ลูกเขยมังกร Royal Dragon Husband - บทที่ 30 เสือดุร้ายที่หลับสนิท
บทที่ 30 เสือดุร้ายที่หลับสนิท
คนที่อยู่ข้างหน้าตรงนี้ ลูกเขยที่แต่งเข้าบ้านและน่าสมเพชในสายตาสมาชิกทุกคนในตระกูลเสี้ย ถึงจะเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังอย่างแท้จริงของเรื่องราวที่ทำให้เขาต้องมาขอโทษถึงที่วันนี้ !
ที่เขาพูดไว้เมื่อวาน ว่าจะต้องให้ตระกูลเสี้ยตอบแทนอย่าสาสมนั้น มันไม่ใช่แค่เรื่องพูดพล่อย ๆ !
เพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้น หน้าผากของเสี้ยหยุนเสิ้งก็มีเหงื่อเย็น ๆ ซึมออกมา
ครั้งนี้ถ้าใครยังจะพูดว่าเฉินเฟิงเป็นคนไร้ค่า เขาก็จะตบหน้าใครคนนั้นสักสองทีแน่ ๆ
คนที่สามารถบีบจนตัวเขาไร้หนทางเดิน ไม่มาขอโทษหลานสาวถึงที่ก็ไม่ได้ นี่หรือจะเป็นคนที่ไร้ค่า?
คนแบบนี้ ถ้าจะเป็นคนไร้ค่าจริง ๆ งั้นก็พูดได้ว่า คนทั้งหมดของตระกูลเสี้ยก็เป็นคนไร้ค่าทั้งนั้นแล้ว !
นี่มันต้องเป็นเสือดุร้ายแน่นอน!
แต่ไม่รู้ว่าทำไม เสือดุร้ายตัวนี้ ก่อนหน้านี้ถึงได้นอนหลับสนิทอยู่ตลอดเวลา และเขาก็ยังปล่อยให้แมลงตัวน้อยของบ้านตัวเองกระโดดโลดเต้นอยู่ตรงหน้าเขาอีก
ที่เขาไม่โกรธ ไม่ใช่ว่าเขาไม่กล้า แต่เป็นเพราะว่าเขาดูถูก !
เสือดุร้ายจะมาสนใจแมลงทั่วไปเหรอ? เป็นไปไม่ได้ !
ก็เหมือนกับมนุษย์กับมดตัวน้อย ถึงแม้มดจะกระโดดโลดเต้นยังไง มันก็ยังเป็นแค่มด !
แต่เสือดุร้าย ก็ยังคงเป็นเสือดุร้าย!
อยู่ ๆ เสี้ยหยุนเสิ้งก็ระทึกขวัญขึ้นมา เขาไม่เข้าใจอะไรเลย ทำไมเสือดุร้ายอย่างเฉินเฟิงจะต้องยอมแต่งเข้าบ้านตระกูลเสี้ยด้วย? แล้วพอมาอยู่ตระกูลเสี้ย อยู่ทีหนึ่งก็อยู่ถึงสามปีเลย!
หรือว่าเฉินเฟิงอยากจะได้ตระกูลเสี้ย อยากจะเอาความยิ่งใหญ่ของตระกูลเสี้ยมาเป็นของตัวเองเหรอ?
ถ้าหากเป็นอย่างนี้จริง ๆ งั้นเฉินเฟิงก็น่ากลัวมากจริง ๆ มีอำนาจที่น่ากลัวแล้วไม่ว่า ยังมีความอดทนสูงอีกด้วย แผนการก็ลึกซึ้งมากกว่าตาแก่อย่างเขาที่อยู่มาค่อนชีวิตแล้ว
เสี้ยหยุนเสิ้งไม่กล้าคิดเลย ถ้าตัวเองจากโลกนี้ไปแล้ว ตระกูลเสี้ยจะกลายเป็นตระกูลเสี้ยของใคร
ลูกหลานหลายคนของตัวเองนั้น ต่อสู้กันภายในพอไหว แต่ถ้าจะให้มาต่อสู้กับปีศาจอย่างเฉินเฟิงแล้วละก็ คงจะโดนเล่นจนตายแน่!
