ลูกเขยมังกร Royal Dragon Husband - บทที่ 139 ประลองกัน
บทที่ 139 ประลองกัน
เฉินเฟิงกำลังเตรียมตัวกลับชางโจว หลี่ชวนโทรมาหาเขา
“คุณชายเฉิน เรื่องที่คุณให้สืบได้เรื่องแล้วครับ”
เฉินเฟิงขมวดคิ้วขึ้น และเพิ่งจะนึกขึ้นได้ แต่ก่อนเคยให้หลี่ชวนสืบเรื่องของจินลิ่วอาน
“ว่ามาเถอะ”
“คุณชายเฉิน จินลิ่วอานสามปีก่อนเคยร่วมแผนการลอบฆ่าคน ทว่าเรื่องที่พวกเขาลอบฆ่าใครและรายชื่อของคนที่ร่วมแผนการฆ่า ผมไม่ได้ไปสืบมาครับ ได้ยินความหมายของจินลิ่วอาน การลอบฆ่าคนสามปีก่อน มีคนเสนอรางวัลออกมา ดังนั้นตอนนี้คนที่ร่วมลอบฆ่าคนด้วย มีคนมากมายที่ไม่รู้ว่าคนที่ถูกลอบฆ่าเป็นใคร แม้กระทั่งเพราะว่าปิดหน้าไว้ตลอดเวลา พวกเขาที่เป็นผู้ลอบฆ่า ก็ไม่รู้ว่าฐานะของแต่ละคนคือใครครับ”หลี่ชวนพูดตามความจริง
“ตอนนี้จินลิ่วอานอยู่ไหน? ” เฉินเฟิงถามขึ้น สามปีก่อนคนพวกนั้นที่เคยลอบฆ่าเขา ทุกคนปิดหน้าหมดจริงๆ ตอนนั้นเขานึกว่าคนที่มาลอบฆ่าจะรู้จักซึ่งกันและกัน ทว่าถ้าเป็นการเสนอรางวัล งั้นไม่รู้จักซึ่งกันและกันก็เป็นเรื่องปกติ ทว่าพวกเขาวิชาการต่อสู้ที่พวกเขาใช้เฉินเฟิงรู้ดี ถ้าเจอกันอีกครั้ง เฉินเฟิงมีความมั่นใจว่าเขาสามารถรู้ว่าเป็นใคร
“คุณชายเฉิน ตอนนี้ต้องห้าโมงเย็น จินลิ่วอานจะพาศิษย์ในสำนักของเขาไปสถานที่ฝึกวิทยายุทธเห้าหรัน เพื่อไปร่วมการประลองกัน” หลี่ชวนเอ่ยพูดขึ้น
พอได้ยินความหมายของหลี่ชวน จินลิ่วอานพาศิษย์ของเขาไปสถานที่ฝึกวิทยายุทธเห้าหรัน แล้วยังไปต่อสู้กัน นี่ก็หมายความว่า จินลิ่วอานรู้สึกมั่นใจในตัวของศิษย์ตัวเองมาก และมั่นใจว่าจะชนะการประลอง
ทว่าตัวเองต้องไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้รู้สึก……..
เฉินเฟิงยิ้มขึ้น แล้วถามพิกัดของสถานที่ฝึกวิทยายุทธเห้าหรัน
พอได้ยินเฉินเฟิงจะไปสถานที่ฝึกวิทยายุทธเห้าหรัน หลี่ชวนจึงอดไม่ได้ที่จะเห็นใจจินลิ่วอาน เขาได้กลายเป็นจอมยุทธ์หั้วจิ้งมาไม่กี่วัน และยังไม่ทันได้เฉลิมฉลอง ก็ไปผิดใจกับเฉินเฟิงแล้ว นี่จินลิ่วอานกลัวไม่ตายหรือไง และยังคิดจะลอกหนังตัวเองอีก
ตอนสี่โมงเย็น เฉินเฟิงกำลังเตรียมตัวออกเดินทางจากโรงพยาบาล หลังจากเฉินเฟิงเดินจากไป ตรงหน้าประตูห้องผู้ป่วย มีเรือนร่างที่กำยำเพิ่มขึ้นหนึ่งคน นั่นก็คือผางตงฉี
บอร์ดี้การ์ดคนสนิทของหยางไท่ เป็นยอดฝีมือเบอร์หนึ่งของตระกูลหยาง!
