วีรบุรุษไร้อาชีพ ~ถึงจะไม่มีสกิลก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร~ - ตอนที่ 52 ฉันจะฆ่าแก และฉันค่อยฆ่าตัวตายตามไป
- Home
- วีรบุรุษไร้อาชีพ ~ถึงจะไม่มีสกิลก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร~
- ตอนที่ 52 ฉันจะฆ่าแก และฉันค่อยฆ่าตัวตายตามไป
ดูเหมือนว่าที่สถาบันสีเขียวนั้นจะมีสิ่งที่เรียกว่า “การแข่งขัน” ในทุกๆปี เพื่อที่จะเรียนรู้เวทมนตร์บิน
ดูเหมือนผู้เข้าแข่งขันจะต้องบินไปบนท้องฟ้า ผ่านอุปสรรคต่างๆ และแข่งความเร็วกันเพื่อไปถึงเส้นชัยให้เร็วที่สุด
ในการแข่งขันนั้นไม่ได้มีเพียงนักเรียนชั้นปีที่ 1 เท่านั้น แต่ยังมีนักเรียนชั้นปีที่ 2 เข้าร่วมการแข่งขันด้วย
มันเป็นไปไม่ได้เลยที่นักเรียนชั้นปีที่ 1 จะชนะ
“ฉันนั้นได้ฝึกเวทบินมาตลอดตั้งแต่ฉันเป็นนักเวท! ฉันจะต้องชนะการแข่งขันอย่างแน่นอน!” (???)
เด็กผู้ชายคนนั้นพูดออกมาอย่างมั่นใจ
“ฟังดูน่าสนใจดี ผมจะเข้าร่วมการแข่งขันด้วย” (อาเรล)
ถึงแม้ว่าตอนนี้ผมจะยังบินไม่ได้ก็เถอะ
“ฮ่าๆๆๆ! นายไม่ได้ยินที่บอกก่อนหน้านี้งั้นเหรอ! การจะเข้าร่วมการแข่งขันได้อย่างน้อยที่สุดนายต้องบินได้!” (???)
“มันมีเวลาตั้งสองเดือนไม่ใช่เหรอ?” (อาเรล)
“ห๊ะ นายบ้ารึเปล่า ขั้นต่ำคือต้องใช้เวทบินได้นะ? มันจะไม่ยากเลยถ้าหากนายลอยได้ แต่ว่าสำหรับนายน่ะมันจะยากมาก! แม้แต่ฉันก็ยังใช้เวลาตั้งครึ่งปีเลยนะ!” (???)
ตอนที่พวกเรากำลังโต้เถียงกันอยู่ อาจารย์ก็เดินเข้ามาห้าม
“ถ-ถึงแม้จะเพิ่งเริ่มฝึก ก็อย่ากลัวที่จะเข้าร่วมด้วย ถ้าหากว่าเธอมีเป้าหมายแล้วล่ะก็มันจะช่วยให้พัฒนาตัวเองได้ไวขึ้น และถ้าหากมันยากเกินไป เธอก็สามารถยกเลิกก่อนการแข่งขันได้” (อาจารย์)
ที่สถาบันสีเหลืองนั้นก็คล้ายกับสถาบันอื่นๆ
ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีใครให้ผมดูสมุดโน๊ตของพวกเขา
เวทสีเหลืองนั้นถูกแบ่งสองประเภทคือเวทดิน และเวทแปรเธตุ
ถึงแม้ว่ามันจะน่าสับสนก็ตาม แต่เวทดินนั้น มันก็เกี่ยวข้องกับโลหะด้วย
ซึ่งส่วนใหญ่เวทดินนั้นจะใช้ในการดูแลป่าไม้ และการก่อสร้าง ฯลฯ โดยกำแพงที่ล้อมรอบเมืองและหมู่บ้าน เพื่อป้องกันการบุกรุกของมอนสเตอร์นั้นก็ถูกสร้างขึ้นมาจากเวทดิน แม้แต่สะพานข้ามแม่น้ำก็ทำมาจากเวทดินเช่นกัน
แต่ว่ามันก็แตกต่างจากเวทสีน้ำเงิน ที่สร้างน้ำขึ้นมาตั้งแต่เริ่ม เวทดินนั้นจะใช้ดินและโลหะที่มีอยู่จริงๆ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้วัตถุดิบในการสร้างขึ้นมา
ในทางกลับกันเวทแปรธาตุนั้นเป็นเวทที่ใช้เปลี่ยนโลหะธรรมดาให้เป็นโลหะที่มีค่า
การศึกษาเพื่อหาว่า โลหะชนิดใดที่เหมาะจะเป็นวัตถุดิบในการแปลงเป็นโลหะที่มีค่า ได้ดำเนินการทั้งวันทั้งคืนในสถาบันแห่งนี้
ผู้ที่จบการศึกษาส่วนใหญ่นั้นจะไปทำงานในโรงตีเหล็ก
นักเรียนชั้นปีที่หนึ่งนั้นจะต้องเรียนรู้ทั้งเวทดินและเวทแปรธาตุ ส่วนนักเรียนชั้นปีที่สองนั้นสามารถเลือกเรียนเฉพาะทางได้
…ถ้าผมอยากจะสร้างโกเลม ผมควรเลือกเรียนสายไหนดีล่ะเนี่ย?
