ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 94 ฝูซิงไม่อยากให้คุณลุงมาเป็นป๊ะป๋าแล้ว!
เมื่อเห็นว่าฝูเจิ้งเจิ้งยังไม่ตื่น หานซือฉีก็รีบถามด้วยเสียงเบา “เรื่องอะไร?”
“ตั้งแต่ที่ข่าวเรื่องเซียงต้าผิงเชือดหมาของตัวเองถูกโพสต์ลงไปในอินเตอร์เน็ตเมื่อเช้านี้ ทั้งโลกออนไลน์ต่างก็พากันประณามเขากันใหญ่เลยครับ แถมตอนนี้เขาก็โดนหมายศาลเรียกตัวและโดนตำรวจพาตัวไปโทษฐานหมิ่นประมาทคุณฝูด้วย” หลินหยงเฉิงพูดด้วยความตื่นเต้น “เขาไม่เพียงแต่เสียหน้าแต่ยังโดนคดีติดตัวไปด้วย”
“แบบนี้พวกเราปล่อยไปง่ายๆ ได้เหรอ?” หานซือฉีถามกลับด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย
“ไว้ใจได้เลยครับคุณหาน ผมทำตามคำสั่งของคุณหานเป๊ะๆ เลย พวกเราตัดช่องทางหาเงินจากบัญชีต่างๆ ของเขาเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเงินทั้งหมดจะไม่ถูกส่งไปเพื่อช่วยเขาแน่ๆ คราวนี้เขาก็จะไม่มีเงินสำหรับสู้คดี และท้ายที่สุดก็จะติดคุกอย่างแน่นอน!”
“ดี” ได้ยินเช่นนั้นจอมบงการอย่างหานซือฉีก็รู้สึกพึงพอใจมากๆ ใครก็ตามที่กล้าทำร้ายผู้หญิงของเขา มันต้องถึงจุดจบ!
ก่อนจะดีใจไปมากกว่านี้ เขาก็ไม่ลืมที่จะถาม “แล้วหมอนั่นพูดออกมาหรือยังว่าใครเป่าหูให้มาทำแบบนี้?”
“ไม่ครับ เขาไม่กล้าพูดออกมา”
หานซือฉีขมวดคิ้ว จริงๆ เขาก็รู้คำตอบอยู่แล้วแหละ แต่แค่ถามเพื่อความมั่นใจเฉยๆ
“นอกจากนี้ คนที่โพสต์ข่าวก่อนหน้าก็ยังหาตัวไม่พบด้วย ตัว IP Address เองก็ไม่ใช่ที่อยู่จริง คาดว่าน่าจะใช้วิธีปลอมแปลง VPN เพื่อโพสต์ภาพนั้นอีกที”
“เข้าใจแล้ว” พูดจบหานซือฉีก็วางโทรศัพท์ไป
“นายกำลังพูดถึงฉันหรือเปล่า?” ฝูเจิ้งเจิ้งตื่นแล้ว เธอค่อยๆ ลุกมานั่งและมองไปยังหานซือฉี
“เธอไม่เป็นไรแล้วนะ” หานซือฉียิ้มอย่างอ่อนโยน
“ไม่เป็นไร?” ฝูเจิ้งเจิ้งงุนงง “นายหมายถึง…”
“ใช่ ไม่มีใครกล้าส่งเธอไปโรงพยาบาลจิตเวชอีกแล้วล่ะ” เขาลูบใบหน้าเธอเบาๆ “แต่เธอก็ยังต้องอยู่ที่บ้านไปก่อนเพื่อรักษาตัวเองให้หายนะ”
ฝูเจิ้งเจิ้งไม่ได้ขัดอะไรเขา แต่เลือกที่จะขออะไรขึ้นมาแทน “พอฉันหายดีแล้ว นายจะพาฝูซิงมาที่นี่หรือเปล่า?”
นี่เป็นสิ่งเดียวที่เธอเป็นห่วง
เมื่อเห็นว่าหานซือฉีไม่ตอบ เธอก็นึกถึงภาพที่เธอถูกปฏิเสธจากครอบครัวของเขาที่จะให้พบฝูซิงที่รีสอร์ทฉืออิ๋งลี่หยางเมื่อวาน ทันใดนั้นเอง หญิงสาวก็เริ่มโกรธขึ้นมา “ฉันเป็นแม่ของฝูซิงนะ! ทำไมถึงต้องพรากพวกเราออกจากกันด้วย!”
