ลูกซื้อพ่อให้แม่ - บทที่ 98 เป็นหวัดก็ไปพักผ่อนสิ!
บทที่ 98 เป็นหวัดก็ไปพักผ่อนสิ!
“ฉันได้ยินมาจากพี่ใหญ่ ว่าเธอจะยกกรรมสิทธ์การดูแลฝูซิงเพื่อแลกกับสร้อยคองั้นเหรอ? สร้อยคอนั่น คืออะไรกันแน่?” จีหมู่เซี่ยนเอ่ยถาม
ฝูเจิ้งเจิ้งถึงกับผงะ เขารู้อะไรมาหรือไงน่ะ?
หลังจากที่ชะงักไปครู่หนึ่ง ฝูเจิ้งเจิ้งก็ถามกลับไป “คุณจีคิดว่าครอบครัวของคุณจะยอมให้ฝูซิงมากับฉันเหรอคะ?”
คราวนี้จีหมู่เซี่ยนต้องเงียบไปบ้าง เขาจ้องมองเธอด้วยแววตาที่เฉียบคม
“สร้อยคอนั่นเป็นของดูต่างหน้าของคุณยายของฉัน และฉันให้มันกับซือฉีเพื่อเป็นสัญญารักที่มีต่อกัน แต่ตอนนี้เขากำลังจะแต่งงานกับคนอื่น ดังนั้นให้เขาเก็บไว้มันก็ไม่มีค่าอะไร ฉันไม่ควรจะเอามันกลับมาเหรอคะ?” หญิงสาวพูดต่อด้วยเสียงที่เบาลง ในขณะเดียวกันแววตาของเธอก็ดูเศร้าหมองด้วย “เพราะงั้นฉันจึงอยากได้สร้อยคอนั้นคืน ยังไงซะฉันก็คงจะไม่ได้ฝูซิงคืนมาแล้ว ช่วยคืนสร้อยคอนั้นมาให้ฉันดังเดิมก็ยังดี”
“แล้วสร้อยคอนั่นไปอยู่กับพี่ใหญ่ได้ยังไง?” เขายังคงไม่เชื่อ
“เมื่อตอนซือฉีเสียความทรงจำ พี่ใหญ่ของพวกคุณเป็นคนเก็บสร้อยคอนั้นไป ฉันเดาว่าเขาคงจะกลัวว่าซือฉีจะจำเรื่องราวเก่าๆ ได้ถ้าหากเขาเห็นสร้อยเส้นนั้น…เขาไม่อยากให้ซือฉีจำฉันได้” เมื่อเห็นว่าจีหมู่เซี่ยนยังคงไม่เชื่ออยู่ ฝูเจิ้งเจิ้งก็ยิ้มอย่างขมขื่น “คุณควรจะไปถามพี่ใหญ่ของคุณเองนะคะ”
“แล้วที่เธอพยายามเข้าใกล้ซือฉีก็เพียงเพื่อจะเอาสร้อยคืนเนี่ยเหรอ?”
“ถ้าได้แต่งงานกับซือฉีคงจะดีกว่าค่ะ” เธอหัวเราะออกมากับตัวเอง “ฉันรู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้แล้ว สิ่งที่ฉันหวังได้ตอนนี้ก็คือสร้อยคอของฉัน คุณไม่คิดว่าฉันควรทำเหรอคะ? แถมสร้อยคอนั่น ถ้าเฉียวเค่อเหรินเห็นก็น่าจะเป็นเรื่องอีก เพราะงั้นมันจะดีกว่าถ้ารีบๆ เอามาคืนฉันนะคะ”
คำตอบของฝูเจิ้งเจิ้งทำให้จีหมู่เซี่ยนถึงกับพูดไม่ออก ดังนั้นเธอจึงรีบยื่นมือออกไปโบกแท็กซี่ที่เข้ามาในทันที
———————————————————
เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้ว เธอก็พบว่าหลี่หงไม่อยู่ที่บ้านด้วย ด้วยความรู้สึกหงุดหงิดจากหลายๆ อย่าง ฝูเจิ้งเจิ้งจึงนั่งเงียบๆ คนเดียวบนโซฟาไปครึ่งค่อนวัน
เธอนั่งอยู่แบบเดิม ไม่ขยับไปไหนจนกระทั่งกริ่งประตูดังขึ้นในตอนกลางคืน
“สวัสดีครับคุณฝู คุณหานสั่งอาหารมาให้ครับ ช่วยเซ็นให้ด้วยครับ” คนที่กดกริ่งนั้นเป็นคนส่งข้าวนั่นเอง
จากหานซือฉีเหรอ?
