ลูกเขยยอดนักฆ่า - ตอนที่ 66
ตอนที่ 66 ท้าทาย
มีอาการป่วยทางจิตงั้นเหรอ?
ชายวัยกลางคนถึงกับนิ่งอึ้งไป ก่อนจะระเบิดอารมณ์โมโห และตะโกนใส่หน้าหลินหนานด้วยความเดือดดาล
“นี่แกพูดบ้าอะไร? แกน่ะสิป่วยเป็นโรคจิต คงจะป่วยเป็นบ้ากันทั้งครอบครัวด้วยสินะ!”
แต่ยิ่งตวาดใส่หลินหนานมากเท่าไหร่ ตัวเขาเองก็ยิ่งโมโหมากขึ้นเท่านั้น ชายวันกลางคนจัดการพับแขนเสื้อขึ้น และพร้อมที่จะมีเรื่องชกต่อยกับหลินหนานเต็มที่
แต่ใครบางคนที่อยู่ข้างๆ กลับรีบห้ามปรามไว้เสียก่อน “ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งรีบโมโห พวกสิบแปดมงกุฏก็แบบนี้ล่ะ..”
“นี่! เป็นคุณโดนคนกล่าวหาว่าเป็นบ้า คุณจะยังสงบอยู่ได้อีกเหรอ?” ชายร่างอ้วนตอบกลับไปด้วยความไม่พอใจ
“นี่ก็เป็นแค่วิธีหากินของพวกหลอกลวง คุณยังไม่เข้าใจกลโกงของคนพวกนี้อีกเหรอ?” ชายผู้นั้นอธิบายให้ฟังอย่างใจเย็น
กลับกลายเป็นว่า คำพูดของหลินหนานเมื่อครู่ ได้ยืนยันว่าเขาเป็นพวกสิบแปดมงกุฏไปเสียแล้ว..
หลินหนานได้แต่ส่ายหน้า พร้อมกับอธิบายอาการของชายวัยกลางคนเพิ่มด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร หนาวสั่น รู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก อาการแบบนี้ไม่เรียกว่าโรคทางจิต จะให้เรียกว่าโรคอะไร?”
“ห๊ะ?! เมื่อครู่เธอพูดอะไรนะพ่อหนุ่ม?” ชายวัยกลางคนร่างอ้วนถึงกับชะงัก และร้องถามออกไปด้วยความตกใจ
“ผมพูดผิดงั้นเหรอ?” หลินหนานถามกลับด้วยสีหน้านิ่งเรียบ
“ไม่.. ไม่ผิด แต่ถูกหมดต่างหาก!”
ชายวัยกลางคนร่างอ้วนตอบกลับไป ด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนจากเดือดดาลเป็นตกอกตกใจสุดขีด นั่นเพราะอาการที่หลินหนานพูดออกมาทั้งหมดเมื่อครู่ ล้วนถูกต้องทั้งสิ้น!
และที่สำคัญที่สุด หลินหนานยังไม่ได้สัมผัสร่างกายของเขาเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่ใช้สายตาสำรวจร่างกายของเขาเท่านั้น
เหลือเชื่อ แล้วก็มหัศจรรย์อย่างมาก!
“ก่อนหน้านี้คุณได้รับบาดเจ็บที่ต้นคอมาใช่มั๊ย?” หลินหนานเอ่ยถาม
เมื่อได้ฟังคำถามของหลินหนาน ชายวัยกลางคนถึงกับหน้าเปลี่ยนสี และเวลานี้ก็ไม่สามารถสรรหาคำใดมาอธิบายความรู้สึกของเขาได้
“พระเจ้า.. นี่เธอรู้เรื่องอาการบาดเจ็บที่ต้นคอของฉันได้ยังไง?” ชายร่างอ้วนร้องอุทานออกมาด้วยสีหน้าตกใจราวกับถูกผีหลอก
“ใช่แล้ว! เมื่อสามปีก่อนฉันได้รับอุบัติเหตุ รถของฉันชนเข้ากับรถคันหนึ่งจนสลบไป แต่เมื่อฟื้นขึ้นมา ก็พบว่ารถคันนั้นขับหนีไปแล้ว..”
