ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 93 อย่าคิดมาก นอนได้แล้ว!
เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมองไปยังเจ้าของแผงอก เธอก็พบว่าเขาคือ หานซือฉี!
“นี่เธอยังรู้เหรอว่าต้องกลับมาน่ะ?” หานซือฉีถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
ฝูเจิ้งเจิ้งไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งที่เขาพูดเลย เธอจับแขนของเขาด้วยความดีใจและมองตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะถาม “ซือฉี? เจ็บตรงไหนหรือเปล่า? ไม่ใช่ว่านายอยู่ที่โรงพยาบาลเหรอ?”
“เธอรู้ว่าฉันเข้าโรงพยาบาล ก็เลยไม่ได้กลับบ้านเมื่อคืนนี้แถมยังปิดโทรศัพท์ด้วยสินะ?”
ทันใดนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็เริ่มสังเกตเห็นว่าสีหน้าของหานซือฉีนั้นดูไม่สู้ดีนัก
“ไม่ใช่นะ…” ในขณะที่เธอจะอธิบาย ใบหน้าที่ซูบผอมไร้เรี่ยวแรงของเขามันก็ทำให้เธอพอจะเดาได้ว่า เขาคงจะออกมาจากโรงพยาบาลแทบจะทันทีหลังจากฟื้นแล้ว เห็นแบบนั้นเธอจึงไม่กล้าที่จะทำให้เขากังวลมากขึ้นกว่าเดิม ท้ายสุดจึงหยุดพูดไป
หานซือฉีคิดว่าเธอนั้นกำลังสำนึกผิด จึงรีบลากตัวเธอเข้าไปในคอมมูนิตี้ทันที
“อ๊ะ…โอ๊ยยย”
ด้วยการที่เขาลากเธอด้วยความรีบร้อน ความเจ็บปวดจากขาที่พลิกเมื่อไม่กี่วันก่อนมันก็แผลงฤทธิ์ขึ้นมา ฝูเจิ้งเจิ้งพยายามหายใจช้าๆ เพื่อข่มความเจ็บปวด แต่นั่นก็ทำให้ขาของเธออ่อนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะล้มลงไปกับพื้น
เขารีบหันกลับมาคว้าตัวเธอไว้ก่อนจะพูดเยาะเย้ย “ดูเหมือนจัดกันมาหนักหน่วงเลยสิ เช้ามาถึงได้ขาอ่อนแรงแบบนี้”
นี่ฉันดูเป็นสัตว์ที่เข้าช่วงฤดูผสมพันธ์ุขนาดนั้นเลยเหรอ?
คิดดังนั้นแล้วฝูเจิ้งเจิ้งก็กระทืบเท้าแรงอย่างลืมตัวพร้อมเริ่มด่าทอเขาไปบ้าง “คนบ้า! นายคิดว่าตัวเองดีเลิศมากขนาดไหนน่ะ? เมื่อคืนนายเองก็มีสาวสวยคอยปรนเปรออยู่ข้างเตียงทั้งคืนเลยไม่ใช่หรือไง?”
อย่างไรก็ตาม การที่เธอกระทืบเท้าแรงๆ มันก็ต้องทำให้เธอร้องโอดครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดอีกครั้งและจิกเสื้อของอีกฝ่ายแบบไม่ได้ตั้งใจ
ชายหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงร้องนั้น เขาโอบกอดเธอไว้ด้วยความเคยชิน แต่ทว่าเพียงแค่โอบ ร่างที่อ่อนแรงไม่แพ้กันของเขาก็เสียศูนย์และพากันล้มไปทั้งคู่
โชคยังดีเช้าวันนี้ด้านนอกอากาศหนาว มันเลยทำให้ที่หน้าทางเข้านี้ไม่มีใครอยู่แม้แต่คนเดียว อย่างน้อยๆ ก็ไม่มีใครหัวเราะเยาะ
“เป็นยังไงบ้าง? นายบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า? ขอฉันดูหน่อยสิ” ฝูเจิ้งเจิ้งใจอ่อนลงมาทันที เธอรีบพยุงตัวเองขึ้นก่อนจะช่วยพยุงเขาขึ้นมาด้วยอีกแรง