พอบอกอาหารมาส่ง เธอก็นึกขึ้นได้เลยว่าตนเองยังไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่กลับมา
“ขอบคุณค่ะ” ฝูเจิ้งเจิ้งลุกขึ้นไปรับข้าวมาพร้อมรอยยิ้ม
หลังจากที่นำถุงข้าวนั้นกลับมาวางบนโต๊ะแล้ว ภาพของฝูซิงก็ลอยกลับเข้ามาให้คิดถึงอีก เธอกำลังกังวลว่าลูกชายจะอารมณ์ฉุนเฉียวแบบเมื่อตอนกลางวันอีกหรือเปล่า เขาจะได้ทานอะไรดีๆ บ้างไหม พอโทรไปถามหมินจงจู่ เธอก็ได้คำตอบว่าเขาไม่ได้เข้าไปที่รีสอร์ทเลยวันนี้ คิดแล้วคิดอีกมันก็เหลืออยู่แค่ทางเดียวนั่นก็คือเบอร์ของหานเถิงอวี้ที่วางทิ้งไว้ให้ตนบนโต๊ะจากวันก่อน
“สวัสดีค่ะ ฝูเจิ้งเจิ้งค่ะ”
“เธอตัดสินใจได้แล้วเหรอ?”
“ยังค่ะ ฉันแค่อยากจะรู้ว่าฝูซิงเป็นยังไงบ้าง เขากินอะไรบ้างหรือยัง? หรือว่ามีดื้อเหมือนเมื่อตอนกลางวันหรือ…”
“เขาสบายดี” ก่อนที่เธอจะได้พูดจบ หานเถิงอวี้ก็พูดตัดบทแล้ววางสายไป
ฝูเจิ้งเจิ้งเขวี้ยงโทรศัพท์ลงไปบนโซฟาด้วยความโกรธ เธอไม่มีอารมณ์ที่จะมากินข้าวแล้วเข้านอนในทันที
แต่เพราะความหงุดหงิด มันเลยทำให้หญิงสาวไม่สามารถตัดใจจากทุกอย่างแล้วหลับลงไปได้เสียที
อีกวันเดียวก็จะได้สร้อยคอนั้นมาแล้ว จากนั้นก็จะส่งสร้อยคอไปให้หยางเต๋า เท่านี้ก็จะสามารถพาฝูซิงกลับออกไปพร้อมกับเธอได้ ไปจากเมือง B และเป็นอิสระจากคนเหล่านี้!
ทว่า…ภายในใจของเธอก็ยังรู้สึกว่าเรื่องนี้มันไม่ง่ายอย่างที่คิด…แต่มันจะมีอะไรกันนะ…เหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงงั้นเหรอ?
อ๋า จีหมู่เซี่ยน… ลืมไปเลยว่าคนๆ นี้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย แถมยังเกี่ยวข้องในระดับที่สำคัญมากๆ ซะด้วย… เขาต้องไม่เชื่อเรื่องที่ฉันพูดง่ายๆ แน่
เป็นไปได้ว่าจีหมู่เซี่ยนเองก็อาจจะเคยเห็นจี้นั้นไปแล้ว แต่เขาก็คงไม่คิดว่านั่นคือกุญแจ ก็แหงสิ ขนาดฉันเองยังไม่คิดเลย…หลังจากนี้จี้นั่นต้องไม่ปลอดภัยแล้วแน่ๆ
เธอหวังเพียงแค่ว่าหานซือเซียนจะส่งสร้อยให้เธอก่อนที่จะถูกจีหมู่เซี่ยนสงสัย ไม่เช่นนั้นเรื่องนี้จะไม่จบลงเร็วๆ นี้แน่…ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ สิ่งที่เธอพยายามทำเพื่อหยางเต๋าก็จะยิ่งลดค่าลงเรื่อยๆ ต่อให้สิ่งของจะล้ำค่าแค่ไหน เมื่อถึงเวลานั้น เธอจะยังสู้หน้าเขาที่คอยแบกการถูกลงโทษแทนเธอได้หรือเปล่า?
