ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 101 กำเนิดแห่งความยากไร้
บางครั้ง มิตรภาพระหว่างบุรุษนั้นเรียบง่ายมาก
อ๋าวอี่ทั้งต่อยและเตะโดยแทบไม่ได้ใช้ทักษะของเขามากนัก แต่กลับคว้าลำคอของลูกพี่ลูกน้องของเขา องค์ชายรองแห่งวังมังกรทะเลทักษิณ อ๋าวโหมว
หลังจากนั้น อ๋าวอี่ก็โยนอ๋าวโหมวออกไปด้านข้างและขอให้เขาขอโทษหานจื่อ
ด้วยวิธีนี้ หานจื่อจะสามารถปกป้องชื่อเสียงของสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยได้ และไม่อาจตำหนิอ๋าวโหมวได้อีกต่อไป นอกจากนี้ จะไม่มีความขัดแย้งระหว่างวังมังกรและเกาะเต่าทองเกิดขึ้นในอนาคตอีกด้วย
หานจื่อไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อท่าทีของอ๋าวอี่มากนัก นางเพียงยิ้ม แต่…ดวงตาของอ๋าวโหมวกลับเปล่งประกายวิบวับขึ้นมาทันที
มันดูราวกับจะมีดาวดวงน้อยๆ อยู่ในดวงตาของเขา…
บัดนี้ ผู้ติดตามสองคนของอ๋าวโหมวล้วนมองอ๋าวอี่ด้วยความเคารพมากขึ้น
เผ่ามังกรมีความรู้สึกเหนือกว่าโลกภายนอก ในฐานะเจ้าเหนือหัวโบราณ
แต่ภายในเผ่ามังกรเองนั้น บุตรมังกรย่อมปฏิบัติตามหลักการที่ว่า ผู้แข็งแกร่งกว่าย่อมเป็นนายเสมอเช่นกัน
อ๋าวโหมวทรุดกายลงบนพื้นผิวทะเลโดยไม่จมลงไปเพราะมีพลังเซียนของเขาค้ำจุนเอาไว้
ในเวลานี้ มีความลังเลอยู่ในดวงตาของเขา แล้วทันใดนั้นเขาก็เงยหน้ามองหานจื่อซึ่งกำลังแย้มยิ้ม ก่อนจะหันศีรษะไปมองอ๋าวอี่
หลังจากนั้น อ๋าวโหมวก็ลุกยืนขึ้นและกล่าวอย่างจริงจังว่า “เมื่อกี้ ข้า…แพ้เร็วเกินไป ตอนนี้เจ้ากับข้ามาสู้กันใหม่อีกครั้ง หากแพ้อีกครั้ง ข้าจึงจะยอมเชื่อ และจะทำตามคำสั่งของเจ้า!”
อ๋าวอี่พยักหน้าอย่างสงบพลางสะบัดแขนเสื้อและทำท่าทางจะจากไป
ทว่าอ๋าวโหมวพลันก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง และคราวนี้ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความจริงจังอย่างยิ่ง
จากนั้น องค์ชายรองแห่งวังมังกรทะเลทักษิณก็ร้องตะโกนเบาๆ แล้วปล่อยทักษะพิเศษทุกรูปแบบออกมาพร้อมกัน แล้วเข้าห้ำหั่นในศึกต่อสู้ทันที
มังกรระเบิดเสียงคำรามลั่นในขณะที่คลื่นทะเลม้วนตัวแปรปรวนขึ้นทันที
หลังจากนั้นไม่นาน อ๋าวอี่ก็คว้าลำคอของอ๋าวโหมวอีกครั้ง
ในขณะนั้น อ๋าวอี่ซึ่งอยู่ในร่างหนุ่มน้อย ไร้รอยแผลใดๆ มีเพียงเส้นผมสองเส้นบนหน้าผากของเขาที่เปียกชื้นเล็กน้อยเท่านั้น
จากนั้น อ๋าวอี่โบกสะบัดมือ และอ๋าวโหมวก็ร่วงลงไปที่ผิวน้ำอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาตกลงไปเบาๆ เท่านั้น
ทันใดนั้น อ๋าวโหมวก็เงยหน้าขึ้นจ้องมองอ๋าวอี่ด้วยดวงตาที่สุกสกาวยิ่งกว่าเดิม…
“ข้ายังมีพลังเวทอยู่!”