“ฉันไม่ตายง่ายๆ หรอกน่า เธอไม่ต้องมาห่วงฉันหรอก” หานซือฉีดันเธอออกไปแล้วตีหน้างอใส่เธอขณะที่พยายามลุกด้วยตัวเอง แม้ว่าเขาจะลุกขึ้นได้ แต่ขาของเขาก็ยังไม่มีแรงมากเหมือนปกติ
“ก็แหงอยู่แล้ว นายไม่ต้องให้ฉันมาคอยห่วงหรอก นั่นเพราะว่าใครบางคนก็ห่วงนายตลอดอยู่แล้ว!” เธอเริ่มรู้สึกหงุดหงิด ต่อให้เขาไม่ได้บาดเจ็บหนักอะไร ยังไงมันก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี… “ดื่มหนักขนาดนั้นแล้วยังขับรถออกมาอีก คิดว่าเก่งกาจมาจากไหนกันน่ะ? สมควรแล้วที่จะเกิดอุบัติเหตุ”
เขาโกรธเธอมากๆ แต่เพราะว่าเขายังไม่รู้ว่าเมื่อคืนเธอต้องเผชิญกับเรื่องน่ากลัวและคับข้องใจมามากขนาดไหนเนื่องจากเธอไม่ได้แสดงมันออกมาให้เห็น
“ฉันก็แค่อยากมาเจอเธอ” ทันใดนั้นหานซือฉีก็จับมือของเธอไว้และพูดด้วยเสียงหนักแน่น
“ปกตินายก็มาเจอหน้าฉันทุกวันอยู่แล้ว ไม่เจอซักวันฉันไม่…” พลันเมื่อจะพูดว่า ‘ตาย’ แต่เมื่อคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็ไม่ได้พูดออกไป “อย่าขับรถตอนเมาอีก นี่ยังโชคดีนะที่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรร้ายแรง แต่บอกไว้เลยว่านายไม่ได้โชคดีแบบนี้ตลอดหรอก!”
แทนที่เขาจะฟังสิ่งที่เธอเตือน หานซือฉีกลับเปลี่ยนเรื่องกลับไปเรื่องก่อนหน้าแทน “แล้วเมื่อวานไปไหนมา? อย่าบอกนะว่าเธอไปอยู่กับพี่รองของฉัน?”
“ไม่ใช่!” ได้ยินเช่นนั้น ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบอธิบาย “ฉันถูกส่งไปที่โรงพยาบาลจิตเวช”
“ใครส่งเธอไป?” เสียงของเขาเปลี่ยนเป็นไม่สบอารมณ์ในทันที
เมื่อวานตอนเย็น เขาดื่มแอลกอฮอลล์ที่บ้านของเฉียวเค่อเหรินหนักมากๆ ระหว่างนั้นก็คิดอยากจะให้การรับประทานข้าวเย็นร่วมกันนั้นจบลงเร็วๆ เพื่อที่เขาจะได้กลับบ้านมาหาฝูเจิ้งเจิ้งได้ แต่พอรู้ตัวอีกที ตื่นเช้ามาก็พบว่าตนเองอยู่บนเตียงภายในโรงพยาบาลแล้ว ดังนั้นเขาจึงรีบกลับบ้านมาเพื่อที่จะคอยดูแลเธอ เพราะตัวเขารู้อยู่แล้วว่าด้านนอกนั้นมีปัญหาอะไรอยู่ ในเมื่อเธอกำลังโดนชาวเมืองคนอื่นเข้าใจผิด เขาก็ไม่อยากจะให้เกิดปัญหาที่ร้ายแรงขึ้น แต่ไม่คิดเลยว่าไอ้สิ่งที่กลัวมาตลอดมันดันเกิดขึ้นจริงๆ!
“เมื่อตอนที่ฉันไปหานายที่ห้องฉุกเฉิน พวกหมอแล้วก็พยาบาลที่นั่นจำฉันได้ พวกเขาก็เลยส่งฉันไปที่โรงพยาบาลจิตเวชน่ะ” ฝูเจิ้งเจิ้งตอบโดยข้ามเรื่องของเฉียวเค่อเหรินไป
“ทำไมเธอถึงดื้อ…” ก่อนที่เขาจะเผลอหลุดถ้อยคำสบถออกมาจนจบ สติก็ดึงให้หานซือฉีจับแขนของฝูเจิ้งเจิ้งไว้แน่น พลางมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนที่เธอทำกับเขาตอนแรกบ้างแล้วถาม “เธอเป็นอะไรมากหรือเปล่า?”