จากนั้นชายวัยกลางคนก็เล่าความจริงให้หลินหนานฟังว่า “แต่อุบัติเหตุครั้งนั้นก็ดูเหมือนไม่ได้ร้ายแรงอะไร ผมก็เลยไม่ได้ไปหาหมอรักษา..”
“คุณจะรู้สึกวิงเวียนศรีษะและปวดที่หลังคอ แล้วบางครั้งก็ไม่มีกะจิตกะใจที่จะทำอะไร บางครั้งจู่ๆก็ไม่สามารถควบคุมแขนทั้งสองข้างได้ใช่มั๊ย?” หลินหนานเอ่ยถามอีกครั้ง
“ใช่ๆๆ ที่คุณพูดมาถูกหมดเลย!” ชายร่างอ้วนร้องตอบด้วยสีหน้าตื่นเต้น
เวลานี้หลายคนที่ได้ยินทั้งสองคนคุยกัน ก็เริ่มให้ความสนอกสนใจ และเดินข้ามารุมล้อมอย่างไม่รู้ตัว
“ท่านหมอ.. ไม่ทราบว่าผมจะรักษาอาการพวกนั้นหายได้มั๊ยครับ? ผมต้องกินสมุนไพรอะไรบ้าง?” ชายวัยกลางคนเอ่ยถามต่อด้วยท่าทีที่ระมัดระวัง และมีมารยาทมากกว่าเดิม
และเวลานี้ เขาก็รู้สึกว่าหลินหนานดูเหมือนหมอมากขึ้นทุกที!
“ไม่มียา..” หลินหนานส่ายหน้า
“ไม่มียาเหรอครับ? แล้วผมจะต้องทำยังไง?” ชายร่างอ้วนเอ่ยถามด้วยสีหน้าผิดหวัง
“เข้ามาใกล้ๆผมหน่อย!”
ชายร่างอ้วนไม่ลังเลอีกต่อไป เขารีบเดินเข้าไปหาหลินหนานอย่างรวดเร็ว และไร้ซึ่งข้อกังขาใดๆอีก จากนั้นหลินหนานก็ได้เอื้อมมือไปวางไว้ที่บริเวณท้ายทอยของชายผู้นั้น หลังจากคลำจนได้ตำแหน่งแล้ว เขาก็เอ่ยถามชายวัยกลางคนว่า
“อาจจะเจ็บปวดเล็กน้อย คุณอดทนได้มั๊ย?”
“ทนได้ครับทนได้ ขอให้รักษาหาย ผมทนได้ทั้งนั้น..”
และก่อนที่ชายวัยกลางคนจะพูดจบ มือของหลินหนานก็ได้เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว นิ้วของเขากดลงไปที่หลังคอของชายวัยกลางคนอย่างแรง จนเกิดเสียงดังกร๊อก..
ชายวัยกลางคนรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาทันที และก่อนที่เขาจะทันได้ร้องออกมา ความรู้สึกเย็นซ่านก็พลันแผ่ซ่านไปทั่วทั้งท้ายทอยของตนเอง เวลานี้เขารู้สึกคล้ายกับว่า ท่อที่เคยอุดตันได้เปลี่ยนเป็นท่อที่โล่งไร้สิ่งกีดขวาง..
ศรีษะของเขาที่เคยหนักอึ้งและวิงเวียนอยู่ตลอด ได้เปลี่ยนเป็นโล่งโปร่งสบาย และรู้สึกดีขึ้นกว่าก่อนมาก..
“กระดูกสันหลังส่วนคอของคุณเกิดการเคลื่อน และไปทับเส้นประสาทส่วนกลาง จนทำให้การไหลเวียนของโลหิต และหลอดเลือดเป็นไปไม่สะดวก ปริมาณเลือดที่ไปเลี้ยงสมองไม่พอ ทำให้สมองของคุณขาดออกซิเจน ผ่านไประยะยาวจึงได้ส่งผลต่อจิตใจของคุณ ทำให้จิตใจอ่อนแอขึ้นเรื่อยๆ” หลินหนานอธิบายถึงสาเหตุให้ชายวัยกลางคนฟังอย่างละเอียด
“โอ้โห!! เหลือเชื่อ! เหลือเชื่อมากจริง!”
