ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 91 นี่เป็นบทเรียนที่ฉันจะสั่งสอนไว้ล่วงหน้า
“เกิดอะไรขึ้นคะ!?” ฝูเจิ้งเจิ้งตกใจ
“รถที่เขาขับมาประสบอุบัติเหตุน่ะ” หมินจงจู่รีบให้ชื่อโรงพยาบาลที่หานซือฉีเข้ารักษาก่อนจะรีบวางสายไป
แม้จะยังไม่ได้นอน แต่ฝูเจิ้งเจิ้งก็ไม่รอช้าที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าของตนแล้วรีบหิ้วกระเป๋าไปโรงพยาบาลทันที
ขณะที่ยืนอยู่หน้าแผนกผู้ป่วยนอก ฝูเจิ้งเจิ้งไม่รู้ว่าห้องฉุกเฉินไปทางไหน เธอจึงไล่ถามจากหมอและพยาบาลทุกคนที่เดินผ่าน
“เจิ้งเจิ้ง? นั่นเธอเหรอ? แล้วคนไข้ห้องฉุกเฉินที่ตามหาตัวอยู่นั่นใครกันน่ะ?”
นั่น เสี่ยวอี้เฉิง! เพราะความร้อนใจ มันเลยทำให้เธอไม่ได้สังเกตุเลยว่าโรงพยาบาลที่หานซือฉีเข้ารักษาตัวนั้นเป็นโรงพยาบาลที่เสี่ยวอี้เฉิงทำงานอยู่
“หานซือฉีค่ะ เขาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์แล้วถูกส่งมาที่นี่”
“โอเค ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ฉันจะดูแลเขาเอง” เสี่ยวอี้เฉิงนำทางฝูเจิ้งเจิ้งไปจนถึงห้องฉุกเฉิน
มุมหนึ่งภายในห้องฉุกเฉินขนาดใหญ่นั้น เธอเห็นหมินจงจู่กำลังยืนอยู่หน้าประตู
“ผู้จัดการหมิน!” หญิงสาวไม่รอช้าที่จะวิ่งเข้าไปหา แล้วถามก่อนจะหยุดพักหายใจ “ซือฉีเป็นยังไงบ้างคะ?”
“หมอกำลังตรวจกันอยู่น่ะ”
“แล้วทำไมเขาถึงเกิดอุบติเหตุได้ล่ะคะ? เกิดอะไรขึ้นกับเขาเหรอ?”
“เจิ้งเจิ้ง นั่งลงแล้วพักหายใจก่อน ไม่ต้องกังวลแล้วค่อยๆ ฟังที่เขาพูดนะ” เสี่ยวอี้เฉิงชี้ไปทางเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ๆ นั้น
ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ แต่จะให้เธอนั่งพักเงียบๆ ได้อย่างไร? ใบหน้าสวยหันมองหมินจงจู่ด้วยใจที่กระวนกระวาย
จนเขาเล่าให้ฟังว่า หานซือฉีและหานซือเซียนไปร่วมรับประทานอาหารเย็นร่วมกันที่บ้านของเฉียวเค่อเหริน หานซือฉีดื่มเหล้าหนักเป็นพิเศษจนเมา หลังจากกลับไปที่รีสอร์ทฉืออิ๋งลี่หยางพร้อมกับหานซือเซียนแล้ว ทุกๆ คนต่างก็คิดว่าเขาคงจะเข้านอนเลย แต่เรื่องกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะหานซือฉีที่เมามายกลับขับรถออกมาคนเดียวด้วยความเร็ว ในท้ายที่สุดเขาก็พุ่งทะยานข้ามเกาะกลางไปชนเข้ากับรถบรรทุกที่จอดอยู่อีกฝั่งหนึ่งและถูกรถฉุกเฉินพามาส่งที่โรงพยาบาลแห่งนี้ในภายหลัง
“หมอโทรเรียกฉันจากสายสนทนาล่าสุดในโทรศัพท์ของเขา ฉันเลยเป็นคนแรกที่มา แล้วก็ฉันโทรตามซือเซียนไปแล้ว อีกไม่นานเขาก็คงตามมาเช่นกัน”
“เขาไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วหรือไงน่ะ? รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองดื่มมามากขนาดนั้นก็ยังอุตส่าห์ขับรถออกมาอีก! สมควรแล้วที่จะ…” ฝูเจิ้งเจิ้งเอาแต่ต่อว่าเขาด้วยดวงตาที่แดงก่ำไปก่อนจะหยุดพูดไปซะดื้อๆ
“ซือฉีประสบอุบัติเหตุบนถนนย่านหยิงบิน บางทีเขาอาจจะกำลังจะไปหาเธอ ฉันก็เลยโทรเรียกเธอมา…” ก่อนที่หมินจงจู่จะได้พูดจบ โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นมาก่อน และมันเป็นสายจากจูหลิงหลง
“จงจู่ ต้องรีบกลับมาแล้วล่ะ ซิงซิงเป็นไข้”
“หา? ซิงซิงเป็นไข้?” หมินจงจู่เริ่มรู้สึกถึงปัญหาที่ลุกลามขึ้นมา เพราะเมื่อตอนรับสายจากหมอ เขาก็ไม่ได้บอกจูหลิงหลงเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับหานซือฉี
ฝูเจิ้งเจิ้งที่ยืนฟังอยู่ใกล้ๆ ก็รีบคว้าโทรศัพท์แล้วถามทันที “เป็นไข้เหรอคะ? สูงขนาดไหน? อาการเป็นยังไงบ้าง?”
