ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 96 ทำไมถึงไม่สวมเสื้อผ้าให้หนากว่านี้
นี่ฉันแกล้งยัยนี่มากเกินไปงั้นเหรอ?
ฝูเจิ้งเจิ้งเริ่มจะเป็นกังวลขึ้นมาบ้างแล้ว ในขณะที่เธอกำลังจะเคาะประตูห้องน้ำไปอีกครั้ง หานซือฉีก็เดินลงมาจากด้านบนพอดี
“เอ่อ…” ฝูเจิ้งเจิ้งชี้ไปทางห้องน้ำด้วยความรู้สึกผิดอยู่ลึกๆ
เขาเคาะประตูโดยไม่มองฝูเจิ้งเจิ้งก่อนจะพูดขึ้น “เค่อเหริน?”
“ซือฉี! นั่นคุณจริงๆ ใช่ไหมคะ!” เฉียวเค่อเหรินเหมือนกลับสู่โลกแห่งคนเป็นอีกครั้ง เธอตอบอย่างว่องไวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า
บ้าเอ๊ย! เอาความกังวลของฉันคืนมาเลย ยัยสำออย!
ถึงจะหงุดหงิดยังไง แต่ฝูเจิ้งเจิ้งก็รู้สึกโล่งใจอยู่ลึกๆ
“เธอเป็นอะไรไปน่ะ เค่อเหริน?” หานซือฉีถามด้วยความเป็นห่วงขณะที่เหลือบมองมายังฝูเจิ้งเจิ้งด้วยแววตาเย็นชา
มองทำไมยะ? คนที่ทำให้ยัยนั่นท้องเสียไม่ใช่ฉันซักหน่อย!
ในขณะที่ฝูเจิ้งเจิ้งกำลังจะกลอกตาใส่หานซือฉี เธอก็นึกอะไรขึ้นได้ว่าเธอนั้นทำให้เฉียวเค่อเหรินไม่สามารถพบหมอได้สำเร็จแล้ว เพราะงั้นเธอจึงรีบวิ่งขึ้นไปด้านบน
ทันทีที่เข้าไปในห้อง ฝูซิงก็วิ่งเข้ามาหาตน “หม่ามี๊ ได้บอกให้คุณหมอกลับไปหรือเปล่า?”
“หม่ามี๊ไม่ได้ให้เขาเข้ามาข้างในเลย”
“น้าเฉียวก็ยังไม่ออกมาจากห้องน้ำใช่ไหม?”
“ยังไม่ออก เพราะในห้องน้ำไม่มีทิชชู่ เธอก็เลยยังกระวนกระวายอยู่ในนั้น”
“เยี่ยมไปเลย! น้าเฉียวต้องโกรธมากแน่ๆ!” ฝูซิงปรบมือดีอกดีใจ
ฝูเจิ้งเจิ้งจงใจดึงหน้าอมทุกข์ “ฝูซิง! หม่ามี๊บอกแล้วใช่ไหมน่ะว่าให้ลูกเป็นเด็กดี ไม่แกล้งคนอื่น?”
เธอไม่อยากให้ฝูซิงแกล้งคนอื่นจนติดเป็นนิสัยนักหรอกนะ โดยเฉพาะแกล้งผู้หญิงเนี่ย
“ก็ฝูซิงไม่ชอบที่น้าเฉียวมาเกาะแกะป๊ะป๋านี่!”
“ห้ามทำแบบนี้อีกนะ!”
ฝูซิงหน้าบูดใส่เธอแล้วเดินกลับขึ้นเตียงไป “หม่ามี๊ ฝูซิงง่วงแล้ว ฟังอะไรไม่รู้เรื่องเลย”
เจ้าตัวแสบ!