อ๋าวโหมวรู้สึกอับอาย แต่ก็กัดฟันลุกขึ้นยืน “หากข้าแพ้เจ้าอีกครั้ง ข้าจะเชื่อฟังเจ้าทุกทุกอย่าง!”
ในขณะนั้น อ๋าวอี่พลันขมวดคิ้วและมองลูกพี่ลูกน้องที่อยู่ข้างหน้าเขา
เขาหมกมุ่นอยู่กับการที่เขาจะชนะหรือไม่เสียจริงๆ?
เพื่อชื่อเสียงของวังมังกรทะเลทักษิณ อ๋าวอี่จึงทำได้เพียงพยักหน้าตกลง และคิดว่าในครั้งนี้ เขาควรจะแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากับอ๋าวโหมวให้มากขึ้น…
ดังนั้น ในอีกครึ่งชั่วยามต่อมา…
หลังจากสัประยุทธ์เจ็ดรอบ และอ๋าวโหมวก็ได้เผยความสามารถทั้งหมดของเขาออกมาแล้ว ทว่าเขาก็ยังพ่ายแพ้ในทั้งเจ็ดศึกสู้เหล่านั้น…
“พี่อ๋าวอี่ พอแล้ว! โปรดรับการคารวะจากข้าด้วยขอรับ!”
จากนั้น มังกรทั้งสามที่หยิ่งทะนงและวางท่าเหนือผู้คนทั่วไปในตอนแรกนั้น ต่างก็โค้งคำนับให้กับอ๋าวอี่พร้อมๆ กัน ในขณะที่อ๋าวอี่พยักหน้าให้อย่างสงบโดยไม่เผยอารมณ์ใดๆ ออกมา
และโดยที่อ๋าวอี่ไม่ต้องเอ่ยวาจาใด ทั้งสามคนก็หันกลับมาแล้วโค้งคำนับให้หานจื่อ ในขณะนั้น หานจื่อก็กล่าวขึ้นทันทีว่า ไม่จำเป็นต้องขอโทษนาง แม้อ๋าวโหมวจะเกิดเร็วกว่าอ๋าวอี่สองปี แต่เขาก็เรียกอ๋าวอี่ว่า ‘พี่รอง’ ซึ่งง่ายกว่ายามที่เขาเรียกขานพี่ชายของตัวเองมาก
และแล้ว บัดนี้องค์ชายรองแห่งวังมังกรทะเลทักษิณก็พ่ายแพ้อย่างแท้จริงจนถึงขั้นยอมจำนน
ในขณะนี้ อ๋าวโหมวยินดีเชิญหานจื่อและอ๋าวอี่ให้เดินทางท่องเที่ยวไปในทะเลทักษิณ
เขายังส่งลูกน้องผู้คุ้มกันทั้งสองของเขากลับไปที่วังมังกรพร้อมกับให้นำเรือสมบัติออกมาด้วย แล้วมอบเรือลำหนึ่งเพื่อเป็นของขวัญสำหรับการขออภัยให้กับพี่รองของเขาอีกด้วย
เพราะมั่นใจว่าไม่อาจเอาชนะได้อย่างแน่นอนแล้ว เช่นนั้น จึงดีกว่าที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ไปเลย
อ๋าวอี่พลันเอ่ยถามหานจื่อว่า นางอยากเปลี่ยนสถานที่พักผ่อนหรือไม่ แต่หานจื่อก็อยากไปเที่ยวทะเลทักษิณมากกว่า
และด้วยเหตุนี้ ทั้งสองจึงมีผู้นำเที่ยวพิเศษ และยังคงท่องเที่ยวอยู่ในทะเลทักษิณต่อไป…
“พี่อ๋าวอี่ พลังและทักษะเวทของท่านช่างน่าทึ่งยิ่ง ท่านเรียนรู้มาจากสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยใช่หรือไม่”
เมื่อได้ยินอ๋าวโหมวถามคำถามเช่นนั้น จู่ๆ อ๋าวอี่ก็ยิ้มและกล่าวอย่างจริงจังว่า “เต๋าที่จอมปราชญ์มอบให้นั้น ลึกซึ้งและกว้างขวางอย่างยิ่ง เจ้าอยากเข้าร่วมสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยด้วยหรือไม่เล่า”