“อ่ะ เอ๊ะ–เอ่อ ก็ตัวร้อนนิดหน่อย ส่วนอุณหภูมิ… 37.8 องศา แต่ไม่ต้องกังวลนะเจิ้งเจิ้ง เดี๋ยวหมอก็ไปถึงแล้วล่ะ”
“ผู้จัดการหมิน เดี๋ยวฉันจะคอยดูแลซือฉีเอง ได้โปรด กลับไปดูแลซิงซิงให้ฉันด้วยเถอะค่ะ!”
หมินจงจู่หันมองฝูเจิ้งเจิ้งก่อนจะสลับไปมองห้องฉุกเฉิน เขาพยักหน้าแล้วรีบเดินจากที่นี่ไป
“ไม่ต้องห่วงนะเจิ้งเจิ้ง เดี๋ยวฉันเข้าเวรก่อน ไว้ออกเวรแล้วจะรีบออกมาหา” หลังจากที่พูดไปแบบนั้น เสี่ยวอี้เฉิงก็จากไปอีกคนด้วยท่าทีรีบร้อน
ในตอนนี้ที่หน้าห้องฉุกเฉินเหลือเพียงฝูเจิ้งเจิ้งที่กำลังยืนกระวนกระวายอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น เธอก้มหน้าลงและเฝ้าวิงวอนให้ฝูซิงหายป่วยพร้อมๆ กับขอให้หานซือฉีไม่เป็นอะไรมากด้วย
เธอเริ่มโทษตัวเองที่ไปยั่วยุเฉียวเค่อเหรินเมื่อตอนบ่าย ไม่งั้นแล้วเธอคนนั้นคงจะไม่วางแผนรั้งตัวหานซือฉีให้อยู่ทานข้าวเย็นและดื่มหนักขนาดนั้นหรอก
ถ้าหากเขาไม่เมา…อุบัติเหตุก็คงไม่เกิด…
ป่านนี้เขาคงจะนอนหลับอยู่บนเตียงกับเธอแล้ว!
“ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่?” เสียงของชายหนุ่มอีกคนดังขึ้นมามจากด้านหลัง
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใคร เจ้าของเสียงนั้นคือ หานซือเซียน และที่รู้ก็เพราะหมินจงจู่บอกเธอไว้ก่อนหน้าแล้ว
“ซือฉีได้รับอุบัติเหตุน่ะค่ะ ฉันกังวลก็เลยมาที่นี่ด้วย” เธอตอบไปตามตรงเพราะไม่สามารถคิดคำโกหกอะไรได้อีกแล้วในเวลานี้
“ฉันเองก็มาที่นี่เพื่อดูแลเขา เพราะงั้นเชิญเธอกลับไปก่อนเถอะ คุณฝู” น้ำเสียงของหานซือเซียนยังคงนิ่งสงบ ดูเหมือนว่าเขาไม่ต้องการจะพบเจอเธอเสียเท่าไหร่
“ฉันจะกลับก็ต่อเมื่อมั่นใจว่าเขาดีขึ้นแล้วค่ะ” ฝูเจิ้งเจิ้งตอบเขากลับไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ก่อนหน้านี้เธออาจจะเกรงกลัวหานซือเซียนเพราะเธอยังทำงานในบริษัทเว่ยหานอยู่ แต่ในตอนนี้ เธอไม่ใช่พนักงานบริษัทนั้นอีกต่อไปแล้ว
“คุณฝู ฉันหวังว่าเธอจะเข้าใจซักทีนะว่าซือฉีเป็นชายที่มีคู่หมั้นแล้ว แล้วเดี๋ยวคู่หมั้นของเขาก็จะมาในอีกไม่ช้านี้ด้วย ฉันไม่อยากให้มันเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นมา เพราะมันจะพลอยทำให้ชื่อเสียงของเธอเสียหายไปด้วย”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘คู่หมั้น’ ฝูเจิ้งเจิ้งก็รู้สึกหนักใจขึ้นมาทันที แต่เธอก็ยังคงยืนยันหนักแน่น “ฉันรู้ค่ะ ฉันก็แค่อยากจะอยู่จนกว่าเขาจะอาการดีขึ้น”
“งั้นไว้เดี๋ยวฉันจะบอกให้เขาโทรหาเธอหลังจากที่ฟื้นแล้วก็ได้” หานซือเซียนยังคงไม่ละความพยายามที่จะไล่เธอออกไป
ฝูเจิ้งเจิ้งรู้ว่ามันเป็นเพราะเฉียวเค่อเหรินกำลังจะมาถึง แต่จะให้เธอกลับไปก่อนคนที่นอนอยู่ในห้องฉุกเฉินจะออกมาได้อย่างไรกัน?
มองไปยังฝูเจิ้งเจิ้งที่ก้มหน้านิ่งเงียบ โดยที่เจ้าตัวปฏิเสธที่จะกลับไป หานซือเซียนก็ช่วยอะไรไม่ได้นอกจากพูดกับเธอด้วยเสียงที่ผ่อนคลายลง “คุณฝู ฉันรู้ว่าเธอน่ะรักซือฉี แต่มันจบแล้ว เธอไม่สามารถแต่งงานกับเขาได้ และถ้ามันยังเป็นแบบนี้ต่อไป ฉันกลัวว่ามันจะไม่ได้แค่กระทบต่ออนาคตของเธอเพียงคนเดียว แต่จะกระทบต่ออนาคตของซิงซิงด้วย”
ได้ยินชื่อซิงซิง ฝูเจิ้งเจิ้งก็นึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เธอแหงนหน้ามองอีกฝ่ายแล้วพูด “คุณหานคะ ฉันได้ยินมาว่าเมื่อครั้งที่เกิดอุบัติเหตุกับเหนียนซี่เมื่อ 6 ปีก่อน คุณหานเป็นคนพาเขาออกมาจากบ้านหลังเก่านั้น”
“ใช่”
“คุณหานพอจะเห็นสร้อยคอที่ฉันให้เขาบ้างไหมคะ? สร้อยคอที่มีจี้เป็นรูปหัวใจน่ะค่ะ”
หานซือเซียนตอบอย่างไม่ลังเล “ไม่เห็น แล้วซือฉีก็ไม่เคยถามถึงมันด้วย”
เธอจ้องมองอีกฝ่าย คำตอบที่ปราศจากการนึกทบทวนนั้นดูไม่น่าเชื่ออย่างมาก
หานซือเซียนละสายตาจากเธอและหันกลับไปมองห้องฉุกเฉินตรงหน้าอีกครั้ง “คุณฝู ถ้าเธอต้องการอะไรก็บอกฉันมาได้ เพราะยังไงซะฉันก็เป็นลุงของซิงซิง และฉันก็หวังว่าหากทำอะไรแล้วมันจะทำให้ซือฉีมีความสุข มันก็คุ้มค่าที่จะได้ทำ”
“ฉันไม่ต้องการสิ่งใดนอกจากฝูซิงและสร้อยคอของฉันค่ะ”
“สองสิ่งนี้จะขาดไม่ได้เลยงั้นเหรอ?”