ชั่วขณะเสี้ยหยุนเสิ้งก็หนักใจขึ้นมา มองยังไม่กล้ามองเฉินเฟิงแม้แต่ครั้งเดียว
แน่นอนว่าเฉินเฟิงไม่รู้อยู่แล้ว ว่าเสี้ยหยุนเสิ้งแค่ดูปฏิกิริยาของเขาครั้งเดียว ก็คิดไปได้มากมายขนาดนี้
ถ้าหากเขารู้ละก็ คงจะหัวเราะอย่างดูถูกแล้ว ตระกูลเล็ก ๆ แบบตระกูลเสี้ย ยกให้เขา เขายังไม่ถูกใจเลย
ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าเสี้ยเมิ่งเหยา เขาคงไปจากตระกูลเสี้ยตั้งนานแล้ว ไม่อยู่ที่นี่เพิ่มสักนาทีหรอก
“คุณพ่อ คุณพ่อมาได้ยังไงคะ” หลินหลันพูดออกไป พอพูดจบแล้ว เธอถึงรู้ตัวว่า ตัวเองตื่นเต้นจนพูดผิดไปแล้ว ที่เสี้ยหยุนเสิ้งมาในเวลาแบบนี้ ก็ต้องมาเพื่อขอโทษอยู่แล้ว พอตัวเองพูดไปแบบนี้ ก็เห็นได้ชัดว่ายิ่งทำให้เสี้ยหยุนเสิ้งทำตัวไม่ถูกมากขึ้น
ตอนแรกหลินหลันคิดว่าเสี้ยหยุนเสิ้งจะโกรธ แต่ที่เกินความคาดหมายของเธอก็คือ เสี้ยหยุนเสิ้งแค่ยิ้มน้อย ๆ แล้วพูดว่า “ฉันมาเยี่ยมเยียนเมิ่งเหยา ได้ข่าวว่าเธอไม่สบาย”
“คุณปู่ เชิญเข้ามาก่อนค่ะ” เสี้ยเมิ่งเหยายิ้มแล้วพูดขึ้น ไม่สบายเหรอ? ตัวเธอหรือจะไม่รู้ว่าตัวเองป่วยหรือไม่ป่วย? ที่เสี้ยหยุนเสิ้งพูดแบบนี้ ก็คงเพื่อที่จะหาข้ออ้างให้กับตัวเองมากกว่า
พอเสี้ยหยุนเสิ้งเข้าประตูมา เสี้ยฉี่ชาวและคนอื่น ๆ ที่อยู่ข้างหลังก็ตามกันเข้ามาเป็นพรวน
ชั่วขณะหนึ่ง ห้องที่เล็กอยู่แล้ว ก็ยิ่งแคบเข้าไปอีก
แต่ว่าที่โชคดีคือ เสี้ยหยุนเสิ้งเหมือนจะรู้ตัว พูดชัดขึ้นต่อหน้าคนทั้งหมดว่า เขาไม่ควรเชื่อฟังข่าวลือที่ได้ยินมาจากเสี้ยห้าว แล้วไล่เสี้ยเมิ่งเหยาออกจากบริษัท หวังว่าเสี้ยเมิ่งเหยาจะไม่ถือโทษโกรธเรื่องราวก่อนหน้านี้ และให้กลับมาทำงานที่บริษัทอีกครั้ง พร้อมทั้งกลับมารับผิดชอบดูแลโครงการยู่ฉวนซานด้วย
จะไม่พูดก็ไม่ได้ว่า ความเด็ดขาดครั้งนี้ของเสี้ยหยุนเสิ้ง มีบางส่วนความเกินความคาดหมายของเฉินเฟิง เขาไม่ได้โอ้เอ้แม้แต่นิดเดียว ตัดสินใจจัดการเรื่องราวทั้งหมดได้อย่างรวดเร็ว
เวลาแบบนี้ ขอโทษหรือไม่ขอโทษก็ไม่สำคัญแล้ว ในเมื่อท่าทีของเสี้ยหยุนเสิ้งให้คำตอบออกมาหมดแล้ว
ถ้าหากเฉินเฟิงยังจะบีบบังคับเสี้ยหยุนเสิ้งให้ขอโทษอีก ก็คงจะมากเกินไปแล้ว
อย่างแรกคือ เป็นการบีบคั้นคนมากเกินไป ในเมื่อเสี้ยหยุนเสิ้งเป็นญาติผู้ใหญ่ของเสี้ยเมิ่งเหยา จะให้ผู้ใหญ่มาขอโทษผู้น้อย มันดูไม่เหมาะสมมากนัก
