ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 107.2 ทันใดนั้นมังกรก็ถูกกักขัง (2)
อันใดกัน มีเทพแห่งท้องทะเลจริงๆ หรือนี่
“เหอะ!”
ทันใดนั้น พวกคนสองสามคนเหล่านี้ก็ได้ยินเสียงสูดลมหายใจเย็น ตามด้วยข้อความเสียงของตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์อีกตัวหนึ่งของหลี่ฉางโซ่ว จากนั้น หลี่ฉางโซ่วพลันกล่าวว่า “ตอนที่ข้าออกลาดตระเวนในทะเล เจ้ารับข้าขึ้นมาจากรถม้าใต้ทะเล เจ้าเห็นหน้าข้า และคงรู้ว่าข้าคือเทพเจ้าแห่งท้องทะเล จึงสร้างวิหารให้ข้าในทะเลทักษิณ เหตุใดกัน เหตุใดเจ้าถึงคุกเข่าและไม่โค้งคำนับเมื่อข้าปรากฏตัวออกมาด้วยตัวเอง”
หัวหน้าหมู่บ้านชราขมวดคิ้ว ขณะที่เขากำลังจะโบกมือส่งสัญญาณให้พวกเขา เขาก็ก้มหน้าก้มตาอยู่ครู่หนึ่ง…
ในขณะนั้น ทูตเทวะผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ด้านข้างพลันกลอกตาและค่อยๆ นอนลงบนพื้นอย่างช้าๆ
ทันใดนั้น หัวหน้าหมู่บ้านชราพลันตื่นตกใจ
เสียงของหลี่ฉางโซ่วเข้ามาในหูของหัวหน้าหมู่บ้านชรา “ข้าจะลงโทษพวกเขาด้วยการเอาวิญญาณของพวกเขาไปสองสามวัน พวกเขาจะตื่นขึ้นมาในอีกไม่กี่วันต่อมา จากนั้น เมื่อถึงเวลาพวกเจ้าก็สามารถถามพวกเขาได้ว่าพวกเขาจำอะไรได้หรือไม่”
ความจริงแล้ว มันเป็นแค่ผงสลายพลังเซียน เพียงแต่หลี่ฉางโซ่วได้เพิ่มปริมาณขึ้นเท่านั้น
หัวหน้าหมู่บ้านชราตัวสั่นสองสามครั้งในขณะที่ลูกกระเดือกของเขาพลันสั่นสะท้านและเสียงของหลี่ฉางโซ่วที่ส่งเข้าไปในหูของเขานั้นก็ดุจดั่งเสียงปีศาจ…
“คิดจริงๆ หรือว่าข้าไม่อาจทำอะไรพวกเจ้าได้เพียงเพราะพวกเจ้ามีสายเลือดของเผ่าพ่อมด แต่เป็นเพราะว่าข้ามีความสัมพันธ์เก่าแก่กับบรรพบุรุษของพวกเจ้า จึงไม่สนใจว่าพวกเจ้าจะใช้ชื่อของข้าเพื่อไปหารายได้”
“บรรพบุรุษของเจ้าเคยเตือนเจ้าว่า ห้ามมีจุดประสงค์แอบแฝงเบื้องหลังการกระทำที่เปิดเผยของพวกเจ้าหรือไม่ มีการส่งต่อคำเตือนที่ห้ามมิให้แต่งงานกับสตรีนอกหมู่บ้านด้วยหรือไม่ แล้วมีคำเตือนว่า สตรีสามารถเลือกสามีได้ แต่จะแต่งงานกับคนนอกหมู่บ้านไม่ได้หรือไม่ และมีคำสั่งพิเศษให้หัวหน้าหมู่บ้านแต่ละรุ่นห้ามสร้างปัญหาหรือไม่ และในหลายปี เจ้าทำอะไรไปบ้างแล้ว”
หัวหน้าหมู่บ้านชราเหงื่อเย็นเยียบไหลอาบ ร่างกายของเขายิ่งสั่นสะท้าน ดวงตาของเขาฉับพลันก็ฉายแววตื่นตระหนกขึ้นมาทันที
เทพแห่งท้องทะเลมีอยู่จริง…
ดูเหมือนว่า ทุกๆ คำถามจะเป็นภาระหนักหน่วงบนหลังของหัวหน้าหมู่บ้านชรา มันทำให้เขาต้องถูกกำราบลงมา
ทันใดนั้น เสียงนั้นก็ปรากฏขึ้นในใจของเขาอีกครั้ง
“หมู่บ้านสงของเจ้ายังอยากอยู่ต่อไปหรือไม่”
“หากพวกเจ้าไม่อยาก ข้าจะกำจัดพวกเจ้า เพื่อไม่ให้ชื่อเสียงของบรรพบุรุษของพวกเจ้าต้องเสื่อมเสีย”
“พวกเราอยาก อยากขอรับ!”