“ไม่เลย นายลืมหรือไงว่าฉันน่ะฝึกฝนมาอย่างหนักหน่วงขนาดไหน? คิดว่าพวกคนไข้โรคจิตในนั้นจะทำร้ายฉันได้เหรอ?” ฝูเจิ้งเจิ้งจัดการตัวเองให้ดูแข็งแกร่งเพื่อให้เขาเชื่อว่าเธอนั้นไม่เป็นอะไร “แต่ก็ต้องขอบคุณพี่รองของนายนะ ฉันขอให้สวี่เหยียนไปขอให้เขาช่วยอีกทีหนึ่ง ถ้าไม่ได้เขาฉันคงยังไม่ได้ออกมาแน่ๆ”
เธอรู้ว่าเขาเป็นห่วงเธอตลอดแม้จะในสถานการณ์เช่นนี้ เพราะงั้นมีเหรอที่เธอจะปล่อยให้เขาเป็นห่วง?
ถึงเรื่องที่เกิดมันจะมาจากเขาก็ตาม!
ได้ยินเช่นนั้น หานซือฉีก็โล่งใจขึ้นเยอะ เขาพูดกับเธอด้วยเสียงอ่อนโยน “ถ้างั้นแสดงว่าเธอไม่ได้นอนทั้งคืนเลยหรือเปล่า? รีบกลับบ้านไปพักผ่อนเถอะ”
มองหานซือฉีที่เหนื่อยล้าไม่ได้ต่างจากตนเสียเท่าไหร่ ฝูเจิ้งเจิ้งก็พยักหน้า จากนั้นเขาก็กุมมือเธอไว้และเดินกลับบ้านไปด้วยกัน
เมื่อกลับมาถึงหน้าประตูห้องแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนฝูซิงป่วย เพราะงั้นเธอจึงรีบหันไปถามคนที่มากับเธอด้วย “นายได้กลับไปดูอาการฝูซิงหรือเปล่า? เมื่อคืนจงจู่บอกฉันว่าเขามีไข้”
“เรื่องนั้นรู้แล้ว แล้วก็รู้ด้วยว่าไข้ของฝูซิงลงตั้งแต่เมื่อคืน ดูแล้วน่าจะเป็นแค่ไข้เล็กน้อยเท่านั้นแหละ”
ฟังเขาพูดเช่นนั้น ฝูเจิ้งเจิ้งก็เบาใจและยืนมองหานซือฉีเคาะประตู
ทันทีที่ประตูเปิด พวกเขาทั้งสองก็เห็นหลี่หงที่กำลังอยู่ในอาการแตกตื่นมากๆ กำลังยืนรออยู่หลังประตูอยู่แล้ว
“อ๊ะ คุณฝู กลับมาแล้วเหรอคะ? ฉันล่ะกลัวจริงๆ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคุณ! รู้ไหมคะว่าคุณหานตามหาตัวคุณไปทั่วเลยนะ!”
“ฉันไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ แหะๆ” ฝูเจิ้งเจิ้งยิ้มให้อีกฝ่าย
“ดีแล้วค่ะๆ คุณหานน่ะกระวนกระวายเรื่องคุณมากๆ เลยนะ” หลี่หงประกบมือเข้าด้วยกันเพื่อขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นถึงจะเอ่ยถาม “คุณฝูทานอะไรหน่อยไหมคะ?”
พลันเมื่ออีกฝ่ายถามออกมาเช่นนั้น ฝูเจิ้งเจิ้งถึงได้รู้ตัวว่าท้องตนเองโล่งมากในตอนนี้
แต่เมื่อเห็นว่าหานซือฉียังทำหน้าบึ้งอยู่ ความอยากอาหารของตนมันก็พลอยหายไปด้วย ดังนั้นเธอจึงตอบกลับไปด้วยเสียงเรียบๆ “ไม่ค่ะ”
เธอเดินเข้าห้องของตนไปโดยไม่ได้หันมามองหานซือฉี
ทั้งๆ ที่เธอก็อุตส่าห์ไม่โทษเขาแล้วแท้ๆ เรื่องที่เขาทำให้เธอได้รับบาดเจ็บ แต่เขากลับมาทำหน้าบึ้งใส่เธอเสียอย่างนั้น เห็นแล้วน่าหงุดหงิดชะมัด
หลังจากที่กลับเข้าไปในห้องแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบอาบน้ำแล้วเปลี่ยนไปใส่ชุดนอนเพื่อที่จะได้นอนหลับสบายๆ อย่างน้อยตอนนี้ต่อให้ไม่สบายใจ เธอก็สบายตัวขึ้นแล้ว
