไปที่แผลบนใบหน้าของฝูเจิ้งเจิ้ง
“ไม่นะ ผิวของฉันน่ะรักษาตัวเองเร็วอยู่แล้ว ดีไม่ดีพรุ่งนี้สะเก็ดพวกนี้ก็คงจะหลุดเองแล้วด้วย จะเหลือก็แต่ขาที่พลิกเมื่อวันก่อนเนี่ยแหละที่ยังขาดคนนวดอยู่” ฝูเจิ้งเจิ้งพูดเป็นนัยก่อนจะยกขาข้างที่เจ็บขึ้นมา
“เธอเอาเปรียบฉันอีกแล้วนะ” ถึงจะพูดแบบนั้น แต่สวี่เหยียนก็ยื่นมือไปช่วยนวดขาให้ฝูเจิ้งเจิ้งอยู่ดี พักใหญ่หลังจากนั้น เธอก็หยุดแล้วพูดขึ้นด้วยความกังวล “เออ เจิ้งเจิ้ง ฉันได้ยินมาว่างานแต่งงานของคุณหานกับเฉียวเค่อเหรินเลือกวันได้แล้วนะ เธอกับคุณหานมีแผนอะไรไหม?”
ฝูเจิ้งเจิ้งยิ้มอย่างขมขื่น “ฉันไม่มีแผนอะไรนอกซะจากเมื่อไหร่ที่ขาฉันหายดี ฉันจะออกจากที่นี่ไปพร้อมกับฝูซิง”
“ดีเลย ไหนๆ เธอก็หาตัวเหนียนซี่ไม่เจอแล้ว เพราะงั้นเธอก็ออกจากที่นี่ไปพร้อมกับซิงซิงแล้วไปแต่งงานกับผู้ชายที่เหมาะสมกับเธอที่อื่นดีกว่า”
“ใช่แล้ว ฮ่าาๆๆๆ”
เธอขอให้สวี่เหยียนอยู่ทานข้าวด้วยกันก่อน และหลังจากนั้นทั้งสองก็ยังคุยกันอีกนานกว่าสวี่เหยียนจะกลับห้องไป
นี่เป็นเวลา 5 ทุ่มแล้ว แต่หานซือฉีที่บอกว่าจะรีบกลับมาก็ยังไม่กลับมาเสียที มันทำให้เธอหวนคิดกลับไปถึงเมื่อตอนที่เธอไปยั่วยุเฉียวเค่อเหรินไว้ บางทีเฉียวเค่อเหรินอาจจะพยายามรั้งตัวหานซือฉีเอาไว้จริงๆ ก็ได้
เขาจะไม่กลับมาก็ไม่เป็นไร ยังไงซะเธอก็หงุดหงิดเวลาที่ได้เห็นเขาอยู่แล้ว
ถ้าหากว่าเฉียวเค่อเหรินมีความสามารถพอ ก็หวังว่าเธอคนนั้นจะช่วยรั้งตัวหานซือฉีไว้ไม่ให้โผล่มาที่นี่ทุกวันได้ ซึ่งแบบนั้นจะช่วยให้ฝูเจิ้งเจิ้งสามารถฟื้นฟูตัวเองได้เร็วขึ้นอีกเยอะเลย และเมื่อไหร่ที่เธอหายดี ทุกสิ่งก็จะง่ายขึ้น
หลังจากที่ดูวิดีโอของฝูซิงอีกหลายครั้ง เธอก็เริ่มง่วงขึ้นมา ฝูเจิ้งเจิ้งวางโทรศัพท์ไว้ไกลตัวก่อนจะปิดไฟเคลื่อนมือไปลูบฝูซิงเหมือนที่เคยทำปกติ ทว่าในตอนนี้ข้างๆ เธอไม่มีเจ้าเด็กอ้วนเหมือนที่เคยมี แม้จะได้ดูวิดีโอไปแล้ว แต่ภายในใจของเธอก็ยังคงว่างเปล่า ฝูเจิ้งเจิ้งกลับสู่วังวนของการนอนไม่หลับอีกครั้ง
หญิงสาวลุกขึ้นมาเปิดไฟ จากนั้นก็หยิบนิตยสารมาอ่านหวังจะให้หลับ แต่ยังไม่ทันจะได้เคลิ้ม ด้านนอกห้องก็เกิดเสียงเอะอะจนเธอต้องรีบลุกไปแนบหูฟังกับกำแพง
ห้องที่เธออยู่นั้นเป็นห้องที่อยู่ใกล้ประตูมากที่สุด รวมถึงอยู่ใกล้กับห้องนั่งเล่นด้วย เสียงนั้น…ดังมาจากกลอนประตู!
ฝูเจิ้งเจิ้งแต่งตัวให้ดี เธอย่องเบาไปหลบด้านหลังประตูพร้อมกับไม้กวาดในมือ เพื่อรอใครซักคนที่เข้ามาจากด้านนอกนั้นเปิดประตูห้องเธอเข้ามา แต่ไม่นานนักด้านนอกก็เกิดเสียงต่อสู้ดังเข้ามาให้ได้ยินเป็นระยะ เมื่อตระหนักได้แล้วว่าข้างนอกกำลังสู้กันเธอจึงเปิดประตูออกไปทันที และสิ่งที่อยู่ด้านนอกก็คือ เหล่าชายชุดดำหลายคนกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด
1 ในคนเหล่านั้นคือหลินหยงเฉิง ลูกน้องของหานซือฉี แต่ก่อนที่เธอจะได้เข้าไปช่วย หลินหยงเฉิงและพวกก็จัดการกับผู้มาเยือนไว้จนอยู่หมัดแล้ว
“คุณฝู ไม่เป็นไรนะครับ พวกเราจับขโมยได้ ต้องขอโทษด้วยที่ต้องมารบกวนยามดึกครับ” หลินหยงเฉิงยิ้มให้ก่อนจะลากตัวขโมยที่สวมชุดดำนั้นออกไปด้วย
ขโมยงั้นเหรอ? ฝูเจิ้งเจิ้งส่ายหน้าเบาๆ นี่เฉียวเค่อเหรินตอบโต้เธอเร็วขนาดนี้เลยเหรอ? แต่ทำไมครั้งนี้ถึงเลือกแผนกระจอกๆ แบบนี้ล่ะ?
เธอเดินกลับเข้าไปในห้องอีกครั้งและเตรียมที่จะนอน แต่แล้วโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น เธอรีบรับมันขึ้นมาทันที แต่สายที่โทรมานั้นก็ไม่ใช่ของหานซือฉี แม้จะผิดหวังอีกรอบแต่ท้ายสุดก็รับสายนั้นอยู่ดี
“ฮัลโหลค่า”
“ฝูเจิ้งเจิ้งใช่หรือเปล่า?”
เสียงนี้มัน…หมินจงจู่งั้นเหรอ?
“ค่ะ ใช่ค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“ฟังฉันนะ…เอ่อ…”
เขาดูจะกังวลมากเลย เกิดอะไรขึ้นกันนะ…
“เจิ้งเจิ้ง ซือฉีประสบอุบัติเหตุ!”
———————————————————————————————————
คุยกับผู้แปล
โอ้โห ผลัดกันแต้มบุญหมดจริงๆ หลังจบเรื่องแย่ๆ แล้วต้องนัดกันไปทำบุญแล้วนะ ทั้งเจิ้งเจิ้งทั้งซือฉีเลย