“อืม ช่างมันเถิด พี่รอง ข้าอดทนต่อการฝึกฝนที่ยากลำบากไม่ไหว ข้าอยู่ในวังมังกรอย่างสบายใจดีกว่าขอรับ”
อ๋าวอี่ขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “ญาติผู้พี่ เจ้า…”
“เรียกข้าว่าญาติผู้น้องเถิด ตอนนี้ ข้าเป็นญาติผู้น้องของท่านแล้ว”
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จำไว้ว่าต้องยับยั้งชั่งใจให้มากขึ้น” อ๋าวอี่กล่าวอย่างจริงจัง “เมื่อข้าต่อสู้กับเจ้า ข้าพบว่าเจ้ามีความบกพร่องร้ายแรงอยู่ แม้เผ่าพันธุ์มังกรจะมีรากฐานที่ลึกซึ้ง แต่เราไม่ควรประมาท อย่าใช้เวลายุ่งอยู่กับสาวใช้จากเผ่าทะเลมากเกินไปตลอดทั้งวัน หากเจ้าควบคุมตัวเองไม่ได้ ก็ควรหาคนจากเผ่าเดียวกันมาแต่งงานกันก่อนเพื่อจำกัดตัวเอง”
ทันใดนั้น อ๋าวโหมวก็หัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า เวลานี้เขาพึงใจองค์หญิงมังกรแห่งทะเลประจิมอยู่แล้ว
ขณะนั้น เดิมที หานจื่อที่ยืนอยู่ข้างๆ ยังไม่เข้าใจในสิ่งที่พวกเขากำลังพูดถึงกันในตอนแรก แต่แล้วนางก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ ฉับพลันนั้น แก้มของนางก็ขึ้นสีแดงก่ำและไม่กล้ามองไปที่ใบหน้าบอบบางของอ๋าวอี่
อ๋าวอี่ไม่ได้คิดอะไรมาก มันเป็นเรื่องปกติของเผ่าพันธุ์มังกร พี่ชายใหญ่ของเขา อ๋าวเจี๋ยก็มีชีวิตอยู่ในสภาพเมามายมาเป็นเวลานานแล้ว
มังกรน้อยผู้ที่สามารถฝึกการควบคุมตนเองได้อย่างเขา…มีน้อยอย่างยิ่งจริงๆ
ในเวลาเดียวกันนั้น ทางด้านตะวันตกของยอดเขาพิชิตสวรรค์ ในบริเวณที่พำนักของเซียนจิ่วทั้งเก้า ขณะนี้ หลี่ฉางโซ่วกำลังยืนอยู่หน้าที่พำนักของอาจารย์อาน้อยจิ่วจิ่วและเฝ้าดูแผนผังค่ายกลที่ตั้งอยู่ในนี้ ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกแปลกๆ พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย ไฉนข้าจึงรู้สึกราวกับว่ามีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับตัวข้ากำลังจะเกิดขึ้น
เขาแอบสัมผัสสถานการณ์ที่ชายทะเลทักษิณ และในขณะนี้ยังไม่มีวี่แววของสงครามระหว่างมนุษย์ปะทุขึ้น…
“เสี่ยวฉางโซ่ว…”
ในเวลานั้น จิ่วจิ่วที่อยู่ข้างๆ ก็เห็นหลี่ฉางโซ่วขมวดคิ้ว จึงอดกระซิบถามไม่ได้ว่า “หมดหวังจะซ่อมได้แล้วจริงๆ หรือ”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มขื่นพลางถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “อาจารย์อา ข้าขออภัยที่ต้องถามท่านก่อนขอรับ”
“ก็ได้ ถามมาสิ!”