อย่างที่สองคือ จะดูเหมือนเฉินเฟิงเป็นคนใจแคบ ถือสาทุกอย่างไปซะหมด
วิธีนี้ของเสี้ยหยุนเสิ้ง ถือได้ว่าเขาได้สวนคืนเฉินเฟิงกลับไปหนึ่งนัดแล้ว เขาได้มาตระกูลเสี้ยแล้ว แต่ไม่ได้ขอโทษเสี้ยเมิ่งเหยาเรื่องก็กลับคลี่คลายลงได้แล้ว เสี้ยเมิ่งเหยาก็ไม่มีเหตุอะไรจะต้องปฏิเสธอีก เธอก็เลยจำเป็นต้องกลับไปทำงานที่บริษัทใหม่อีกครั้ง
พอได้คำตอบที่แน่นอนแล้ว เสี้ยหยุนเสิ้งก็ไม่ได้อยู่ในบ้านนี้ต่ออีก และก็พาคนทั้งหมดจากไปเลย
พอคนทั้งหมดจากไปแล้ว หลินหลันถึงมองเสี้ยเมิ่งเหยาอย่างมึนงงทีหนึ่ง แล้วถาม “ลูกสาว แม่ไม่ได้ฝันไปใช่ไหม ปู่ของลูกมอบโครงการยู่ฉวนซานให้ลูกรับผิดชอบจริง ๆ แล้วใช่ไหม?”
“แม่ แม่ไม่ได้ฝันไปหรอกค่ะ ตอนนี้หนูเป็นคนดูแลรับผิดชอบโครงการยู่ฉวนซานแล้วค่ะ” ใบหน้าเรียวของเสี้ยเมิ่งเหยาก็มีรอยยิ้มที่ไม่ได้ปรากฏมานานแล้วปรากฏขึ้น หลังจากนั้นเธอก็มองเฉินเฟิงทีหนึ่ง ถึงแม้ว่าวันนี้เฉินเฟิงจะไม่ได้พูดอะไรสักคำ แต่เธอรู้ ที่คุณปู่ยอมมอบโครงการยู่ฉวนซานให้เธอ ก็เพราะเฉินเฟิงช่วยไว้ทั้งนั้น
ถ้าไม่มีเฉินเฟิง อย่าว่าแต่ยู่ฉวนซานเลย ตอนนี้เธอคงโดนไล่ออกจากตระกูลเสี้ยไปนานแล้ว
หลินหลันอดไม่ได้ที่จะดูเฉินเฟิงสูงขึ้นหนึ่ง ไม่พูดก็ไม่ได้ว่า เธอแต่งเข้าตระกูลเสี้ยมาเกือบสามสิบปี ยังไม่เคยรู้สึกมีหน้ามีตาขนาดนี้มาก่อน หัวหน้าครอบครัวตระกูลเสี้ยมาถึงบ้าน และมามอบหน้าที่สำคัญให้ลูกสาวตัวเอง นี่ถือว่าเธอได้มีหน้ามีตาดี ๆ สักครั้งต่อหน้าญาติพี่น้องเลย
ชั่วขณะหนึ่ง หลินหลันมองเฉินเฟิงแล้วรู้สึกว่าเจริญตาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เจ้าคนไร้ค่านี้ ก็ไม่ได้ไม่มีอะไรดีเหมือนอย่างที่ตัวเองเคยคิดมาก่อน
เฉินเฟิงก็ไม่ได้มีความคิดที่จะทวงบุญคุณ บางทีจากที่เสี้ยเมิ่งเหยาและหลินหลันดูแล้ว เรื่องนี้คงจะจัดการยากมาก แต่สำหรับเขาแล้วก็แค่ผ่านมือพอดีเท่านั้น
เชื่อว่าหลังจากการสั่งสอนครั้งนี้แล้ว ช่วงระยะสั้นนี้สองพ่อลูกเสี้ยฉี่ชาวและเสี้ยหยุนเสิ้งคงจะไม่กล้ามีแผนการเล็ก ๆ อะไรแล้ว แต่ถ้ามี พวกเขาก็คงต้องคิดหาวิธีผ่านด่านเขาก่อน แต่ไม่ใช่ไปหาเรื่องเสี้ยเมิ่งเหยาเลย
สองวันให้หลัง เสี้ยหยุนเสิ้งก็จัดงานเลี้ยงร่วมยินดีใหญ่โตขึ้นที่โรงแรมใหญ่ของชางโจวเพื่อเสี้ยเมิ่งเหยา พร้อมทั้งประกาศต่อชาวโลกว่า เสี้ยเมิ่งเหยาได้เป็นผู้รับผิดชอบดูแลโครงการยู่ฉวนซานอย่างเป็นทางการแล้ว
