ลูกเขยมังกร Royal Dragon Husband - บทที่ 146 เฉินเฟิงเป็นแบ็คสำคัญ
บทที่ 146 เฉินเฟิงเป็นแบ็คสำคัญ
“ระดับต้นหมิงจิ้งแล้วยังไงล่ะ ระดับต้นหมิงจิ้งจะสู้ระดับกลางหมิงจิ้งไม่ได้หรือไง?” เฉินเฟิงพูดหน้าจริงจัง บางทีในสายตาซูหลิงยู่ ระดับต้นหมิงจิ้ง กับระดับกลางหมิงจิ้ง มันมีทางขวางกั้นที่ไม่อาจข้ามได้ แต่สำหรับเขาแล้วทางที่ว่านี่เป็นแค่คูน้ำเล็กๆ ยกเท้าก็ก้าวข้ามได้แล้ว ตั้งแต่เขาเริ่มฝึกยุทธ ข้อเรียกร้องที่เซียวกั่วจงมีต่อเขาคือต้องยืนหนึ่งไร้คู่ต่อสู้ในระดับเดียวกัน
ดังนั้นในแต่ละระดับของเฉินเฟิง เขาสู้มายิบตา สำหรับเขาแล้ว การที่ระดับต้นหมิงจิ้งจะสู้กับระดับกลางหมิงจิ้ง มันง่ายมากเลย
“ได้ได้ได้ คุณอา ฉันเชื่ออา อาสามารถสู้กับคนระดับกลางหมิงจิ้งได้สบายเลยใช่ไหม” ซูหลิงยู่ยิ้มร่า แต่ในใจตัดสินใจแล้วว่า ไม่สามารถวางเดิมพันไปที่เฉินเฟิงคนเดียวได้ ถ้าอีกเดี๋ยวสถานการณ์ดูไม่ดี เธอจะรีบไปจองตั๋วไปแอฟริกา หนีจากจินหลิงซะคืนนี้เลย
เฉินเฟิงดูออกถึงแววตาไม่มั่นใจของซูหลิงยู่ แต่เขาขี้เกียจอธิบายอะไร รอเขาขึ้นเวทีประลอง เรื่องมันจะเปิดเผยออกมาเอง
“คุณอา พวกเราไปกันเถอะ การประลองเริ่มขึ้นแล้ว” ซูหลิงยู่ดึงแขนเสื้อเฉินเฟิงพลางบอก
ทั้งคู่มาที่หน้าเวที
ถึงพวกจ้าวตงยังคงไม่เชื่อว่าเฉินเฟิงเป็นจอมยุทธ์ แต่ในเมื่อซูหลิงยู่พูดแบบนี้แล้ว พวกเขาก็ตัดสินใจให้เฉินเฟิงขึ้นแทนเฝิงหยวน เพียงแต่ให้เขาเป็นแบ็ค ขึ้นประลองเป็นคู่สุดท้าย
แน่นอนว่าให้เฉินเฟิงเป็นแบ็ค ไม่ใช่เชื่อมือเฉินเฟิง แต่หวังให้เฉินเฟิงยอมถอนตัวไปเองหลังดูการประลองอันดุเดือดทั้งสี่รอบ
ทางด้านสถานที่ฝึกวิทยายุทธเห้าหรัน คนแรกที่ขึ้นประลองคือลูยวนศิษย์คนรองของซูเห้าหรัน
ลูยวน เป็นยอดฝีมืออันดับสอง รองจากจ้าวตงของสถานที่ฝึกวิทยายุทธเห้าหรัน
ก่อนหน้านี้ที่จะให้ลูยวนขึ้นประลอง คือหวังให้สถานที่ฝึกวิทยายุทธเห้าหรันได้เปรียบ เพราะการมีชัยครั้งแรกจะเป็นการเรียกขวัญกำลังใจให้กับทุกคน
“ศิษย์พี่ลูยวนขึ้นประลอง ถ้าสถานที่ฝึกวิทยายุทธจินกังไม่ส่งต้วนหงกับฉางชิงขึ้นประลอง งั้นศิษย์พี่ลูยวนน่าจะชนะได้ไม่ยาก” ซูหลิงยู่สวดมนต์ภาวนาอยู่ข้างๆ เธอรู้จักผู้ประลองของสองสำนักดี ลูยวนค้างอยู่ระดับต้นหมิงจิ้งมาห้าปีแล้ว ดังนั้นถือเป็นระดับต้นหมิงจิ้งรุ่นเก่าแล้ว ประสบการณ์การต่อสู้ช่ำชองอยู่