ด้วยสิ่งที่เขาทำนั้น มันทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งไม่อาจให้เขาเห็นได้ว่าเธอกำลังมีความสุข เพราะงั้นเธอจึงรีบเข้าไปในห้องน้ำ ปิดประตูและเปิดก๊อกน้ำให้สุดเพื่อให้เสียงน้ำมันดังกลบทุกสิ่งก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างสุขใจ
อารมณ์ของฝูเจิ้งเจิ้งนั้นกำลังดีสุดๆ เธอฮัมเพลงอยู่แทบตลอดเวลา และฝูซิงเองก็ยังรับรู้เรื่องนี้ได้ผ่านน้ำเสียงที่ดูจะคึกมากๆ ของเธอตอนเล่านิทานให้เขาฟัง นิทานกว่า 10 เรื่องถูกถ่ายทอดออกมาในค่ำคืนเดียวโดยที่ตัวคนเล่านั้นแทบไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลยจนกระทั่งเวลาล่วงเข้าสู่เที่ยงคืน
——————————————————
ตะวันฉายแสงผ่านผืนฟ้าครามในเช้าวันใหม่แล้ว ทว่าทั้งฝูเจิ้งเจิ้งและฝูซิงยังคงหลับไหลอยู่ในฝันอันแสนหวานราวกับอดหลับอดนอนกันมาทั้งคืน
เสียงเคาะประตูเบาๆ ดังขึ้นก่อนจะตามมาด้วยเสียงของเด็กที่สดใสไม่แพ้เช้าวันใหม่ “ซิงซิง ตื่นหรือยาง?”
“หม่ามี๊! เสี่ยวเสี่ยวมา!” ฝูซิงลืมตาตื่นขึ้นมาทันทีพร้อมกับวิ่งไปเปิดประตู
“ใส่เสื้อผ้าก่อน!” ขณะที่ฝูเจิ้งเจิ้งตะโกนบอกนั้น ฝูซิงก็วิ่งเท้าเปล่าไปเปิดประตูเสียแล้ว
“ซิงซิง เธอหายดีหรือยัง? หม่ามี๊ของเสี่ยวเสี่ยวบอกว่าซิงซิงป่วย เลยทำให้เราเล่นด้วยกันไม่ได้”
“ฝูซิงหายไข้แล้ว! ฝูซิงแข็งแรงมากๆ!” ฝูซิงกำมือแน่นก่อนจะทำเป็นเบ่งกล้ามให้หานเสี่ยวเสี่ยวดู
“เยี่ยมไปเลย! ถ้างั้นเราก็ไปเล่นกันเถอะ!” หานเสี่ยวเสี่ยวร้องออกมาด้วยความดีอกดีใจ
หลังจากที่ฝูเจิ้งเจิ้งสวมชุดผ้าไหมให้ฝูซิงเรียบร้อยแล้ว เธอก็พบว่าคนที่มากับหานเสี่ยวเสี่ยวด้วยนั้นก็คือหานซือฉีนั่นเอง
เธอแอบมองเขาและพยายามเก็บอาการประหลาดใจเอาไว้ด้วย เพราะว่าเขาในวันนี้มีสีหน้าที่อ่อนโยนเอามากๆ
แต่เพราะเธอไม่อยากจะคุยอะไรกับเขา หลังจากที่แต่งตัวและล้างหน้ากับฝูซิงเสร็จแล้ว ทั้งสองก็ลงไปทานข้าวเช้าด้วยกัน
ครอบครัวของหานซือฉีมีความสุขมากๆ ที่เห็นฝูซิงกลับมาร่าเริงอีกครั้ง พวกเขาจึงพากันป้อนอาหารให้เด็กน้อยจนยุ่งกันไปหมดเลย
“ซิงซิง พวกเรายังไม่ได้พาคาสิโอไปเล่นในสวนเลย” หานเสี่ยวเสี่ยวก้มตัวลงมามองฝูซิงที่กำลังทานอาหารเช้าอยู่ที่โต๊ะ
