ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 92 ฉันไม่ได้ป่วยเป็นโรคประสาทนะ!
ฝูเจิ้งเจิ้งช็อก เธอไม่คาดคิดเลยว่าตนจะถูกส่งมาที่นี่หลังจากพลาดหลงตามเกมของเฉียวเค่อเหริน
“ฉันไม่ได้บ้านะ!”
เธอพยายามดิ้นรนขัดขืนออกจากพันธนาการที่มัดเธอเอาไว้ ทว่ากุญแจมือเหล็กที่ล็อกเธอไว้นั้นก็แทบไม่ขยับเลย
“ดูท่าเธอคนนี้จะป่วยหนักจริงๆ นั่นแหละ ให้ยาระงับประสาทก่อนเลย”
“ฉันไม่ได้ป่วย! ฉันไม่ได้ป่วยจริงๆ!” ฝูเจิ้งเจิ้งกรีดร้อง
แต่กลับไม่มีแพทย์คนไหนฟังเธอเลย นอกจากนั้นพวกเขายังเริ่มเข้ามาจับแขนของเธอไว้เพื่อรอให้หมออีกคนเตรียมเข็มฉีดยาเข้ามา
ในขณะที่ปลายเข็มเข้ามาใกล้เธอมากขึ้นเรื่อยๆ ความหวังที่จะหลุดออกจากที่นี่ก็ดูไร้หนทางมากขึ้น
“รอเดี๋ยวก่อน!” ทันใดนั้นเอง ชายคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาที่ประตู
แพทย์ที่อยู่ภายในห้องพากันหยุดชะงักหันไปมองชายคนที่เพิ่งมา ซึ่งเขาเองกก็สวมเสื้อโค้ทยาวสีขาวเหมือนกัน
เมื่อฝูเจิ้งเจิ้งหันไปมองชัดๆ เธอก็รีบร้องออกมา “อี้เฉิง ช่วยฉันด้วย! ฉันไม่ได้ป่วยนะ!”
“ขอโทษด้วยครับ เธอเป็นญาติผมน่ะ เธอไม่ได้เป็นอะไรหรอกแค่อารมณ์รุนแรงเฉยๆ พวกคุณจะให้ยากล่อมประสาทเธอก็ได้ แต่ถ้้ายังไงขอผมคุยอะไรกับเธอหน่อยนะ ยังไงซะผมก็เป็นแพทย์ในโรงพยาบาลตี๋อี้เต๋อเหมือนกัน แล้วก็ยังเป็นเพื่อนกับผู้อำนวยการหลิวด้วย” เสี่ยวอี้เฉิงรีบเดินเข้ามาพร้อมกับแสดงใบรับรองของเขา
เห็นเช่นนั้นแพทย์ภายในห้องก็มองหน้ากันก่อนจะพูด “งั้นก็รีบๆ หน่อยแล้วกันครับ”
พูดจบพวกเขาก็พากันเดินออกไปและปิดประตูห้องดังเดิม
“อี้เฉิง ช่วยฉันปลดกุญแจมือพวกนี้หน่อย!”
เสี่ยวอี้เฉิงส่ายหน้าและพูดอย่างหมดหนทาง “เจิ้งเจิ้ง เธอถูกลงความเห็นว่าเป็นผู้ป่วยโรคประสาทไปแล้ว เพราะงั้นฉันช่วยเธอออกไปไม่ได้หรอก แถมคุณหานก็ยังไม่ฟื้น เธอพอจะคิดออกไหมว่าใครที่พอจะมาช่วยเธอได้บ้าง? บอกฉันมาได้เลย เดี๋ยวฉันจะติดต่อให้เขามาช่วยเธอเอง”
ฝูเจิ้งเจิ้งรีบถามในสิ่งที่สงสัยออกไปก่อน “ทำไมฉันถึงกลายเป็นผู้ป่วยโรคประสาทไปได้น่ะ!?”