อย่างไรก็ตามที่สถาบันสีเหลืองนั้นมีเปอร์เซ็นต์นั้นเรียนชาย สูงรองลงมาจากสถาบันสีแดง
และอาจจะเป็นเพราะมันไม่นิยมในหมู่สาวๆ มันจึงดูธรรมดามาก
สถานที่ถัดมาคือสถาบันสีขาว
ที่นี่ดูเหมือนชั้นเรียนของเด็กประถมอยู่พอสมควร
ซึ่งตรงกันข้ามกับสถาบันสีเหลืองเลย เพราะนอกจากผมแล้วก็มีผู้ชายอยู่อีกหนึ่งคนเท่านั้นในชั้นเรียน ซึ่งที่นี่นั้นมีสัดส่วนของเด็กผู้หญิงมากกว่า หรือเท่ากับสถาบันสีน้ำเงินเลย
ซึ่งผมนั้นไม่สามารถเข้าเรียนทุกคาบได้ ดังนั้นเมื่อผมไม่อยู่ ดูเหมือนว่าเขาจะต้องอยู่คนเดียว และดูเหมือนเขาจะมีน้ำตาไหลออกมา “ได้โปรดเข้าเรียนทุกคาบด้วยเถอะครับ!”
เวทสีขาวนั้นถูกแบ่งออกเป็นสามประเภทหลักๆ
เวทแสง
เวทเสริมกำลัง
เวทฮีล
ตามชื่อของมันเลยเวทแสงคือเวทมนตร์ที่สร้างแสงขึ้นมา
ถึงแม้ว่าจะสามารถใช้แทนแสงไฟได้ก็ตาม แต่แสงนี้ยังมีผลในการชำระล้างสิ่งสกปรก หรือสิ่งที่คล้ายกัน นอกจากนี้มันยังสามารถเปลี่ยนน้ำที่ปนเปื้อนให้กลายเป็นน้ำที่สะอาดได้ สามารถใช้ชำระร่างกายได้ และมันยังสามารถใช้กับมอนสเตอร์พวกอันเดตได้อย่างดีเลย
เวทเสริมกำลังนั้นก็เป็นไปตามชื่อของมัน
เป็นเวทที่ใช้สำหรับเสริมร่างกายชั่วคราว เช่น เสริมความแข็งแกร่ง เสริมความเร็ว ฯลฯ
แน่นอนว่ามันเป็นเวทที่ใช้กับร่างกายตัวเองได้ ถึงมันจะช่วยให้รู้สึกแข็งแกร่งขึ้นก็ตาม แต่อาชีพที่อยู่แนวหลังอย่างนักเวทนั้นก็อ่อนแอทางกายภาพอยู่ดี
ดังนั้นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดคือนำไปใช้กับแนวหน้า
ซึ่งนักผจญภัยที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่ ก็จะมีผู้ใช้เวทสีขาวอยู่ในกลุ่ม
นอกจากนี้เวทแสงนั้นยังมีประโยชน์ในการผจญภัยอีกมากมาย
สำหรับเวทฮีลนั้นมีหน้าที่น้อยมากที่ต้องทำ เนื่องจากมีพรคุ้มกันศักดิ์สิทธิ์อยู่
ส่วนใหญ่มันจะถูกใช้ในการปฐมพยาบาลในกรณีที่พรคุ้มกันศักดิ์สิทธิ์หมด
ดังนั้นผู้ใช้เวทสีขาวบางคนจึงกลายเป็นสัตวแพทย์ เพราะมันสามารถใช้กับสัตว์ที่ไม่มีพรคุ้มกันศักดิ์สิทธิ์ได้ และสัตวแพทย์นั้นยังเป็นที่ต้องการอย่างมาก เช่น การดูแลรักษาสัตว์ที่ใช้ในการขนส่ง