“งั้นเดี๋ยวฝูซิงกินข้าวเสร็จแล้วพวกเราไปกันก็ได้” ฝูซิงพูดแล้วรีบทานอาหารตรงหน้าเข้าไปจนหมดทันที
ตอนนั้นเอง หานซือฉีก็เข้ามาที่นั่นพร้อมกับสุนัขฮัสกี้ขนปุยสีขาวตัวหนึ่ง
ฝูเจิ้งเจิ้งรีบรุดหน้าใช้ตัวเองกั้นระหว่างฝูซิงและสุนัขตัวดังกล่าวเพราะความกลัวที่ยังฝังลึกอยู่ในใจ เธอมองเจ้าขนปุยสีขาวตัวนี้ไม่ต่างอะไรกับศัตรูตัวฉกาจ
ภาพจำเมื่อตอนที่เธอต้องสู้กับสุนัขตัวใหญ่นั้นมันเป็นบทเรียนและฝันร้ายที่คอยตามติด ดังนั้นสุนัขทุกตัวในตอนนี้คือสิ่งที่ไม่เป็นมิตรกับเธอที่สุดแล้ว
อย่างไรก็ตาม ฝูซิงกลับเดินแยกไปแล้วกอดฮัสกี้สีขาวที่ดูไร้พิษภัยนั้นเอาไว้ “คาสิโอ คิดถึงฝูซิงไหม?”
คาสิโอถูหน้าไปกับใบหน้าของฝูซิงด้วยความเป็นมิตร ก่อนจะเลียตามแก้มนั้นอย่างสนิทสนม
หานเถิงอวี้เหลือบมองฝูเจิ้งเจิ้งก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ “คาสิโอน่ะฉลาดมากๆ และมันรู้ว่าใครเป็นครอบครัวของมัน”
เมื่อตระหนักได้ว่าตนได้ทำอะไรที่ไม่เหมาะสมลงไป ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบชักมือกลับก่อนจะสังเกตได้ว่าหานซือฉีนั้นกำลังมองตนด้วยสายตาเยาะเย้ยอยู่ ด้วยความเขินอายนั้น เธอรีบหยิบตะเกียบและชามข้าวขึ้นมาทานข้าวในทันที
หลังจากที่ออกมาจากห้องครัว ฝูเจิ้งเจิ้งก็พบว่าหานซือฉีนั้นพาเด็กๆ ออกไปด้านนอกเรียบร้อยแล้ว
ในขณะที่เธอเตรียมจะตามพวกเขาไปด้วย หานเถิงอวี้ก็เรียกให้หยุดไว้ก่อน “คุณฝู เรื่องที่ฉันเสนอไป เธอจะให้คำตอบหรือยัง?”
อ๋าาา คำถามนี้อีกแล้ว!
ฝูเจิ้งเจิ้งหยุดและหันไปพูด “ยังคิดเรื่องนั้นอยู่เลยค่ะ ไว้จะให้คำตอบใน 3 วันนะคะ”
เธออยากจะให้ข้อตกลงที่ทำไว้กับหานซือเซียนจบลงก่อน เมื่อไหร่ที่สร้อยคอมาอยู่ในมือเธอ ปัญหาอื่นก็คงจะง่ายไปเอง
“คุณฝู ฉันหวังว่าเธอจะสามารถให้คำตอบได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้นะ อย่างน้อยๆ เด็กคนนั้นจะได้ไม่ต้องทนรับความอับอายไปมากกว่านี้”
“เข้าใจแล้วค่ะ” เธอตอบก่อนจะเดินออกไป
เรื่องที่พวกเขาต้องการจะขับไล่เธอออกไปจากที่นี่หลังจากที่ฝูซิงแข็งแรงดีแล้วน่ะ มีเหรอที่เธอจะไม่รู้?
นี่มันอัดยายซื้อขนมยายชัดๆ !