“เจิ้งเจิ้ง ตอนนี้คิดหาคนที่จะมาช่วยเธอให้ได้ก่อน พวกเราไม่มีเวลามากนักหรอกนะ” เสี่ยวอี้เฉิงเลี่ยงตอบและถามคำถามเดิมซ้ำด้วยความกระวนกระวายใจ
เมื่อเห็นว่าคงจะไม่ได้คำตอบนั้นแน่ๆ ฝูเจิ้งเจิ้งก็สูดหายใจเข้าเพื่อสงบสติอารมณ์ จากนั้นก็บอกเบอร์โทรศัพท์ของหยางเต๋าไป
เสี่ยวอี้เฉิงรีบโทรไปตามหมายเลขนั้นทันที ทว่าปลายสายกลับไม่ยอมรับโทรศัพท์
“เป็นอย่างงั้นไปได้ยังไงกัน? ปกติเขาไม่เคยปิดโทรศัพท์เลยแท้ๆ !” ฝูเจิ้งเจิ้งเริ่มเป็นกังวล ทำไมจู่ๆ โทรศัพท์ของเขาต้องมามีปัญหาในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ด้วยนะ?
“ลองคิดอีกรอบนะเจิ้งเจิ้ง ยังมีใครอีกไหมที่พอจะช่วยเธอได้” เสี่ยวอี้เฉิงปาดเหงื่อและหันมาถามใหม่
“จีหมู่เซี่ยน! จีหมู่เซี่ยนน่าจะช่วยได้!”
“เบอร์โทรศัพท์เขาล่ะ?”
ทันใดนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็พูดอะไรไม่ออก นั่นเพราะเธอจำไม่ได้!
เสียงเคาะประตูจากแพทย์ด้านนอกดังขึ้นแล้ว พร้อมกับคำถาม “เรียบร้อยหรือยังครับ?”
“ใกล้แล้วครับ” เสี่ยวอี้เฉิงตอบแล้วหันมาเร่งหญิงสาวตรงหน้าเขา “เบอร์ของเขาล่ะเจิ้งเจิ้ง?”
“ให้อาเหยียนไปหาหมินจงจู่แล้วขอเบอร์โทรของจีหมู่เซี่ยนมา!” ในทันทีที่ฝูเจิ้งเจิ้งพูดจบ แพทย์ที่รอตรวจเธออยู่ก็เปิดประตูเข้ามา
“พวกเราต้องตรวจคนไข้กันแล้วครับ” แพทย์คนหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เรียบร้อยแล้วครับ ขอโทษด้วยที่ต้องรบกวน” เสี่ยวอี้เฉิงหันมองฝูเจิ้งเจิ้งก่อนจะพยักหน้าให้แล้วเดินออกไป
หลังจากที่เสี่ยวอี้เฉิงออกไปแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็เงียบลงไปทันทีพร้อมกับท่าทีที่ดูจะง่วงนอนด้วย ทว่าแม้เธอจะดูง่วงแต่แพทย์เหล่านี้ก็ไม่ได้เปิดโอกาสให้เธอได้นอนเลย เขาสลับๆ กันถามคำถามไปเรื่อยๆ เมื่อเธอดูงุนงง พวกเขาก็ปลดกุญแจมือให้เพื่อเปลี่ยนรูปแบบการตรวจให้หลากหลายมากขึ้น
การทรมานที่ยาวนานมาตลอดครึ่งคืนนั้นทำเอาฝูเจิ้งเจิ้งผู้ที่กัดฟันแน่นด้วยความคับแค้นใจนั้นเหมือนโดนบังคับให้พูดออกมาจนแรงแทบจะไม่เหลือแล้ว
เมื่อการตรวจเสร็จสิ้น แพทย์ก็พาเธอไปยังอีกห้องหนึ่ง ซึ่งเห็นดังนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็โล่งใจขึ้นมา อย่างน้อยๆ เธอก็จะได้พักผ่อนแล้ว แต่แล้วปลายทางที่เธอต้องมากลับเป็นห้องที่มีเตียงอยู่ 5-6 เตียง และมันเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย
“ห้องอื่นๆ เต็มไปหมดแล้ว เพราะงั้นเธอต้องอยู่ที่นี่ไปก่อนสำหรับคืนนี้” แพทย์คนเดิมพูดทิ้งท้ายและโยนผ้าห่มให้ก่อนจะปิดประตูแล้วเดินออกไป
“เฮ้ๆๆ!” ฝูเจิ้งเจิ้งต้องการจะพูดอะไรซักอย่าง แต่ก็พบว่าประตูนั้นถูกล็อกจากด้านนอกไปแล้ว
บ้าเอ้ย นี่พวกเขาทำกับเธอเหมือนนักโทษเลยงั้นเหรอ!?