การที่ได้แต่รอนี่มันแย่จริงๆ
หญิงสาวข่มตานอนอยู่บนเตียง แต่ในขณะที่กำลังนับแกะอยู่นั้นเอง เสียงของใครบางคนเปิดประตูเข้ามาก็ดังให้ได้ยิน ร่างที่กำลังนอนอยู่บนเตียงรีบลุกพรวดและเข้าไปหลบหลังประตูทันที
ขณะที่กำลังแอบฟังอยู่นั้น แสงไฟจากด้านนอกก็ถูกเปิดขึ้นพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่เข้าใกล้ห้องของเธอมาทีละนิดๆ ทันใดนั้นเอง ประตูก็เปิดออกและผู้ที่เข้ามาก็คือ หานซือฉี
“ยังไม่กินข้าวอีกเหรอ?” เขาขมวดคิ้วหลังจากที่เห็นว่าอาหารบนโต๊ะนั้นยังไม่ถูกแกะออกมาทานแม้แต่นิดเดียว
“ฉันยังไม่หิว”
“ทำไม?”
อย่างไรก็ตาม การที่ได้เห็นคนจากตระกูลหานในเวลานี้มันกลับทำให้เธอหงุดหงิดขึ้นมา ด้วยเหตุนี้ฝูเจิ้งเจิ้งจึงตะโกนออกไป “ก็บอกว่าฉันยังไม่หิว! ถ้านายหิวก็กินไปเลยสิ!”
“ได้ งั้นก็ไม่ต้องกินอะไรอีก” หานซือฉีเดินกลับไปยังโต๊ะ เขาเทอาหารเหล่านั้นใส่ถุงรวมกัน แม้ว่าถุงกระดาษนั้นจะไม่สามารถรองรับน้ำมันได้และทำให้มันหยดลงพื้นตลอดทาง เขาก็ไม่สนใจ หน้าต่างด้านนอกถูกเปิดออกพร้อมกับถุงอาหารที่ถูกโยนออกไปอย่างไม่ใยดี
ฝูเจิ้งเจิ้งที่เห็นดังนั้นก็ช็อกไป “เป็นบ้าอะไรไปอีก? แล้วถ้ามันไปโดนคนอื่นจะทำยังไง?”
“เดี๋ยวฉันจ่ายค่าทำขวัญให้”
“เฮอะ ก็สมเป็นคำพูดของพวกบ้านรวยอย่างนายดีนี่ ทำไมไม่โยนโต๊ะโยนเก้าอี้ลงไปด้วยเลยล่ะ?”
“จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เรื่องของเธอ ว่าแต่ตอนนี้น่ะ ถ้าจะให้โยนเธอลงไปด้วยฉันก็ทำได้” หานซือฉีหันกลับมาหาฝูเจิ้งเจิ้ง เขาเดินเข้าไปหาเธอช้าๆ ด้วยสีหน้าที่ดูโกรธเอามากๆ
“เสียสติไปแล้วหรือไง!” หญิงสาวกลอกตามองไปทางอื่นด้วยสีหน้าหน่ายใจ เธอแสดงให้เห็นชัดเจนว่าไม่อยากมีเรื่องกับเขา จากนั้นก็รีบสาวเท้าเดินไปยังห้องของตนทันที
ตอนต้องการฉันก็กระวนกระวายเชิญไปอย่างดี แต่พอไม่ต้องการก็เฉดหัวออกมาเหมือนขยะไม่มีค่า แล้วตอนนี้จะเอาอะไรอีก?
แม้ว่าห้องของเธอจะอยู่ตรงหน้าแล้ว แต่หานซือฉีก็คว้ามือและดึงให้เธอกลับไปหาเขาก่อนจะผลักร่างที่บอบบางนั้นเข้าประชิดกำแพงอย่างแรง
“เดี๋ยวนี้กล้าไปโดยที่ฉันยังพูดไม่จบงั้นเหรอ?”
“หานซือฉี! ฉันไม่ใช่ทั้งพนักงานแล้วก็คนรับใช้ของนายแล้วนะ! นายไม่มีสิทธิ์จะมาสั่งให้ฉันทำหรือไม่ทำอะไรทั้งนั้น!”
