ลูกเขยยอดนักฆ่า - ตอนที่ 25
ตอนที่ 25 เสียชีวิตแล้ว
ไฟหน้าห้องฉุกเฉินห้องหนึ่งดับลง หลังจากที่เฉินผิงจื่อเข้าไปดู และทำการรักษาช่วยชีวิตได้ไม่ถึงสิบนาที..
เฉินผิงจื่อมองดูเส้นกราฟการเต้นของหัวใจจากเครื่องวัด ที่เวลานี้ได้กลายเป็นเส้นตรง เขาจึงได้แต่ดึงหน้ากากที่ใส่ผ่าตัดออก เผยให้เห็นสีหน้าที่เศร้าหมอง
แต่เขาไม่ได้โศกเศร้ากับการจากไปของชายชราเลยแม้แต่น้อย นั่นเพราะชายชราเป็นเพียงแค่คนแปลกหน้า ไม่ได้มีสายสัมพันธ์เกี่ยวพันเป็นเครือญาติกันกับเขาแม้แต่นิดเดียว
ฉะนั้น ต่อให้ชายชราจะเป็นหรือตาย ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเฉินผิงจื่อเลยแม้แต่น้อย แต่ที่ใบหน้าของเขาเศร้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัดนั้น เป็นเพราะผู้ป่วยเคสนี้มีผลต่อการประเมิน และความก้าวหน้าในอาชีพของเขาต่างหากเล่า!
“โธ่เว้ย!!! โชคร้ายชะมัด!”
เฉินผิงจื่อเตะขาเตียงจนสั่นสะเทือน และร้องตะโกนออกมาด้วยความเดือดดาล “ตาแก่.. ทำไมไม่เลือกตายก่อนหน้านี้ หรือหลังจากนี้ กลับจะต้องมาตายเอาตอนนี้!!”
พยาบาลสาวที่เดินถือใบมรณบัตรกลับเข้ามาให้ห้องเพื่อให้เฉินผิงจื่อเซ็นต์นั้น ถึงกับตกใจกับท่าทีเกรี้ยวกราดของเขา และเวลานี้เฉินผิงจื่อก็โมโหจนแทบอยากฉีกใบมรณบัตรนั้นออกเป็นชิ้นๆ
“หมอเฉินคะ ทำจะยังไงกับศพของคุณตาดีคะ?” พยาบาลสาวรับใบมรณบัตรที่เซ็นต์แล้วกลับไป พร้อมกับเอ่ยถามเฉินผิงจื่อ
“เอาไปเก็บไว้ในห้องดับจิตก่อน แล้วรอให้ญาติผู้ป่วยมาติดต่อขอรับร่างกลับไปทำพิธีต่อ..”
เฉินผิงจื่อร้องตะโกนออกมาอย่างหมดความอดทน พร้อมกับโบกไม้โบกมือไล่ให้พยาบาลสาวรีบเข็นศพออกไปโดยเร็ว
ร่างไร้ลมหายใจของชายชราถูกคลุมไว้ด้วยผ้าขาว และกำลังถูกเข็นไปที่ห้องดับจิต ในจังหวะนั้นเอง ร่างของใครคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้น และแอบเดินตามไปอย่างเงียบๆ
หลังจากเข้าไปในห้องดับจิตแล้ว ร่างของชายชราก็ถูกปล่อยทิ้งไว้บนรถเข็นเช่นนั้น จากนั้นผู้เกี่ยวข้องก็ออกจากห้องดับจิตไป พร้อมกับปิดประตูไว้ตามเดิม
และทันทีที่ประตูห้องดับจิตปิดลง เงาดำก็ปรากฏขึ้นอยู่ข้างๆร่างของชายชรา และเขาก็คือหลินหนานนั่นเอง!