ถ้าออกไปได้ เห็นทีจะต้องขอให้หลิงหลงพาไปวัดจิงหมิงเพื่อเอาความซวยพวกนี้ไปเผาจริงๆ ซะแล้ว!
ระหว่างนั้นเธอก็หวังว่าเสี่ยวอี้เฉิงจะสามารถติดต่อจีหมู่เซี่ยนได้โดยเร็ว
ว่าแต่…จีหมู่เซี่ยนจะยอมช่วยเธอเหรอ?
ความกังวลเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ เธอรู้สึกว่าเขาเป็นคนแปลกประหลาดมาโดยตลอด โดยเฉพาะตอนที่เขาจงใจทำให้หานซือฉีเข้าใจเธอผิด
ซือฉี…นายจะฟื้นหรือยังนะ? ถ้ายัง ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?
ฝูเจิ้งเจิ้งได้แต่ถอนหายใจยาว แต่ในตอนนั้นเอง เธอก็รู้ได้ถึงมือของใครบางคนที่เข้ามาแตะไหล่ของเธอ ด้วยความตกใจ เธอรีบจับมือของคนคนนั้นไว้แล้วโยนร่างนั้นใส่กำแพงทันที
*ตึง!*
“อุ่ก!?”
หญิงสาวค่อยๆ ถอยหลังและดูไปด้วยว่าคนตรงหน้าเธอคือใคร เขาเป็นชายที่อายุราวๆ 40 ปี ทั่วทั้งตัวของเขาสั่นเทาไปหมด และร่างที่สั่นเท่านั้นกำลังค่อยๆ เดินเข้ามาหาเธอเหมือนในหนังสยองขวัญไม่มีผิด
“ฮ่าๆๆ สู้กันเลย! ฉันอยากดูมวยสด!” คนอื่นๆ ภายในห้องต่างก็เริ่มส่งเสียงเชียร์
เธอหันมองไปรอบๆ ตัว แล้วก็ต้องตกใจขึ้นมาอีกเมื่อไปสบตาเข้ากับชายอีก 5 คนที่กำลังมองมายังเธอด้วยสายตาแปลกประหลาด บางคนก็กลอกตาไปมา บางคนก็เหม่อลอย แม้แต่คนที่ตาหมองคล้ำเหมือนไม่ได้นอนมาหลายวันแล้วก็ยังมี
“เข้ามาเลยยัยนี่ ฉันเองก็อยากจะเล่นด้วยเหมือนกัน!” ชายร่างสูงพูดแล้วออกหมัดตรงใส่ฝูเจิ้งเจิ้ง
ด้วยความคล่องตัวที่มากกว่า ฝูเจิ้งเจิ้งหันหน้าหลบก่อนจะยกขาขึ้นถีบชายคนนั้นให้กระเด็นออกไป
ชายที่ถูกถีบกระเด็นนั้นตั้งตัวใหม่แล้ววิ่งเข้าใส่ฝูเจิ้งเจิ้งอีกครั้ง และเช่นเดิม แม้จะยังตกใจแต่ฝูเจิ้งเจิ้งก็ยกขาถีบกลับเข้าไปจุดเดิมหากแต่ด้วยแรงที่มากกว่าเดิม จนร่างนั้นกระแทกเข้ากับโต๊ะและล้มฟุบลงไปกับพื้นในจังหวะต่อมา
ดูเหมือนว่าคนคนนี้จะไม่รู้สึกเจ็บอะไรเลย เขารีบลุกขึ้นแล้ววิ่งเข้าใส่ฝูเจิ้งเจิ้งอีกอย่างต่อเนื่อง
ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว หนำซ้ำหากไม่ทำอะไรที่ดีกว่านี้ เธออาจจะกลายเป็นเหยื่อของคนไข้อื่นๆ ในห้องนี้อีก เพราะงั้นเธอจึงแกะเอาผ้าปูเตียงมา แล้วจับชายที่กำลังวิ่งเข้ามานั้นมัดรวบแขนรวบขาเข้าด้วยกันด้วยผ้าปูเตียงนั้น และเมื่อเห็นเขาไม่สามารถทำอะไรเธอได้อีก หญิงสาวจึงเริ่มโล่งใจขึ้นมา
นอกจากนั้นแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็หยิบเก้าอี้ขึ้นมาถือไว้ เธอโบกมันข่มขู่คนไข้คนอื่นๆ ให้กลัวไปด้วย เพราะแบบนี้ท้ายที่สุดเหล่าคนไข้คนอื่นจึงไม่กล้าเข้าใกล้ฝูเจิ้งเจิ้งอีก
มันเป็นอะไรที่เหนื่อยมากๆ แต่ไม่ว่าจะเหนื่อยยังไง เธอก็ไม่กล้าที่จะหลับตา ดังนั้นตลอดคืนนั้นฝูเจิ้งเจิ้งจึงนั่งมองพวกคนไข้เหล่านั้นไว้ตลอด
เฉียวเค่อเหริน ร้ายกาจนักนะ!
บังอาจจะมาจับเธอส่งโรงพยาบาลจิตเวช แถมยังให้แพทย์มาทรมานเธอ แล้วนี่ยังปล่อยให้เธอมาอยู่กับพวกผู้ป่วยอารมณ์รุนแรงอีก!
โชคดีที่เธอนั้นแข็งแกร่งพอ ไม่งั้นล่ะก็เช้าวันต่อมาคงได้ถูกส่งเข้าเตาเผาแทนส่งกลับบ้านแน่ๆ
วางแผนจะฆ่าฉันทางอ้อมสินะ? ฉลาดมาก
ตามกฎหมายแล้ว หากผู้ป่วยโรคประสาททำร้ายหรือพลั้งมือฆ่าใครซักคนขึ้นมา เขาคนนั้นจะไม่ถือว่ามีความผิด ด้วยเหตุผลที่ว่า ‘จิตไม่ปกติ’
“แย่หน่อยนะเฉียวเค่อเหริน เผอิญว่าฉันมันเป็นพวกตายยากน่ะ ไว้ออกไปได้ ฉันจะชดใช้คืนให้เธอเป็น 2 เท่าในไม่ช้าก็เร็ว!”
สายตาที่เหนื่อยล้านั้นมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความคับเเค้นใจ
รุ่งสางมาถึงแล้ว หากแต่ความหวังก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะมาเสียที การรออย่างลมๆ แล้งๆ ตลอดทั้งคืนของเธอมันช่างไร้ค่าจริงๆ
ฝูเจิ้งเจิ้งผู้ที่ทั้งเหนื่อยและหิวโหยนั้นไม่สามารถยืนขึ้นได้แล้ว หลังจากที่เธองีบหลับไปได้นิดหน่อย เธอก็ได้ยินเสียงดังเอะอะขึ้นมาจนปลุกให้ร่างที่อ่อนแรงนั้นต้องลุกขึ้นมาเพื่อระวังตัวเองอีกครั้ง
ประตูห้องที่เธออยู่ถูกเปิดออกอีกครั้งพร้อมกับการมาของแพทย์ บางทีภาพที่เห็นในห้องนั้นมันอาจจะทำให้พวกเขาประหลาดใจ เพราะงั้นก่อนจะพูดอะไรซักอย่าง แพทย์เหล่านั้นก็มองหน้ากันเองก่อน “ฝูเจิ้งเจิ้ง ออกมาได้แล้ว!”