ชายวัยกลางคนจับมือหลินหนาน พร้อมกับร้องตะโกนออกมาด้วยสีหน้าตื่นเต้น “ท่านหมอเทวดา.. ท่านหมอรักษาผมให้หายได้ ท่านหมอเปรียบเสมือนให้ชีวิตใหม่กับผม!”
“ไม่เป็นไร.. ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความเชื่อของคุณ ถ้าคุณเชื่อ และให้ผมรักษา ผมก็จะรักษาให้คุณ..” หลินหนานตอบกลับเสียงเบา
“ท่านหมอ.. ได้โปรดรับการคาราวะจากผมด้วย!”
จากนั้น ชายวัยกลางคนก็คุกเข่าลงต่อหน้าหลินหนาน พร้อมกับโขกศรีษะให้กับเขาด้วยความซาบซึ้งใจ
“ไม่ต้อง! ลุกขึ้นเร็วเข้า..”
หลินหนานรีบเข้าไปพยุงร่างของชายวัยกลางคนให้ลุกขึ้นทันที ผู้คนที่ยืนมองอยู่ต่างก็มีสีหน้าที่ตกตะลึงไม่แพ้กัน จากนั้นทุกคนก็เริ่มเคลื่อนไหว
หากไม่ใช่เพราะชายวัยกลางคนร่างอ้วนผู้นี้ เป็นคนไข้ที่มาเข้าแถวรอท่านหมอกู่กับพวกเขาด้วยแล้วล่ะก็ พวกเขาคงจะคิดว่าทั้งคู่เป็นพวกสิบแปดมงกุฏ ที่มารวมหัวกันหลอกพวกเขาเป็นแน่ แต่เพราะชายวัยกลางคนผู้นี้ ได้รับความทุกข์ทรมานจากโรคที่เจ็บป่วยนี้จริงๆ
และเวลานี้ ทุกคนต่างก็เห็นด้วยตาตัวเองว่า ชายวัยกลางคนได้หายจากอาการเจ็บป่วยที่เคยมีเป็นปลิดทิ้ง
นอกจากชายวัยกลางคนจะไม่ต้องเข้ารับการผ่าตัดแล้ว การรักษาของหลินหนานยังไม่ต้องมีการกินยาด้วยซ้ำไป ชายหนุ่มผู้นี้เพียงแค่ใช้มือรักษาให้กับเขา..
หากพวกเขาไม่เห็นด้วยตาตัวเอง ก็คงยากที่จะเชื่อได้..
ชายวัยกลางคนหยิบกระเป๋าเงินออกมา และหยิบเงินที่มีออกมาทั้งหมด จากนั้นจึงได้ยื่นเงินปึกนั้นให้กับหลินหนาน พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ท่านหมอครับ ผมมีเงินอยู่ไม่มากนัก แต่ผมของมอบเงินทั้งหมดให้ท่านหมอเป็นค่ารักษา ท่านหมอได้โปรดรับไว้ด้วย!”
แต่หลินหนานกลับส่ายหน้าไม่ตอบอะไร เพียงแค่ยกมือขึ้นชี้ไปที่ป้ายบนกำแพงด้านหลังของตนเองแทน..
ฟรี!!
หาหมอรักษาฟรี!
“ขอบคุณครับท่านหมอ! ขอบคุณมาก” ชายวัยกลางคนซาบซึ้งจนถึงกับรื้นไปด้วยน้ำตา
นี่คือฮัวถวอกับซุนซือเหมี่ยวกลับชาติมาเกิดอย่างนั้นหรือ แพทย์ผู้เกิดมาเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ในโลก!
คุณธรรมสูงส่งคือพลังที่ยิ่งใหญ่!
ชายวัยกลางคนเฝ้าพร่ำขอบคุณพร้อมกับถอยหลังกลับออกไป หลังจากนั้นกลุ่มลูกค้าที่เข้าคิวรอหมอกู่ก่อนหน้านี้ ก็ได้กรูกันเข้ามาหาหลินหนานทันที
“ท่านหมอ ได้โปรดช่วยผมด้วย ดวงตาของผมเริ่มเห็นภาพไม่ชัดมาหลายวันแล้ว”
“ท่านหมอเทวดา ได้โปรดวินิจฉัยโรคให้ผมด้วย ขาของผมปวดมาก และผมทนทรมานกับความปวดมานานหลายปีแล้ว”
“ท่านหมอคะ.. ฉันอาการหนักที่สุด ไม่สามารถรอได้อีกต่อไปแล้ว..”