ใบหน้าที่จ้องมองเธอนั้นเยาะเย้ย “คิดจะตีตัวออกห่างจากฉันหรือไง? ลืมไปแล้วเหรอว่าเธอเป็นแม่ของลูกฉันน่ะ!”
“เหรอ? แล้วลืมหรือยังว่านายเองก็เป็นคู่หมั้นของคนอื่น? ไม่กลัวว่าถ้าพ่อตาของนายรู้แล้วจะฆ่านายหรือไง?”
อย่าคิดว่าฉันโง่นะ เมื่อตอนที่พ่อของนายต้องไปรับหน้าเติ้งอันอวี่นั่นน่ะ เห็นก็รู้ว่าหน้าเจื่อนไปเยอะ ถึงขนาดที่ต้องรีบไล่ฉันออกจากรีสอร์ท มันชัดเจนแล้วว่าขนาดแค่เติ้งอันอวี่ยังกดดันตระกูลหานได้ขนาดนั้น นับประสาอะไรกับเฉียวหยวนหานที่ยิ่งใหญ่กว่าเติ้งอันอวี่อีกหลายเท่าตัว?
หานซือฉีตั้งใจจะพูดอะไรซักอย่าง แต่เขาก็ดันจามออกมาเสียงดังเสียก่อน
“นายมีไข้เหรอ?” ได้ยินเช่นนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็ใจอ่อนลงมาทันที
เขาหยิบเอากระดาษทิชชู่ขึ้นมาเช็ดจมูกก่อนจะพูดอย่างเยือกเย็น “อยากรู้ว่าฉันมีไข้อยู่หรือเปล่าก็กระโดดลงไปในน้ำเย็นดูเองสิ จะได้รู้ว่าจะมีไข้หรือไม่มี”
“ช่วยสาวสวยซักคนนึง มันก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนอยู่แล้วนี่” เธอพูดเสียดสี
สมควรแล้วที่จะป่วย!
“ไม่พูดอออกมาเลยล่ะว่า ‘สมควรแล้วที่จะป่วย!’ ฮะ?” หานซือฉีค่อยๆ ยื่นหน้าเข้าใกล้เธอช้าๆ
ฝูเจิ้งเจิ้งรีบผลักหานซือฉีออกด้วยมือหนึ่ง ส่วนอีกมือก็ยกมือขึ้นปิดปากเอาไว้ก่อนจะพูด “อย่ามาใกล้ฉัน! ฉันไม่อยากติดหวัดด้วย!”
“ฉันเป็นไข้ก็เพราะเธอปล่อยฉันตกน้ำ ไม่คิดจะรับผิดชอบหน่อยหรือไง?”
บ้าเอ๊ย อีตาทึ่มนี่รู้ได้ยังไงน่ะ!?
“อย่ามาโทษมั่วซั่วน่า นายไม่รู้ตัวเองเลยหรือไงว่าตัวนายน่ะมันหนักขนาดไหน? หัดรู้ซะบ้างว่าฉันก็เป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ จะไปมีแรงดึงนายขึ้นมาจากน้ำได้ยังไง?”
ทันทีที่พูดจบ มือของเธอที่ปิดปากไว้ก็โดนดึงออกและแทนที่ด้วยริมฝีปากของหานซือฉีที่เข้าอุดปากเธอไว้อย่างรวดเร็ว
“อ๊ะ—” ฝูเจิ้งเจิ้งใช้มือที่ผลักอีกฝ่ายนั้นเปลี่ยนไปทุบอกของเขาแรงๆ อยู่หลายที แต่ก็ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจการกระทำนี้เลย
หลังจากที่เป็นฝ่ายเข้าจูบเธออยู่พักใหญ่ ในที่สุดหานซือฉีก็ยอมละจูบออกมาและหายใจอย่างแผ่วเบา
บ้าบอที่สุด! เป็นหวัดแท้ๆ ยังยัดเยียดจูบให้ฉันอีกงั้นเหรอ!? นายจงใจทำให้ฉันป่วยตามสินะ!
หรือว่าที่บอกอยากให้รับผิดชอบก็คือแบบนี้? จะเล่นแบบนี้ใช่ไหมหานซือฉี!
ได้! นายจะได้รับความรับผิดชอบจากฉัน!
ฉันจะรับผิดชอบจนนายสำลักในความดีของฉันเลย!