คำถามนี้มันทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกประหลาด ในขณะที่เธอกำลังคิดว่าจะตอบอย่างไรดีนั้นเอง เฉียวเค่อเหรินก็มาถึง
“พี่ซือเซียนคะ ซือฉีเป็นยังไงบ้าง?” เธอทำเหมือนฝูเจิ้งเจิ้งเป็นอากาศและปรี่เข้าหาหานซือเซียนอย่างรวดเร็ว
“เขายังไม่ออกมาเลย แต่ฉันถามคุณหมอที่พาซือฉีมาโรงพยาบาลนี้ให้แล้ว เขาบอกว่าโชคยังดีที่ซือฉีสวมเข็มขัดนิรภัยและถุงลมนิรภัยเองก็ทำงานปกติ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงอะไร”
เฉียวเค่อเหรินถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนจะพนมมือขึ้นเพื่อขอบคุณต่อพระผู้เป็นเจ้า “ขอบคุณพระเจ้า ซือฉี คุณจะต้องไม่เป็นอะไรนะคะ”
จากนั้นเธอก็หันไปคุยกับหานซือเซียนด้วยความเสียใจ “มันเป็นความผิดของฉันเอง ที่ฉันไม่ได้ห้ามเขาไม่ให้ดื่มหนักขนาดนั้น”
“มันไม่ใช่ความผิดของเธอหรอก เขาน่ะเป็นพวกชอบดื่มอยู่แล้ว เพราะงั้นไม่ต้องคิดมากเรื่องนี้หรอกนะ” น้ำเสียงที่หานซือเซียนพูดกับเฉียวเค่อเหรินนั้นช่างอ่อนหวานผิดกับฝูเจิ้งเจิ้งเป็นอย่างมาก
สายตาของเฉียวเค่อเหรินเหลือบมามองฝูเจิ้งเจิ้งด้วยความรังเกียจ และเมื่อเธอเห็นว่าหานซือเซียนเหลือบมองนาฬิกาอยู่ เธอจึงพูดขึ้น “พี่ซือเซียน ฉันว่าพี่กลับไปอยู่กับเสี่ยวเสี่ยวดีกว่าค่ะ เดี๋ยวฉันจะดูแลซือฉีเอง ไม่ต้องเป็นห่วง”
หานซือเซียนมองไปยังห้องฉุกเฉินด้วยความกังวล ก่อนจะหันกลับมามองฝูเจิ้งเจิ้ง
เห็นดังนั้นเฉียวเค่อเหรินก็โน้มน้าวเขาอีกรอบและยืนยันว่าเธอจะดูแลหานซือฉีให้ดีที่สุด ในท้ายที่สุด หานซือเซียนก็ยอมกลับไปก่อน
ทันทีที่เขาจากไป เฉียวเค่อเหรินก็เหลือบมองฝูเจิ้งเจิ้งด้วยท่าทีหยิ่งผยองในทันที
“เฮ้ คู่หมั้นของฉันประสบอุบัติเหตุ เธอจะมาทำอะไรที่นี่ไม่ทราบ?”
ทว่า ฝูเจิ้งเจิ้งกลับไม่สนใจเธอแล้วนั่งลง
“นี่! ฉันกำลังถามเธออยู่นะ หูหนวกหรือไง?” เมื่อเห็นว่าฝูเจิ้งเจิ้งยังคงนั่งเงียบ เฉียวเค่อเหรินก็พูดเสียงดังมากขึ้น “ฝูเจิ้งเจิ้ง ฉันรู้แล้วว่าเธอน่ะมันน่าเหลือเชื่อขนาดไหน เธอมันเก่งเรื่องล่อลวงผู้ชายที่สุด! เธอเคยบอกฉันนี่ว่าแม้แต่ซือฉีเองก็ชอบให้เธอไปขึ้นเตียงเขา ต้องผ่านผู้ชายมากี่คนแล้วล่ะถึงได้ช่ำชองชีวิตบนเตียงขนาดนี้น่ะ? จุ๊ๆๆ ไม่อายบ้างหรือไงที่ตัวเองเป็นคนสำส่อนแบบนี้? ไม่ขายหน้าวงศ์ตระกูลบ้างเหรอ? เอ๋ หรือว่าครอบครัวของเธอจะภูมิใจกับสิ่งที่เป็นอยู่นี้? ลูกเป็นยังไงพ่อแม่ก็คงไม่ต่างกันหรอกเนอะ ชอบยั่วยวนคนอื่นไปวันๆ เหมือนกันหรือเปล่า?”