ส่วนต้วนหงกับฉางชิงเป็นศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่รองของจินลิ่วอาน ต้วนหงเป็นระดับกลางหมิงจิ้ง และฉางชิงเป็นระดับต้นหมิงจิ้ง ต้วนหงนั้นไม่ต้องพูดถึงเลย ระดับกลางหมิงจิ้งเป็นไพ่ใบสำคัญที่สุดของสถานที่ฝึกวิทยายุทธจินกัง สำหรับสถานที่ฝึกวิทยายุทธเห้าหรันแล้ว แทบจะเรียกได้ว่าไร้คู่ต่อสู้
และฉางชิง ถึงจะเป็นระดับต้นหมิงจิ้ง แต่ประสบการณ์การต่อสู้กลับสูงกว่าต้วนหงมากนัก ลูยวนสู้กับเขา โอกาสชนะไม่ถึงสามสิบเปอร์เซ็นต์
สถานที่ฝึกวิทยายุทธเห้าหรันต้องหวังอยู่แล้วว่า สถานที่ฝึกวิทยายุทธจินกังจะไม่ส่งต้วนหงกับฉางชิงขึ้นประเดิมการประลองแรก อย่างนี้สำนักเราถึงจะมีหวังชนะซักรอบ
ใช่ ซักรอบ แค่รอบเดียว
พวกจ้าวตงไม่คิดอยู่แล้วว่าจะประลองกับพวกเขาถึงรอบที่ห้า เพราะความสามารถพวกเขาไม่ถึง
ความหวังเดียวของพวกเขาคือ ไม่ยอมถูกพวกสถานที่ฝึกวิทยายุทธจินกังโกนหัว
ถ้าแพ้หมดห้ารอบ สถานที่ฝึกวิทยายุทธเห้าหรันขายหน้าไม่เหลือดีแน่
ส่วนเรื่องที่ถ้าสถานที่ฝึกวิทยายุทธเห้าหรันแพ้ ซูหลิงยู่จะต้องแต่งงานออกไป พวกเขาไม่ค่อยกังวลเรื่องนี้ พวกเขารู้ดีว่า ซูเห้าหรันอยากให้ซูหลิงยู่แต่งไป เห็นแก่หน้าซูเห้าหรันพวกเขาไม่กล้าไม่ไว้หน้านี่นะ
ไม่นาน พวกสถานที่ฝึกวิทยายุทธจินกังส่งคนขึ้นประลอง เป็นชายหนุ่มตัวเตี้ยเล็ก ไม่ใช่ต้วนหงกับฉางชิง
พอเห็นชายหนุ่มตัวเตี้ยเล็ก ซูหลิงยู่แอบใจชื้นขึ้น: “นั่นจางซานเย่า!”
“คุณอา ศิษย์พี่ลูยวนชนะแน่ คนที่พวกสถานที่ฝึกวิทยายุทธจินกังส่งขึ้นมาประลองชื่อจางซานเย่า เป็นศิษย์คนที่ห้าของจินลิ่วอาน ปีที่แล้วเขาเคยประลองกับศิษย์พี่ลูยวน แต่ทนไม่ถึงสิบกระบวนท่าด้วยซ้ำ”
เห็นท่าทีตื่นเต้นของซูหลิงยู่แล้วเฉินเฟิงอดส่ายหน้าไม่ได้ ยัยเด็กนี่ดีใจเร็วไปแล้ว
บางทีปีที่แล้วฝีมือลูยวนอาจจะเก่งกว่าจางซานเย่าจริงๆ
แต่ปีนี้ จางซานเย่าคนนี้กลับแสดงออกอย่างเห็นได้ชัดถึงความเปลี่ยนแปลง ดูสุขุมนุ่มลึก แววตามั่นใจ แถมฝีมือก็พัฒนาไปถึงสุดขอบระดับต้นหมิงจิ้ง แทบจะก้าวข้ามไประดับกลางแล้ว
พอหันมาดูลูยวน ถึงจะค้างเติ่งที่ระดับต้นหมิงจิ้งหลายปี แต่กลับขาดความมุ่งมั่น แทบจะเรียกว่าชะงักค้าง
ด้านออร่า ลูยวนดูด้อยกว่าจางซานเย่ามากโข ทั้งคู่มาเจอกัน ไม่เกินห้ากระบวนท่า ลูยวนน่าจะไม่รอด