หญิงสาวรีบก้าวเดินไปยังสวนเล็กๆ ด้วยความโกรธ
ฝูซิงและหานเสี่ยวเสี่ยวกำลังเล่นลูกบอลด้วยกันกับคาสิโออย่างมีความสุข ในขณะที่หานซือฉีเองก็กำลังนั่งอยู่ที่ม้านั่งใก้ลๆ นั้นเพื่อคอยดูเด็กๆ เล่นกันอย่างสงบสุขด้วย ฝูเจิ้งเจิ้งหยิบถุงอาหารปลาออกไป ก่อนจะเริ่มให้อาหารปลาเหล่านั้นเพื่อทำให้สมองเธอไม่คิดอะไร
ยามเมื่อลูกบอลกลิ้งมาทางฝูเจิ้งเจิ้ง คาสิโอก็วิ่งตามมาด้วยสัญชาตญาณ ทว่าฝูเจิ้งเจิ้งกลับหวาดกลัวและถอยหลังกลับไปหลายก้าว
“หม่ามี๊ คาสิโอไม่กัดหรอก!” ฝูซิงรีบวิ่งเข้ามาอธิบาย
หานซือฉีลุกขึ้นและเดินเข้ามา เขาช่วยพูดกับฝูซิงอีกทีหนึ่ง “หม่ามี๊ของลูกเพิ่งจะโดนหมากัดมาเมื่อไม่นานนี้ เพราะงั้นเธอยังกลัวหมาอยู่ ถ้ายังไงลูกพาคาสิโอกับเสี่ยวเสี่ยวไปเล่นทางนั้นนะ”
“โอเค” ฝูซิงมองไปยังแม่ของตนด้วยความประหลาดใจก่อนจะพาคาสิโอออกไปในที่สุด
“ฝันร้ายนั่นยังตามหลอกหลอนเธออยู่เหรอ?”
ฝูเจิ้งเจิ้งรู้ว่าเขากำลังถามเธอ เมื่อได้ยินแบบนั้นจึงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินและให้อาหารปลาต่อไป
ชายหนุ่มขมวดคิ้วมองไปยังผู้ที่ทำเป็นไม่สนใจหรืออยากจะคุยกับเขา แต่ในขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากพูดอะไร เสียงหวานก็ดังขึ้นมาไม่ไกลนัก “ซือฉีค๊า~!”
ทั้งสองหันไปมอง และเหมือนจะมีเพียงฝูเจิ้งเจิ้งที่ตกใจ นั่นเพราะว่าคนที่กำลังเข้ามานั้นก็คือเฉียวเค่อเหรินที่ถือกล่องอะไรบางอย่างมาด้วยนั่นเอง!
ทั้งๆ ที่เมื่อคืนก็ดูจะท้องเสียอย่างหนักแท้ๆ แต่ทำไมถึงกลับมาแข็งแรงได้เร็วขนาดนี้นะ?
เธอแอบมองเฉียวเค่อเหรินตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วก็พบว่าในวันนี้ เฉียวเค่อเหรินตกแต่งใบหน้าหวานสวยของเธอด้วยเครื่องสำอางชั้นยอด แถมยังสวมเสื้อขนสัตว์ตัวสั้นและกระโปรงที่ฟิตรัดรูปนั่นด้วย ราวกับว่าอยากจะอวดหุ่นสวยๆ นั่นอย่างนั้นแหละ
ใส่ชุดแบบนี้ในวันที่อากาศหนาวนี่ต้องเป็นคนยังไงกันน่ะ? คิดว่าความฮอตของเธอจะทำให้เธออบอุ่นขึ้นแม้ใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นเหรอ?
