ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว - ตอนที่ 126.2 ข้าได้เรียนรู้ ข้าได้เรียนรู้มันแล้ว (2)
- Home
- ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว
- ตอนที่ 126.2 ข้าได้เรียนรู้ ข้าได้เรียนรู้มันแล้ว (2)
ฉินหว่านมอบขลุ่ยหยกขาวนั้นให้จี้อู๋โหย่วและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าสำนักอู๋โหย่ว โปรดอย่าปฏิเสธเลยไม่เช่นนั้น ข้าจะรู้สึกไม่มีความสุขจริงๆ”
จี้อู๋โหย่วยิ้มและรับขลุ่ยหยกขาวมาพลางห่อหุ้มมันเอาไว้ด้วยพลังเซียนแล้วส่งไปให้หลี่ฉางโซ่ว
จากนั้นเขาจึงกล่าวเร่งเร้าว่า “ยังไม่รีบขอบคุณผู้อาวุโสฉินที่มอบสมบัติให้อีกหรือ”
หลี่ฉางโซ่วถือขลุ่ยหยกขาวเอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้างแล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “ขอบคุณท่านผู้อาวุโสที่มอบสมบัติให้ขอรับ”
จากนั้นเจ้าสำนักจึงแย้มยิ้มและกล่าวว่า “เสี่ยวอู ไปเอาวิธีสร้างและปรับแต่งรากฐานค่ายกล จากนั้นก็ให้เงินสนับสนุนรายเดือนมูลค่าสามร้อยปีให้ฉางโซ่วเป็นรางวัลจากสำนัก จากนี้ไปในภายหน้า ให้ฉางโซ่วจัดวางค่ายกลในสำนักได้อย่างอิสระ หากเจ้าขาดวัสดุที่จำเป็นในการสร้างค่ายกล เจ้าก็สามารถไปที่หอไป่ฝานให้ช่วยจัดสรรให้เจ้าได้”
ขณะนั้น จิ่วอูพลันรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เขารับคำสั่งทันทีก่อนจะรีบขับเคลื่อนเมฆแล้วบินตรงไปที่ยอดพิชิตสวรรค์
ชั่วขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วจึงทำได้เพียงระงับความสิ้นหวังในหัวใจของเขาและโค้งคารวะให้ท่านเจ้าสำนัก
ในท้ายที่สุดเขาก็ยังได้รับผลประโยชน์อยู่บ้าง
ในฐานะเจ้าสำนักตู้เซียน จี้อู๋โหย่วได้เผยให้เห็นว่าเขาให้คุณค่า ความสำคัญ และดูแลศิษย์ที่มีความสามารถอย่างมากจริงๆ จากนั้นเขาก็นำเหล่าเซียนอาวุโสทั้งหมดกลับมาที่แท่นหยกเพื่อเฝ้าดูการแข่งขันต่อไป
จักรพรรดิสวรรค์ฉินรู้สึกว่าเขาคุ้มค่ามากเมื่อได้รับผลประโยชน์มากมาย และก่อนจะจากไป เขาก็ยังเหลือบมองหลี่ฉางโซ่วเล็กน้อยเพื่อจดจำกลิ่นอายลมปราณและใบหน้าของหลี่ฉางโซ่วเอาไว้
ในระหว่างทางกลับไปที่แท่นหยก ผู้นำของสิบจักรพรรดิสวรรค์พลันเริ่มขมวดคิ้วเป็นครั้งคราว ดูเหมือนว่าเขากำลังคิดเรื่องวิธีปรับปรุงค่ายกลสิบสมบูรณ์ของเหล่าพี่น้องทั้งสิบคนของเขา…
หลี่ฉางโซ่วเฝ้าดูการจากไปของผู้ทรงพลังยิ่งใหญ่เหล่านี้ และเมื่อพวกเขาจากไป เขาก็อดจะขมวดคิ้วไม่ได้