ทั้งหมดนี้แน่นอนว่าซูหลิงยู่ดูไม่ออก อย่าว่าแต่ซูหลิงยู่เลย หมดสถานที่ฝึกวิทยายุทธเห้าหรัน รวมทั้งตัวซูเห้าหรันด้วย สีหน้าแสดงออกถึงความมั่นใจสุด คิดกันไปแล้วว่ารอบประลองนี้ของลูยวนต้องชนะแน่
มุมปากจินลิ่วอานกลับมีแววยิ้มเยาะ
บนเวที จางซานเย่าสีหน้าไร้อารมณ์ ลูยวนที่อยู่ตรงข้าม กลับซ่อนสีหน้าดีใจไว้ไม่มิด
“พี่ซานเย่า พี่วางใจได้ ปีนี้ผมจะออมมือไว้นะ” ลูยวนยิ้มบอก ปีที่แล้วเขาประลองกับจางซานเย่า จางซานเย่าไม่ยอมแพ้ เลยโดนเขาพลั้งมือหักกระดูกไปสองท่อน ได้ยินว่าพอจางซานเย่ากลับไป ต้องนอนพักบนเตียงนานถึงหนึ่งเดือนกว่าจะลงจากเตียงได้
จางซานเย่ายิ้มเย็น: “ลูยวน ถ้านายอยากตายล่ะก็ เชิญออมมือได้เลย!”
“หือ?” ลูยวนเลิกคิ้ว “พี่ซานเย่า พี่พูดงี้หมายความว่ายังไง?”
“อีกเดี๋ยวนายก็จะรู้แล้ว” จางซานเย่าแค่นเสียงหึ ปีที่แล้วหลังจากพ่ายแพ้ให้แก่ลูยวน เขาก็สลักชื่อมันไว้หัวเตียงเพื่อเตือนใจตัวเองให้จดจำความอัปยศในครั้งนี้ไว้
ปีนี้บางทีคนที่ก้าวหน้าได้ไวที่สุดอาจจะไม่ใช่เขา แต่คนที่ฝึกฝนหนักที่สุดเป็นเขาแน่นอน!
ลงทุนแล้วย่อมได้ผลตอบแทน เขาพัฒนากำลังแรงสูงจนถึงสามร้อยห้าสิบกิโล แทบจะเป็นระดับสูงสุดของจอมยุทธ์หมิงจิ้ง บวกกับหลายวันก่อนหลังจากจินลิ่วอานบรรลุอ้านจิ้ง ได้ชี้แนะหลักการต่อสู้ของพละกำลังกับเขาหลายท่า เรียกได้ว่า เขาในตอนนี้ถือเป็นกลุ่มสุดยอดของจอมยุทธ์ระดับต้นหมิงจิ้ง
ไอ้โง่ลูยวน กลับกล้าดูเบาเขา ช่างไม่รู้จักคำว่าตายซะแล้ว!
“เอาล่ะ เริ่มประลองได้!” สิ้นเสียงจ้าวตง การประลองของทั้งคู่ได้เริ่มต้นขึ้น!
ลูยวนเริ่มก่อน เขาเตะไปอย่างแรง เหมือนธนูที่หลุดจากคันธนู ไปทางจางซานเย่า
“ไม่มีฝีมือยังกล้าเหิมเกริม!”
จางซานเย่าออกหมัดหลบเท้าลูยวนได้ และหมัดของเขากระแทกเข้าดั้งจมูกลูยวนเข้าอย่างจัง
ลูยวนสีหน้าเปลี่ยนสี ทำไมแกร่งแบบนี้? !
เขารู้สึกว่าหมัดนี้ของจางซานเย่าแทบจะปิดหนทางหนีรอดของเขาไว้หมดแล้ว!
ด้วยความรีบร้อน ลูยวนรีบเบนหัวหลบหมัดบรรลัยกัลป์ของจางซานเย่า
แต่จางซานเย่าเหมือนคาดเดาไว้ก่อนแล้ว จังหวะที่เขาเบนหัวหลบ ก็เปลี่ยนหมัดเป็นฝ่ามือ
“เพี๊ยะ” ดังขึ้น
จางซานเย่าตบเข้าที่หน้าลูยวนอย่างหนักหนึ่งฉาด จนฟันร่วงไปสี่ห้าซี่ ใบหน้าหล่อเหลานั่นเผยรอยฝ่ามือห้านิ้วชัดเจน