“หุบปาก!” เมื่อได้ยินเฉียวเค่อเหรินลามปามถึงครอบครัวของเธอ ฝูเจิ้งเจิ้งก็ไม่สามารถสงบได้อีกต่อไป
“โอ๊ะ โกรธแล้วเหรอ? อะไรกัน นี่ฉันยังไม่ได้พูดถึงไอ้เด็กเปรตที่เธอจะเอามาใช้เป็นข้ออ้างในการแต่งงานกับซือฉีเลยนะ! ฟังไว้ให้ดี ต่อให้เด็กคนนั้นจะเป็นลูกแท้ๆ ของซือฉี แต่มันก็เปลี่ยนแปลงความจริงที่ซือฉีกับฉันจะแต่งงานกันไม่ได้หรอกนะ อย่างมากสุดฉันก็อาจจะใจกว้างรับเจ้าเด็กนั่นเป็นลูกชายของฉันก็ได้ จากนั้นก็ค่อยๆ เอาคืนกับสิ่งที่มันเคยทำไว้กับฉันช้าๆ” พูดถึงตรงนี้ เฉียวเค่อเหรินก็หัวเราะออกมาเสียงดัง
“กล้าดียังไงน่ะ!” ฝูเจิ้งเจิ้งลุกขึ้นยืนทันใด
ต้องยอมรับเลยว่า เพียงแค่เฉียวเค่อเหรินพูดถึงเรื่องนี้มันก็ทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งเป็นกังวลได้แล้ว ก่อนหน้านี้เธอก็เพิ่งโดนครอบครัวของซือฉีพาตัวฝูซิงไป แถมเธอยังไม่สามารถเข้าไปยุ่งย่ามได้อีก ยิ่งการที่ได้เห็นว่าเฉียวเค่อเหรินเป็นคนเจ้าเล่ห์ขนาดไหน มันก็ยิ่งทำให้เธอต้องรีบคิดหาทางที่จะเกลี้ยกล่อมครอบครัวของหานซือฉีเพื่อเปิดโอกาสให้ตนสามารถเข้าไปดูแลฝูซิงได้มากกว่านี้
“ฉันกล้าดีอยู่แล้ว! ทำไมฉันจะไม่กล้าล่ะ?” เฉียวเค่อเหรินค่อยๆ เดินเข้าไปหาฝูเจิ้งเจิ้งและกระซิบ “แต่เธอวางใจได้เลยนะว่าฉันจะไม่ตีเขาแน่ๆ เพราะถ้าทำอย่างนั้น ซือฉีก็จะโกรธฉัน ดังนั้นฉันจะค่อยๆ เอาเข็มจิ้มไปตามตัวเด็กคนนั้น ยังไงซะก็ไม่มีใครเห็นบาดแผลอยู่แล้ว เธอคิดว่าฉันควรจะเริ่มจากแขนหรือขาของเขาก่อนดีล่ะ?”
เฉียวเค่อเหรินปิดปากขณะที่หัวเราะในลำคอ
ฝูเจิ้งเจิ้งกระชากคอเสื้อของอีกฝ่ายขึ้นมาทันทีพร้อมพูดข่มขู่ “เฉียวเค่อเหริน เธอจะไม่มีวันได้ทำแบบนั้นแน่ๆ! ”
ในตอนนี้เฉียวเค่อเหรินไม่ได้กลัวเธอแต่อย่างใด แถมเจ้าตัวยังยิ้มออกมาอย่างท้าทายอีกด้วย “จริงเหรอ? แต่ดูเหมือนโชคเองก็จะไม่ค่อยเข้าข้างเธอเหมือนกันนี่ ฉันว่าฉันเห็นลูกชายสุดที่รักของเธอที่รีสอร์ทบ่อยๆ แถมฉันยังมียาระบายอยู่อีกตั้งครึ่งแพ็คแน่ะ อยากให้ฉันเอายาพวกนี้ไปให้เขากินซักหน่อยไหมพรุ่งนี้?”