หลินหนานยกมือขึ้นสัมผัสที่ลำคอของชายชรา จากนั้น จึงทำการถอดเสื้อผ้าของชายชราออก และสังเกตดูตามร่างกายของเขาอย่างละเอียด
หลินหนานพบว่าที่หน้าอกของชายชรามีรอยเข็มเล็กๆอยู่สี่รอย และเวลานี้ทั้งสี่จุดก็ได้กลายเป็นจุดสีแดงกลมๆเล็กๆปรากฏอยู่
และตุ่มเลือดสีแดงทั้งสี่นี้ก็เป็นเครื่องบ่งบอกว่า ชีวิตของชายชราผู้นี้ ขึ้นอยู่กับความพยายามของเขา!
นั่นเพราะอวัยวะภายในร่างกายของมุนษย์ที่สำคัญที่สุดก็คือหัวใจ!!
และในวงการแพทย์นั้น เมื่อไหร่ที่หัวใจหยุดเต้น จึงจะนับว่ามนุษย์ผู้นั้นได้เสียชีวิตแล้วอย่างแท้จริง
เข็มเงินทั้งสี่ที่หลินหนานฝังลงที่หน้าอกของชายชรานั้น เป็นการปิดผนึกลมปราณในร่างของชายชรา และจะมีผลทำให้ร่างกายของเขาอยู่ในสภาพที่คล้ายกับจำศีล
ผลก็คือ.. ชายชราจะอยู่ในอาการหมดสติ อวัยวะภายในทุกส่วนหยุดนิ่ง แต่มิได้ตาย คล้ายๆกับภาพเคลื่อนไหวที่ถูกหยุดนิ่งไว้ชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น
“เฮ้อ.. นับว่าโชคดีที่ไอ้หน้าโง่นั่นไม่ลงมีดผ่าตัด ไม่อย่างนั้นคงจะมีปัญหาตามมาอีกมากมายแน่!” หลินหนานส่ายหัวไปมาพร้อมกับบ่นพึมพำ
ความจริงแล้ว โรคลมชักนั้นไม่ใช่โรคที่จะรักษายากเย็นอะไร และหลินหนานก็สามารถรักษาให้หายได้อย่างง่ายดาย
เพียงแต่.. เขาพบว่าชายชรายังมีโรคอื่นแทรกซ้อนอยู่ด้วย และโรคนี้ก็แตกต่างจากโรคหัวใจทั่วๆไป
มันคืออาการที่มีโลหิตไหลออกจากหัวใจอย่างเฉียบพลัน!
หลินหนานค่อยๆพลิกร่างของชายชราอย่างช้าๆ และเขาก็พบว่าที่แผ่นหลังของชายชรานั้น มีตุ่มขนาดเท่าเม็ดถั่วเขียวอยู่เม็ดหนึ่ง
ตุ่มนี้อยู่ตรงกับตำแหน่งหัวใจของชายชราพอดี เพียงแค่มีระยะห่างจากหัวใจช่วงหนึ่งเท่านั้น แล้วตุ่มนี้เกี่ยวอะไรกับอาการเลือดไหลออกจากหัวใจอย่างเฉียบพลันของชายชราอย่างนั้นหรือ?
แน่นอนว่า.. ตุ่มนี้คือสิ่งที่บ่งบอกว่า ที่ผ่านมานั้น ชายชราได้ใช้ร่างกายของตนเองมาอย่างหักโหม และหนักหนาสาหัส ทำให้หัวใจของเขาต้องทำงานหนักมาโดยตลอด จนค่อยๆสะสมและเกิดเป็นความเจ็บป่วยตามมา
สาเหตุของโรคนี้เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุมาก นอกเหนือจากการที่โลหิตไปหล่อเลี้ยงหัวใจผิดปกติแล้ว ก็เกิดจากพฤติกรรมในการใช้ชีวิตประจำวันที่ไม่ถูกต้อง อย่างเช่นการสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงอาหารที่ทานเข้าไปด้วย ทุกอย่างล้วนเป็นสาเหตุให้เกิดโรคนี้ได้หมด
และอันตรายของโรคนี้ก็คือ มันเสมือนว่าคนผู้นั้นได้พกลูกระเบิดติดตัวไปไหนต่อไหนด้วยในทุกๆวันนั่นเอง และเมื่อใดที่โรคนี้เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องทันท่วงที ก็คงยากที่จะหลีกพ้นความตายได้!