“เธอยังคิดจะพาฝูซิงหนีไปกับเธออยู่หรือเปล่า?” หานซือฉีถามกลับบ้านด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“ฉัน…เอ่อ… ก็แค่ต้องการจะเห็นหน้าเขาทุกวัน ฉันเป็นคนให้กำเนิดเขา เพราะงั้นจะให้ฉันอยู่ยังไงถ้าไม่มีเขา…” ฝูเจิ้งเจิ้งควบคุมอารมณ์ตนเองใหม่อีกครั้งก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเว้าวอน
เขาน่ะไม่ได้กลัวที่จะให้เธอเจอกับฝูซิงหรอก แต่เขากลัวว่าเธอจะพาฝูซิงหนีไปต่างหาก!
ในขณะเดียวกัน ฝูเจิ้งเจิ้งก็รู้ด้วยว่าเขาเตรียมคนไว้เป็นจำนวนมากอยู่ที่ห้องข้างๆ เพื่อคอยจับตาดูเธอตั้งแต่เมื่อคืน
โอเค จะคิดว่าเตรียมไว้คอยปกป้องฉันก็แล้วกันนะ
เพราะคนแค่นี้น่ะ หยุดเธอไม่ได้หรอกถ้าเธอมีฝูซิงอยู่ด้วย!
“ไว้ค่อยพูดเรื่องนี้กันทีหลัง หลังจากที่รอยช้ำบนหน้าเธอหายดีแล้ว ฉันไม่อยากให้ซิงซิงกลัว”
“แต่ฉันเป็นห่วงเขานี่!” สิ่งที่เฉียวเค่อเหรินพูดไว้เมื่อคืนนั้นมันทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกกังวลจริงๆ
เมื่อเห็นสีหน้าดังนั้น หานซือฉีก็รีบพูดขึ้น “ใครบางคนจะดูแลเขาอย่างดีเลยล่ะ”
ฝูเจิ้งเจิ้งมองไปยังหานซือฉี เธอไม่ได้พูดอะไรเพิ่ม และใช่ เธอกำลังโกรธเขาอยู่
เธอเข้าใจว่าการยกเลิกงานแต่งงานระหว่างเขาและเฉียวเค่อเหรินนั้นเป็นไปไม่ได้ เนื่องมาจากผลประโยชน์ของครอบครัว แต่เธอไม่เข้าใจจริงๆ ว่า ทำไมเขาถึงเห็นแก่ตัวแบบนี้ นอกจากจะไม่รักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเธอและลูกแล้ว เขายังจับเธอและฝูซิงแยกออกจากกันอีก!
“ขอเวลาให้ฉันหน่อย” หานซือฉีพูดขณะลุกขึ้นไปแต่งตัว
ความสดชื่นจากการที่ร่างกายได้พักผ่อนเต็มอิ่มทำให้เขาดูดีขึ้นมากกว่าเมื่อวานจนแทบจะหายเป็นปกติแล้ว
หญิงสาวไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร แต่เธอก็ไม่ได้ถามต่อและลุกขึ้นยืนเช่นกัน
หลังจากที่ทานข้าวด้วยกันแล้ว โทรศัพท์ของหานซือฉีก็ดังขึ้น จากนั้นเขาก็หันมาพูดอะไรบางอย่างกับเธอแล้วรีบออกไป
ในทันทีที่เขาออกไป ฝูเจิ้งเจิ้งก็เริ่มรู้สึกอีกครั้ง เธอเปิดอินเตอร์เน็ตและเข้าไปไล่หาข่าวต่างๆ เพื่ออ่าน แต่ข่าวเหล่านั้นก็หายไปหมดแล้ว ข่าวที่เกี่ยวข้องกับเธอ ในหน้าเว็บตอนนี้ ทุกข่าวล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับ เซียงต้าผิงทั้งนั้น
เซียงต้าผิงน่ะก็แค่หมากที่ใครบางคนใช้แล้วทิ้ง เขาเป็นแค่นกต่อเพื่อส่งเธอให้เข้าสู่แผนที่จะกลายเป็นคนบ้าในสายตาคนอื่นๆ และเมื่อคืนนี้ ดูเหมือนเจ้าของแผนการอย่างเฉียวเค่อเหรินจะมีความสุขมากๆ กับการที่เห็นเธอติดกับดักนั้นเข้า
สิ่งที่กำลังรบกวนเธออยู่ตลอดนั่นก็คือ เฉียวเค่อเหรินกล้าที่จะทำร้ายฝูซิง เมื่อคิดได้ดังนั้นความโกรธมันก็ร้อนแรงขึ้นอีก มันไม่ใช่ความโกรธที่มีต่อเฉียวเค่อเหรินโดยตรง แต่เป็นความโกรธที่เธอยังหาวิธีพาฝูซิงไปยังที่ที่ปลอดภัยไม่ได้ต่างหาก!