*เพี๊ยะ!*
“งั้นฉันก็จะสั่งสอนบทเรียนล่วงหน้าให้เธอเลยก็แล้วกัน” ฝูเจิ้งเจิ้งชิงเปิดตบหน้าเฉียวเค่อเหรินไปก่อนแล้ว
“ก-แกกล้าตบฉันเหรอ! ได้ งั้นไอ้เปี๊ยกนั่นพรุ่งนี้ไม่โดนแค่ยาถ่ายแน่! ฉันจะใส่ทั้งยาพิษ ทั้งไซยาไนด์เลย” หลังจากพูดออกไปเช่นนั้นแล้วเฉียวเค่อเหรินก็รีบกระชากผมของฝูเจิ้งเจิ้งไว้บ้าง
ซึ่งทางฝูเจิ้งเจิ้งเองก็ไม่ยอม เธอกระชากผมของอีกฝ่ายด้วยความโกรธเช่นกัน ทั้งสองเริ่มวิวาทกันโดยที่มีเสียงขู่จากฝูเจิ้งเจิ้งดังออกมาเรื่อยๆ “ถ้าหากเธอกล้าที่จะทำร้ายลูกของฉันล่ะก็ ฉันจะฆ่าเธอ!”
เฉียวเค่อเหรินพยายามผลักฝูเจิ้งเจิ้งออกไปก่อนที่เธอจะเริ่มวิ่งหนีและตะโกนขอความช่วยเหลือไปตลอดทาง “ช่วยด้วยค่ะ! ช่วยด้วย! มีคนบ้ากำลังวิ่งไล่ทำร้ายผู้คนค่ะ!”
บ้าเอ้ย! ติดกับจนได้!
กว่าจะรู้สึกตัวว่าตนหลงไปตามเกมเฉียวเค่อเหริน มันก็สายไปแล้ว ในตอนนี้รอบๆ ตัวฝูเจิ้งเจิ้งถูกห้อมล้อมไว้ด้วยหมอและพยาบาลจนไม่มีทางหนีต่อแล้ว
ตัวการของเรื่องที่เอาแต่ ‘สั่นกลัว’ วิ่งโผเข้าใส่อ้อมแขนของพยาบาลคนหนึ่ง “มันน่ากลัวมากเลยค่ะ ฉันยืนอยู่เฉยๆ แล้วจู่ๆ เธอคนนี้ก็เข้ามาตบฉัน! แถมเธอยังจะมากัดฉันด้วย!”
“เธอคนนี้มันผู้หญิงสติไม่ดีในอินเตอร์เน็ตไม่ใช่เหรอ!?”
“ระวังตัวไว้ เธอเป็นพิษสุนัขบ้าด้วย!”
“หยุดเธอให้ได้ก่อน! เดี๋ยวฉันจะไปเรียกยามมาให้ มีใครจะไปเอายากล่อมประสาทไหม?”
ฝูเจิ้งเจิ้งตกใจมากๆ เมื่อเห็นคนเหล่านี้เริ่มหยิบไม้กวาด ไม้ถูพื้น รวมไปถึงเก้าอี้มาเตรียมพร้อมไว้ เธอจ้องมองพวกเขาตื่นตัว ก่อนจะรีบคิดหาวิธีว่าทำอย่างไรกับสถานการณ์เช่นนี้ดี
แต่แล้วในตอนนั้นเอง ด้วยความเจ็บปวดจากการโดนทุบเข้าไปที่หลังคอ ก็ทำให้เธอสลบไป
————————————————-
เมื่อฝูเจิ้งเจิ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอก็พบว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนเตียง ทว่าแขนและขาถูกล็อกไว้ด้วยห่วงเหล็ก รอบๆ ตัวเธอนั้นมีหมออยู่หลายคนที่กำลังจับจ้องมายังเธอ
“เธอตื่นแล้ว รีบตรวจเธอก่อนแล้วให้ยาซะ”
“คุณหมอคะ ฉันไม่ได้ป่วยนะ ไม่ต้องให้ยาฉันก็ได้” ฝูเจิ้งเจิ้งรีบอธิบาย
“ใครที่มาที่นี่เขาก็บอกว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไรกันทั้งนั้นแหละครับ” แพทย์ที่มาดูอาการพูดอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไร
“ที่นี่? ที่ไหนงั้นเหรอคะ?”
“โรงพยาบาลจิตเวช”
———————————————————————————————————–
คุยกับผู้แปล
อู้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย โดนจับส่งโรงพยาบาลจิตเวชไปแล้ววววว