ลูกเขยมังกร Royal Dragon Husband - บทที่ 141ซูหลิงยู่
บทที่ 141ซูหลิงยู่
พอเฉินเฟิงย่างก้าวเข้ามา ก็ดึงดูดความสนใจจากคนในสำนักทันที
ซูเห้าหรันขมวดคิ้วหนักขึ้น ท่าทีเฉินเฟิงสบายๆ ไม่น่าเป็นจอมยุทธ์ อีกทั้งอายุน้อยเพียงนี้ คนอย่างนี้จะรู้จักจินลิ่วอานได้อย่างไร?
“หนุ่มน้อยรู้จักจินลิ่วอานหรือ?” ซูเห้าหรันถาม แม้จะสงสัย หากแต่ซูเห้าหรันไม่อยากเสียมารยาท
เฉินเฟิงส่ายหน้าพลางว่า: “ยังไม่รู้จัก”
“งั้นหนุ่มน้อยมาตามหาจินลิ่วอานด้วยเหตุใด?” ซูเห้าหรันขมวดคิ้วถาม
“ประลองฝีมือ” เฉินเฟิงยิ้มน้อยๆ
สีหน้าซูเห้าหรันทะมึนลงทันที หาเรื่องจินลิ่วอาน? เจ้านี่ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วกระมัง
“พรืดฮะ”
ซูหลิงยู่กลั้นไม่ไหว และหัวเราะออกมาในที่สุด
“หนุ่มน้อยท่านนี้ ไม่รู้หรือว่าจินลิ่วอานเป็นใคร?” จ้าวตงสีหน้าตึงเครียด เขาสงสัยว่าเฉินเฟิงตั้งใจมาหาเรื่อง เขามิใช่จอมยุทธ์ กลับกล้ามาหาเรื่องจินลิ่วอาน กลัวว่าจินลิ่วอานแค่กระดิกนิ้วก็เอาชนะเฉินเฟิงได้โดยง่ายแล้ว
“รู้” เฉินเฟิงยิ้ม
“รู้กับผีสิ!” จ้าวตงประชดแดกดันใส่เฉินเฟิง: “หนุ่มน้อย ผมจะบอกคุณตามตรงละกัน จินลิ่วอานน่ะมิใช่คนที่คุณจะมาหาเรื่องได้ ถ้ารู้ตัวดี รีบไปจากสำนักเราซะ อย่ามาก่อความวุ่นวายที่นี่”
“ผมมาหาจินลิ่วอานเพื่อประลองฝีมือจริงๆ” เฉินเฟิงยิ้มเศร้า เหตุใดพูดความจริงแต่หาคนเชื่อมิได้เล่า
“ประลอง? มาหาที่ตายซะมากกว่า” จ้าวตงแค่นเสียงเยาะ
“นี่ คุณอา เป็นจอมยุทธ์หรอ?” เวลานี้ซูหลิงยู่แทรกเสียงกลั้วหัวเราะขึ้น
คุณอา? เฉินเฟิงลูบจมูก นี่เขาดูแก่ถึงเพียงนั้น?
“หลิงยู่!” ซูเห้าหรันถลึงตาใส่ซูหลิงยู่อย่างไม่พอใจ ยัยเด็กนี่นับวันยิ่งปากไม่มีหูรูดขึ้นทุกวัน เรื่องจอมยุทธ์มาบอกคนอื่นง่ายๆอย่างนี้ได้อย่างไร?