จอมยุทธ์ที่มีวิธีการต่อสู้ที่อยู่ในระดับปานกลาง ในสายตาของยุทธภพในจินหลิง ก็ถูกจัดอยู่ในสิบอันดับแรกอยู่แล้ว
ผางตงฉีปรากฏตัวที่นี่ ทว่าไม่ใช่เพราะว่าอยากจะทำอะไรไม่ดีกับเสี้ยเมิ่งเหยา แต่เป็นการที่อยากจะมาปกป้องเสี้ยเมิ่งเหยาต่างหาก
เฉินเฟิงอยากจะให้หยางไท่ส่งคนไปปกป้องเสี้ยเมิ่งเหยา แน่นอนว่าหยางไท่เองก็ไม่อยากจะปล่อยปะละลาย จึงได้ส่งลูกน้องที่เก่งกาจที่สุดของตัวเองออกมา
การมาถึงของผางตงฉี ทำให้ในใจของเฉินเฟิงเองก็ได้รับคำตอบ ถ้าไม่งั้นเขาก็ไม่มีทางไปสถานที่ฝึกวิทยายุทธเห้าหรันในตอนนี้หรอก มีผางตงฉีอยู่ ต่อให้ตระกูลตู้จะทีมที่มาลอบฆ่า ก็อย่าคิดว่าจะสามารถทำร้ายเสี้ยเมิ่งเหยาได้
และจอมยุทธ์คือมีวิชาการต่อสู้อ้านจิ้งถึงขั้นกลางตอนปลาย และความว่องไวนั้นสามารถยกระดับขึ้นสูง ในระยะทางร้อยๆ เมตร ทว่าถ้ามีเสียงลมพัดหรือเสียงหญ้าโดนพัด เขาก็จะสามารถรับรู้ได้เป็นเวลาแรก
ขอบเขตของหมิงจิ้ง คือจอมยุทธ์ต้องควบคุมที่ออกแรงมากหรือน้อยในการตัดสินความเก่งกาจของจอมยุทธ์ และชกออกไปแค่หมัดเดียวก็ต้องใช้กำลังประมาณสามร้อยกิโลกรัม ความหนักเท่ากับม้าป่าหนึ่งตัวเลย และเพราะเป็นแบบนี้ จอมยุทธ์ที่ฝึกวิชาได้ตอนช่วงเริ่มแรกของหมิงจิ้ง จะต้องต้านแรงของม้าป่าที่พุ่งมาจากข้างหน้าได้
จนถึงขั้นสุดท้ายของหมิงจิ้ง สำหรับแรงที่ต้องควบคุมของจอมยุทธ์ จะสามารถชกแรงออกมาเป็นจำนวน 900 กิโลกรัม แล้วควบคุมแรงได้เป็นอย่างดีจะสามารถชกออกมาเป็น 1000 จนถึง 1100 กิโลกรัม 1000กิโลกรัม น้ำหนักจะหนักเท่ารถคันเล็กคันหนึ่ง จะคิดจะยกรถเล็กคนหนึ่ง โดยปกติแล้วต้องใช้ชายวัยกลางคนประตูเจ็ดแปดคน และจอมยุทธ์ที่อยู่ในขั้นสุดท้ายของหมิงจิ้ง แค่ต้องการมือข้างหนึ่ง และนี่ก็คือความแตกต่างของจอมยุทธ์และคนธรรมดา!
ในบุคคลทั่วไป คนที่สามารถฝึกศิลปะการต่อสู้ถึงขั้นตอนแรกเริ่มของหมิงจิ้ง การต่อสู้ยศแรกต้องไม่ล้ม ก็คงจะมีแค่นักมวยที่ระดับต้นๆ ของโลกแล้ว กำลังของพวกเขานั้นพุ่งสูง ส่วนก็จะมีกำลังถึง 230 สำหรับการใช้กำลัง พวกเขาก็จะมืออาชีพมากกว่า ทว่านักมวยมืออาชีพพวกนี้ ถึงแม้จะสามารถต่อสู้กับจอมยุทธ์ในระยะเริ่มแรกของการฝึกวิชาหมิงจิ้งและไม่ล้มแพ้ ทว่าถ้าอยากจะจู่โจมจอมยุทธ์ขั้นแรกของหมิงจิ้ง กลับเป็นการทำเรื่องที่เพ้อฝัน
เพราะว่าจอมยุทธ์ที่เรียกพวกเขาว่าจอมยุทธ์ ไม่ได้ใช้เพียงกำลัง จอมยุทธ์มีศิลปะการต่อสู้ที่สามารถใช้กำลังด้วยวิธีที่มืออาชีพ!
พวกนี้ไม่ใช่คนทั่วไปที่สามารถเข้าใจได้
ถึงแม้ส่วนมากจอมยุทธ์และบุคคลทั่วไปจะอยู่ในโลกใบเดียวกัน ทว่าถ้าพูดถึงข้อแตกต่างอย่างละเอียด โลกของจอมยุทธ์และโลกของบุคคลทั่วไป เป็นโลกคนละใบที่ไม่เหมือนจริงๆ!