หัวหน้าหมู่บ้านชรารีบตะโกนและมองขึ้นไปที่รูปปั้น แต่บังเอิญเห็นภาพร่างบนรูปปั้นที่กำลังสวดพระคัมภีร์อยู่
ภาพร่างนั้นเพียงแค่หรี่ตาและก้มศีรษะมองลงมา
ในขณะนั้น ดูเหมือนว่ารูปปั้นจะมีชีวิต และดวงตาของมันก็เต็มไปด้วยความเย็นชา
เพราะในท้ายที่สุด หัวหน้าหมู่บ้านชราก็เป็นเพียงแค่ ‘มนุษย์’ เท่านั้น ในขณะนั้น แนวป้องกันในใจของเขาได้พังทลายลงหมดสิ้น เขานอนราบลงไปกับพื้น และก้มกราบกรานพลางร้องไห้…“ท่านเทพแห่งท้องทะเล โปรดลงโทษข้าเถิด ลงโทษข้าด้วยขอรับ! ข้ามันโลภ ข้ามันโลภขอรับ! ความคิดนี้มาจากข้าเอง และผู้คนในหมู่บ้านของเราก็ล้วนแต่ฟังข้าเท่านั้นขอรับ!”
“หากเป็นเช่นนี้ วิญญาณของเจ้าก็จะถูกลงโทษเป็นเวลาสองสามวัน”
หลี่ฉางโซ่วแค่นเสียงเย็นชาอีกครั้ง แล้วยาสลบจำนวนหนึ่งก็เข้าไปในจมูกของหัวหน้าหมู่บ้านชรา และจากนั้น ชายชราก็ล้มลงไปกับพื้นทันที
ทันใดนั้น ‘เทพแห่งท้องทะเล’ ซึ่งเพิ่งบรรยายหลักคำสอนเสร็จก็ค่อยๆ หายไปเหนือรูปปั้นนั้น
แล้วข้อความเสียงนั้นได้แทรกซึมเข้าไปในหัวใจของชาวบ้านคนอื่นๆ ที่เหลือของหมู่บ้านสง
“การเฉลิมฉลองจะยังคงดำเนินต่อไป และจงรักษาความสงบเรียบร้อยที่นี่ อย่าให้ผู้ใดได้รับบาดเจ็บเด็ดขาด…
…นักพรตชั้นสูงผู้ละโมบเงินมาเป็นเวลานาน แต่โชคดีที่เขายังไม่ได้ทำผิดพลาดครั้งใหญ่ วันนี้ข้าจะลงโทษเขาเล็กน้อยและนำวิญญาณของเขากลับไปรับโทษ เขาจะตื่นขึ้นมาในอีกไม่กี่วันนี้ ในเมื่อเจ้าเคารพข้าในฐานะเทพเจ้าแห่งท้องทะเล เจ้าก็จะได้รับความรับผิดชอบในการสร้างสิ่งมีชีวิตและให้การรู้แจ้งแก่สิ่งมีชีวิตที่มีอวิชชาและตรรกะโง่เขลาในอนาคตด้วย จงอย่าทำเรื่องสกปรกและไม่สมควร จงแบกรับความรับผิดชอบของทูตเทวะ และปกป้องเหล่าสานุศิษย์ผู้ศรัทธา!”