ทันใดนั้นเอง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นมา
“ฉันจะนอนแล้ว” เธอเดาไว้ก่อนว่าเป็นหานซือฉี
“คุณฝูคะ ฉันทำบะหมี่มาเผื่อ ทานซักหน่อยเถอะค่ะ” เสียงของหลี่หงตอบกลับมา
จากนั้นกลิ่นหอมของบะหมี่ก็ค่อยๆ แทรกซึมเข้ามาอบอวลอยู่ภายในห้องของเธอจนฝูเจิ้งเจิ้งไม่สามารถหักห้ามใจได้และลุกขึ้นจากเตียงไปเปิดประตูในท้ายที่สุด
ทว่าเมื่อประตูถูกเปิดออก คนที่ยืนอยู่หน้าประตูนั้นกลับเป็นหานซือฉีที่กำลังถือชามบะหมี่อยู่ในมือ
“ไม่กินแล้ว!” ฝูเจิ้งเจิ้งปฏิเสธและเตรียมจะปิดประตูใส่ด้วยความโกรธ
เห็นดังนั้นหานซือฉีก็รีบใช้มือข้างหนึ่งจับประตูไว้ แต่นั่นก็ทำให้มือข้างที่ถือบะหมี่เกิดการเสียศูนย์และเกือบจะเทชามนั้นคว่ำไปข้างๆ ฝูเจิ้งเจิ้งที่หันกลับมาเห็นก็ตกใจจนรีบปล่อยมือออกจากประตูพร้อมพูดเสียงดัง “ระวัง!”
ทันทีที่ประตูไร้ซึ่งแรงต้าน หานซือฉีก็ถือโอกาสแทรกตัวเข้ามาพร้อมชามบะหมี่ที่กลับไปอยู่ในสภาพมั่นคงไม่โอนเอนดังเดิม เขาถีบประตูปิดพร้อมยักคิ้วหน้านิ่งให้อีกฝ่ายเหมือนเป็นการบอกให้เธอถอยกลับไปแต่โดยดี
ฝูเจิ้งเจิ้งเหลือบมองหานซือฉี ก่อนจะถอยกลับไปนั่งที่เตียง
ชายหนุ่มตามลงมานั่งข้างๆ เธอ และเริ่มใช้ตะเกียบคีบเส้นบะหมี่ขึ้นมาเป่าก่อนจะขยับไปหาหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ พลางออกคำสั่ง “อ้าปาก”
“ฉันไม่…อื้อ” ก่อนที่เธอจะได้พูดจบ ตะเกียบที่เข้ามาใกล้นั้นก็ยัดเอาเส้นบะหมี่อุ่นๆ ให้สัมผัสริมฝีปากบางของเธอจนต้องรีบอ้าปากและงับเอาบะหมี่คำนั้นเข้าไป
“ดีมาก น้ำซุปด้วย” หานซือฉีดูจะพึงพอใจกับท่าทีของเธอมากๆ เขาไม่รอช้าและเปลี่ยนไปใช้ช้อนตักน้ำซุปขึ้นมาก่อนจะป้อนเธออีก
เธอรู้แล้วว่าถ้าหากเธอไม่ยอมทานบะหมี่ถ้วยนี้ คืนนี้เขาคงจะไม่ยอมปล่อยเธอไปนอนดีๆ แน่ ดังนั้นฝูเจิ้งเจิ้งจึงตัดสินใจยื่นมือออกไปและพูด “ฉันจะกินเอง”
แต่หานซือฉีกลับใช้ศอกของเขาเขี่ยมือที่ยื่นมาของเธอออก “ฉันจะป้อน”
นี่หมอฉีดยาเสริมความเอาแต่ใจให้ตอนหลับหรือยังไงน่ะ?
หญิงสาวเหลือบมองเด็กเอาแต่ใจในคราบผู้ใหญ่ข้างๆ ก่อนจะต้องจำใจทำตามที่เขาพูด เธออ้าปากและรอให้เขาป้อนบะหมี่ให้เรื่อยๆ
หลังจากที่ทานไปครึ่งชามแล้ว เธอก็รีบกดตะเกียบไว้ก่อน “ฉันอิ่มแล้ว เพราะงั้นเชิญออกไปและหาข้าวกินด้วย”
ยึดเอาจากเวลาตามปกติ นี่เป็นช่วงมื้อเช้า เธอเดาว่าเขาที่ดื่มหนักมาเมื่อคืนเองก็น่าจะยังไม่ได้ทานอะไรเหมือนกัน ไม่งั้นแล้วฤทธิ์แอลกอฮอลล์คงไม่แรงขนาดนั้น แม้จะรู้ดีว่าเขาคอแข็งแค่ไหนก็ตาม
“เธอป้อนฉันบ้าง” หานซือฉีส่งตะเกียบให้เธอ
“เฮ้ๆ ฉันกินไปแล้ว เห็นไหมว่าน้ำลายยังติดอยู่เลย นายน่ะรีบๆ เอาชามนี้ไปเก็บในอ่างแล้วก็ตักของนายกินเองสิ!”