เพราะโลหิตจะไหลทะลักออกมา และหากไม่สามารถหยุดการไหลของโลหิตได้ทันเวลา ผู้ป่วยก็ย่อมต้องเสียชีวิตในทันที!
“นับว่าโชคดีที่คุณตามาพบผมเข้า!”
หลินหนานพูดขึ้นยิ้มๆ หลังจากครุ่นคิดเพียงแค่เล็กน้อย เขาก็หยิบเข็มเงินออกมา และจัดการฝังลงไปที่ตำแหน่งเส้นเลือดหัวใจในทันที
……
ภายในห้องตรวจ แผนกอายุกรรม..
เฉิงผิงจื่อกำลังพูดคุยอยู่กับพยาบาลสาวที่เพิ่งจะเข้ามาทำงานใหม่ เธอเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์อย่างมาก ระหว่างที่พูดคุยกับเฉินผิงจื่อนั้น ร่างของเธอก็จะเอนซบเขาไปด้วย
“แม่จิ้งจอกสาว..”
เฉิงผิงจื่อไม่ใช่สุภาพบุรุษอะไรนัก ระหว่างที่พูดคุยอยู่กับพยาบาลสาวคนใหม่ มือของเขาก็ไม่ได้อยู่นิ่ง ลูบไล้ไปตามเรือนร่างของเธอไม่หยุด
แต่ในระหว่างที่เฉินผิงจื่อกำลังสูดดมกลิ่นหอมจางๆ จากร่างของพยาบาลสาวอยู่นั้น เสียงประตูห้องก็ถูกกระแทกให้เปิดออก
ปัง!
ชายร่างสูงสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งเดินเข้ามาทันที พยาบาลสาวตกใจจนรีบผละออก และกระโดดถอยหลังออกมาทันที
“คุณเป็นใคร? เข้ามาในห้องนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต…”
แต่ยังไม่ทันที่เฉินผิงจื่อจะได้พูดจบประโยค เขาก็ต้องกลืนคำพูดกลับลงไปในท้องดังเดิม เพราะหลังจากนั้นชายฉกรรจ์สวมชุดสูทสีดำอีกราวเจ็ดแปดคน ก็พากันตบเท้าเดินตามเข้ามาในห้องตรวจ แต่ละคนล้วนร่างกายกำยำแข็งแรง
ทุกคนอยู่ในชุดสูทสีดำสวมแว่นกันแดด สีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกไม่ต่างจากหุ่นยนต์ เฉินผิงจื่อเห็นเช่นนั้น จึงได้แต่ร้องถามออกมาด้วยความงุนงง
“นี่พวกคุณเป็นใครกัน? ที่โรงพยาบาลกำลังมีโชว์อะไรอยู่หรือเปล่า?”
ชายฉกรรจ์ในชุดสูทสีดำสวมแว่นตากันแดด ต่างก็แยกกันยืนเรียงเป็นแถวสองฝั่ง มือทั้งสองข้างกอดอกไว้ พร้อมกับจ้องมองไปข้างหน้าแน่นิ่ง
จากนั้น ชายวัยกลางคนในชุดสูทสีน้ำตาลสวมแว่นกันแดดคนหนึ่ง ก็ก้าวเดินเข้ามาภายในห้องตรวจอย่างช้าๆ
ชายผู้นี้สูงราวหนึ่งเมตรเจ็ดสิบห้าเซ็นติเมตร ผมสีดำขลับบนศรีษะถูกหวีไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ใบหน้าของเขาบ่งบอกว่าเป็นชาวจีนอย่างชัดเจน คิ้วภายใต้แว่นกันแดดเฉียงขึ้นดั่งคิ้วพยัคฆ์ และจมูกนั้นก็โด่งเป็นสัน
เพียงแค่ชายวัยกลางคนผู้นี้ยืนนิ่งๆ เฉินผิงจื่อก็สามารถรับรู้ได้ถึงอำนาจบารมีที่แผ่ซ่านออกมาได้
รัศมีที่ทรงอำนาจเช่นนี้ ใช่ว่าจะสามารถสร้างขึ้นภายในวันสองวันได้ แต่มันคืออำนาจบารมีของผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูงส่งมานานต่างหาก จึงส่งให้คนผู้นี้ดูน่าเกรงขามยิ่งนัก
และนี่คือบุคลิกลักษณะของคนใหญ่คนโตที่แท้จริง!