หลินหนานจ้องมองคนไข้ที่แย่งกันเข้ารับการรักษาด้วยรอยยิ้มที่เยือกเย็น เขาทรุดตัวนั่งลงบนเสื่ออีกครั้งพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ไม่ต้องร้อนใจไป เข้ามาทีละคน วันนี้ผมจะช่วยรักษาพวกคุณทุกคน!”
……
ภายในหอฟู่ซิง..
หลังจากที่ท่านหมอกู่ตรวจอาการคนไข้คนที่สิบสามเสร็จแล้ว ผู้ช่วยก็ได้ส่งผ้าอุ่นให้กับเขา หลังจากที่เช็ดมือเรียบร้อยแล้ว ท่านหมอกู่ก็ยกถ้วยชาขึ้นจิบเพื่อให้ลำคอชุ่มชื่น
“ท่านหมอกู่ครับ จะให้เรียกคนไข้รายต่อไปเลยมั๊ยครับ?” ผู้ช่วยเอ่ยถามด้วยท่าทีเคารพนบนอบ
“รออีกห้านาที ฉันขอพักผ่อนเสียหน่อย!” ท่านหมอกู่ตอบกลับเสียงเบา
ผู้ช่วยจึงเดินออกมาจากห้องตรวจ และแจ้งกับคนไข้ด้านนอกตามที่ท่านหมอกู่บอก แม้คนไข้จะยืนรอจนเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามากแล้ว แต่ก็ไม่มีใครกล้าบ่นออกมาเลยแม้แต่คำเดียว
กว่าที่พวกเขาจะได้เข้าพบท่านหมอกู่ ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดาย เช่นนี้แล้วพวกเขาจะกล้าบ่น หรือชักสีหน้าไม่พอใจได้อย่างไรกัน?
ท่านหมอกู่เอนกายกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเก้าอี้โยกที่ทำจากไม้ แต่ในระหว่างที่เขากำลังจะหลับตาลงเพื่อพักผ่อนนั้น เสียงร้องตะโกนด้วยความดีใจก็ดังเข้ามาในหูของเขา
“สุดยอด!!”
“พระเจ้า! มันหลือเชื่อมาก!”
“นี่ล่ะหมอเทวดาของจริง!”
ท่านหมอกู่ถึงกับขมวดคิ้ว และเรียกผู้ช่วยเข้ามาสอบถาม..
“เธอออกไปดูข้างนอกทีซิว่าเกิดอะไรขึ้น! ทำไมผู้คนถึงได้ส่งเสียงหนวกหูขนาดนี้?”
ผู้ช่วยรีบเดินออกไปดูตามคำสั่งของท่านหมอกู่ทันที หลังจากสอบถามเหตุการณ์จากผู้คนด้านนอกแล้ว ผู้ช่วยจึงได้รีบกลับเข้าไปรายงานท่านหมอกู่ด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ตกลงเสียงร้องตะโกนโหวกเหวกด้านนอกคืออะไร?” ท่านหมอกู่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจนัก
“คนไข้ที่ไม่ได้ตรวจในวันนี้ กำลังเข้าแถวรอตรวจฟรีกับหมอด้านนอกอยู่ครับ..” ผู้ช่วยของท่านหมอกู่เข้าไปกระซิบข้างหู
“ห๊ะ?!” ท่านหมอกู่ถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ
ที่นี่คือหอฟู่ซิงอันโด่งดัง แต่กลับมีคนมาเข้าคิวรอพบหมออยู่ด้านหน้า เช่นนี้ไม่เท่ากับเป็นการท้าทายฉันรึ?
ท่านหมอกู่อดรนทนไม่ได้ จึงได้แต่บอกกับผู้ช่วยไปว่า “ฉันจะออกไปดูหน่อย!”
จากนั้นท่านหมอกู่ก็เดินออกจากห้องตรวจไปทันที..