ซูหลิงยู่แลบลิ้นแหย หันไปทำหน้าทะเล้นใส่เฉินเฟิง
“คุณมีความแค้นอะไรกับจินลิ่วอานหรือ?” ซูเห้าหรันถาม เขาดูออกว่าเฉินเฟิงไม่ได้เป็นคนธรรมดา แต่เขาไม่เข้าใจว่า เฉินเฟิงไม่ได้เป็นจอมยุทธ์ด้วยซ้ำ เขามีเรื่องกับจินลิ่วอานได้ยังไง
“มีความแค้นนิดหน่อย”
“ต้องล้างแค้นให้ได้?” ซูเห้าหรันเลิกคิ้วถาม
“ต้องล้างแค้นให้ได้!” เฉินเฟิงยืนยัน
ซูเห้าหรันถอนหายใจยาวพลางว่า: “เชื่อผมพูดเถอะ รีบไปจากสำนักเราซะ จินลิ่วอานมิใช่คนที่คุณจะต่อกรได้”
“ไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไรเล่า” เฉินเฟิงยิ้ม คำพูดของซูเห้าหรันหวังดีต่อเขา หากแต่ดูถูกเขามากเกินไป
ซูเห้าหรันขมวดคิ้ว รู้สึกไม่พอใจเฉินเฟิง ตนพูดอย่างชัดแจ้งอย่างนี้แล้ว เหตุใดเฉินเฟิงกลับมิยอมรับฟังเลย
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นเชิญตามสบายเลย” ซูเห้าหรันน้ำเสียงเย็นชา เฉินเฟิงอยากหาเรื่องตายเอง เขาก็ไม่ห้ามหรอก
“ได้” เฉินเฟิงยิ้ม เดินไปอีกทาง
ส่วนจ้าวตงเริ่มเตรียมความพร้อมก่อนผู้อื่น เพื่อการต่อสู้ที่กำลังจะมาถึง
ไม่มีผู้ใดทักทายเฉินเฟิงเลย เฉินเฟิงเลยได้ความสงบ เขาเริ่มลอบดูสำนักนี้ สถานที่ฝึกวิทยายุทธเห้าหรันนี้ประดับตกแต่งได้เยี่ยมยอดมาก
เสาฝึกยุทธ กระสอบทรายและอีกมากมาย สิ่งใดควรมีก็มีหมด
ตอนนี้สายตาเฉินเฟงตกไปอยู่ที่กระสอบทรายถุงหนึ่งกลางสำนัก มันเป็นกระสอบทราย แต่ดูแล้วมิเหมือนเลย
เพราะสิ่งที่อยู่ในถุงมิใช่ทราย หากเป็นทรายเหล็ก
ใช่ ทรายเหล็ก
กระสอบทรายที่ใส่ทรายเหล็กไว้เต็ม สูงราวสองเมตร กว้างราวท่อน้ำ
แค่แขวนอยู่ตรงนั้น ก็ให้ความรู้สึกหนักอึ้งแล้ว
ถุงกระสอบทรายปกติด้านข้าง มีทั้งสิบกิโล ยี่สิบกิโล สามสิบกิโล กระสอบทรายธรรมดาพวกนี้มีไว้ให้ศิษย์ในสำนักฝึกซ้อม
และยังมีถุงทรายขนาดห้าสิบกิโลและแปดสิบกิโลสำหรับให้จอมยุทธ์ฝึก
และกระสอบทรายเหล็กเบื้องหน้าเฉินเฟิงนี้ มองดูน่าจะหนักราวห้าร้อยกิโล อย่าว่าแต่จะเอามาฝึกเลย ให้ขยับยังยาก
“นี่ คุณอา มองอะไรน่ะ?” เวลานี้มีเสียงแทรกขึ้นมา ไม่ต้องหันกลับไป เฉินเฟิงก็รู้ว่าเป็นสาวน้อยท่านั้น
“มองกระสอบทราย” เฉินเฟิงตอบเสียงเรียบ กระสอบทรายเหล็กชนิดนี้ ที่สำนักของบ้านเฉินก็มี แต่กระสอบทรายเหล็กของบ้านเฉินดูหนักกว่านี้มาก น้ำหนักราวหนึ่งพันกิโล
ซูหลิงยู่แอบมองบน: “ข้ารู้ว่าท่านกำลังมองกระสอบทราย”
“รู้แล้วไยเจ้าถึงถาม?” เฉินเฟิงยิ้ม
ซูหลิงยู่กัดฟันกรอด: “นี่ คุณอา ท่านพูดอะไรน่ะ?”