เฉินผิงจื่อสามารถมองออกได้ในทันที!
แต่ในขณะที่เฉินผิงจื่อจะอ้าปากพูดอะไรออกไปนั้น ใครอีกสองคนก็เดินตามเข้ามาด้วยท่าทีเร่งรีบ
และเฉินผิงจื่อก็รู้จักพวกเขาทั้งสองคนเป็นอย่างดี..
ชายร่างอ้วนเตี้ยอยู่ในวัยกลางคนนั้นคือจางชุนหลิน เป็นประธานของโรงพยาบาลที่เขาทำงานอยู่นี้ ส่วนอีกคนก็คือหวู่หมิงเซียนอาจารย์ของเขาเอง
การที่มีทั้งประธานและรองประธานของโรงพยาบาลเดินตามมาเช่นนี้ ย่อมบ่งบอกถึงฐานะที่สูงส่งของชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้าเขาได้เป็นอย่างดี
“ท่านประธาน อาจารย์หวู่” เฉินผิงจื่อเอ่ยทักทายในทันที
หวู่หมิงเซียนขยิบตาให้เฉิงผิงจื่อ เป็นการส่งสัญญาณให้เขาอยู่นิ่งๆ อย่าเพิ่งพูดหรือว่าถามอะไร
จางชุนหลินไม่สนใจเฉินผิงจื่อเลยแม้แต่น้อย เขารีบเดินตรงเข้าไปหาชายวัยกลางคนที่น่าเกรงขาม พร้อมกับเอ่ยถามขึ้นด้วยท่าทีกระตือรือร้น
“ท่านประธานถัง ลมอะไรหอบคุณมาถึงที่นี่ครับ?”
ประธานถัง?
เฉินผิงจื่อถึงกับตกตะลึง.. เขาคือประธานถังแห่งตระกูลถัง ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าตระกูลใหญ่ของเมืองเจียงไฮวงั้นเหรอ?
หากพูดถึงตระกูลถัง.. คงไม่มีใครไม่รู้จักนักธุรกิจในตำนานอย่างถังหยวนซานเป็นแน่!
เมื่อครั้งอยู่ในวัยหนุ่มนั้น ถังหยวนซานได้เคยออกตระเวนไปทั่ว และโด่งดังเป็นที่รู้จักทั่วทั้งเจียงหนาน อีกทั้งยังมีลูกศิษย์ลูกหาอยู่มากมาย
จนกระทั่งเริ่มรู้สึกเบื่อหน่าย ถังหยวนซานจึงได้เข้าสู่วงการธุรกิจ และเพียงแค่เขาคนเดียว ก็สามารถก่อสร้างอาณาจักรการพาณิชย์ที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้ จนสามารถนำพาตระกูลถังให้ขึ้นมาเป็นตระกูลอันดับหนึ่งในเมืองเจียงไฮวได้
แต่เมื่อเข้าสู่วัยชรา ถังหยวนซานก็เริ่มวางมือ และไปอยู่เบื้องหลังแทน ปล่อยให้ถังชวงซึ่งเป็นลูกชาย เป็นผู้ดูแลกิจการทั้งหมด และสืบทอดอำนาจในการบริหาร และถือหางเสือขับเคลื่อนธุรกิจแทนตนเอง
แม้ที่ผ่านมา ตระกูลอื่นๆจะพยายามแข่งขัน และก้าวขึ้นเป็นตระกูลอันดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่เคยมีตระกูลใดทำสำเร็จ และสามารถโค่นอำนาจที่แข็งแกร่งของตระกูลถังได้ ตระกูลถังยังคงครองความเป็นตระกูลอันดับหนึ่งแห่งเจียงไฮวมาได้จนถึงทุกวันนี้ และไม่เคยร่วงหล่นเลยแม้แต่ครั้งเดียว
จึงแทบไม่ต้องอธิบายว่า ตระกูลถังจะร่ำรวย และมีอำนาจมากเพียงใด?