หลี่ฉางโซ่วพลันเงยหน้าขึ้นแล้วถอนหายใจ “ท่านทำได้อย่างไร ท่านเพิ่งฝ่าทะลุค่ายกลป้องกันและทำลายรากฐานค่ายกลที่ชั้นล่างไปแล้วหกในสิบส่วน” “เหอะๆ ศิษย์หลาน เจ้าอย่ามายกย่องข้าเลย ข้าย่อมมีความสามารถทำเช่นนั้นได้เสมอ!”
จิ่วจิ่วเลิกคิ้วและตบไหล่หลี่ฉางโซ่วอย่างเป็นกันเอง
“ข้าจะปล่อยให้เจ้าจัดการเอง เพียงแค่สร้างค่ายกล! แต่ข้าเมาบ่อย และมักจะนอนท่าน่าเกลียดเวลาหลับ ข้ามักจะโยนชุดชั้นในและเหวี่ยงเสื้อผ้าของข้าไปรอบๆ…ไม่เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องวางค่ายกลเลย!”
หลี่ฉางโซ่วจึงกล่าวอย่างสงบว่า “ท่านอาจารย์อา ท่านไม่ต้องกล่าวเรื่องนี้กับศิษย์หรอกขอรับ”
“หือ?” จิ่วจิ่วหรี่ตาแล้วโน้มกายไปข้างหน้าพลางกล่าวว่า “เจ้าเคยเห็นมาก่อนหรือ”
“ไม่แน่นอนขอรับ” หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างสงบ “ท่านอาจารย์อา โปรดนำรากฐานค่ายกลใต้ดินออกไปก่อน ข้าจะรอท่านอยู่ข้างใน ข้ายังต้องการวัสดุล้ำค่าเพื่อปรับแต่งรากฐานค่ายกลในภายหลัง ท่านอาจารย์อา ข้าจะใช้สิ่งที่ได้เรียนรู้มาเพื่อสร้างค่ายกลที่แตกต่างกันสองสามแบบแล้วให้ท่านได้เลือกนะขอรับ”
จิ่วจิ่วกะพริบตาปริบๆ ทันทีก่อนจะเหวี่ยงแหวนออกไปแล้วโบกมืออย่างใจกว้าง
“ทำในสิ่งที่เจ้าต้องการ! ข้าอยู่ที่นี่มานานกว่าพันปีแล้ว ยังมีเงินเก็บอยู่บ้าง” หลี่ฉางโซ่วยิ้มเล็กน้อย พลางคว้าแหวนแล้วเดินตรงไปยังที่พำนักของจิ่วจิ่ว
แน่นอนว่า ค่ายกลที่แยกที่พักอาศัยนั้นมีความสำคัญมาก แต่หลี่ฉางโซ่วย่อมไม่อาจเปิดเผยค่ายกลระดับสูงที่เขาเชี่ยวชาญออกมาได้
เขาต้องใช้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับค่ายกลที่อาจารย์ลุงจิ่วอูมอบให้เขาเพื่อใช้สร้างค่ายกลที่สามารถปกป้องจิ่วจิ่วและรับรองความปลอดภัยของนางได้อย่างสมบูรณ์
และมันยังเป็นความท้าทายเล็กน้อยเช่นกัน
จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็นั่งลงที่โต๊ะกลมและพบแผ่นหินสองสามแผ่นที่ด้านข้าง เขาจึงหยิบมีดแกะสลักออกมาแล้วเริ่มเขียน วาดลงบนแผ่นหิน
ในขณะนั้น จิ่วจิ่วก็รีบพุ่งดิ่งลงไปใต้ดินอย่างรวดเร็วและนำรากฐานค่ายกลที่นางเคยซ่อมมาเป็นเวลานานออกมาก่อน