“คุณฝูคะ คุณหานโทรมาน่ะค่ะ” หลี่หงตะโกนเข้าที่ห้องนั่งเล่น
“มาแล้วๆ” ฝูเจิ้งเจิ้งรีบลุกขึ้นเดินไปรับโทรศัพท์จากหลี่หง
“รีบลงมาข้างล่างตอนนี้เลย จงจู่กำลังรอยู่!” หานซือฉีพูดด้วยเสียงที่เอาแต่ใจดังที่เขาชอบทำบ่อยๆ
“ไปไหน?” ในทันทีที่เธอถามกลับ ปลายสายก็วางโทรศัพท์ไปแล้ว
บ้าเอ๊ย!
ฝูเจิ้งเจิ้งวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิมด้วยความโกรธก่อนจะกลับเข้าไปในห้องเพื่อหยิบกระเป๋าของตนมา
เมื่อลงไปถึงข้างล่าง รถของหมินจงจู่ก็จอดอยู่จริงๆ
“พวกเราจะไปไหนกันเหรอคะ?”
“รีสอร์ทฉืออิ๋งลี่หยาง ซือฉียังไม่ได้บอกเธอเหรอ? ฝูซิงมีไข้อีกแล้ว แถมคราวนี้ยังอาละวาดอีกด้วย”
ได้ยินเช่นนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็ตกใจสุดๆ “งั้นรีบไปเร็วๆ เลยค่ะ!”
สิ้นเสียง หมินจงจู่ก็ขับรถออกจากคอมมูนิตี้แห่งนี้ไปอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ที่รีสอร์ทฉืออิ๋งลี่หยาง
“ฝูซิงต้องการหม่ามี๊! คนอื่นออกไปให้หมด! ฝูซิงต้องการแค่หม่ามี๊เท่านั้น!”
ในทันทีที่ฝูเจิ้งเจิ้งมาถึงประตู เธอก็ได้ยินเสียงร้องโหวกเหวกของฝูซิงดังขึ้นมาจากด้านบนชั้น 2
“ฝูซิง หม่ามี๊มาแล้ว!” ฝูเจิ้งเจิ้งรีบวิ่งขึ้นไปด้านบนแล้วเดินตามหาห้องของเขาจากทิศทางเสียงที่ได้ยิน
“หม่ามี๊!” ฝูซิงกระโดดออกจากเตียงทันทีที่เห็นว่าฝูเจิ้งเจิ้งเข้ามาในห้อง เจ้าตัวเล็กพูดรัวจนลิ้นพันกันไปหมด “หม่ามี๊! ฝูซิงคิดถึงหม่ามี๊!”
“โอ้ๆๆ ที่รัก ช้าลงหน่อย!” จีหยาฉูตกใจที่เห็นฝูซิงกระโดดกระโจนเช่นนั้น แต่เธอก็ได้แค่เป็นห่วง ไม่ได้เข้ามาห้ามปรามอะไร
มองไปยังลูกชายของตนที่ไม่ยอมแม้กระทั่งใส่รองเท้า ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบอุ้มเขาขึ้นมาและใช้หลังมือแตะไปที่หน้าผาก ก่อนจะพูดออกมาด้วยยน้ำเสียงตกใจ “ตัวร้อนจี๋เลยนี่นา!”
ฝูเจิ้งเจิ้งหันมองไปรอบๆ ตัว ภายในห้องนั้นมีครอบครัวของหานซือฉีที่กำลังเป็นกังวลอยู่ เฉินเฉี่ยวหลาน หมอ แล้วก็หานซือฉี เธอเลือกที่จะต่อว่าหานซือฉี “ไม่ใช่ว่านายบอกว่าไข้ลดแล้วเหรอ! นี่นายดูแลฝูซิงภาษาอะไรเนี่ย!”