อ๋าวอี่ยิ้มและถามว่า “พี่ฉางโซ่ว ท่านรู้วิธีเป่าขลุ่ยหรือไม่ เหตุใดไม่ลองเป่าดูสักหน่อยขอรับ”
หลี่ฉางโซ่วพยายามฝืนยิ้มขณะมองไปที่ค่ายกลของเขาและเปิดค่ายกลกับดักและค่ายกลเขาวงกตอีกครั้ง
บัดนี้ เขาอดจะจินตนาการถึงภาพเหตุการณ์หนึ่งในหัวใจของเขาไม่ได้
ภายใต้ท้องฟ้าอันมืดมิด มีกองทรายสีเหลือง มีสองกองทัพกำลังเผชิญหน้ากันบนพื้นดินและบนท้องฟ้า มีเหล่าวิหค สัตว์ร้าย และมีผู้คนที่ไม่ธรรมดาอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง
ทันใดนั้น กองทัพหนึ่งพลันถอยทัพอย่างรวดเร็ว ในขณะที่มีวังวนหลุมดำขนาดใหญ่สิบแห่งปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าและเชื่อมต่อซึ่งกันและกัน พวกมันคุกคามอย่างน่ากลัวและเต็มไปด้วยเจตนาสังหารรุนแรง
หลังจากนั้นก็มีบุรุษเก้าคนและสตรีหนึ่งคนปรากฏตัวขึ้นในวังวนหลุมดำเหล่านั้นและร้องตะโกนออกมาพร้อมกัน
“เหล่าเซียนแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าฉาน พวกเจ้ากล้าเข้าสู่ค่ายกลสิบสมบูรณ์ของพวกเราหรือไม่”
ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ถือขลุ่ยหยกขาวเอาไว้ในมือของเขาในขณะที่รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกขึ้นมาอย่างกะทันหัน
อ๋าวอี่รีบถามว่า “พี่ฉางโซ่ว มีอันใดผิดปกติไปหรือขอรับ”
“ไม่มี ไม่มีอะไร” หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจแล้วมองไปที่ห้องน้ำชารับรองแขกซึ่งอยู่ไม่ไกลนักพลางกล่าวว่า “พวกเรามานั่งพูดคุยกันที่นี่ก่อนเถิด แล้วค่อยกลับไปยังสถานที่จัดการแข่งขันครั้งใหญ่ในภายหลัง”
“ขอรับ” อ๋าวอี่ตอบพร้อมกับเผยสีหน้าท่าทีหดหู่ใจออกมา
ไม่นานหลังจากนั้น อ๋าวอี่และหลี่ฉางโซ่วก็นั่งอยู่ในห้องน้ำชารับรองแขกในป่าด้วยกัน
หลี่ฉางโซ่วหยิบใบชาของเขาออกมาและชงชา จากนั้นก็เริ่มตรึกตรองว่า หากวิธีการเชื่อมโยงรากฐานค่ายกลถูกแพร่กระจายออกไป ย่อมจะมีปัญหาใดเกิดขึ้นบ้างในอนาคต
แม้วิธีการสร้างและปรับแต่งรากฐานค่ายกลที่เขามอบให้กับสำนักจะเป็นฉบับที่ล้าสมัยและยังไม่ได้ปรับปรุง แต่ฉบับนั้นก็ยังสามารถใช้ได้เช่นกัน นอกจากนี้ หากใครทำตามตรรกะดั้งเดิมได้ ก็อาจพัฒนาวิธีการที่ดีกว่านี้ขึ้นมาได้…
หลังจากใคร่ครวญอีกครั้งแล้ว ความจริงข้าก็เพียงแค่ให้การสนับสนุนทักษะบางอย่างเท่านั้น
ท่านปรมาจารย์จอมปราชญ์ไม่จำเป็นต้องโต้เถียงกับข้า ผู้เป็นเพียงศิษย์น้อยของเขาเองด้วยเหตุนี้ใช่หรือไม่