และทันทีที่สิ้นเสียงลง แสงบนรูปปั้นก็ดับไปพร้อมๆ กัน…
กลุ่มชายฉกรรจ์ในหมู่บ้านสงล้วนตัวสั่นงันงกไปทั้งร่าง พวกเขามองไปที่นักพรตชั้นสูงและทูตเทวะผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งนอนขดตัวอยู่บนพื้นใต้เท้าของรูปปั้นเทพเจ้า ไม่กล้าจะก้าวออกไปข้างหน้าเพื่อช่วยพวกเขา…
แน่นอนว่า เป็นไปตามที่คาดไว้ หัวหน้าหมู่บ้านโลภเงินเกินไป จึงถูกท่านเทพแห่งท้องทะเลลงโทษ…
เหล่าสานุศิษย์หลายคนต่างก็ยินดีเมื่อเห็นเช่นนั้น และพากันส่งเสียงเรียกขานนามของท่านเทพแห่งท้องทะเล
พิธีเฉลิมฉลองของเทพแห่งท้องทะเลยังคงดำเนินต่อไป เหล่าเหล่าสานุศิษย์ต่างก็ตื่นเต้นมากกว่าที่เคย และผลัดกันถวายเครื่องสักการะแล้วอธิษฐานต่อเทพเจ้าแห่งท้องทะเล และฉับพลันนั้น หลี่ฉางโซ่วก็นับบุญเครื่องสักการะด้วยนิ้วของเขา บุญเครื่องสักการะ…ช่างพุ่งทะยานรวดเร็วฉับไวยิ่ง
ในเวลานี้ อ๋าวอี่นั่งขัดสมาธิบนที่โล่งในป่าและครุ่นคิดเงียบๆ เขาเพิ่งได้ยินคำสอนของสำนักเทพทะเลและรู้สึกชื่นชมพี่ฉางโซ่วในใจของเขามากขึ้นอีกเล็กน้อย
ไม่ไกลออกไปนัก ผู้คนนับแสนคนยังคงเฉลิมฉลองอย่างต่อเนื่อง อ๋าวอี่จ้องมองไปที่เมฆบุญที่ขยายเพิ่มขึ้นด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉา
กาลครั้งหนึ่ง เผ่ามังกรก็เคยเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน…
“พี่อี่?”
มีเสียงของมนุษย์มาจากด้านข้าง อ๋าวอี่รีบลุกขึ้นยืนแล้วมองไป เห็นนักพรตเต๋าวัยกลางคนกำลังเดินผ่านมา
นักพรตเต๋าคนนี้ยิ้มและท่องบทกวีที่ทั้งสองได้อ่านครั้งสุดท้ายเมื่อพวกเขาพบกัน อ๋าวอี่ยังเห็นว่าเขาใช้เคล็ดวิชาลวงตากับเขา และทันใดนั้นเขาก็เข้าใจบางอย่างในทันที
อ๋าวอี่สัมผัสได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนว่า นักพรตเต๋านี้อยู่ในขอบเขตคืนกลับอนัตตาขั้นแปด และตัวตนของเขาก็ได้รับการยืนยันแล้ว
เขาคือหลี่ฉางโซ่ว ศิษย์ของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน
หลี่ฉางโซ่วโค้งคารวะและทักทายว่า “ข้าละอายตัวเองต่อพี่อี่ยิ่งนัก”
“พี่ฉางโซ่ว ท่านเกรงใจเกินไปแล้ว” อ๋าวอี่ประสานมือแล้วโค้งคารวะให้ในขณะที่เดินไปพร้อมกับหลี่ฉางโซ่ว
แล้วในตอนนี้ หลี่ฉางโซ่วก็ได้สังเกตปฏิกิริยาของอ๋าวอี่แล้ว และได้ข้อสรุปบางประการ บัดนี้ เขารู้ว่าควรเลือก ‘ขั้นตอนที่สาม’ เช่นใดต่อไป
หลี่ฉางโซ่วมองไปที่อ๋าวอี่และวางม่านพลังกั้นเสียงเอาไว้รอบตัวพวกเขาทั้งสองแล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า “พี่อี่ ท่านคิดว่าสำนักเทพทะเลเป็นอย่างไรหรือ”
