ลูกเขยมังกร Royal Dragon Husband - บทที่ 63 ทองพันชั่งซื้อกระดูก
บทที่ 63 ทองพันชั่งซื้อกระดูก
“พี่ชายคนนี้ ใช่คนส่งอาหารจริงๆ เหรอ? ทำไมฉันรู้สึกเหมือนว่าเขาจะเป็นสายลับเลย”
“ไม่ถึงหนึ่งนาที ก็ล้มพวกบอดี้การ์ดที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีได้หมด สายลับก็ไม่ดุเดือดขนาดนี้”
“จอมพลัง! ต้องเป็นจอมพลังแน่ๆ!ครั้งนี้เสิ่นจุนเหวินเจอของแข็งซะแล้ว!”
“เห็นใจคุณเสิ่นอยู่หน่อยๆ นะ จ่ายไปตั้งห้าล้านกว่า สุดท้ายผู้หญิงก็คว้าไว้ไม่ได้ แถมยังถูกทุบตีอีก”
บอดี้การ์ดหลายสิบคนล้วนนอนกองอยู่กับพื้น แต่ละคนครวญครางดูแย่เสียยิ่งกว่าเสิ่นจุนเหวินซะอีก
เฉินเฟิงส่ายหัว เดินไปตรงหน้าเสิ่นจุนเหวินก่อนยกยิ้มจาง “บอดี้การ์ดพวกนี้ของนาย ดูไม่มีแรงเท่าไหร่เลยนะ”
เสิ่นจุนเหวินสีหน้าแข็งตึง ไม่ใช่ว่าบอดี้การ์ดของเขาไม่มีแรง แต่เป็นเฉินเฟิงต่างหากที่ไม่ใช่มนุษย์
“เฉินเฟิง ฉันยอมรับว่านายแข็งแกร่งมาก คนที่แข็งแกร่งแบบนายก็ไม่ใช่ว่าฉันจะไม่เคยเจอ แต่จุบจบของพวกเขาล้วนแต่อนาถกันทั้งนั้น”เสิ่นจุนเหวินหายใจลึกๆ แล้วพูด เขาไม่เชื่อว่าเฉินเฟิงจะทำอะไรเขาได้จริงๆ ถึงยังไงตอนนี้การถ่ายทอดสดก็ยังดำเนินอยู่ คนเป็นล้านกำลังดูอยู่ ถ้าเฉินเฟิงจะทำอะไรเขาจริงๆ งั้นหมอนั้นก็หนีไม่พ้นแล้วล่ะ
สีหน้าของเฉินเฟิงนิ่งสงบ “นายขู่ฉันงั้นเหรอ?”
เสิ่นจุนเหวินส่ายหน้า “ไม่ได้ขู่ ฉันแค่หวังว่านายจะเข้าใจ กำลังภายในมันไม่มีประโยชน์ในยุคที่ห้ามใช้ศิลปะการต่อสู้ ถ้านายยังสู้ ก็สู้ลูกปืนไม่ได้””
เฉินเฟิงหรี่ตา ก็จริง เสิ่นจุนเหวินไม่ได้พูดไร้เหตุผล ยุคสมัยในตอนนี้ ศิลปะการต่อสู้ลดลง ความคิดของใครหลายคนนั้นคือ ฝึกมวยสามปีก็ไม่สู้ฝึกปืนสามวัน
ถ้านายยังสู้ ปืนไทป์95สักกระบอกคงทำให้นายเป็นคนขึ้นมาบ้าง
แต่สิ่งที่เสิ่นจุนเหวินไม่รู้คือ ในโลกนี้นั้นยังมีอีกระดับของศิลปะการต่อสู้อยู่ ระดับของศิลปะการต่อสู้นั้นหากฝึกฝนมามากพอ อย่าว่าแต่ปืนพกเลย ต่อให้เป็นจรวด ก็เป็นได้แค่ของเล่นเด็ก
หากไม่มีเหตุการณ์ที่คาดคิดไม่ถึงล่ะก็ ศิลปะการต่อสู้นั้น ชั่วชีวิตนี้เสิ่นจุนเหวินก็คงไม่ได้สัมผัส
เมื่อเห็นว่าเฉินเฟิงไม่พูด เสิ่นจุนเหวินก็ยกยิ้มลำพอง และยังคิดว่าตัวเองทำให้เฉินเฟิงตกใจได้แล้ว
“เฉินเฟิง สถานการณ์ในตอนนี้ ระหว่างนายกับฉัน ไม่มีความขัดแย้งอะไรที่คืนดีกันไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องรุนแรงกันมากไปก็ได้ แบบนั้นมันก็ไม่ดีต่อทั้งสองฝ่าย”เสิ่นจุนเหวินพูดอย่างตรงไปตรงมา
“งั้นนายคิดจะทำยังไง?”เฉินเฟิงยิ้มขณะพูด เจ้าเสิ่นจุนเหวินนี่ก็ไม่ได้ดูโง่ขนาดนั้น