แม้ข้าควรจะเตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งเลวร้ายที่สุด แต่เรื่องนี้…ข้าควรต้องต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อน
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วก็วางขลุ่ยหยกขาวเอาไว้บนโต๊ะ เมื่อเห็นสีหน้ามืดมนของอ๋าวอี่ เขาจึงเอ่ยถามว่า “มีเหตุใดกัน การฝึกฝนของเจ้ามีอันใดไม่ราบรื่นหรือไม่ หรือว่าเผ่ามังกรมีปัญหาอีกแล้ว”
“เฮ้อ…” อ๋าวอี่ถอนหายใจและตอบว่า “เผ่าพันธุ์มังกรยังคงเดิม การฝึกฝนของข้าก็ค่อนข้างราบรื่น” อ๋าวอี่ถอนหายใจอีกครั้งและกล่าวต่อว่า “พี่ฉางโซ่ว นับว่าท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้คนหนึ่ง ท่านช่วยไขข้อสงสัยของข้าได้หรือไม่”
หลี่ฉางโซ่วแย้มยิ้มและกล่าวว่า “พูดมาเถิด เจ้าไม่เข้าใจอะไรในวิธีการสร้างค่ายกลหรือ”
ทันใดนั้น ใบหน้าอ่อนเยาว์ของอ๋าวอี่ปรากฏอาการเขินอายออกมาขณะที่เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย จากนั้นจึงกระซิบว่า “ไม่ใช่เรื่องเต๋าแห่งการสร้างค่ายกลหรือการฝึกฝนของข้า แต่มันคือ…เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงขอรับ”
หลี่ฉางโซ่วเงียบงันทันที
พี่อี่ เจ้ามองอย่างไรถึงเห็นข้าเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ไปได้เล่า
หลี่ฉางโซ่วขมวดคิ้วแล้วถามว่า “เกี่ยวกับเจ้าและหานจื่อหรือไม่”
“ก็…พี่ฉางโซ่ว ท่านอ่านข้าได้ทะลุปรุโปร่งจริงๆ” อ๋าวอี่เกาศีรษะขัดเขินพลางกล่าวกระซิบเสียงเบาว่า “ข้ารู้ว่ามันไม่ถูกต้อง หานจื่อเป็นศิษย์หลานของข้า แต่ตั้งแต่ที่อาจารย์ของนางประสบเหตุไม่คาดฝัน ข้าก็ได้พัฒนาความคิดที่ไม่สมควรบางอย่างขึ้นมาในใจ พี่ฉางโซ่ว ท่านคิดว่าข้า…มีบางอย่างผิดปกติบ้างหรือไม่”
หลี่ฉางโซ่วส่ายศีรษะและตอบว่า “อย่าคิดมากเลย”
จากนั้น เขาก็หยิบถุงเก็บสมบัติออกมา แล้วหยิบเครื่องหอมออกมากำมือหนึ่งก่อนจะบดพวกมันทั้งหมดและหลอมรวมพวกมันเป็นลูกทรงกลมด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ของเขา จากนั้นก็ถูพวกมันช้าๆ
และไม่นานหลังจากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็เอ่ยถามอย่างเป็นกันเองว่า “เจ้าเผยความรู้สึกที่มีต่อนางไปแล้วหรือไม่”
“ขอรับ” อ๋าวอี่กล่าวด้วยท่าทางจริงจัง “ในฐานะบุรุษแห่งเผ่ามังกร ข้าต้องยอมรับความรู้สึกของตัวเองอย่างเปิดเผย หากข้าปรารถนาใครสักคน ย่อมไม่มีความลังเลใดๆ”