“ไม่สน”
“โอเค ถ้าไม่สนก็เชิญกินต่อจากฉันตามสะดวกเลย แล้วก็ช่วยไปกินเองด้านนอกด้วยนะ เพราะตั้งแต่แรกฉันก็ไม่ได้ขอให้นายมาป้อนฉันอยู่แล้ว!” ฝูเจิ้งเจิ้งกลอกตาไปมา
ผลลัพธ์จากการที่เธอพูดเช่นนั้นมันทำให้อีกฝ่ายคีบบะหมี่ขึ้นมาแล้วพยายามจะยัดเข้าปากเธออีกครั้ง
“ก็บอกว่าอิ่ม—งึ—หงากกกก!” เขาพยายามอย่างมากเพื่อจะยัดบะหมี่เข้ามาให้ได้!
“โอเคๆ ป้อนก็ได้” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคงจะไม่ยอมจริงๆ ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบอ้าปากทานบะหมี่คำนั้นเข้าไปและแย่งตะเกียบมาจากมืออีกฝ่ายด้วยความโกรธ
หานซือฉีทานบะหมี่ที่เธอป้อนด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ จากนั้นเขาก็ตักน้ำซุปเข้าปากเธอและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ซุปน่ะช่วยย่อยได้ดีนะ”
เธอไม่ยอมอ้าปาก และช้อนนั้นก็ไม่ยอมขยับออกไปไหนเลย
ฝูเจิ้งเจิ้งทำหน้าบึ้งก่อนที่ท้ายสุดก็ต้องยอมอ้าปากเพื่อกลืนมันลงไป
ทั้งสองสลับกันป้อนบะหมี่และน้ำซุปจนกระทั่งบะหมี่ชามใหญ่นั้นหมดไป หานซือฉีจึงยอมมองด้วยความพึงพอใจและเดินออกไปจากห้อง
ในตอนนี้เธออิ่มจนขยับตัวลำบากมากๆ หลังจากที่ลุกขึ้นไปล้างหน้าและกลับมานอน ความง่วงเป็นสิ่งเดียวที่สั่งเธอได้ในตอนนี้ และมันกำลังสั่งให้เธอไปนอนเพื่อที่จะได้พักผ่อนจากทุกสิ่งทุกอย่างด้วย
แต่เมื่อเธอกำลังจะหลับ ความรู้สึกที่ผ้าห่มกำลังขยับก็เกิดขึ้นจนเธอต้องรีบนั่งขึ้นมาในทันที
เพราะตลอดหลายวันมานี้มันมีแต่เรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น เพราะงั้นเธอจึงอยู่ในสภาวะที่ต้องระวังตัวเองอยู่ตลอดเวลา
“ไม่เป็นไร ฉันเอง” หานซือฉีพูดขณะที่กำลังขึ้นมาบนเตียงของเธอ เมื่อขยับท่าทีเรียบร้อยแล้วเขาก็ตบเตียงเบาๆ “มานี่”
“โอ๊ะ จะทำอะไรน่ะ!” จะให้เธอหลับในขณะที่เขาอยู่ข้างๆ เนี่ยนะ?