“ง่ายมาก! ฉันจะให้โอกาสนาย นายมาเป็นลูกน้องฉันทำงานให้ฉัน เรื่องก่อนหน้านี้ ฉันก็จะให้มันแล้วกันไป แม่ยายนายก็ไม่ต้องติดคุก”น้ำเสียงของเสิ่นจุนเหวินเผยความเหนือกว่าเล็กน้อย เขาคิดว่า ถ้าหากเฉินเฟิงเป็นคนฉลาดก็จะต้องเข้าใจความหมายของตัวเอง ว่าหมายถึงอะไร
เมื่อเห็นเฉินเฟิงนิ่งเงียบ เสิ่นจุนเหวินก็ยังคิดว่าเฉินเฟิงกำลังไตร่ตรอง
“ยังต้องคิดอีกรึไง? นายส่งอาหารเดือนนึงได้เงินเท่าไหร่? ส่งให้ตายก็ได้แค่หมื่นนึง แต่ถ้านายมาอยู่กับฉัน ฉันสามารถให้นายได้เดือนละหนึ่งล้าน!”เสิ่นจุนเหวินพูดอย่างใจกว้าง หลังจากที่ได้เห็นความสามารถของเฉินเฟิงแล้ว เขาก็เปลี่ยนความคิดเดิมแต่แรกของตัวเอง ในมือของเขาไม่มีใครที่ดูเป็นมือดีเลยสักนิด ดังนั้นเวลาที่ไปร่วมงานสังคมก็คงเสียหน้าแย่
ถ้าหากสามารถปราบเฉินเฟิงลงได้ วันข้างหน้าของเขาก็จะได้มั่นใจมากขึ้น เฉินเฟิงถึงกับทำให้เขาดูเป็นไอ้หน้าโง่ ถึงเขาจะโมโห แต่ก็เข้าใจว่าถ้าหักกับเฉินเฟิงในเวลานี้ กลัวว่าราคาที่เขาต้องจ่ายจะหนักหนาเกินไป
ได้แต่หาวิธีอื่นเท่านั้น
นอกจากนี้ถ้าเฉินเฟิงกลายเป็นน้องชายของเขาจริงๆ งั้นเขาจะทำอะไรกับเสี้ยเมิ่งเหยา เชื่อว่าต่อให้เฉินเฟิงจะไม่เต็มใจ แต่ก็คงจะไม่กล้าพูดอะไร
คำพูดนั้นของเสิ่นจุนเหวิน ทำให้ผู้ชมไม่น้อยของห้องถ่ายทอดสดพากันตาลุกเป็นไฟ หนึ่งล้าน ไม่ใช่เงินรายปี แต่เป็นรายเดือน!
คนทั่วไปมากมาย ทั้งชีวิตก็หาเงินขนาดนั้นไม่ได้!
แต่ตอนนี้ เงินนั้นกลับเป็นแค่เงินเดือนเดือนเดียวของคนอื่น!
ผู้คนต่างคิดไม่ออกเลยจริงๆ ว่าเฉินเฟิงมีเหตุผลอะไรที่จะปฏิเสธ
เฉินเฟิงคงจะตกลงสินะ?
เสี้ยเมิ่งเหยาก็กำลังคิดเช่นกัน แต่เธอรู้สึกได้ว่าเฉินเฟิงจะไม่ทำอย่างนั้น แม้ว่าเธอจะพบว่าตัวเองนับวันก็ยิ่งไม่เข้าใจเฉินเฟิงขึ้นเรื่อยๆ แต่เธอก็รู้ว่า เฉินเฟิงจะไม่ทำอย่างนั้น
“หนึ่งล้าน…”เฉินเฟิงยิ้มออกมา ถ้าเป็นคนปกติ ได้ยินเงินเดือนเท่านี้ก็คงจะดีใจกระโดดโลดเต้นไปแล้ว แต่เฉินเฟิงแค่รู้สึกอยากจะหัวเราะ
แม้แต่มรดกล้านล้านของตระกูลเฉินยังไม่อยู่ในสายตาของเฉินเฟิง นึกไม่ถึงว่าเสิ่นจุนเหวินจะให้เงินหนึ่งล้าน
“ทำไม? น้อยไปเหรอ? งั้นฉันเพิ่มให้นายห้าแสน!”เสิ่นจุนเหวินกัดฟันพูด ถึงเขาจะเป็นหลานชายของเสิ่นหงชัง ใช้เงินปีละยี่สิบล้านจ้างบอดี้การ์ดก็ออกจะบาดเนื้ออยู่เหมือนกัน
นี่มันใช้ทองพันชั่งซื้อกระดูกชัดๆ เฉินเฟิงคงจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรนะ
เฉินเฟิงส่ายหัว “เสิ่นจุนเหวิน ถ้าพูดไปนายคงไม่เชื่อ คำพูดของนายวันนี้ช่วยชีวิตนายไว้”
สีหน้าของเสิ่นจุนเหวินเปลี่ยนไป “เฉินเฟิง นายหมายความว่ายังไง?”