มองสายตาที่สบกันเองเหล่านั้น ฝูเจิ้งเจิ้งก็รู้ได้ทันทีว่าเธอกำลังจะถูกนำไปทรมานอีกแล้ว
พวกหมอเวรพวกนี้จะพาฉันไปทรมานตั้งแต่เช้าเลยงั้นเหรอ!?
ตอนนั้นเอง หยางเต๋ากำลังเดินออกมาจากศูยน์ช่วยเหลือสุนัขจรจัดที่อยู่ทางใต้ของเมืองและกลับไปยังรถของตน
เขามองไปยังภาพสุนัขถูกฆ่าที่บันทึกไว้ในโทรศัพท์ของเขาด้วยความโกรธ
ตั้งแต่ที่รู้ว่าฝูเจิ้งเจิ้งเข้ามาเกี่ยวพันกับอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันนั้น เขาก็เริ่มออกสืบหาข้อมูลของเซียงต้าผิง เจ้าของสุนัขที่ถูกฝูเจิ้งเจิ้งทำให้บาดเจ็บไป
เซียงต้าผิงนั้นเป็นหัวหอกใหญ่ของศูนย์ช่วยเหลือสุนัขจรจัดแห่งนี้ ผู้ที่ถูกขึ้นชื่อว่ารักสุนัขมากๆ และฝึกสุนัขได้เก่งกาจ เขามีชื่อเสียงว่ารักสุนัขที่สุดในเมือง B แห่งนี้แล้ว และเขาใช้ชื่อเสียงของเขาในการปลุกปั่นข่าวในอินเตอร์เน็ตให้โหมกระหน่ำมากขึ้น ปลุกปั่นให้คนเกลียดชังฝูเจิ้งเจิ้งอย่างรุนแรง
หยางเต๋านั้นเผอิญได้รับรายงานมาจากสาธารณะว่าเซียงต้าผิงนั้นสูญเสียเงินไปกับการพนันเป็นจำนวนมากเมื่อไม่นานมานี้ ดังนั้นเขาจึงเริ่มนำสุนัขที่รับเลี้ยงไว้มาเชือดแล้วส่งขายตามร้านอาหารเพื่อนำเงินเหล่านั้นมาเป็นทุน
ด้วยเหตุนี้มันเลยทำให้เขาแอบย่องเข้าไปในศูนย์ช่วยเหลือสุนัขจรจัดในตอนกลางคืน แล้วก็เผอิญถ่ายช็อตสำคัญนั้นได้พอดิบพอดี
หลังจากที่กลับมายังรถของตนแล้ว หยางเต๋าก็ปิดโหมดเครื่องบินของโทรศัพท์ให้กลับมาปกติ และทันทีทันใด สายที่ไม่ได้รับก็ปรากฏขึ้นมา เมื่อเขาเห็นว่ามันเป็นเบอร์ที่ไม่คุ้นเคย เขาจึงไม่ได้โทรกลับไปและขับรถออกจากจุดที่อยู่ทันที
——————————————————
ขณะที่อยู่ในความหวาดกลัวเพราะไม่รู้ว่าแพทย์เหล่านี้จะพาเธอไปไหน รู้ตัวอีกทีเธอก็เดินมาจนถึงด้านหน้าแผนกเสียแล้ว และเมื่อเธอเห็นจีหมู่เซี่ยนยืนอยู่ที่โถงตรงหน้า ใบหน้าที่ท้อแท้สิ้นหวังก็เริ่มมีชีวิตชีวาอีกครั้งพร้อมทั้งตะโกนเรียก
“คุณจี! คุณจีคะ ฉันอยู่ทางนี้!”