เนื่องจากมันเป็นเพียงค่ายกลเล็กๆ หลี่ฉางโซ่วจึงออกแบบมันออกมาได้อย่างรวดเร็ว และเมื่อจิ่วจิ่วกลับมาพร้อมกับรากฐานค่ายกล หลี่ฉางโซ่วก็ได้เตรียมแผนผังค่ายกลต่างๆ เอาไว้แล้ว
“โอ้ ฉางโซ่ว เจ้าฉับไวยิ่ง”
“ข้าเคยพบเรื่องที่คล้ายกันมาก่อนขอรับ” หลี่ฉางโซ่วกล่าว จากนั้นก็ผลักแผ่นหินสองสามแผ่นเข้าหานางแล้วกล่าวว่า “ลองดูสิขอรับ ท่านอยากให้ข้าจัดวางแบบใดดีขอรับ”
“ข้าจะหาตำแหน่งที่ตั้งในภายหลัง ท่านอาจารย์อาฝังฐานค่ายกลทีละตัว เท่านี้ก็สำเร็จเรียบร้อยแล้วขอรับ”
จากนั้นจิ่วจิ่วจึงหยิบแผ่นหินขึ้นมาดู และ ทันใดนั้นก็ตาพร่าแล้วเวียนศีรษะอย่างกะทันหัน
“ให้เจ้าตัดสินใจ ข้าไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้”
“ท่านอาจารย์อา” หลี่ฉางโซ่วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านจะล้อเล่นในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของท่านเองไม่ได้นะขอรับ”
“ก็ได้” จิ่วจิ่วพยักหน้าหงึกหงักพลางกล่าวว่า “เช่นนั้น เจ้าก็อธิบายให้ข้าฟังว่าพวกมันแตกต่างกันอย่างไร พวกมันทั้งหมดล้วนเป็นค่ายกลเหมือนกันไม่ใช่หรือ”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “พวกมันดูเหมือนคล้ายกัน แต่ความจริงแล้ว พวกมันต่างกันมากขอรับ”
“ท่านอาจารย์อา โปรดดูค่ายกลแบบแรกนะขอรับ มันเป็นค่ายกลที่เน้นป้องกันการตรวจจับมากกว่า หากตั้งค่ามันไว้อย่างถูกต้อง บางทีแม้แต่อาจารย์ของท่านก็ยังไม่อาจมองทะลุผ่านที่นี่ได้ขอรับ”
“โอ้?” ดวงตาของจิ่วจิ่วเป็นประกายขึ้นมาทันที “เช่นนั้น เอาหนึ่งชุด!”
“แค่กๆ” หลี่ฉางโซ่วกระแอมไอและกล่าวต่อว่า “ท่านอาจารย์อาโปรดใจเย็นๆ ก่อนขอรับ หลังจากดูทั้งหมดเหล่านี้แล้ว เราค่อยมาตัดสินใจกันอีกทีก็ได้ขอรับ
หากค่ายกลนี้ถูกจัดวาง ระดับการป้องกันการตรวจจับจะมีระดับปานกลาง แต่จะมีการป้องกันอย่างแน่นหนา หากพบศัตรูที่แข็งแกร่งก็จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเอาชีวิตรอดได้ หากยืนหยัดอยู่ได้นานขึ้น ก็อาจรอความช่วยเหลือได้
ข้าชอบอันนั้นมากกว่า”
จิ่วจิ่วชี้ไปที่แผ่นหินอีกสองแผ่น “แล้วนี่กับนี่ล่ะ?”