ก่อนหานซือฉีตอบอะไร จีหยาฉูเป็นฝ่ายพูดขึ้นแทน “เมื่อเช้าไข้ของเขาลงแล้วจริงๆ นะจ๊ะ แต่เพราะซิงซิงปฏิเสธที่จะกินยา จากอาการที่แค่ดีขึ้นแต่ยังไม่หาย สุดท้ายก็เลยกลับมาเป็นไข้อีก นี่พอฉันพาหมอมา หมอก็บอกว่าต้องฉีดยา คราวนี้ฝูซิงยิ่งไม่ยอมเข้าไปใหญ่เลย”
“หม่ามี๊ ฝูซิงไม่อยากโดนฉีดยา ไม่อยากกินยาด้วย!” ฝูซิงหันมาทำท่าทีน่าสงสารต่อฝูเจิ้งเจิ้ง
แต่แผนนั้นใช้ไม่ได้ผล เธออุ้มฝูซิงไปวางไว้ที่โซฟาก่อนจะปลดกางเกงของเขาลงและเกลี้ยกล่อมให้ยอมฉีดยาไปด้วย “ไหนฝูซิงบอกหม่ามี๊ว่าฝูซิงเป็นคนเข้มแข็งไม่ใช่รึไง? แค่ฉีดยายังกลัวขนาดนี้ เป็นคนเข้มแข็งจริงหรือเปล่าเนี่ย?”
โดนพูดไปแบบนั้นฝูซิงจึงไม่กล้าปฏิเสธอะไร เขาเพียงหันไปมองจีหยาฉูด้วยใบหน้าที่กำลังร้องห่มร้องไห้แล้วพูดออกมา “คุณย่า ฝูซิงจะยอมฉีดยากับกินยา แต่คุณย่าให้หม่ามี๊อยู่ด้วยได้ไหม? ฝูซิงคิดถึงหม่ามี๊!”
“โอเคๆ ถ้าซิงซิงทำตัวดีๆ ปู่ก็ไม่ขัดข้องหรอก” หานเถิงอวี้ให้สัญญา
เห็นดังนั้น ฝูซิงก็ดูจะมีความสุขขึ้น เขาไม่แม้แต่ทำสีหน้าเจ็บปวดเมื่อโดนฉีดยาด้วยซ้ำไป
“หม่ามี๊ ฝูซิงเข้มแข็งหรือเปล่า?” เมื่อฉีดยาเสร็จ ฝูซิงก็รีบกอดคอฝูเจิ้งเจิ้งไว้แล้วเอ่ยถาม
“ฝูซิงเข้มแข็งที่สุดเลยจ้ะ!” เธอรับการกอดของเด็กน้อยไว้แล้วลูบก้นที่เพิ่งโดนฉีดยาของเขาไปเบาๆ
หานเถิงอวี้กับภรรยาเองก็ดูจะโล่งใจที่ฝูซิงยอมฉีดยา และเมื่อคิดได้ว่าฝูซิงยังไม่ได้ทานอะไรมาตั้งแต่ช่วงเที่ยง พวกเขาจึงถามขึ้นมาทันที “ซิงซิง หนูหิวหรือยัง?”