“เธอมีประจำเดือนอยู่ แล้วคิดว่าฉันจะทำอะไรได้ไหมล่ะ? รีบมานอนได้แล้ว” หานซือฉีพูดราวกับเขานั้นเป็นสุภาพบุรุษที่ไม่เคยทำอะไรผู้หญิงมาก่อน
เมื่อเห็นฝูเจิ้งเจิ้งปฏิเสธที่จะนอน เขาก็พูดให้อ่อนโยนลงกว่าเดิม “เมื่อวานฉันเพิ่งประสบอุบัติเหตุไป ลืมแล้วหรือไง? ฉันเองก็ยังไม่หายดีหรอก ถ้าจู่ๆ ฉันแยกตัวไปนอนคนเดียวแล้วเกิดปัญหาอะไรขึ้น มันจะไม่มีใครรู้เอานะ”
ในเมื่อมันเป็นโอกาสที่หาได้ยากที่จะรู้สึกสงสารหานซือฉีเช่นนี้ ฝูเจิ้งเจิ้งจึงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยอมลงไปนอนข้างๆ เขา
ขณะที่หัวของเธอกำลังจะถึงหมอนแล้วนั้นเอง อีกฝ่ายก็ยื่นแขนมารอรับไว้อย่างรวดเร็ว และมันทำให้หัวของเธอวางนอนลงไปบนแขนเขาโดยตรง
ชายหนุ่มกระชับแขนและกลายเป็นว่าเขากำลังโอบเธอไว้ขณะนอนอยู่แบบนั้น
“อย่าขยับ ให้ฉันกอดเธอไว้แบบนี้” เสียงที่เบาบางของเขาดังขึ้นภายในหูของเธอ
ยามที่เห็นว่าเขากำลังหลับตาลงไป ฝูเจิ้งเจิ้งเลยพยายามดิ้นออก ทว่าแขนที่โอบกอดเธอนั้นกลับไม่ได้คลายลงเลย และมันทำให้เธอรู้ว่าเขาคงไม่ยอมปล่อยให้เธอออกไปจากอ้อมแขนนี้แน่ๆ เพราะงั้นเธอจึงเลิกขยับตัวในที่สุด
ใบหน้าสวยนั้นหันไปมองชายที่อยู่ข้างๆ ด้วยความห่วงใย การที่ได้เห็นใบหน้าที่เหนื่อยล้าและมีบางจุดบนใบหน้ามีเหงื่อกำลังผุดขึ้นมา ลึกๆ เธอก็แอบรู้สึกเสียใจ
สิ่งที่เกิดขึ้นในหลายวันมานี้ มันเริ่มทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกถึงอะไรบางอย่างได้
บางทีหากไม่มีเธอและฝูซิงปราฏตัวขึ้นมาในชีวิตของเขา เขาก็คงจะได้หมั้นและแต่งงานกับเฉียวเค่อเหรินอย่างมีความสุขไปแล้ว มีความสุขกับชีวิต แล้วก็มีความสุขกับงานที่ได้ทำ
เธอรู้ว่าเฉียวเค่อเหรินรักเขามากขนาดไหน และรู้ด้วยว่าครอบครัวของเฉียวเค่อเหรินสามารถช่วยบริษัทเว่ยหานได้มากขนาดไหนด้วย
มันเป็นเธอเองต่างหากที่เข้าไปรบกวนความสงบสุขในชีวิตคนอื่น
แต่ยังไงมันก็อดคิดไม่ได้ เรื่องที่ว่า เขาควรเป็นของเธอ… ในเมื่อทั้งเธอและเขานั้นต่างมีฝูซิงด้วยกันแล้ว แต่เพราะเกิดเรื่องนั้นขึ้น 6 ปีให้หลังมันจึงทำให้เธอกลับกลายเป็นบ้านเล็กในความสัมพันธ์ของคนอื่นแทน
“เลิกคิดมากได้แล้ว! นอน!” หานซือฉีเอ่ยปากสั่งขึ้นมา ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งของเขามาปิดตาเธอไว้และกระชับเธอให้เข้ามาชิดใกล้เขามากกว่าเดิม
ความเอาแต่ใจที่อ่อนโยนนั้นช่วยทำให้ใจของฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกถึงความอบอุ่นขึ้นมา แถมมันยังช่วยขจัดความมัวหมองก่อนหน้าให้เธออีกด้วย
นั่นสินะ ไม่ว่าจะมีปัญหามากมายขนาดไหนที่รอเธออยู่ ยังไงซะตอนนี้ก็ต้องพักผ่อนให้เต็มที่ก่อน มีเพียงร่างกายที่แข็งแรงดีเท่านั้นที่จะช่วยให้เธอต่อสู้กับปัญหาต่างๆ ที่เข้ามารุมเร้าได้
หญิงสาวยิ้มน้อยๆ ก่อนจะค่อยๆ เอื้อมมือไปกอดเขาบ้างและคล้อยหลับไป
ทั้งสองหลับจนกระทั่งถึงเวลาบ่าย 2 ของวันเดียวกัน เสียงโทรศัพท์เป็นตัวปลุกให้พวกเขาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
หานซือฉีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา และพบว่ามันมาจากหลินหยงเฉิง เขาไม่รอช้าที่จะรับสาย
“คุณหานครับ เราได้ข่าวดี!”
———————————————————————————————————
คุยกับผู้แปล
เออ! ให้มันจบแบบสงบสุขแบบนี้ซักตอน!