ขณะที่หานซือฉีกำลังพักหายใจอยู่นั้นเอง ฝูเจิ้งเจิ้งก็กระตุกมือเธอทั้งสองข้างออกแล้วโอบรอบคอของเขาไว้ ดึงให้ใบหน้าที่กำลังเหนื่อยหอบนั้นโน้มเข้าใกล้เธอพร้อมกับริมฝีปากที่สัมผัสกันอีกรอบ
ชายหนุ่มผู้ที่เป็นฝ่ายบุกมาตลอดตกใจเมื่อเธอเป็นฝ่ายรุกคืนใส่เขาบ้าง แต่ใช่ว่าเขาจะตกใจจนไม่ได้โต้ตอบ ริมฝีปากที่โดนรุกกลับมานั้นเริ่มพยายามหาช่องเอาคืน เขาค่อยๆ ทำให้จูบแห่งการประชดประชันนี่ยาวนานขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่หานซือฉีเตรียมจะละจูบนั้นอีกรอบ แขนที่โอบคอเขาของเธอก็ยังคงโอบไว้อยู่ดังเดิมราวกับติดกาวไว้
เธอคิดจะจูบฉันให้ขาดอากาศหายใจตายไปเลยงั้นเหรอ ฝูเจิ้งเจิ้ง?
ช่างเป็นผู้หญิงที่เหลี่ยมจัดนักนะ!
หางตาของหานซือฉี เห็นว่าอีกฝ่ายนั้นเพิ่งจะลุกขึ้นมาจากเตียง และเธอก็อยู่ในชุดนอนด้วย
เห็นทีคงต้องสั่งสอนให้รู้ซะแล้วมั้งว่าอย่ามาเล่นกับไฟถ้าตัวเองเป็นแค่ไม้ขีด
ทันทีทันใดที่ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกว่าอีกฝ่ายเริ่มจะรุกกลับ ด้วยความได้สติและตื่นกลัว เธอก็รีบผลักเขาออกอย่างรวดเร็ว
ทว่าผู้ที่เป็นฝ่ายรุกนั้นกลับกลายเป็นหานซือฉีไปแล้ว เธอในตอนนี้ก็ไม่ต่างกับเหยื่อที่ติดอยู่ในกับดักของพรานป่าหื่นกระหาย เขาใช้มือข้างเดียวนั้นรวบสองแขนเรียวของเธอไว้ได้อย่างง่ายดาย
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ หานซือฉี! ไม่เอาแล้ว!” เธอเริ่มดิ้นรนและร้องโวยวายออกมาด้วยความโกรธ
เขาหัวเราะเบาๆ ในลำคอก่อนจะพูด “เธอคิดว่ามันเป็นไปได้เหรอที่เธอพูดแล้วฉันจะยอมหยุดน่ะ? กฎของเกมนี้น่ะฉันเป็นคนเขียนมันเอง และฉันไม่เคยเขียนกฎงี่เง่าแบบนั้นลงไปหรอกนะ!”
แววตาที่เหมือนจะร้องไห้ของฝูเจิ้งเจิ้งเหลือบมองไปยังหานซือฉีที่ตอนนี้กลายเป็นคนเอาแต่ใจไปแล้วก่อนจะใช้หัวกระแทกเข้าไปที่ไหล่ของอีกฝ่ายแรงๆ “สารเลว!”
“เธอบอกว่าฉันสารเลวงั้นเหรอ?” ใบหน้าเข้มนั้นเลิกคิ้วก่อนจะขมวดกลับลงมาดังเดิม มืออีกข้างที่ยังว่างก็พยายามจะฉีกดึงเสื้อของเธอออกไปด้วย
“เฮ้ๆๆ!” หญิงสาวรีบกระชากมือออกมาเพื่อป้องกันตนเองจากการถูกกระทำในทันที ด้วยความโกรธและความอับอาย ฝูเจิ้งเจิ้งจำเป็นต้องตั้งสติดีๆ และหันมาใช้น้ำเสียงที่อ่อนลง เมื่อไม้แข็งไม่ได้ผล งั้นต้องใช้ไม่อ่อน “น-นายเป็นไข้นะ…นายไปนอนเดี๋ยวนี้! ห้ามขยับ แล้วก็ไปนอนดีๆ ซะ! เข้าใจหรือเปล่า?”