“ไม่มีอะไรหรอก นายรีบเอาเงินพันล้านของนายจากแม่ฉันคืนไปซะ แล้วไปให้พ้นจากชางโจว และสัญญากับฉันว่าจะไม่ก้าวเข้ามาในชางโจวอีก เรื่องระหว่างเราก่อนนี้ ก็แล้วกันไป”เฉินเฟิงพูดอย่างเฉยชา ถ้าเสิ่นจุนเหวินอยากจะสู้กับเขาจนถึงที่สุดจริงๆ เขาก็คงจะปล่อยเสิ่นจุนเหวินไว้ไม่ได้ อย่างน้อยก็ควรปล่อยให้เสิ่นจุนเหวินหลบออกไป
แต่ในเมื่อเสิ่นจุนเหวินตั้งใจที่จะใช้ไม้นวม เฉินเฟิงจะก้าวร้าวเกินไปคงไม่ดีนัก ถึงอย่างไรเสิ่นจุนเหวินก็เป็นหลานชายของเสิ่นหงชัง เขากันเสิ่นหงชังในตอนนี้ยังเป็นพันธมิตรกันอยู่ นอกจากนี้ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเสิ่นจุนเหวิน เขาก็คงต้องวุ่นวายไม่น้อย
“นายกำลังล้อเล่นอยู่เหรอ?”เสิ่นจุนเหวินแทบหน้ามืด ฟังความหมายในคำพูดของเฉินเฟิง คาดไม่ถึงว่าเขาคิดว่าปล่อยตัวเองไป เจ้าโง่นี่ บ้าไปแล้วรึไง
นี่ไม่รู้ว่าตัวเขาคือคนของตระกูลเสิ่นรึไง? เขาไม่รู้ว่าถ้าตระกูลเสิ่นต้องการจะเล่นงานเขา มันก็ง่ายเหมือนเล่นกับมดตัวหนึ่งเลยสินะ?
เสิ่นจุนเหวินไม่รู้จริงๆ ว่าเฉินเฟิงไปเอาความมั่นใจว่าจากไหนกันแน่
“ล้อเล่น?”เฉินเฟิงหัวเราะเยาะ “เอางี้ ฉันจะให้โอกาสนายโทรเรียกคนมา เรียกคนที่น่ากลัวที่สุดที่นายรู้จักมา เดี๋ยวนายก็รู้ ว่าฉันล้อเล่นรึเปล่า?”
เสิ่นจุนเหวินแทบจะหัวเราะ เจ้าโง่นี่ ทำเป็นแน่ คิดว่าคนในมือของเขาจะเหมือนบอดี้การ์ดสิบกว่าคนนั้นหมดจริงๆ เหรอ?
“นายแน่ใจเหรอว่าจะให้เรียกคน?”เสิ่นจุนเหวินยิ้มเย็น “คนที่ฉันเรียกมาครั้งนี้ คงจะไม่พูดดีๆ เหมือนฉันหรอกนะ”
“ให้เรียกก็เรียกมาสิ อย่าลีลาให้มาก”เฉินเฟิงขมวดคิ้วพลางพูด อย่างดีที่สุดเสิ่นจุนเหวินก็คงเรียกเสิ่นหงชังมา แต่น่ากลัวว่าพอเจอเขาแล้วเสิ่นหงชังคงต้องเรียกเขาอย่างเคารพว่าคุณเฉิน
“ได้ นายพูดเองนะ ถึงเวลาก็อย่ามาเสียใจแล้วกัน!”เสิ่นจุนเหวินยิ้มเยาะอีกครั้ง จากนั้นจึงหยิบมือถือออกมากดหมายเลขโทรออก
“ลุงหาน ตอนนี้ว่างไหมครับ?”
“ผมเสิ่นจุนเหวินครับ…”
“ผมอยู่ที่อาคารหวงเห้า รีบพาพวกลูกน้องมาเถอะครับ”
อารมณ์ของเสิ่นจุนเหวินเย็นมาก เพราะคนที่อยู่ในสายนั้น คือคนที่เคยร่วมเป็นร่วมตายไปกับเสิ่นหงชังในอดีต ต่อมาเมื่อเสิ่นหงชังล้างมือแล้ว แต่คนผู้นี้ก็ยังคงต่อสู้อยู่บนถนน จนถึงวันนี้ เขาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่รู้จักกันดีในถนนของเมืองชางโจว
ถ้าเจอบนท้องถนนแล้ว จะต้องให้เกียรติเรียกเขาว่าท่านหาน!