ในโลกของศิลปะการต่อสู้มีกฎอย่างหนึ่ง นั่นก็คือการได้กลายเป็นจอมยุทธ์ และพยายามหลีกเลี่ยงการรบกวนจากบุคคลทั่วไป เพื่อที่จะต่อด้านมีคนตั้งใจเข้าใจแทรกแซงโดยวิธีการบีบบังคับ โลกของศิลปะการต่อสู้จึงต้องก่อตั้งองค์กรของศิลปะการต่อสู้โดยเฉพาะ เพื่อที่จะมาดูแลจอมยุทธ์
ถ้าไม่มีใครคอยดูแล โลกของบุคคลธรรมดาก็จะคงจะสร้างความวุ่นวายแต่เนิ่นๆ แล้ว
และเวลาหลายปีก่อน มีคนที่เป็นจอมยุทธ์ทั่วไปที่มีวิชาขั้นแรกของหมิงจิ้ง ก็ได้แอบแฝงตัวเข้าไปร่วมกีฬาโอลิมปิก กีฬาโอลิมปิกรุ่นนั้น เหรียญทองของกลุ่มกีฬาที่ใช้กำลัง แม้กระทั่งสถิติที่ได้บันทึกไว้ ไม่มีใครสามารถทำลาย
หลังจากเรื่องเกิดขึ้น โดยธรรมชาติแล้วก็จะทำให้ได้รับการประณามอย่างรุนแรงจาก สมาคมบูโดนานาชาติ ในท้ายที่สุดก็เป็นนายกของสมาคมบูโดของประเทศจีนที่ออกมาขอโทษและลงโทษนจอมยุทธ์ที่มีวิชาขั้นแรกของหมิงจิ้งอย่างรุนแรง ก่อนที่เรื่องจะถูกระงับ
ต้องรู้ว่า บนโลกใบนี้ ทว่าไม่เพียงแค่ประเทศจีนที่มีจอมยุทธ์ ในกลุ่มแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่น……. ส่วนมากประเทศที่สืบทอดมรดกอันยาวนานก็จะมีจอมยุทธ์อยู่แล้ว ทว่าก็แค่ชื่อเท่านั้นที่ไม่เหมือนกัน
สถานที่ฝึกวิทยายุทธเห้าหรัน ถูกตั้งอยู่เขตชานเมืองของจินหลิง ตอนที่เฉินเฟิงไปถึง ประตูของสถานที่ฝึกวิทยายุทธเห้าหรันแค่มีเยาวชนไม่กี่คนที่เฝ้าไว้ และเยาวชนพวกนั้น สวมใส่ชุดศิลปะการต่อสู้ที่สั่งทำเป็นพิเศษของสถานที่ฝึกวิทยายุทธเห้าหรัน และตรงบริเวณหน้าอกของเสื้อ มีคำว่าเห้าหรันที่ปักไว้สองคำ
เฉินเฟิงมองไป ก็สังเกตเห็นเยาวชนพวกนั้น ถึงแม้สถานที่ฝึกวิทยายุทธเห้าหรันจะมีลูกศิษย์อยู่มาก ทว่ากลับไม่มีใครที่เป็นจอมยุทธ์ ส่วนมากเป็นบุคคลทั่วไป จะบอกว่าลูกศิษย์พวกนี้แตกต่างอะไรจากบุคคลทั่วไป ก็มีเพียงหนึ่งข้อ นั่นก็คือพวกเขาดูมีชีวิตชีวากว่าบุคคลทั่วไป และดูมีกำลังมากกว่า
สำหรับเรื่องนี้ เฉินเฟิงก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจ บุคคลทั่วไปคนหนึ่ง ถ้าไม่มีพรสวรรค์แล้วอยากจะกลายเป็นจอมยุทธ์ งั่นก็ยากกว่าการเสด็จขึ้นสวรรค์ เยาวชนพวกนี้ ส่วนมากก็คือพวกที่ไม่มีอะไรทำในสังเกต พวกเขาไม่รู้แม้กระทั่งจอมยุทธ์คืออะไร
ดังนั้นที่ผ่านมาสถานที่ฝึกวิทยายุทธเห้าหรันก็ได้ พวกเขายังต้องการเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้เช่นเทควันโดและคาราเต้ เยาวชนเหล่านี้ล้วนเป็นลูกศิษย์ของสถานที่ฝึกวิทยายุทธเห้าหรัน พวกเขาไม่ใช่ลูกศิษย์แกนหลักของสถานที่ฝึกวิทยายุทธเห้าหรัน จึงไม่ได้สอนทักษะศิลปะการต่อสู้ที่แท้จริงให้พวกเขา เนื่องจากรากเหง้าของพวกเขาได้รับการสรุปแล้ว และเหตุผลที่พวกเขาได้รับการยอมรับการสอน ก็เป็นเพียงเพื่อหาค่าเล่าเรียนและเอามาเลี้ยงชีพนักบำเพ็ญเพียรเท่านั้น