“อ้า! ฝูซิงหิวแล้ว ฝูซิงอยากกินอาหารฝีมือหม่ามี๊!” ฝูซิงยังคงกอดคอฝูเจิ้งเจิ้งแน่นและปฏิเสธที่จะไปไหน
จีหยาฉูหันไปมองฝูเจิ้งเจิ้งก่อนจะพูดขึ้นมา “เจิ้งเจิ้ง ครัวอยู่ทางนู้นน่ะจ้ะ ช่วยไปทำอาหารมาให้ซิงซิงทีนะจ๊ะ”
มองไปยังลูกชายของตนที่ดูจะน้ำหนักลงไปเยอะ ฝูเจิ้งเจิ้งก็อยากจะร้องไห้ออกมา ในตอนที่เธอลุกขึ้นนั้น ที่ต้นขาก็ถูกฝูซิงกอดไว้ เธอจึงต้องรีบหันไปปลอบเขาก่อน “หม่ามี๊จะไปทำอาหารอร่อยๆ ให้กินไงฝูซิง”
“ฝูซิงไปด้วย!” แม้จะปล่อยมือจากขาแล้ว แต่ฝูซิงก็ยังจับชายเสื้อของฝูเจิ้งเจิ้งอยู่และเดินตามไปติดๆ เฉินเฉี่ยวหลานที่เห็นเช่นนั้นก็รีบเดินตามไปด้วยเพื่อคอยช่วยเหลือเช่นกัน
ทางด้านจีหยาฉูเองก็อยากจะตามทั้ง 3 ไป แต่หานเถิงอวี้ก็หยุดเธอไว้ก่อน
“ซิงซิง ห้องครัวมันสกปรกอยู่ พวกเราไปรอหม่ามี๊ด้านนอกดีกว่าไหม?” หานซือฉีที่ยืนรออยู่ที่ประตูเอ่ยทักฝูซิง
“ไม่ไป! ฝูซิงไม่อยากให้คณลุงมาเป็นป๊ะป๋าแล้ว!” ฝูซิงตอบทันควัน
“เดี๋ยวป๊ะป๋าซื้อของเล่นให้”
“ไม่! คุณลุงจีซื้อของเล่นให้ฝูซิงแล้ว! ฮึ่ม!” ฝูซิงสะบัดหน้าหนีและไม่ยอมมองหน้าหานซือฉีเหมือนเดิม
หานซือฉีหมดหนทางไปต่อ แต่ก็ต้องเข้าใจว่าเขาเป็นคนปฏิเสธฝูซิงที่จะให้พบฝูเจิ้งเจิ้งอยู่หลายครั้ง เพราะงั้นจะโดนเขาโกรธก็ไม่แปลกใจนัก
ฝูซิงไปนั่งที่เก้าอี้อย่างสงบขณะที่รอฝูเจิ้งเจิ้งทำข้าวต้มมาให้ ทันทีที่เขาเห็นแม่ของตนเดินออกมาพร้อมข้าวต้มร้อนๆ ฝูซิงก็อุทานออกมา “หม่ามี๊ ที่หน้าเป็นอะไรไปงั้นเหรอ?”
“หม่ามี๊ลื่นล้มน่ะจ้ะ เดี๋ยวก็หายแล้วล่ะ มากินข้าวต้มดีกว่ามา” เธอพยายามไม่พูดถึงมันแล้วส่งข้าวต้มให้ฝูซิง
เด็กน้อยหันไปมองทางหานซือฉีที่อยู่ทางขวาก่อนจะพูดขึ้น “คุณลุงทำไม่ได้แม้แต่ดูแลหม่ามี๊ ฝูซิงไม่อยากให้คุณลุงมาเป็นป๊ะป๋าแล้ว! ฝูซิงจะให้คุณลุงหมู่เซี่ยนมาเป็นป๊ะป๋าแทน! เขาเป็นตำรวจ เขาจะต้องดูแลหม่ามี๊ได้แน่ๆ!”
“ฝูซิง” ฝูเจิ้งเจิ้งขึ้นเสียงปรามเขาไว้ก่อน
หานซือฉีผู้ที่อยากเข้ามาช่วยป้อนข้าวต้มให้ฝูซิงถึงกับต้องอมทุกข์ไปในทันที
เจ้าตัวเล็กลุกขึ้นยืนบนเก้าอี้ก่อนจะชี้ไปทางหานซือฉีและไม่หยุดพูด “ออกไปเลย! ฝูซิงไม่ยอมให้คุณลุงมาเข้าใกล้หม่ามี๊กับฝูซิงอีกแล้ว! ฝูซิงเกลียดคุณลุง!”
ได้ยินเช่นนั้น หานซือฉีก็ยกมือขึ้นหมายจะพูดอะไรบ้าง แต่ท้ายสุดก็ไม่ได้พูดและเดินออกไปด้วยความเศร้า
“หม่ามี๊ ฝูซิงสั่งสอนป๊ะป๋าให้แล้ว!” ฝูซิงหันกลับมาพูดกับฝูเจิ้งเจิ้งด้วยความภาคภูมิใจก่อนจะยกมือเท้าเอวและยืดอกอย่างยิ่งใหญ่ “ฝูซิงเป็นผู้ชายที่แข็งแกร่ง! ฝูซิงจะปกป้องหม่ามี๊เอง!”