ขนาดฉันที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดี ยังไม่กล้าถอดเสื้อกันหนาวออกเลยนะ
หานซือฉีผู้ที่กำลังยืนอยู่ข้างๆ ฝูเจิ้งเจิ้งรีบเดินไปหาอีกฝ่ายและถามไถ่ตามมารยาท “เค่อเหริน เธอหายดีแล้วหรือไง? ฉันคิดว่าเธอจะนอนพักมากกว่านี้ซักหน่อยเลยไม่ขึ้นไปปลุก นี่กะว่าพาเด็กๆ ออกมาเล่นกับคาสิโอเสร็จแล้วก็จะไปเยี่ยมเธออีกทีอยู่เลย”
“ดีขึ้นมานิดหน่อยแล้วค่ะ!” เฉียวเค่อเหรินดูจะมีความสุขมากๆ กับสิ่งที่หานซือฉีพูด “ฉันคิดถึงคุณนะ เพราะซือฉีไม่ยอมมาฉันก็เลยมาหาเองเลยเป็นไง?”
“แสดงว่าเธอยังไม่หายดี แล้วทำไมถึงไม่แต่งตัวให้หนากว่านี้?” เขาค่อยๆ จัดเสื้อจัดผ้าที่ดูสั้นไปหมดของเธอให้เรียบร้อย เผื่อว่ามันจะยาวขึ้นมาบ้าง
“เป็นห่วงฉันขนาดนี้เลยเหรอคะเนี่ย ซือฉี~” ความสุขที่ระเบิดฟุ้งออกมาจากเฉียวเค่อเหรินนั้นหล่อหลอมกันเป็นชั้นบรรยากาศที่ปกคลุมเธอและหานซือฉีเอาไว้ ตลอดเวลาที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน เฉียวเค่อเหรินยิ้มเปล่งประกายสู้แดดไม่หยุดหย่อน แต่ทันใดนั้นเอง เธอก็ ‘ตระหนัก’ ได้ถึงการมีอยู่ของฝูเจิ้งเจิ้ง จึงหันไปทักทายด้วยรอยยิ้ม “อ้าว คุณฝูเองก็อยู่ที่นี่ด้วยเหรอคะ? ต้องขอโทษจริงๆ ฉันมองไม่เห็นคุณเลย”
ฝูเจิ้งเจิ้งยิ้มตอบกลับ “ไม่เป็นไรค่ะ คุณเฉียว ใส่ใจแค่สุขภาพตนเองก็พอ ช่วงนี้อากาศมันเย็น เดี๋ยวจะเป็นไข้แล้วท้องเสียเอาง่ายๆ นะคะ”
เฉียวเค่อเหรินเอนซบหานซือฉีในทันทีพร้อมกับพูด “ฉันไม่ป่วยง่ายๆ หรอกค่ะถ้ามีซือฉีดูแล”
เขาเองก็ลูบมือของเธอเบาๆ ด้วยเสมือนว่าจะช่วยยืนยันในสิ่งที่เฉียวเค่อเหรินพูด
อารมณ์ของฝูเจิ้งเจิ้งบูดขึ้นมาทันที เธอรีบหันหน้ากลับ
“น้าเฉียว นั่นกล่องเค้กของหนูใช่ไหมคะ?” เมื่อเห็นกล่องที่เฉียวเค่อเหรินถือมา หานเสี่ยวเสี่ยวก็รีบวิ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว
“ใช่แล้วจ้ะ! รสที่หนูชอบเลยนะ” เฉียวเค่อเหรินคลายแขนที่จับหานซือฉีไว้แล้วยื่นเค้กในมือเธอให้เด็กสาว “อยากทานหรือเปล่า~?”
“อยากค่ะ!” สาวน้อยเอ่ยปากรับคำ
ในขณะที่หานเสี่ยวเสี่ยวรับกล่องเค้กมาแล้วเตรียมจะเปิดนั้นเอง ฝูซิงก็เดินเข้ามาหยุดเอาไว้ก่อน “คุณครูของฝูซิงบอกไว้ว่า พวกเราไม่ควรรับของจากคนแปลกหน้านะ! มันอาจจะมียาพิษได้!”