“ค่ายกลแบบที่สามเน้นไปที่การรวมวิญญาณ ซึ่งช่วยให้ท่านสามารถฝึกฝนการไหลเวียนของพลังวิญญาณได้อย่างต่อเนื่องไร้ที่สิ้นสุด และพิจารณายังช่วยเรื่องระดับการตรวจจับและการป้องกันด้วยขอรับ…”
หลังจากฟังอยู่พักหนึ่ง จิ่วจิ่วก็เวียนศีรษะเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ค่ายกลทั้งหมดนี้ไม่ได้มีคุณภาพสูงหรือ”
“นี่…”
หลี่ฉางโซ่วมองดูแหวนในมือแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “จริงๆ แล้ว มันจะขึ้นกับวัสดุที่ท่านให้ศิษย์ ศิษย์ได้ลงทุนวัสดุล้ำค่าทั้งหมดไว้ในค่ายกลของยอดเขาหยกน้อยทั้งหมดแล้วขอรับ”
“ข้าก็คิดว่านั่นเป็นเหตุผลทั้งหมดนั่นแหละ”
จิ่วจิ่วพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะหยิบสร้อยข้อมือและถุงเก็บสมบัติออกมา แล้ววางไว้ข้างหน้าหลี่ฉางโซ่ว
“จงสร้างค่ายกลที่ดีเยี่ยมที่สุด!”
หลี่ฉางโซ่วพึมพำกับตัวเองและรีบขอคำยืนยันว่า “จริงๆ หรือ” “จริงๆ หรือขอรับ!”
จิ่วจิ่วยกมือเท้าเอวแล้วกล่าวว่า “จริงสิ ทำเลย!”
ค่ายกลในที่พักเพียงค่ายกลเดียวจะใช้ความมั่งคั่งที่นางเก็บสะสมมานานนับพันปีหมดลงได้อย่างไร
แต่ในไม่ช้า สภาพจิตใจของจิ่วจิ่วก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย…
หลี่ฉางโซ่วนำวัสดุล้ำค่าทั้งหมดที่นางสะสมมานานหลายปีออกมาและจัดเรียงเป็นหมวดหมู่ต่างๆ ดูราวกับว่าเขากำลังคัดแยกและเตรียมสมุนไพรก่อนที่จะหลอมโอสถ…
ประเด็นหลักคือ หลังจากที่หลี่ฉางโซ่วคิดพิจารณาถึงวัสดุล้ำค่าประเภทต่างๆ แล้ว เขาก็พบประโยชน์ในการใช้ของพวกมันทั้งหมด
หลี่ฉางโซ่วไม่ได้วางแผนอะไรกับอาจารย์อาน้อยของเขาหรือโลภสิ่งของอะไรของนาง เขายังให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของจิ่วจิ่วเป็นอย่างมาก
เพราะนางคือ ‘คู่หูนักหลอมโอสถที่ดี’ และยังเป็น ‘ปรมาจารย์ด้านการปกปิดอำพราง’ ของเขา หลี่ฉางโซ่วยังรู้สึกเสมอว่าการสร้างค่ายกลป้องกันสำหรับพื้นที่ที่เป็นสถานที่อยู่อาศัยและสถานที่ปิดด่านก็มีความสำคัญเช่นกัน
และเพื่อช่วยสร้างค่ายกลระดับสูงให้อาจารย์อาของเขา หลี่ฉางโซ่วจึงเริ่มปรับแต่งรากฐานค่ายกลให้ใช้งานได้อีกครั้ง และยังรื้อฐานรากค่ายกลที่พังแล้ว และใช้ทุกวิถีทางที่ทำได้เพื่อทำให้มันสามารถใช้งานได้ทั้งหมด