หันไปมองหานซือฉีที่เดินทุกข์ใจออกไป ฝูเจิ้งเจิ้งก็รู้สึกเศร้าตาม เธอหันไปมองเจ้าลูกชายตัวน้อยก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “พอเลย เป็นลิงป่วยอยู่แบบนี้แล้วจะปกป้องหม่ามี๊ได้ยังไงฮะ!”
“เพราะฝูซิงไม่ได้เจอหม่ามี๊เลย หากฝูซิงไม่ยอมทำตัวให้ป่วย ฝูซิงก็คงจะไม่ได้เจอหม่ามี๊…”
“หือ ลูกว่ายังไงนะ?”
“ก็เมื่อคืนฝูซิงใส่เสื้อผ้าบางๆ แล้วก็ถอดรองเท้าเดินไปเรื่อยเลย แหะๆ”
ฝูเจิ้งเจิ้งถึงกับช็อกก่อนจะถามย้ำอีกครั้ง “นี่ออกไปเดินตอนกลางคืนโดยที่ใส่เสื้อผ้าบางๆ งั้นเหรอ? อย่าบอกนะว่าลูกจงใจป่วยน่ะ?”
เขารีบพูดแก้ตัวด้วยเสียงเบาก่อนที่จะไม่มีโอกาสพูด “น้าจูบอกว่า ป๊ะป๋าจะให้หม่ามี๊มาดูแลฝูซิงก็ต่อเมื่อฝูซิงป่วยเท่านั้น ฝูซิงไม่อยากให้หม่ามี๊กังวล…ฝูซิงขอโทษ…”
เธอกอดลูกชายของตนเองไว้พร้อมกับน้ำตาที่ซึมออกมา
ไม่คิดเลยว่าลูกชายของเธอจะโตเร็วขนาดนี้ ถึงมันจะเป็นเรื่องที่ดี แต่เพราะเขาโตเร็วเกินกว่าที่จะคิดแบบเด็กๆ ได้ ยังไงเสียมันก็ดาบสองคม…
เอาล่ะ ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าตระกูลหานคงไม่ยอมให้เธอพาฝูซิงกลับไปเลี้ยงที่เจี่ยเย่ฮัวหยวนแน่ๆ ดังนั้นเธอควรจะหาวิธีที่จะได้อยู่ดูแลลูกของเธอที่นี่ต่อ อาการบาดเจ็บที่ขาน่าจะหายในเร็ววันนี้ จากนั้นเธอก็จะใช้ช่วงโอกาสนั้นพาฝูซิงหนีซะเลย!
หลังจากที่ป้อนข้าวต้มให้ฝูซิงจนหมดถ้วยแล้ว เธอก็พาฝูซิงไปยังห้องนั่งเล่น จีหยาฉูที่รออยู่แล้วก็รีบพุ่งเข้ามากอดฝูซิงไว้และสัมผัสหน้าผากของเขาด้วย เมื่อเห็นว่าอาการไข้ของเขาหายไป เธอก็พูดอย่างมีความสุข “ดูเหมือนว่าไข้ของหนูจะลงแล้ว ย่าดีใจจริงๆ ดีใจมากๆ”
“ฉันจัดห้องไว้ให้เธอแล้ว เพราะงั้นก็เอาฝูซิงไปเลี้ยงดูที่นั่นได้เลย” หานซือฉีชี้ไปทางด้านนอก
จีหยาฉูมองฝูเจิ้งเจิ้งด้วยความหวาดระแวงมากๆ และเธอเองก็อาจจะพอรู้ความคิดของฝูเจิ้งเจิ้งอยู่บ้าง จึงรีบขัดขวาง “จะให้หลานของพวกเราไปอยู่ด้านนอกได้ยังไงกัน?”