ส่วนที่สถาบันสีดำนั้นไม่มีชั้นเรียน
การเรียนของชั้นการศึกษาปีที่หนึ่ง และชั้นการศึกษาปีที่สองนั้นก็ดูคุมเครือ เนื่องจากมันไม่มีใครมาสนใจตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว
แต่สำหรับผมแล้ว มันเป็นผลดี เพราะผมไม่อยากฟังบทเรียนที่ง่ายเกินไป
ผมอยากจะเรียนรู้ด้วยตัวเอง
ตามที่โครงกระดูกในสำนักงานบอก ผมสามารถใช้สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆในสถาบันได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
ในอาคารเรียนนั้นมีห้องว่างมากมาย และผมอยากจะใช้มันเป็นห้องทดลอง ดังนั้นผมก็เลยตัดสินใจหาห้องที่เหมาะสม
ทางที่ดีผมควรจะอยู่ให้ห่างจากห้องน้ำให้มากที่สุด ซึ่งผมไม่อยากจะได้ยินเสียงจากภายในนั้น และก็ห้องของผู้หญิงที่สร้างคิเมร่าขึ้นมา
“หืม ดูเหมือนห้องนี้จะว่างนะ” (อาเรล)
ผมเจอห้องที่ดูเหมือนไม่มีคนใช้ และเปิดประตูเข้าไปเพื่อตรวจสอบด้านใน
[ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย…..]
[ฉันจะฆ่าแก และฉันค่อยฆ่าตัวตายตามไป]
[โลกนี้กำลังจะถึงจุดจบแล้ว]
—มีคำสาปมากมายถูกเขียนด้วยสีแดงบนผนังห้อง
“…ผมว่าผมไปอยู่ห้องอื่นดีกว่า” (อาเรล)
ผมปิดประตูเบาๆ และมุ่งหน้าไปยังห้องถัดไป
“ที่นี่ดูดีเลย” (อาเรล)
ผมเจอห้องตรงหัวมุมชั้นสอง
มีฝุ่นมากมายอยู่บนพื้น และมีใยแมงมุมอยู่เต็มเพดาน
นอกจากนี้ยังมีโซฟา และชั้นหนังสือที่ผู้ใช้คนก่อนทิ้งเอาไว้
ผมได้ตัดสินใจเลือกที่นี่เป็นที่ห้องของผม แต่การทำความสะอาดคงต้องรอไปก่อน
ตอนนี้ผมต้องการอุปกรณ์ทำความสะอาด ที่สถาบันจะนี้มีหรือเปล่านะ?
จากนั้นผมก็ตรงไปที่ห้องสมุดตามที่โครงกระดูกบอก
“ที่นี่มันสุดยอดมากเลย…” (อาเรล)
เมื่อเข้าไปข้างในแล้ว ผมก็พบกับหนังสือมากมายอยู่ในนั้น
ผมไม่รู้ว่าในนี้มีหนังสืออยู่กี่เล่ม แต่ที่แน่ๆ น่าจะเกิดหมื่นเล่มแน่นอน
น่าแปลกมากที่ภายในนั้นสะอาดและสวยงาม บางทีอาจจะมีคนคอยทำความสะอาดอยู่ก็ได้
“’งั้นเริ่มจากทางขวาสุดก่อนเลย” (อาเรล)
ราทาเลียนั้นบอกว่าสามารถอ่านได้อย่างอิสระ งั้นผมก็ขออ่านมันทั้งหมดเลยล่ะกัน