อันที่จริง หลี่ฉางโซ่วยังได้หยิบเอาวัสดุบางอย่างของเขาเองออกมาเองด้วยซ้ำ…
จิ่วจิ่วที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ลังเลแล้วหยุดตัวเองเอาไว้ เมื่อเห็นว่า หลี่ฉางโซ่วได้เพิ่มบางอย่างเพื่อเสริมค่ายกลให้นางแล้ว นางก็รู้สึกอับอายที่จะพูดอะไรออกมาทันที…
และสองวันต่อมา หลี่ฉางโซ่วก็ขับเคลื่อนเมฆบินไปทางยอดเขาหยกน้อยพร้อมด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ
การสร้าง ‘ค่ายกลเชื่อมโยง’ ที่เกือบสมบูรณ์แบบเช่นนั้น เทียบเท่ากับการทำงานศิลปะชิ้นหนึ่ง
และเขาจะไม่ต้องกังวลในเรื่องความปลอดภัยของอาจารย์อาน้อยอีกต่อไปแล้ว
ที่ด้านหน้าที่พำนัก บัดนี้จิ่วจิ่วเฝ้ามองดูร่างที่กำลังจากไปของหลี่ฉางโซ่วแล้วหันศีรษะไปมองดูค่ายกลที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ทางด้านหลังของนาง และเมื่อเหลือบมองเพียงแวบหนึ่ง นางก็รู้ได้ว่ามันเป็นค่ายกลใหญ่ที่ยากต่อการถูกทำลายอย่างยิ่ง…จากนั้นนางก็มองลงไปที่ยันต์หยกในมือของนาง…
จากนี้ไป นางก็สามารถเปิดใช้ค่ายกลได้ด้วยการถ่ายเทพลังเซียนของนางเข้าไปในยันต์หยกนี้เท่านั้น
มันปลอดภัย ลึกลับ พิถีพิถัน และสะดวกสบาย ไร้มลพิษทางแสงเป็นพิเศษในยามกลางคืน และจะไม่มีพลังวิญญาณรบกวนในยามกลางวัน
ทว่า…
จิ่วจิ่วถือคลังเวทจัดเก็บสองสามชิ้นเอาไว้ในมือของนาง และมองดูคลังจักรวาลจัดเก็บที่ว่างเปล่าภายใน แล้วจู่ๆ ขาของนางก็อ่อนแรงและค่อยๆ ทรุดกายลงนั่งบนบันไดหน้าประตู
ความมั่งคั่งทั้งหมดที่นางสะสมมานานกว่าพันปี…บัดนี้ ถูกใช้ไปหมดแล้วจริงๆ แต่นางก็ไม่ได้เสียอะไรเลย…
ทว่าไฉนในใจของนางกลับไม่มีความสุข มีแต่ความว่างเปล่า
ในอนาคต หากสุราของข้าหมด แล้วข้าจะเอาอะไรไปแลกได้เล่า…
ขณะที่อยู่ในความงุนงงนั้น จิ่วจิ่วก็ได้ยินคำพูดปลอบโยนของหลี่ฉางโซ่วที่กระซิบเข้ามาในหูของนางก่อนที่เขาจะจากไป
“ท่านอาจารย์อา สมบัติวัตถุล้ำค่าและศิลาวิญญาณของท่านไม่ได้หายไปหรอกขอรับ พวกมันเพียงเปลี่ยนไปเป็นอีกรูปแบบหนึ่งและกำลังติดตามท่านไปขอรับ”
“อ่า…”
จิ่วจิ่วค่อยๆ ล้มตัวลงนอนในขณะที่ดวงตาของนางก็ค่อยๆ หม่นแสงลงทีละน้อย
“ข้าเป็นคนยากไร้ หลังจากเมาแล้ว ข้าก็ไม่ทำอะไร และอีกพันปีข้าก็ยังยากจนอยู่”
เช่นนั้น ในอนาคต ข้าต้องย้ายไปที่ยอดเขาหยกน้อย…