“ใช่แล้ว! พวกเราไม่ยอมให้ซิงซิงไปอยู่นอกสายตาหรอกนะ!” หานเถิงอวี้เองก็พูดขึ้นด้วย “ที่นี่มีห้องชั้นบนอยู่ ให้คุณฝูกับซิงซิงอยู่ที่นี่ได้”
หานซือฉีมองไปยังครอบครัวของตน เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเดินนำฝูเจิ้งเจิ้งและฝูซิงขึ้นไปด้านบน
“ซิงซิงยังไม่หายดี และต้องให้เขาพักผ่อน เดี๋ยวฉันจะให้ป้าเฉินนำอาหารเย็นขึ้นมาให้ด้านบนนี้แทน”
ฝูเจิ้งเจิ้งหันมองหานซือฉีด้วยความสงสัย แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป เพียงแค่หยิบถึงยาแล้วเดินตามไปเงียบๆ
เมื่อเข้ามาในห้องและหานซือฉีก็ออกไปแล้ว ฝูซิงก็เข้ามากอดมาหอมฝูเจิ้งเจิ้งอย่างมีความสุข
“ในอนาคตอย่าทำให้ตัวเองป่วยอีกนะฝูซิง เข้าใจใช่ไหม! ถ้าหากลูกป่วยอีก แม่จะโยนลูกไปไว้ในถังขยะแทนแล้วนะ!” ฝูเจิ้งเจิ้งแสร้งทำเป็นโกรธ
“เข้าใจแล้ว!” ฝูซิงเมินเฉยต่อท่าทีโกรธนั้น และเริ่มออดอ้อนผู้เป็นแม่
ทั้งสองคุยกันอยู่พักใหญ่ๆ จนกระทั่งฝูซิงเริ่มง่วงขึ้นมา หลังจากที่เธอกล่อมเขาจนหลับไปแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็พบว่าเธอลืมเอาเครื่องวัดไข้ขึ้นมาด้วย เพราะงั้นจึงตัดสินใจเดินลงไปเพื่อจะหยิบมันขึ้นมา ทว่าเมื่อเดินลงไปด้านล่าง เสียงของหานซือฉีและจีหยาฉูที่กำลังคุยกันก็ลอยสวนขึ้นมา ฝูเจิ้งเจิ้งหยุดขาที่กำลังก้าวเดินทันทีเพื่อดักฟัง
“หลังจากที่ทานมื้อเย็นกับเค่อเหรินเสร็จแล้ว ลูกต้องรีบพาเธอกลับบ้านเร็วๆ เลยนะ” จีหยาฉูพูดด้วยความกังวลใจ “แม่ต้มซุปเห็ดหูหนูไว้ในครัวแล้ว”
“โอเคครับ” หานซือฉีตอบก่อนจะถามต่อ “ผมได้ยินว่าเสี่ยวเสี่ยวมาด้วย จะให้ไปเล่นกับซิงซิงหรือเปล่า?”
“ให้เล่นด้วยกันไม่ได้หรอก ซิงซิงยังไม่หายดี เดี๋ยวเสี่ยวเสี่ยวจะติดไข้ไปด้วย เดี๋ยวแม่ไปหาเธอเอง”
จากนั้นทั้งสองก็เดินออกไปด้วยกัน
ร่างบางที่แอบฟังอยู่ชั้นบนค่อยๆ เดินลงมาด้วยความโกรธ
สรุปแล้วที่ให้เธอไปอยู่ด้านบนนั้นก็เพราะว่าเฉียวเค่อเหรินกำลังจะมาทานข้าวเย็นที่นี่นั่นเอง!
ได้เลย! ฉันจะทำอาหารแสนอร่อยให้เธอกินเอง เค่อเหริน!
หญิงสาวย่องเบาเข้าไปในครัว แต่ไม่คาดคิดเลยว่า ในครัวที่มีอาหารถูกจัดเตรียมไว้สองหม้อแท้ๆ แต่กลับไม่มีใครอยู่เลย!
นี่มันทางสะดวก!
เธอเดินเข้าไปและหยิบเอาขวดเกลือและมัสตาร์ดที่อยู่ใกล้ๆ ก่อนจะกลับมาลังเลว่าจะโรยใส่หม้อไหนดีด้วยความตื่นเต้น
“เธอจะทำอะไรไม่ทราบ?”
ทันทีที่ได้ยินเสียง ฝูเจิ้งเจิ้งก็หันขวับกลับไปมอง แล้วก็พบว่าเจ้าของเสียงคือ หานซือฉี ที่ควรจะออกไปข้างนอกแล้วคนนั้น! ด้วยความตกใจ มันทำให้มือของเธอสั่นเทาพร้อมกับใบหน้าที่ดูอ้ำอึ้งกับสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้
——————————————————————————————————————–
คุยกับผู้แปล
เค้าบอกว่า เวรกรรมน่ะ ติดจรวด แต่นี่หล่อนยังไม่ได้ทำเลยนะ กรรมมารอถึงหน้าห้องครัวเลยเหรอ 555555555555