เฉียวเค่อเหรินรู้สึกไม่มีความสุขขึ้นมาเล็กน้อย เธอกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่หานเสี่ยวเสี่ยวก็ชิงพูดให้ก่อน “เธอไม่ใช่คนแปลกหน้านะ คุณย่าบอกว่า อีกไม่นานเธอก็จะกลายมาเป็นน้าของเสี่ยวเสี่ยวแล้ว”
ได้ยินเช่นนั้นความทุกข์เมื่อครู่ก็หายไป พร้อมกับรอยยิ้มสดใสที่ปรากฏขึ้นมา เธอก้มลงไปช่วยเปิดเค้กก่อนจะพูด “ฉลาดมากจ้ะเสี่ยวเสี่ยว! เค้กที่น้าซื้อมาอร่อยมากเลยนะ ลองดูสิ”
หานเสี่ยวเสี่ยวถือช้อนขึ้นตักเค้กเป็นชิ้นเล็กๆ พอดีคำ แต่ในขณะที่กำลังจะนำเค้กเข้าปาก เธอก็พบว่าฝูซิงนั้นไม่พูดคุยเหมือนตามปกติ ดังนั้นเธอจึงจับมือฝูซิงไว้แล้วถามด้วยเสียงหวาน “เสี่ยวเสี่ยวกินได้ไหม ซิงซิง?”
“โฮ่ง โฮ่ง!” ระหว่างนั้นคาสิโอที่ฝูซิงจับไว้อยู่ก็จ้องมายังเค้กด้วยลิ้นที่ห้อยยาวออกมา
“คาสิโอก็หิวเหรอ? ฝูซิงอยากให้คาสิโอกินเค้กด้วยจัง!” เห็นเช่นนั้นฝูซิงก็พูดขึ้นมาทันที
“โอเค งั้นให้คาสิโอกินก่อน” หานเสี่ยวเสี่ยวพูดด้วยความไร้เดียงสาและส่งช้อนที่ตักเค้กไว้ให้คาสิโอ
ฮัสกี้สีขาวปุกปุยรีบเลียเค้กที่อยู่บนช้อนนั้นอย่างเอร็ดอร่อย ทำให้เด็กๆ ทั้งสองต่างพากันหัวเราะ พวกเขาเริ่มไม่สนใจกินเค้กด้วยตัวเองแล้ว ในตอนนี้ทั้งฝูซิงและหานเสี่ยวเสี่ยวต่างพากันป้อนเค้กให้คาสิโออย่างสนุกสนานแทน
ส่วนเจ้าของเค้กอย่างเฉียวเค่อเหรินก็ดูจะไม่พอใจเล็กน้อยที่เค้กของตนต้องถูกนำไปป้อนสุนัขเช่นนั้น
“เด็กๆ ยังไร้เดียงสานะ” หานซือฉีพูดเตือนสติเธอขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเขาก็หยิบช้อนมาจากมือของหานเสี่ยวเสี่ยวมาตักเค้ก แล้วหันกลับไปกระดิกช้อนดังกล่าวเพื่อเรียกคาสิโอให้มาหาตน “คาสิโอ มานี่สิ”
ทันทีที่ได้ยินเสียงเรียก คาสิโอก็รีบวิ่งเข้ามาหาแล้วกินเค้กที่ช้อนในมือหานซือฉีอย่างตะกละตะกลาม
เสี่ยวเสี่ยวหัวเราะร่าเริงที่ได้เห็นเช่นนั้น
เฉียวเค่อเหรินที่เห็นดังนั้นก็เดินไปหาหานซือฉีพลางพูดด้วยรอยยิ้ม “ซือฉี ให้ฉันป้อนบ้างสิคะ”
เขาหันมายิ้มให้ก่อนจะส่งช้อนให้เธอ
หานซือฉีหันไปหาเค้กที่อยู่ในมือฝูซิงและเตรียมจะไปหยิบมา
ฝูเจิ้งเจิ้งที่ยืนมองฝูซิงถือเค้กโดยที่มือนั้นสั่นไปมา เธอก็เกรงว่าเขาอาจจะทำเค้กเลอะเสื้อได้ จึงรีบเดินเข้าไปหมายจะเตือนเขา ทว่าหานซือฉีก็เข้ามาและหยิบเค้กออกไปจากมือเล็กๆ นั้นก่อน ด้วยเหตุนั้นมันเลยทำให้คนที่เค้กเลอะทั้งเสื้อและมือกลับกลายเป็นฝูเจิ้งเจิ้งแทน
“เดินดูตาม้าตาเรือหน่อยสิ!” หานซือฉีหันกลับมาจ้องเธอด้วยความโกรธ
เฮ้! ก็เห็นๆ อยู่ว่านายจงใจเอามาชนฉัน! ฮึ่ม!