“แล้วเจ้าถูกปฏิเสธหรือ”
“เอ่อ…ใช่ขอรับ” อ๋าวอี่ก้มศีรษะลง “นางบอกว่าไม่เคยคิดเช่นนั้นกับข้า นางรู้สึกเหมือนข้าเป็นน้องชายของนาง เฮ้อ…ข้าไม่รู้ว่ามีอันใดผิดปกติไป นับตั้งแต่ที่ข้าพบกลุ่มผู้อาวุโสใบหน้าเย็นชาในทะเลทักษิณในปีนั้นและหลังจากนั้น…ร่างมนุษย์ของข้าก็หยุดเติบโต”
หลี่ฉางโซ่วพยักหน้าอย่างสงบขณะรู้สึกกระดากอายเล็กน้อย จากนั้นจึงถู ‘เครื่องหอม’ ทรงกลม ในมือแล้วพึมพำ…
“ข้ามีสุราสมุนไพรอยู่ที่นี่ด้วย อยากลองดูหรือไม่”
“หือ?” อ๋าวอี่กะพริบตาแล้วกล่าวว่า “สุราสมุนไพรอันใดกัน”
“สำหรับบุรุษแล้ว นี่คืออาหารเสริมพลังหยาง หลังจากดื่มมันแล้ว ร่างกายอาจตอบสนอง…นั่นไม่ถูกต้อง ความจริงแล้ว ในเรื่องนี้ ไม่เกี่ยวอะไรกับขนาดของร่างมนุษย์ของเจ้า”
หลี่ฉางโซ่วค่อยๆ ถูมือของเขา ขณะครุ่นคิดถึงเรื่องนั้นในใจ
ในเวลานี้ อ๋าวอี่เป็นเครื่องมือสำคัญของข้า…อืม หุ้นส่วนทางธุรกิจบุญที่สำคัญของข้า ข้าจึงต้องช่วยเขา
“พี่ฉางโซ่ว” อ๋าวอี่มองไปที่ธูป ‘ขนาดใหญ่’ สามดอกในมือของหลี่ฉางโซ่ว ซึ่งค่อยๆ กลายเป็นรูปร่างขึ้น “ท่านกำลังทำอะไรอยู่” “ต่อไปข้าจะไปถวายเครื่องสักการะเพื่อบูชากราบไหว้ท่านบรรพปรมาจารย์” หลี่ฉางโซ่วฝืนยิ้มขื่น “ขอแค่สบายใจเท่านั้น”
จากนั้น อ๋าวอี่ก็ตะลึงงันไปชั่วขณะหนึ่งก่อนจะตระหนักได้
ไม่แปลกใจเลยที่พี่ฉางโซ่วได้รับเลือกให้เป็นผู้รับมอบบุญ…
วิธีการถวายเครื่องสักการะแก่ท่านจอมปราชญ์นั้น ช่างแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากวิธีของคนอื่นๆ ที่ข้าเคยเห็น!
บัดนี้ ข้าได้เรียนรู้มันแล้ว
ในขณะนั้น กลุ่มเซียนอาวุโสได้กลับมายังแท่นหยกแล้ว พวกเขายังคงพูดถึงเรื่องค่ายกลห่วงโซ่พันธนาการขนาดเล็ก ซึ่งทุกคนล้วนสนใจเรื่องนี้อย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ในขณะนั้น ผู้อาวุโสเซียนเทียนวัยกลางคนจากสำนักตู้เซียนผู้หนึ่งพลันรู้สึกอดรนทนไม่ได้ และทันใดนั้น เขาลุกขึ้นยืนพลางแย้มยิ้มและกล่าวว่า “เสี่ยวฉางโซ่ว ไม่เพียงแต่สร้างค่ายกลที่พิเศษเหนือสามัญได้เท่านั้น แต่ในด้านการหลอมโอสถ เขาก็ยัง…” “แค่ก! แค่ก แค่ก!”
ทันใดนั้น นักพรตเต๋าอู๋โหย่วก็เอามือป้องปากและกระแอมไอออกมา ขณะจ้องมองผู้อาวุโสผู้นั้นด้วยสายตาดุดัน แล้ว จู่ๆ ผู้อาวุโสผู้นั้นก็ฉุกคิดขึ้นได้และรีบหุบปากลงอย่างรวดเร็ว
ดังนั้น จึงส่งผลให้บรรดาเซียนทั้งหลายยิ่งงุนงงมากขึ้น…