“ทำไมรึ?” เฉินเฟิงทำหน้างุนงง
“ไม่มีอะไร!” ซูหลิงยู่โกรธกระทีบเท้า เจ้านี่โง่ชะมัด
“อ้อ” เฉินเฟิงรับคำ ก่อนหันมามองกระสอบทรายเหล็กต่อ
เห็นเฉินเฟิงไม่สนใจเธอ ซูหลิงยู่โกรธมาก กระสอบทรายเหล็กมีอะไรน่าดู น่าดูกว่าข้างั้นรึ?
ไม่ได้ ต้องกลั่นแกล้งเจ้าโง่คนนี้! ซูหลิงยู่โกรธขึ้ง เธอรู้สึกว่าตัวเองต้องสั่งสอนความไร้มารยาทของเฉินเฟิงสักหน่อย
“คุณอา ท่านอยากลองสัมผัสกระสอบทรายนี้หน่อยไหม?” ซูหลิงยู่กลอกตาไปมา
“หืม? ลองอย่างไร?” เฉินเฟิงจ้องตาซูหลิงยู่อย่างหยอกล้อ
การถูกเฉินเฟิงจ้องมอง ไม่รู้เพราะเหตุใด ซูหลิงยู่รู้สึกหวั่นพิกล แต่ยังพูดหน้าตาจริงจังว่า: “ใช้หมัดทดสอบยังไงล่ะ คุณอา ท่านลองชกเต็มแรงเหมือนกระสอบทรายทั่วไป ชกกระสอบทรายเหล็กนี่ จะได้รับรู้สัมผัสอย่างไรเล่า”
“งั้นหรือ?” แววตาขำของเฉินเฟิงมากขึ้น สาวน้อยนี่กล้าคิดแกล้งตน อยากหัวเราะเยาะหากตนทำไม่สำเร็จ
นี่เป็นกระสอบทรายเหล็กหนักห้าร้อยกิโล คนธรรมดาชกไปหนึ่งหมัด อย่างน้อยกำปั้นต้องได้รับเคล็ด ถ้าหนักหน่อยอาจถึงขั้นกระดูกหักได้เลย
เพราะในกระสอบนี้บรรจุทรายเหล็ก เจ้าใช้หมัดชกเข้าไป ก็เหมือนเอาหมัดไปชกแผ่นเหล็ก คนธรรมดาชกแผ่นเหล็ก มีหรือจะไม่เจ็บ?
“ใช่ไง” ซูหลิงยู่พูดจริงจัง
“งั้นได้ ข้าจะลองดู” เฉินเฟิงยิ้ม
“ฮิๆ คุณอาสู้ๆ” ซูหลิงยู่ยิ้มฮิๆ สายตางามส่อแววสมใจ รับรองเลยว่า เฉินเฟิงชกหมัดหนึ่งไป ต้องเจ็บจนร้องโอดโอยแน่ ไม่แน่อาจทำกำปั้นเป็นแผลด้วย ถึงเวลานั้น หากเฉินเฟิงยอมขอร้องเธอให้ส่งเขาไปโรงหมอ เธอจะปฏิเสธเขาแน่นอน
เฉินเฟิงเดินไปที่หน้ากระสอบทรายเหล็ก มองกำปั้นตนเอง เตรียมออกหมัด
“ช้าก่อน!”
เห็นเฉินเฟิงทำท่าออกหมัด ซูหลิงยู่รีบร้องห้าม
เฉินเฟิงมองซูหลิงยู่อย่างงุนงง สาวน้อยนี่จะทำไมอีก
“คุณอา ท่าทางท่านไม่ถูกต้อง”
ซูหลิงยู่เดินเข้ามาช่วยจัดท่าให้เฉินเฟิงอย่าง ‘หวังดี’: “คุณอา การชกกระสอบทรายต้องอาศัยแรงจากส่วนเอว ดังนั้นท่านต้องยืนมั่นท่าขี่ม้า เอวจะได้ส่งแรงได้ ท่านยืนตรงชกแบบนี้ออกแรงมิได้หรอก”