ฉะนั้น ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเฉินผิงจื่อเวลานี้ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ผู้ถือหางเสือตระกูลถังคนปัจจุบัน.. ถังชวง!
พยัคฆ์ย่อมไม่ออกลูกเป็นสุนัข!
ถังชวงประสบความสำเร็จไม่ต่างจากพ่อของเขา และเป็นเสมือนวีรุบุรุษในโลกธุรกิจ
“สวัสดีครับ” ถังชวงเอ่ยทักทายจางชุนหลิน พร้อมกับยื่นมือออกไปจับเป็นการทักทาย
“ไม่ทราบว่าท่านประธานถังมีอะไรจะให้ผมรับใช้มั๊ยครับ?” จางชุนหลินเอ่ยถามด้วยท่าทีนอบน้อม และระมัดระวังกิริยาอย่างมาก
“พอดีพ่อของผมออกไปเดินเล่น แล้วจู่ๆก็เป็นลมหมดสติไป ผมได้รับแจ้งว่าท่านถูกนำตัวมารักษาที่นี่ ก็เลยรีบมาดูอาการ..” ถังชวงเอ่ยตอบทันที
“อ่อ..” จางชุนหลินถึงกับนิ่งอึ้งไป เพราะเขาเองก็ไม่รู้เรื่องนี้เช่นกัน
“เท่าที่ผมรู้มา เป็นหมอเฉินที่ส่งตัวพ่อผมมาที่นี่!”
ถังชวงหันไปมองเฉินผิงจื่อพร้อมกับถามขึ้นว่า “ไม่ทราบว่าตอนนี้อาการของพ่อผมเป็นยังไงบ้าง?”
ทันทีที่เฉินผิงจื่อได้ยินคำพูดของถังชวง เขาก็รู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่าลงกลางศรีษะ และแทบอยากจะเป็นลมให้รู้แล้วรู้รอดไป
ตาแก่นั่นเป็นพ่อของถังชวงงั้นเหรอ?!!
ซึ่งก็คือถังหยวนซาน?!! ปรมาจารย์ถังผู้สร้างตระกูลถังขึ้นมาให้แข็งแกร่ง และมีอำนาจอย่างทุกวันนี้!!!
จบกัน! มันจบแล้ว!
ฉันจะอธิบายเรื่องนี้ให้ประธานถังฟังยังไงดี?
จะบอกเขาไปตรงๆว่าฉันช่วยชีวิตพ่อของเขาไว้ไม่ได้ และตอนนี้ก็ได้เสียชีวิตไปแล้วอย่างนั้นหรือ?
เวลานี้เพิ่งจะเข้าสู่ต้นฤดูใบไม้ผลิ แต่เฉินผิงจื่อกลับเหงื่อออกเต็มไปหมด และเวลานี้เสื้อผ้าของเขาก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อ
ถังชวงหรี่ตาลงเล็กน้อย พร้อมกับถามย้ำเสียงเข้ม “หมอเฉิน ผมถามว่าอาการของพ่อผมเป็นยังไงบ้าง?”
ครั้งนี้ เสียงของถังชวงเข้มขึ้น และฟังดูกดดันมากขึ้น แต่ยังไม่ถึงกับโกรธ!
ภายใต้สถานการณ์ที่กดดันเช่นนี้ เฉินผิงจื่ออยากจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก และได้แต่ตอบไปตามตรงว่า
“ท่านประธานถัง ผมต้องขอแสดงความเสียใจด้วย ผมได้พยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่.. แต่ผมก็ไม่สามารถช่วยชีวิตอาวุโสไว้ได้!!”
แทบไม่ต้องอธิบายอะไรมากไปกว่านั้น เพียงแค่นั้นก็ชัดเจนที่สุดแล้ว
“อะไรนะ?!!”