“ไม่รู้หรือไงว่าคนป่วยควรจะออกกำลังกายเยอะๆ น่ะ?” หานซือฉียิ้ม เขาจัดการอุ้มเธอขึ้น วิ่งเข้าไปในห้องแล้วโยนร่างบางลงไปบนเตียง โดยที่ไม่สนใจแม้เสียงร้องทัดทานของเธอ
ตลอดมาฝูเจิ้งเจิ้งเข้าใจว่าคนที่ป่วยน่ะก็จะกลายเป็นลูกแกะที่ว่านอนสอนง่าย ทว่าในวันนี้เธอรับรู้แล้วว่า หมาป่า ต่อให้ป่วยจะตาย หมาป่าก็ยังคงเป็นหมาป่าวันยันค่ำ!
“หลับตาซะ” เขากระซิบ
แม้ว่าใจเธอไม่อยากจะเชื่อฟังคำสั่งของเขา แต่ด้วยความรู้สึกและร่างกายของเธอ มันกลับยอมเชื่อฟังอีกฝ่ายแต่โดยดี เธอหลับตาพริ้มตามคำสั่งของคนข้างบน
“ดี!” หานซือฉีพึงพอใจขึ้นมาเมื่อเห็นเธอยอมเชื่อฟัง
เมื่อฝูเจิ้งเจิ้งหลับตาลงไปแล้ว เธอก็ได้ยินเสียงที่เอ่ยออกมาอย่างอ่อนโยน ทั้งสองค่อยๆ ปรับความเข้าใจกันด้วยห้วงเวลาสั้นๆ นั้น
เขามองไปยังหญิงสาวที่ยังหลับตาพริ้มก่อนจะสวมกอดเธอเอาไว้ด้วยความพออกพอใจ
“เฮ้…ปล่อยฉันน่า…” เธอพยายามผลักเขาออก แต่ดูท่าเขาจะไม่ยอม
“เฮ้!”
“ฉันไม่ได้ชื่อเฮ้”
“หานซือฉี! ปล่อยฉัน!”
ชายหนุ่มแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินและยังคงโอบกอดเธอไว้แน่นด้วยแขนข้างเดียว
เธอพยายามออกแรงดิ้นให้มากยิ่งขึ้นเมื่อเขาไม่ยอมปล่อย
“เธอยังไม่เหนื่อยเหรอ?” เสียงนุ่มนวลเอ่ยถามที่ข้างหู
ฝูเจิ้งเจิ้งไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับคนเอาแต่ใจมากนัก แต่ก็ใช่ว่าเธอจะไม่พูดอะไรเลย “ไร้สาระน่า! นายคิดว่ามนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ทำจากเหล็กเหมือนนายหรือยังไง? บ้าเอ๊ย! รีบๆ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้เลย!”
หานซือฉียิ้มมุมปากด้วยความภูมิใจ ทันใดนั้นก็พูดขึ้น “สัญญากับฉันก่อนว่าเธอจะไม่ใช้ยาอีก แล้วฉันจะปล่อยเธอไป”
“ฉันไม่ได้ป่วย ทำไมฉันต้องใช้…ยาด้วย…?” ในทันทีที่พูดออกไปแบบนั้น เธอถึงได้เข้าใจว่า ‘ใช้ยา’ ในความหมายของเขาคืออะไร ทันใดนั้นใบหน้าสวยก็แดงขึ้นก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยความโกรธ “หานซือฉี! นายมันเห็นแก่ตัว!”
“ฝูซิงน่ะทั้งฉลาดแล้วก็น่ารัก ฉันไม่ว่าอะไรหรอกนะถ้าจะมีลูกแบบนั้นอีกซักคนสองคน”
“แต่ฉันว่า! ฝูซิงน่ะเป็นเด็กฉลาด ไม่ต้องบอกก็รู้! ถ้านายรักเด็กมากล่ะก็ ไปขอคู่หมั้นของนายนู่นไป๊!”
คำพูดของเธอทำลายบรรยากาศที่อบอุ่นภายในห้องนั้นไปในพริบตา จากนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบลุกขึ้นจากที่นอนและจัดเสื้อผ้าของตนให้ดีๆ ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป
ทั้งที่หวังว่าหลังจากออกมา อีกฝ่ายก็คงจะไม่อยู่แล้ว ทว่าเมื่อออกมาหลังจากที่หายเข้าไปในห้องน้ำพักใหญ่ เธอก็พบว่าเขายังคงไม่ไปไหน และที่สำคัญ เขาดันหลับไปบนเตียงเธอทั้งแบบนั้นเลยด้วย!