อ๋าวอี่พยักหน้าช้าๆ แล้วกล่าวว่า “หลักคำสอนของสำนักสอนคนให้ทำความดี พวกเขาไม่ใช่เพียงแค่สำนักที่ปล้นเครื่องหอมเท่านั้น แต่พวกเขายังมีบทเรียนที่มีความหมายพิเศษ”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มราวกับว่าเขาคาดหวังคำตอบของเขามานานแล้ว
อ๋าวอี่อดจะลดเสียงของเขาให้เบาลงไม่ได้และถามเสียงเบาว่า “พี่ฉางโซ่ว ท่านบอกความจริงกับข้าทุกอย่างได้หรือไม่ เป็นเทพเจ้าแห่งท้องทะเลทักษิณจริงหรือไม่ สำนักเทพทะเลนี้คืออันใดกัน…”
หลี่ฉางโซ่วส่ายศีรษะทันทีแล้วชี้ขึ้นไปที่ด้านบน จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่ปากของเขาแล้วตามด้วยชี้ลงไปที่พื้นดิน
ดูเหมือน อ๋าวอี่จะไม่เข้าใจ ทว่าในความงุนงงนั้น จู่ๆ เขาก็เข้าใจอะไรบางอย่างทันที
เป็นอย่างที่คาดไว้ พี่ฉางโซ่วก็แค่คนที่ถูกบีบให้ออกมาทำเช่นนี้ และปรมาจารย์ของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินก็เป็นคนเก็บเครื่องสักการะบูชา
หลี่ฉางโซ่วยิ้มอีกครั้งพลางถอนหายใจ “ทูตเทวะเหล่านั้นสร้างความเสียหายให้กับกองทหารเซียนของวังมังกร ข้าต้องขออภัยด้วยจริงๆ”
อ๋าวอี่ตกตะลึง แล้วทันใดนั้น เขาก็นึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
ไม่ใช่แค่ปรมาจารย์ของสำนักบำเพ็ญเต๋าหยินเท่านั้น แต่มีแผนการของเผ่าพ่อมดอยู่เบื้องหลังด้วย!
เทพแห่งท้องทะเล พวกเราไม่ได้พูดอะไรเลยนะ
อ๋าวอี่ยิ้มทันทีและกล่าวว่า “ไม่ต้องห่วง แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ข้าจะชี้แนะพวกเขาในภายหลังเอง”
อ๋าวอี่เงยหน้าขึ้นมองหลี่ฉางโซ่วซึ่งอยู่ข้างๆ เขาด้วยความรู้สึกฉงนในใจ
“พี่ฉางโซ่วถามข้าเมื่อครู่นี้ว่า รู้สถานการณ์ยากลำบากในยามนี้ของเผ่าพันธุ์มังกรมากเพียงใด แล้วพี่ฉางโซ่วรู้มากเพียงใดหรือ”
หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจ
“ไม่มีปัญหาภายนอกให้ต้องกังวล แต่มีภัยพิบัติในสมัยโบราณ มันยากที่จะอยู่รอดในสภาพชีวิตที่เมามาย พี่อี่ ข้าพอรู้คร่าวๆ ว่า เจ้าทำอะไรลงไป แต่มันยากมากที่จะพลิกสถานการณ์นี้ได้ด้วยเจ้าเพียงคนเดียว”
หลี่ฉางโซ่วหยุดไปชั่วขณะและแอบสังเกตดวงตาของอ๋าวอี่
เมื่อครู่นี้ เขาได้ใช้กลอุบายต่างๆ เช่น ‘จงใจเว้นว่างไว้’ ‘เกริ่นนัยบางอย่าง’ ‘ปล่อยให้จินตนาการของท่านโลดแล่นไปเอง’ และ ‘ตกหลุมพราง ทีละขั้น’…
อย่างไรก็ตาม ขอบเขตสูงสุดของการหลอกลวงก็คือ การนิ่งเงียบและทำให้อีกฝ่ายหนึ่งทำตามคำขอที่เขาต้องการ
ด้วยวิธีนี้ กรรมนั้นก็จะสามารถถูกโอนย้ายได้
และในท้ายที่สุด บางที อ๋าวอี่อาจจะขอบคุณเขาแล้วกล่าวว่า “ขอบคุณพี่ฉางโซ่วที่ชี้แนะข้า”