แม้จะอยากมีปากมีเสียง แต่เพราะอีกฝ่ายดูจะไม่สนใจเธอเลย เพราะงั้นฝูเจิ้งเจิ้งเลยได้แค่ก่นด่าในใจ
หานซือฉีส่งเค้กให้เฉียวเค่อเหรินก่อนที่เขาจะจับขาหน้าของคาสิโอขึ้นและพลิกให้เจ้าสุนัขขนปุยตัวใหญ่นั้นพลิกลงไปนอนกับพื้น ทำให้เฉียวเค่อเหรินรู้สึกสนุกสนานที่ได้เห็นดังนั้น เธอหัวเราะออกมาอย่างจริงใจหลังจากที่แต่ก่อนแสร้งหัวเราะมาโดยตลอด
ฝูซิงและหานเสี่ยวเสี่ยวที่เห็นดังนั้นก็รีบวิ่งเข้ามาดูเข้ามาเล่นพร้อมกับหัวเราะไปกับเธอด้วย
ภาพของเสียงหัวเราะเหล่านี้ดูคล้ายกับภาพในอดีตที่ฝูเจิ้งเจิ้งเคยเห็นมากๆ เธอมองมายังเค้กที่เลอะมือ ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปยืนระหว่างเด็กๆ ทั้งสองคนและหานซือฉี ก่อนจะยื่นมือที่เลอะเค้กนั้นหมายจะให้คาสิโอเลียเค้กจากมือเธอไป ทว่าตอนนั้นเอง เจ้าฮัสกี้สีขาวก็เกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมา มันดิ้นไปมาพร้อมกับเห่าเสียงดัง
“เหวอ!?” เฉียวเค่อเหรินที่อยู่ใกล้ๆ ตกใจและรีบโยนเค้กในมือตนออกไปทางอื่น เธอกลัวและถอยหลังไปเรื่อยๆ จนถึงริมสระน้ำที่อยู่ใกล้ ร่างนั้นเสียหลักและหงายหลังลงไปในที่สุด
ฝูเจิ้งเจิ้งรีบดึงเด็กๆ ทั้ง 2 คนให้กลับมาหาเธออย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าความกลัวและตกใจที่เกิดขึ้นในทันทีนั้นจะทำให้ทั้งสองพลอยวิ่งเตลิดแล้วตกน้ำไปด้วย
หานซือฉีที่คุมคาซิโอไม่อยู่ก็เลือกที่จะปล่อยเจ้าสุนัขตัวใหญ่นี้ไปก่อนแล้วอุทานออกมา “ระวัง เค่อเหริน!”
————————————————————————————————————-
คุยกับผู้แปล
ให้ของหวานกับหมามันไม่ดีนา แต่ถ้าให้แล้วมีคนเจ็บช้ำ และคนนั้นเป็นเฉียวเค่อเหรินก็ให้ๆ ไปเหอะ เดี๋ยวค่อยพาหมาไปรักษาทีหลัง