“คุณจีเหรอ?” แพทย์ที่นำฝูเจิ้งเจิ้งมาหันไปมองยังจีหมู่เซี่ยนด้วยความสงสัย
จีหมู่เซี่ยนเริ่มอธิบาย “คุณหานจากเว่ยหานกรุ๊ปส่งฉันให้มาพาตัวเธอไป”
“โอ้! ต้องขอโทษด้วยครับที่เราทำท่าทีไม่สุภาพใส่!” เมื่อรู้ดังนั้น 1 ในแพทย์ที่มาด้วยกันกับเธอก็รีบพยักหน้าและส่งกระเป๋าถือคืนเจ้าของ “คุณฝูครับ นี่ของคุณ เชิญรับไปได้เลยครับ”
ชายหนุ่มที่มารับนั้นเพียงแค่ยืนมองแพทย์เหล่านั้นและส่งสัญญาณให้ฝูเจิ้งเจิ้งเดินไปหาเขาเท่านั้น
ฝูเจิ้งเจิ้งรับกระเป๋าของเธอคืน เธอกลอกตามองแพทย์เหล่านั้นแล้ววิ่งเหยาะๆ ไปหาจีหมู่เซี่ยน จากนั้นก็เดินตามเขาออกจากโรงพยาบาลจิตเวชแห่งนี้ไปอย่างรวดเร็ว
“ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ คุณจี!” ในที่สุดเธอก็ออกจากสถานที่สุดแสนจะน่ากลัวนั่นได้แล้ว หากไม่รู้จักหานซือฉีมาก่อนล่ะก็ จีหมู่เซี่ยนถือว่าเป็นชายในดวงใจของเธอที่พร้อมจะแต่งงานด้วยเลยนะ!
เขาไม่ได้ตอบอะไรหากแต่ยืนจ้องเธอเงียบๆ เช่นนั้น
“อ๊ะ ฉันไม่ใช่ผู้ป่วยโรคประสาทนะคะ! ฉันปกติดี!” ฝูเจิ้งเจิ้งรีบอธิบายไปก่อน เธอไม่อยากถูกเขาส่งกลับไปในโรงพยาบาลแห่งนั้นอีกครั้ง
“บอกจุดประสงค์ที่เธอมาเมือง B ให้ฉันฟังหน่อย” จีหมู่เซี่ยนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เอ๊ะ?”
เขาไปรู้อะไรมาน่ะ?
เธอประหลาดใจมากๆ แต่ก็แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องขณะถามกลับ “จุดประสงค์อะไรเหรอคะ?”
“จุดประสงค์ที่เข้าหาซือฉี”
“ฉ-ฉ-ฉันก็แค่มาตามหาพ่อของฝูซิงที่ชื่อ เหนียนซี่ เท่านั้นเองค่ะ!”
“แค่นั้นเหรอ?”
“แค่นั้นค่ะ!”
จีหมู่เซี่ยนมองไปยังเธออีกครั้ง และจู่ๆ ก็ถามขึ้นมา “แล้วเธอรู้จักซือฉีเมื่อ 6 ปีก่อนได้ยังไง?”
คราวนี้ฝูเจิ้งเจิ้งก็พูดไม่ออกอีก แต่ถึงยังไงก็ต้องตอบออกไปโดยเลี่ยงเรื่องที่เธอพลาดในการหลบหนีจากการไล่ตามของหลี่หมิงด้วย
“เมื่อ 6 ปีก่อน ฉันมาที่เมือง B เพราะท่องเที่ยวน่ะค่ะ ตอนนั้นฉันเผอิญขาพลิกที่หน้าบ้านเก่าๆ นั้น แล้วจากนั้นเหนียนซี่ก็เห็นและพาฉันเข้าไปที่ห้องของเขา นั่นเป็นครั้งแรกที่เราเจอกัน” หลังจากพูดไปแบบนั้น ฝูเจิ้งเจิ้งก็แอบถอนหายใจเบาๆ
“ตอนนั้นเธอรู้สึกว่าซือฉีมีอะไรพิเศษหรือเปล่า?”