หญิงสาวรีบเดินไปคว้าหมอนหมายจะเขวี้ยงปลุกให้เขาตื่น แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูจะหลับด้วยอาการที่ไม่ดีนัก ไม่ว่าจะด้วยการหายใจแบบคัดจมูกหรือสีหน้าที่ดูขมวดคิ้วเป็นระยะๆ ภายในใจมันก็ทลายกำแพงลงมา เธอจงใจทำให้เขาตกลงไปในน้ำเพราะอยากจะสั่งสอนบทเรียนซะบ้าง แต่ไม่คิดเลยคนคนนี้จะอ่อนแอถึงเพียงนี้!
ก-ก็สมควรแล้วนี่!
เมื่อพยายามข่มใจตนเองไม่ให้สงสารเขามากเกินไปเสร็จแล้ว เธอก็เดินเข้าไปช่วยจัดท่าจัดทางให้เขานอนสบายๆ หลังจากที่ได้พื้นที่เตียงคืนมาบ้าง เธอถึงยอมขึ้นไปนอนโดยทิ้งระยะห่างจากเขาไว้พอสมควร
ทว่าเพียงแค่ทิ้งตัวนอนลงไป ร่างนุ่มนิ่มของหญิงสาวก็ถูกรั้งตัวเข้าไปกอดในทันที!
บ้าจริง! เขาแกล้งหลับหรอกหรอเนี่ย! ฉันโดนหลอกอีกแล้วเหรอ!?
“อยู่นิ่งๆ แล้วรีบนอนซะ”
บอกตัวเองไปเลยย่ะประโยคนั้นน่ะ!
ฝูเจิ้งเจิ้งอยากจะดิ้นอีกรอบ แต่เขาก็เหมือนจะรู้ทันเธอและขู่ไว้เสียก่อน “ถ้าเธอยั่วโมโหฉัน เธอจะได้รู้ว่าเวลาใส่ชุดนอนแล้วไม่ได้นอนมันเป็นยังไง!”
ชุดพวกนั้นรู้จักอยู่แล้วย่ะ! ไม่ต้องเอามาขู่! รู้ทั้งรู้ว่าฉันไม่ชอบโดนขู่ ไม่ชอบโดนเอาเปรียบ แต่ก็ยังทำแบบนี้ใส่ฉันเหรอ! ฮึ่ย! หานซือฉี! คิดเหรอว่าฉันจะยอม!
ทว่า ฝูเจิ้งเจิ้งก็ยอมนอนนิ่งๆ ในอ้อมแขนของเขาแต่โดยดี
จริงๆ ได้หลับในอ้อมแขนของเขามันก็รู้สึกดีเหมือนกันนะ…
ไหนๆ เธอก็ตั้งใจจะหนีจากเขาไปในอีกไม่กี่วันข้างหน้าอยู่แล้ว เพราะงั้นตอนนี้ยอมตามใจเขาและเก็บสะสมความรู้สึกดีๆ เวลาที่ได้อยู่ด้วยกันไว้ซักหน่อยก็ได้
ไม่รู้แล้วว่าสิ่งที่ทำอยู่นี้ถูกหรือผิด และถึงรู้ก็ไม่สนใจด้วย ในตอนนี้น่ะ…ขอแค่ได้ปล่อยวางทุกอย่าง แล้วค่อยๆ หลับลงไปท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบอันหาได้ยากนี้ไปโดยดี
————————————————-
*ก๊อก ก๊อก ก๊อก*
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้น ปลุกทั้งฝูเจิ้งเจิ้งและหานซือฉีให้ตื่นขึ้นมาพร้อมกัน
—————————————————————————————————————-
คุยกับผู้แปล
ทำไมจู่ๆ คุณเจิ้งเจิ้งก็อยากผันตัวเองไปสู้กับหมาป่านะ? หรือว่าจริงๆแล้วหล่อนก็เป็นหมาป่า? เริ่มสงสัยแล้วว่าเมื่อ 6 ปีก่อน ใครกันแน่ที่เป็นหมาป่าจริงๆ