ข่าวคราวนี้ ทำให้คนในเมืองชางโจวสนใจอยู่ไม่น้อย ในเมื่อตระกูลเสี้ยถือเป็นตระกูลแรกที่ได้ร่วมงานกับบริษัทติ่งเฟิงซึ่งจะร่วมกันก่อตั้งโครงการยู่ฉวนซาน
และเสี้ยเมิ่งเหยา ก็กลายเป็นคู่หมายสำคัญที่มีคนสนใจมากมาย
มีคนไม่น้อยต่างก็รู้ว่า ตระกูลเสี้ยมีผู้จัดการหญิงสาวสวยดุจนางฟ้าคนหนึ่ง ชั่วขณะหนึ่ง พวกลูกคนรวยและคุณชายทั้งหลายต่างก็วิ่งเข้าหาเสี้ยเมิ่งเหยากันเป็นฝูง
ยังประกาศอีกว่านอกจากเสี้ยเมิ่งเหยาแล้วจะไม่แต่งกับใครด้วย
แต่ปรากฏว่าตอนหลัง มีข่าววงในจากตระกูลเสี้ยออกมาว่า เสี้ยเมิ่งเหยาได้แต่งงานไปแล้วตั้งแต่เมื่อสามปีก่อน !
และที่สำคัญสามีของเธอ ยังเป็นคนน่าสมเพชที่ให้คนอื่นกดขี่ข่มเหงได้อีกด้วย จนถึงตอนนี้ก็ยังเป็นแค่คนส่งอาหารอยู่อีก!
ตามแบบฉบับดอกไม้งามปักอยู่บนกองขี้วัว! ผักกาดขาวดี ๆ เอาโดนหมูครอบครอง!
สำหรับส่วนนี้ เฉินเฟิงก็อดขำไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าพอดันเสี้ยเมิ่งเหยาให้แนวหน้าแล้ว ตัวเองจะกลายเป็นที่รู้จักมากขึ้นในชางโจว และกลายเป็นศัตรูของผู้คนมากมาย
หลังจากที่กลายเป็นผู้รับผิดชอบโครงการยู่ฉวนซานไปแล้วนั้น ก็เห็นได้ชัดว่าเสี้ยเมิ่งเหยาดูยุ่งมากขึ้น เกือบจะตั้งแต่เช้ายันเย็นก็อยู่แต่บริษัท
เฉินเฟิงกลับสงบเงียบลงมาไม่น้อย เรื่องของยู่ฉวนซานก็มีเฉินจงดูแลอยู่ ไม่ต้องให้เขาคอยกังวล ส่วนเฉินเจิ้นหนานก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร เปรียบเสมือนกับว่าลืมเขาไปหมดแล้วอย่างนั้น
วันนี้ เสี้ยเมิ่งเหยาลาหยุดงาน แล้วก็มาหาเฉินเฟิงที่ห้องของเขาตั้งแต่เช้า
“เฉินเฟิง ไปรับคนเป็นเพื่อนฉันหน่อย”
“รับใครเหรอ?” เฉินเฟิงเปิดปากพูดอย่างสะลึมสะลือ
“เพื่อนสนิทฉันเอง สวีเฟยหรง เธอกลับประเทศมาวันนี้” เสี้ยเมิ่งเหยาพูดขึ้น
“สวีเฟยหรง! ผู้หญิงบ้าคนนั้นทำไมกลับมาแล้วล่ะ!” เฉินเฟิงอยู่ ๆ ก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที พุ่งตัวลุกขึ้นมาจากเตียงเลย
“นี่ ผู้หญิงบ้าอะไรกัน เธอเป็นเพื่อนสนิทของฉันนะ” เสี้ยเมิ่งเหยาค้อนเฉินเฟิงทีหนึ่ง แล้วพูดขึ้นอย่างโกรธ ๆ
เฉินเฟิงหัวเราะอย่างขมขื่นทีหนึ่ง ในสมองฉายภาพเงาของปีศาจแห่งฝันร้ายขึ้นมา