เธอรู้ว่าคำถามนั้นหมายถึงอะไร เธอจึงหยุดนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบเขาไป “เขาเป็นคนที่อ่อนต่อโลก ไร้เดียงสา แล้วก็ใจดีมากๆ แต่เขาก็เป็นคนฉลาดและรอบรู้ เป็นคนขี้เหงาและโหยหาเพื่อนอยู่ตลอด อ้อ เขาใจดีกับฉันมากๆ เลยล่ะค่ะ”
เมื่อภาพของเหตุการณ์เมื่อครั้ง 6 ปีที่แล้วย้อนกลับมาในหัวของฝูเจิ้งเจิ้ง ดวงตาของเธอก็เหมือนจะเอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตา ใช่แล้ว เธอพยายามเค้นมันออกมาเองแหละ!
ชายหนุ่มไม่ได้ถามอะไรเพิ่มแล้ว นั่นเพราะเขาเองก็จำได้เหมือนกันว่าเมื่อ 6 ปีก่อน ซือฉีโทรมาหาเขาและถามเขาเรื่องวิธีการรักษาผู้หญิงคนหนึ่งเอาไว้เหมือนกัน
ในตอนนั้นจีหมู่เซี่ยนก็แค่หยอกเขาไปว่า ทำให้แม่สาวคนนั้นเป็นผู้หญิงของนายซะสิ แล้วเธอจะได้ไม่ทิ้งนายไป
ความใสซื่อของอีกฝ่ายมันฝังแน่นอยู่ในใจจีหมู่เซี่ยน ‘ทำยังไงให้ผู้หญิงคนนั้นมาเป็นของเขา?’
ด้วยความนึกสนุก เขาเลยตอบกลับไปด้วย ตัวอักษรย่อสั้นๆ ‘มล. (เมคเลิฟ = เซ็กซ์)’
แม้จะยังไม่รู้ว่าทำไมน้องชายของเขาถึงรู้ว่า มล. หมายถึงอะไร แต่ในเมื่อมีเจ้าตัวเล็กเกิดออกมาได้ เขาจึงมั่นใจว่าอีกฝ่ายก็น่าจะเข้าใจเรื่อง มล. ในระดับที่แตกฉานเหมือนกัน
เรื่องทั้งหมดมันเกิดเพราะเขาพูดออกไปแบบนั้นเหรอ!
“ขึ้นรถ เดี๋ยวฉันจะพาเธอกลับบ้าน” จีหมู่เซี่ยนเดินนำขึ้นรถไปก่อนและสตาร์ทรถรอไว้
ฝูเจิ้งเจิ้งเองก็รีบตามเข้าไปติดๆ จากนั้นเขาก็พาเธอไปส่งที่หน้าทางเข้าของเจี่ยเย่ฮัวหยวน
“รู้ได้ยังไงกันคะว่าฉันอยู่ที่นี่?” ฝูเจิ้งเจิ้งประหลาดใจนิดหน่อย เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เธอยังไม่เคยบอกเขาเลย
“ฉันรู้เยอะกว่านี้อีก” จีหมู่เซี่ยนตอบด้วยน้ำเสียงไม่ได้สนใจอะไรเหมือนตามปกติ
หลังจากที่ลงรถมาแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินกลับไปหาจีหมู่เซี่ยนและพูดด้วยเสียงค่อยที่หน้าต่าง “ขอบคุณนะคะ”
เขามองมายังเธอนิ่งๆ ผ่านหน้าต่างนั้นก่อนจะขับรถออกไป
เขาเคยสะกดรอยตามฉันหรือยังไงนะ?
ทำไมเธอถึงไม่รู้เลยล่ะ?
ให้ตายเถอะ นี่ดูเหมือนว่าฉันจะหละหลวมจนไม่ระวังตัวเองเลยเหรอเนี่ย?
เธอแอบถอนหายใจขณะที่มองไปตามทางที่จีหมู่เซี่ยนจากไป เมื่อเธอหันหน้ากลับเตรียมที่จะเข้าไปในคอมมูนิตี้ ฝูเจิ้งเจิ้งก็ชนเข้ากับแผงอกของใครบางคนเต็มๆ
————————————————————————————————————-
คุยกับผู้แปล
จีหมู่เซี่ยน 5555555555555 โว้ยยยยยยยยยยยยยยยย 55555555555555555